เมาครั้งที่ 5
ความรู้สึกอึดอัดทำให้ห้วงนิทราถูกรบกวน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาโลมเลียกันจนรู้สึกว่าอุณหภูมิของอากาศในห้องเพิ่มสูงขึ้น ผมขยับตะแคงตัวอย่างยากลำบากก่อนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นตุบลงบนเตียง ปรือดวงตาขึ้นเล็กน้อยก็พบเข้ากับขนสีขาวฟูฟ่องของไอ้หมายักษ์ มันจับสังเกตได้ว่ามีคนตื่นแล้วเลยส่งลิ้นสีชมพูสากๆ มาเลียหน้ากัน จะปล่อยให้พี่ข้าวหลับสบายตื่นสายในวันหยุดบ้างไม่ได้หรือยังไง อยากร้องไห้ หนูไม่ต้องปลุกตรงเวลาทุกวันก็ได้มั้งครับไอ้บับเบิ้ล! สักวันอาจจะทำเรื่องเนรเทศให้มันไปอยู่ในกรงเนื่องจากผมนอนไม่พอ...
"กวนแต่เช้าเลยนะไอ้อ้วน"
ผมว่าก่อนจะดึงมันมากอดฟัดด้วยความมันเขี้ยว ตะลุมบอนกันอยู่ราวห้านาทีประตูห้องก็เปิดออกโดยฝีมือพี่ชายสุดหล่อ คือวันนี้พี่ต้นแต่งตัวโคตรดี เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดพับแขนกางเกงสีผ้าสีน้ำเงินแถมยังพับขาขึ้นเล็กน้อย พ่อนายแบบของน้อง สภาพต่างจากคนเมาเมื่อต้นอาทิตย์ราวฟ้ากับเหว ดูจากท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วคงไม่พ้นออกไปเดท... ก็กับกันย์นั่นล่ะ น่าอิจฉาชะมัด แล้วผมล่ะ!
"ว่าไงพี่ต้น จะไปถ่ายแบบที่ไหนครับ"
ผมเอ่ยแซวพี่ต้นที่ยังยืนพิงกรอบประตู คราวนี้ใบหน้าหล่อมุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงจนที่นอนยวบลง บับเบิ้ลย้ายตัวขยับขึ้นมานอนเกยบนตัวแทนที่จะกระโดดหนีคู่ปรับตัวเอง เดือดร้อนใครล่ะถ้าไม่ใช่ผม ตัวหนักจะตาย
"แซวพี่นะ แค่จะออกไปข้างนอก"
เขาว่าก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ผมย่นจมูกใส่แล้วใช้ทั้งแขนทั้งเท้าโอบรัดเจ้าซามอยด์ไว้ อุ่นกว่าผ้านวมเป็นไหนๆ แต่รู้สึกว่าไอ้ยักษ์เริ่มมีกลิ่นตุๆ วันนี้คงต้องจับอาบน้ำกันหน่อยแล้ว
"ผมไปด้วยได้ปะ"
แกล้งถามไปอย่างนั้นล่ะ เพราะพอจะดูออกว่าพี่ชายนัดใครเอาไว้ แต่ที่แน่ๆ คือแฮงค์รายงานผมเรียบร้อยแล้วล่ะ หึหึ ก็กันย์กับเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่เนอะ บอกกันแทบทุกเรื่อง รักกันมากกว่าพี่น้องอีกมั้ง
"หึ... วันนี้พี่อนุญาตให้เราไปไหนก็ได้โดยไม่ต้องรายงาน"
พี่ต้นบอกก่อนจะเอื้อมมือมาบีบหัวไอ้บับเบิ้ลเล่น เจ้ายักษ์สะบัดพรืดแล้วส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจใส่ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าคนกับหมาคู่นี้ทำไมไม่ญาติดีกันสักที ก็ไม่รู้ แต่ที่ประหลาดที่สุดในตอนนี้คือพี่ต้นใจดีเว้ย ยอมปล่อยกันด้วย
"แหม... ใจดีแบบนี้คือกลัวว่าผมจะไปเป็นก้างเหรอ"
ได้ทีแซวก็จัดสักหน่อย เพราะปกติแล้วพี่ต้นชอบทำหน้านิ่งๆ ใส่กันมากกว่า บางครั้งก็แยกเขี้ยวถ้าเผลอขัดใจหรือไม่เชื่อฟัง แต่ในตอนนี้กลับเห็นเข้ากระตุกรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
"รู้ทัน"
แน่นอนสิ...
"นี่ใคร น้องชายสุดที่รักของพี่ต้นเลยนะ"
ผมดีดตัวขึ้นนั่งแล้วทำหน้าภาคภูมิใจในคำพูดของตัวเอง น้องชายที่รู้ใจพี่ดีที่สุดในโลกเลยนะเนี่ย แต่ดูเหมือนพี่ต้นจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่เพราะฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวกันก่อยที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่วนไอ้บับเบิ้ลวิ่งหายไปตั้งแต่ผมขยับตัวแล้ว รายนั้นเอาแน่เอานอนอะไรด้วยไม่ค่อยจะได้หรอก
"ไรว้า ผลักหัวกันอีกแล้ว"
ผมบ่นก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ พี่ต้นส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ส่งยิ้มให้กันก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สงสัยใกล้ถึงเวลานัดแล้วล่ะมั้ง
"พี่ไปล่ะนะ จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ใครมายุ่มย่ามด้วยมากนักก็หนีซะ เข้าใจไหม"
"โห... สั่งอย่างกับพ่อเลย โอเคครับ จะทำตามอย่างเคร่งครัด"
ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะได้รับการโบกมือลาจากพี่ชาย ห้องนอนกลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง ก็กะว่าจะล้มตัวลงนอนต่อแต่ท้องกลับร้องโครกครากทำให้ต้องลุกไปอาบน้ำอย่างช่วยไม่ได้
ลงมาชั้นล่างแล้วเดินต่อไปยังโต๊ะอาหารแบบทันทีทันใด กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งโชยมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานอีกครั้ง พี่ส้มยิ้มกว้างอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามีสัมผัสที่หกหรืออย่างไร เพราะเขามักจะเตรียมอาหารให้ได้ทันเวลาผมหิวทุกที
"วันนี้คุณหนูจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ เห็นคุณต้นรีบไปแต่เช้าเลย ข้าวก็ไม่ยอมกิน"
เป็นเรื่องปกติที่พี่ส้มจะแปลกใจ เพราะในวันอาทิตย์แบบนี้พี่ต้นจะอยู่บ้านแล้วใช้เวลาว่างไปกับการพักผ่อนมากกว่า นานทีปีหนจะพาตัวเองออกไปนั่นออกไปนี่ แถมครั้งนี้ไม่หนีบผมไปด้วย ก็เขาไปเดทนี่
"คุณชายเขามีเดทน่ะพี่ส้ม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉีกยิ้มกว้างไปให้ก่อนจะลงมือตักข้าวต้มกุ้งใส่ปาก รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมในทุกครั้งที่ได้กิน พี่ส้มพยักหน้าเข้าใจแล้วขอตัวไปจัดการงานด้านอื่นต่อ โดนทิ้งท้ายว่าถ้าผมจะออกไปไหนให้บอกกันก่อน เจ้านายหายตัวไม่ใช่เรื่องตลกใช่ไหมล่ะ
จริงๆ แล้ววันนี้ต้องไปรับพ่อแม่ที่สนามบินตามกำหนดการเดิม แต่เมื่อคืนคุณนายกลับส่งข้อความมาบอกกันว่าจะแวะฮันนีมูนที่ฮ่องกงก่อน ผมเลยได้แต่ส่งแชทกลับไปเป็นเชิงหยอกล้อว่า 'ฮันนีมูนครบร้อยรอบหรือยังครับ' และกลายเป็นว่าวันนี้ผมไม่มีแพลนอะไรเลยนอกจากอาบน้ำให้บับเบิ้ล
เรื่องรับงานสอนที่มหา'ลัยก็เคลียร์กับพี่ต้นไปเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกที่เปิดปากบอกไปเขาเอาแต่นิ่งเงียบและมองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ทางนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไปหรอก ปล่อยให้เจ้าตัวเขาคิดประมวลผลเอาเอง และไม่นานคำอนุญาตแบบไม่เต็มใจก็ดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ไอ้เรื่องจะไปนอนคอนโดในวันอาทิตย์และจันทร์นี่ออดอ้อนอยู่นานมาก กว่าจะผ่านไปได้ต้องโทรไปให้แม่กับพ่อช่วยพูดเลยทีเดียว ได้แต่คิดว่านิสัยหวงน้องของเขาจะจบลงเมื่อผมเจอคนที่ดีพอในความคิดของเขาล่ะมั้ง... แล้วใครล่ะที่จะฝ่าด่านอรหันต์ไปได้
Rrrrr
เสียงริงโทนโทรศัพท์เรียกให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับรายการทีวีช่วงวันหยุด มือเรียวเอื้อมหยิบเครื่องสื่อสารมาดู รายชื่อสายโทรเข้าทำให้หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อยเพราะมันมาจากเพื่อนสนิทนามว่าจุ้น หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ ผมตัดสินใจกดรับแล้วกรอกเสียงเนือยๆ ลงไป
"ฮัลโหล ~"
'เพื่อนรัก ทำอะไรอยู่วะ'
เสียงสดใสปานพบเจอเรื่องดีๆ มา ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่น เพราะสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานปัญหาต้องมาเยือนแน่ๆ มันผิดสังเกตมากเกินไปแล้ว ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
"นอนดูทีวี มึงมีธุระอะไร ไอ้พีชไม่อยู่เหรอ"
ถามกลับไปเพราะรู้ว่าพีชที่เป็นวิศวกรโยธามันมีคุมงานที่ต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงวันพุธล่ะมั้ง ไอ้จุ้นคงเปล่าเปลี่ยวหัวใจ อยู่กับแมวเมนคูนของมันคงไม่มีความสุข
'ถามทั้งๆ ที่รู้ ใจร้ายว่ะ'
"ขาดเมียแค่สามสี่วันไม่ตายหรอกน่า"
ผมพูดติดตลกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาและปิดทีวีลง ขายาวก้าวออกไปที่สวนเพื่อรับอากาศยามสายที่ไม่ร้อนมากเท่าไหร่ เพราะฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว ดูท่าทางงานอาบน้ำหมาคงต้องยกเลิกอย่างช่วยไม่ได้
'ขาดเมียไม่เท่าไหร่ แต่ทิ้งกูให้อยู่กับแมวนี่ดิ... จะบ้าตายเว้ย'
ไอ้จุ้นบ่นงุ้งงิ้งๆ แต่ที่ทำให้ผมหลุดขำคือเสียงร้องเมี๊ยวขู่ของดุ๊กดิ๊ก แม่มันเลี้ยงมาดีเพราะสอนให้ขู่พ่อมันหากทำตัวไม่น่ารัก เผลอๆ บางครั้งเจ้าแมวยักษ์ก็กระโดดขึ้นที่สูงโดยใช้หลังไอ้จุ้นเทคตัวก็มี ได้แผลจากเล็บคมๆ ไปไม่น้อยเลยล่ะ
"บ่นๆ แล้วตกลงว่ามีอะไร"
'อยากไปเที่ยว'
"ก็ไปดิ"
'มึงไปด้วยกัน'
"จะไปไหนล่ะ"
'ห้าง'
ชีวิตแม่งไม่คิดจะไปไหนนอกจากห้างเลยหรือยังไงวะ อยากจะเทศน์สักหน่อย แต่พอเหลือบเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ชอบใส่เป็นประจำแล้วก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะอยากกินอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเที่ยง
"เออๆ เจอกันที่ห้างตอนเที่ยง"
'มึงมันน่ารัก!'
"หุบปากไปเลยนะ เหี้ยจริง ทำไมต้องพูดเหมือนแฮงค์ด้วยวะ"
ผมบ่นเล็กน้อย ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่โดนชมด้วยคำแบบนั้นก็รู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย มันเป็นคำชมที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าจะใช้ชมผู้ชายด้วยกัน แล้วอีกอย่างผมไม่เห็นว่าตัวเองน่ารักตรงไหนอีกด้วย แต่ดูเหมือนปลายสายจะสนใจอะไรบางอย่างในประโยคที่พูดไปแล้วล่ะ เพราะเจ้าตัวร้องเสียงหลงมาเลย
'เหยๆ น้องมันคิดอะไรกับมึงปะวะ ดูท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วนะเว้ย'
น้ำเสียงหยอกล้อปนแซวดังขึ้นทำให้ผมสำลักลมหายใจตัวเองจนหาเสียงตอบไม่เจอ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทไปเอาความคิดบ้าๆ แบบนั้นมาจากที่ไหน เพราะมันก็เจอกับแฮงค์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
'อ่าว เงียบเลยมึง คืออะไรยังไง'
"ไม่มีอะไร จะออกจากบ้านแล้ว แค่นี้นะ"
ผมเลือกที่จะตัดสายแล้วเดินกลับเข้าในตัวบ้านเพราะฝนกำลังลงเม็ด เงยหน้ามองฟ้าแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ รถคงติดอีกสินะ แต่เอาเถอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่นและอยากได้แผ่นเกมใหม่อยู่พอดี
BMW Z4 สีขาวหยุดนิ่งที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในช่วงวันหยุดถือได้มาคนเยอะพอสมควร คนที่เป็นเจ้าของที่นี่คงได้รับรายได้หลักล้านในวันนี้แน่ๆ
ผมส่งข้อความบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตัวเองมาถึงที่นัดหมายแล้ว ไม่นานนักมันก็ตอบกลับมาว่ากำลังเดินเข้าไปในห้างเหมือนกัน แต่จอดรถคนละชั้น อยากจะโทรถามพี่ต้นอยู่หรอกว่าตกลงวันนี้เดทกับกันย์ที่ไหน แต่คิดไปคิดมาก็ยั้งมือไว้ได้ทันเพราะกลัวไปเป็นก้างขวางคอของเขา
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ไม่นานนักแรงกอดไหล่พร้อมกับโถมตัวเข้าหาก็เกิดขึ้นมาจากด้านหลัง มือที่ว่างยกขึ้นตบหัวเพื่อนสนิทแทบจะทันที ไอ้จุ้นเบ้ปากใส่เล็กน้อยแต่ยังยิ้มได้เหมือนเดิม อยากถามว่าเคยโกรธกันสักครั้งไหม หรือตายด้านเรื่องแบบนี้ไปแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะทำร้ายมันแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธ นี่ล่ะมั้งมิตรภาพของคำว่าเพื่อนที่ไม่มีวันเลิกคบ
"กินอาหารญี่ปุ่นอีกแล้ว เลี้ยงกูปะเนี่ย"
ในขณะที่เดินเข้าร้านไอ้จุ้นก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ผมมองมันตาขวางก่อนจะสะบัดแขนให้หลุดจากบ่าโดยไม่พูดอะไรแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ใครจะไปเลี้ยงล่ะ อเมริกันแชร์รู้จักปะวะ
"ให้ไอ้พีชเลี้ยงมึงโน่นไป"
ผมว่าก่อนจะบุ้ยปากใส่ ไอ้จุ้นหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะพนักงานเอาเมนูมาให้พอดิบพอดี เราสั่งอาหารกันไปคนละอย่างสองอย่างแล้วกลับมานั่งจมกับหน้าจอโทรศัพท์ เอ่อ... แค่ไอ้จุ้นจ้านนะ ส่วนผมก็นั่งมองนี่ล่ะ เพราะเดี๋ยวมันก็ยิ้มเดี๋ยวมันก็ขมวดคิ้ว
"เป็นไรของมึง"
ผมเท้าคางมองเพื่อนสนิทแล้วมองมันด้วยแววขำขัน สงสัยคุยไลน์กับไอ้พีชแน่ๆ จุ้นเงยหน้ามามองกันแล้วเบะปากใส่ อยากเอื้อมมือไปดึงเหลือเกินน่าหมั่นไส้
"พีชแม่ง..."
"....."
อะไรของมัน มาแค่นั้นแล้วก็เงียบ ต้องการอะไรจากสังคมล่ะเพื่อน
"กลับวันศุกร์นู่น เลยวันครบรอบไปอีก"
พูดจบปากหยักก็ยิ่งเบะลงไปอีกเท่าตัว ไอ้น่าสงสารมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ทำตัวงอแงแบบนี้ผมยังสงสัยว่าพีชยอมให้มันรุกได้ยังไงกัน...
"ก็มันทำงานนี่มึง อย่างอแงน่า ไม่ใช่เด็กแล้ว"
ผมพูดก่อนเอื้อมมือไปขยี้หัวมันเบาๆ อย่างที่ชอบทำตอนปลอบ ไอ้จุ้นค้อนใส่แต่ก็ไม่ปัดป้องอะไร ก็นี่ล่ะน้าความเป็นเด็กน้อยของมัน
"เออ ก็แค่นอยด์นิดหน่อยนั่นล่ะ แล้ววันนี้มึงทำไมออกมาเที่ยวกับกูได้ง่ายจัง พี่ต้นไม่ซักเหรอวะ"
เผลอเบ้ปากเพราะคำถามของเพื่อนสนิท ก็คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจมันน่าหมั่นไส้มากนี่หว่า เอาจริงๆ แล้วพี่ต้นเป็นคนที่โสดได้ไม่นานหรอก สูงสุดก็แค่ปีสองปีเองมั้ง ไม่เหมือนกับผมที่ครองโสดมาห้าหกปีแล้ว ถึงได้บอกว่าลืมการรักใครสักคนแบบแฟนไปแล้วไง
"พี่ต้นไปเดท"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วคว้าแก้วน้ำดื่มมาดูดให้ชื่นใจ บางทีอาจจะเพื่อดับอาการร้อนรุ่มที่เกิดจากความอิจฉาก็ได้ ไอ้จุ้นมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะดวงตาที่เบิกกว้างและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แสดงออกมา
"ว้าว คราวนี้สวยปะวะ"
ผมแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ก็คราวเนี่ยคนที่พี่ต้นเดทด้วยไม่มีคำว่าสวยประกอบอยู่เลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งไอ้คนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดทั้งชีวิตจะผันตัวไปชอบผู้ชายได้ง่ายๆ วะ แปลกแต่จริงใช่ไหมล่ะ
"หึ ไม่สวยเลย"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนไอ้จุ้นขมวดคิ้วเป็นปม เพราะโดยปกติแล้วพี่ต้นจะชอบผู้หญิงที่สวยอะไรประมาณนี้ มีใครหลายคนบอกว่าหน้าตาไม่สำคัญกับความรัก มันก็จริงนะผมเห็นด้วย แต่สำหรับบางคนมันก็เป็นส่วนประกอบของความรักเช่นกัน
"อ่าว เปลี่ยนแนวเหรอ"
"โคตรๆ จากผู้หญิงกลายเป็นผู้ชาย อึ้งไหมล่ะเพื่อน"
ผมพูดก่อนจะยักคิ้วกวนให้ ในขณะที่เพื่อนนั่งอ้าปากพะงาบๆ อยู่แบบนั้น ตลกว่ะ อยากจะขำดังๆ แต่เกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้านฉิบหาย เลยได้แต่นั่งไหล่สั่นเพราะกลั้นขำไว้
"เฮ้ย ไม่ล้อเล่นดิมึง กูช็อก!"
"ไม่ล้อเล่น นี่พูดจริงเลย"
"มึง ~ ใครวะๆๆๆๆ"
รัวๆ มาแบบนี้คืออาการเสือกขั้นสุดยอด และตอนนี้เองที่ผมกลั้นขำไม่ไหว ก็ไอ้จุ้นทำหน้าตาโคตรตลก ตานี่แทบเหลือก หัวคิ้วย่นเข้าหากัน มือตีแขนผมไม่หยุดหย่อน ไอ้บ้าเอ้ย
"ไอ้เชี่ย เจ็บ!"
ผมดึงแขนออกจากการตีของมันแล้วถลึงตาใส่ไป ไอ้จุ้นยิ้มแหยให้ก่อนจะทำตัวสงบเสงี่ยมลง แต่ดวงตาเป็นประกายใคร่รู้นั้นปิดไม่มิดจริงๆ จนต้องยอมแพ้แล้วเปิดปากบอก
"น้องกันย์ เพื่อนของแฮงค์อะ"
ผมตอบจบแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเล็กน้อยว่ามีใครส่งอะไรมาหรือเปล่าแล้วเก็บลงกระเป๋าตามเดิม ตอนเงยหน้าขึ้นมาถึงกับสะดุ้งเมื่อไอ้จุ้นอ้าปากกว้างจนเกรงว่าจะมีแมลงวันบินเข้าไป ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะตัวมันเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ หรือที่ทำให้ตกใจคือกันย์เป็นเพื่อนแฮงค์วะ
“อ้าปากทำไมมึง”
ผมเอื้อมมือไปดันคางมันให้หุบปากลง ไอ้จุ้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองกันด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อเมนูอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมทำให้พยาธิในกระเพาะเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้ตะเกียบคีบแซลมอนจิ้มโชยุเข้าปากทันที ฟินว่ะ
“แปลกใจนิดหน่อยว่ะ รู้สึกมึงจะพัวพันกับเด็กคนนั้นจัง”
มันว่าแล้วเหล่สายตามองกัน แต่ปากกลับกระตุกยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผมต้องหยิบถั่วแดงประดับในจานปาใส่ กวนตีนไม่มีใครเกินจริงๆ ทำอย่างกับแฮงค์กับกันย์จะรุกคืบมากินทั้งผมทั้งพี่ชายอย่างนั้นล่ะ บ้าบอไปแล้ว
“คบไว้เป็นพี่น้องก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอวะ จากที่ดูๆ น้องมันก็นิสัยดี”
ผมบอกไปก่อนจะเริ่มคีบหมูทอดทงคัตสึใส่ปากอีกครั้งโดยที่ไอ้จุ้นยังคงทำท่าทางแบบเดิมและไม่ยอมกินสักที ขืนช้าแล้วหมดไม่รู้ด้วยนะเว้ย
“เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แฮงค์มันก็ดูนิสัยดีนั่นล่ะ แต่มึงถามน้องแล้วเหรอว่าอยากเป็นพี่น้องกับมึงหรือเปล่า”
ผมชะงักมือที่ถือตะเกียบทันที กะว่าจะขโมยปลาหิมะย่างซีอิ๊วของไอ้จุ้นกินสักหน่อย ดวงตากลมเหลือบมองเพื่อนสนิทเขม็ง ทำไมดูเหมือนแต่ละคนมั่นใจนักว่าแฮงค์ชอบกัน ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรยืนยันได้เลย มีแต่การกระทำที่มันก่ำกึ่งเท่านั้นเอง
“อะไรของมึงไอ้จุ้น พูดเพ้อเจ้อ”
ผมส่ายหน้าแล้วคีบปลาหมึกยักษ์ใส่ปากมันให้หยุดพูดสักที ไอ้จุ้นสำลักค่อกแค่กแล้วรีบกลืนปลาหมึกลงคอทันทีก่อนจะคว้าแก้วน้ำไปดื่มอย่างรวดเร็ว ไม่สงสารมันหรอก สมน้ำหน้าด้วยซ้ำเพราะชอบพูดอะไรไม่คิดอยู่เรื่อย แซวนั่นแซวนี่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาไม่หน้าแตกยับเยินหรือยังไงกัน
“กูว่าน้องมันชอบมึงนะ”
ยังจะพูดต่อ... สงสัยอยากได้ปลาหมึกยัดปากอีกรอบ
“เออ ถ้าชอบแล้วไง ไม่บอกตรงๆ กูก็ไม่ตรัสรู้หรอก”
พูดตัดรำคาญไปเลยแม่ง คือหิว อยากกินข้าว ไม่ใช่มานั่งเสวนาเรื่องคนอื่นตอนนี้ ไม่อยากคิดอะไรมากถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากไง นี่ผู้ชายกับผู้ชายนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องปกติสักหน่อยถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้จะเปิดกว้างเรื่องเพศก็เถอะ
“มึงนี่มัน... ไม่มีเซ้นส์เหรอ”
ไอ้จุ้นส่ายหน้าไปมาอย่างคนปลง ผมเลยได้แต่แยกเขี้ยวใส่แล้วคีบวาซาบิส่งไปป้ายปากแม่ง คราวนี้หยุดพูดแล้วรีบคว้ากระดาษทิชชู่เช็ดปากเป็นการใหญ่ สมน้ำหน้า!
“เออ ทำไม กูชอบความชัดเจนไม่ชอบมโน เข้าใจนะ แดกได้แล้ว”
มันก็บ่นกระปอดกระแปดว่าผมใจร้ายบ้างล่ะ ไม่รักมันบ้างล่ะ สารพัดสารเพที่สามารถขุดมาตัดพ้อกันได้ แต่ใครจะมานั่งสนใจเสียงนกเสียงกาเวลาหิวบ้าง ปล่อยมันพูดๆ ไปเหนื่อยก็หยุดไปเองนั่นล่ะ เถียงกันไปก็แค่นั้นเพราะต่างคนก็ต่างยึดถือความคิดของตัวเองเป็นหลัก แล้วเรื่องนี้ก็มีแค่แฮงค์คนเดียวที่จะยืนยันความเป็นจริงได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
หลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อย เราต่างคนต่างจ่ายเงินร่วมกันแบบอเมริกันแชร์ เดินออกจากร้านแล้วมุ่งตรงไปที่ร้านเกมทันทีเพราะยังไม่ได้ซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ภาคใหม่ที่เพิ่งวางขายไป ส่วนไอ้จุ้นไม่ค่อยเล่นเกมกับเครื่องเล่นสักเท่าไหร่ รายนั้นถนัดพวกเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า
ถึงร้านผมก็มุ่งตรงไปยังโซนที่ติดป้ายว่า New Arrival ทันที และเกมที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หยิบมาถือไว้หนึ่งแผ่นแล้วความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาว่าใครบางคนก็อยากได้มันไว้ในครอบครองเช่นกัน
“แฮงค์จะซื้อแผ่นเกมไปหรือยังวะ”
ผมยืนพึมพำกับตัวเองแล้วมองแผ่นเกมในมือนิ่ง ไม่นานนักก็ได้รับสัมผัสจากฝ่ามือใครบางคนวางทาบลงบนลาดไหล่แล้วยืนหน้าเข้ามาเป่าลมหายใจรดเกมกันจนต้องผละตัวออกก่อนจะหันไปผลักหัว เล่นบ้าอะไรของมันเนี่ย แล้วโผล่มายืนซ้อนด้านหลังจั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ยืนบ่นอะไรของมึงอยู่คนเดียววะ”
ถามด้วยนำเสียงสงสัยก่อนจะผละมือออกแล้วใช้สายตามองเกมในมือของผม
“เปล่า กูขอไปโทรศัพท์แป๊ปนึง ถือไว้หน่อย”
ผมยัดแผ่นเกมใส่มือเพื่อนสนิทแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาไล่หาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้เมื่อต้นอาทิตย์ ถือเป็นการรู้จักกันอย่างรวดเร็ว และมีการติดต่อกันบ่อยมากที่สุดแล้วมั้งในระยะเวลาที่ผ่านมาแค่หนึ่งอาทิตย์ ก็แปลกดี แต่ก็สนุกดีนะการได้พูดคุยกับเด็กรุ่นน้องน่ะ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของเด็กสมัยนี้ด้วย
“โทรหาใครวะ”
ยังคงถามต่อไป เพื่อนผมนี่มันขี้สงสัยจริงๆ สิน่า
“ไม่เสือกครับเพื่อน”
“ใจร้าย!”
มันตัดพ้อกันก่อนจะเบะปาก คิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ง... เฮ้อ ผมได้แต่มองแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนจะทิ้งระยะมาจากไอ้จุ้นแล้วกดต่อสายคนที่อยากโทรหาในตอนนี้
เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่จนเกือบจะตัดไปอยู่แล้ว แต่มันก็จบลงพร้อมกับเสียงที่กรอกมาด้วยความรีบร้อน สงสัยคงกำลังยุ่งแล้ววิ่งมารับโทรศัพท์แน่ๆ นี่ผมเลือกช่วงเวลาผิดสินะ
‘สวัสดีครับพี่ข้าว ขอโทษทีผมช่วยพี่เฟรนด์จัดโต๊ะอาหารอยู่ครับ’
ฟังน้ำเสียงปลายสายแล้วได้แต่อมยิ้มเพราะมันเต็มไปด้วยเสียงหอบ คงรีบวิ่งมารับจริงๆ นั่นล่ะ จะสงสารหรือว่าขำก่อนดีวะเนี่ย ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มื้อเที่ยงของบ้านนั้นตอนบ่ายโมงเชียวเหรอ ช้ามาเลยนะนั่น
“ไม่เป็นไรๆ กินข้าวสายนะเรา”
ผมแซวกลับไปเลยได้รับเสียงหัวเราะแห้งๆ กลับมา ก่อนคำอธิบายจะพร่างพรูต่อ
‘วันนี้พี่เฟรนด์คิดเมนูนานไปหน่อยครับ แล้วนี่พี่ข้าวมีอะไรครับหรือว่าคิดถึงผมกันน้า’
น้ำเสียงปลายประโยคทำให้ผมสำลักอากาศอย่างห้ามไม่ได้จนต้องผละโทรศัพท์ออกไปไกลๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะหูแตกเพราะเสียงไอซะก่อน มันน่าลอดออกไปโผล่อีกฝั่งแล้วตบกบาลให้แยกนัก พูดอะไรออกมาวะนั่น จะหลงตัวเองไปไหนคนเรา
“ใครเขาคิดถึงเรา อย่ามโนน่า”
ผมดุไม่เต็มเสียงเพราะไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยสักนิด แค่หมั่นไส้เล็กน้อยเท่านั้นเอง แฮงค์หัวเราะเบาๆ กลับมาให้กัน หน้าตาตอนนี้คงยิ้มจนปากฉีกไปแล้วมั้งที่ได้แกล้งคนอื่นเนี่ย
‘โธ่ ก็เผื่อฟลุ๊คไงครับ’
“จะถามว่าซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ที่อยากได้หรือยัง พอดีพี่อยู่ร้านเกม”
บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกไปเพราะไอ้จุ้นเริ่มทำคอยืดคอยาวมองกันแล้ว ขืนโทรศัพท์นานไม่วายเจ้าตัวเสือกจะเดินมาหากัน
‘ยังเลยพี่ข้าว ผมเอาเงินไปซื้อ Play Station 4 หมดแล้ว แผ่นคงรอปลายอาทิตย์ครับ’
น้ำเสียงตอนแรกก็ยินดีอยู่หรอกที่ตัวเองสามารถซื้อเครื่องเล่นเกมได้ แต่ท้ายประโยคฟังยังไงก็แปลความหมายได้ว่ากำลังนอยด์ มีเครื่องแต่ไม่มีแผ่นมันก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ
“งั้นพี่ซื้อให้แฮงค์ก่อนดีไหม ปลายอาทิตย์ค่อยจ่ายเงินพี่ก็ได้”
ผมยื่นข้อเสนอให้เขา เพราะยังไงๆ ก็มาแล้ว จะซื้อไปให้เลยก็คงไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีกจะได้เริ่มเล่นไปพร้อมกัน ถ้าใครติดตรงไหนด่านไหนก็สามารถแชร์ข้อมูลกันได้ ทำแบบนี้การเล่นเกมมันจะสนุกขึ้นมาเป็นเท่าตัวผมคิดว่านะ
ปลายสายร้องเสียงหลงด้วยความตื่นเต้นแทบไม่เป็นภาษา จนผมหลุดหัวเราะออกมากับความโอเว่อร์ของแฮงค์ ใครว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมนี่ผมขอเถียงขาดใจเลยว่ะ พวกนั้นเองมากกว่าที่ตีหน้ายักษ์ใส่น้อง
‘เฮ้ย ได้เหรอพี่ข้าว ทำไมน่ารักแบบนี้วะ ขอบคุณนะครับ!!!’
ชมกันว่าน่ารักอีกแล้ว... ไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างหรือไงวะ แต่ผมก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไปเพราะไม่อยากขัดคนกำลังดีใจหรอก ยอมรับว่าตัวเอง ‘น่ารัก’ สักครั้งหนึ่งคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งถึงจะขนลุกอยู่นิดหน่อย
“เออๆ พรุ่งนี้พี่เอาไปให้ที่มหา’ลัยก็แล้วกันนะ”
‘น่ารักที่สุดเลยครับ เดี๋ยวผมหอมแก้มเป็นรางวัลนะ’
น้ำเสียงทะเล้นตอบกลับมาทำให้ผมคิ้วกระตุก อะไรคือการบอกว่าจะหอมแก้มเป็นรางวัลวะ! พูดอะไรออกมานี่คิดบ้างหรือยังว่าทำให้คนอื่นใจกระตุก ขนลุกขนชันไปหมดแล้วเว้ย ก็ว่าจะไม่ดุน้องแล้วนะแต่มันอดไม่ได้ ขอหน่อยแล้วกัน
“ไอ้แฮงค์ ไม่เล่น”
ผมกดเสียงต่ำเพื่อขู่กัน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก อยากรู้ว่าน้องมันจะกลัวกันบ้างหรือเปล่าแค่นั้น
‘ถ้าบอกว่าไม่ได้เล่นแต่จะหอมจริงๆ พี่ข้าวจะยอมเหรอ’
ยัง... ยังมีหน้าจะถามอีก ใช้น้ำเสียงออดอ้อนด้วยนะ มันไม่น่ารักอย่างสาวๆ หรอก แต่มันน่ากระทืบสักครั้งสองครั้งต่างหาก
“จะเอาไหมแผ่นเกม ถ้าไม่เอาก็รอซื้อเองปลายอาทิตย์แล้วกัน”
เอาสิวะ ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใหญ่และใครต้องยอมใคร หึ
‘เอาๆ พี่ข้าวอย่าโกรธผมนะ ขอโทษครับ ~’
เสียงหงอยเลยทีเดียว บอกแล้วว่าผมถือไพ่เหนือกว่า มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ พูดอะไรกันอีกเล็กน้อยก็ขอวางสายแล้วจัดการเรื่องซื้อแผ่นเกมให้เรียบร้อย พอเดินกลับไปหาไอ้จุ้น มันก็เหล่มองจับพิรุธกันซะอย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงของมาจากมือเพื่อนสนิทแล้วหยิบเพิ่มอีกแผ่นไปจ่ายเงินทันที
ออกมาจากร้านเกมเพื่อจะตรงกลับบ้านเลยเพราะอยากเล่นเกม แต่ดูเหมือนไอ้จุ้นมีเรื่องค้างคาใจอยากถามกัน เพราะเห็นมันอ้าปากหุบปากอยู่นานแล้ว ผมเลยตัดสินใจหยุดเดินแล้วจ้องหน้ามันพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดมา
“จะถามอะไรก็ถามมา เห็นมึงอ้าปากหุบปากเป็นปลาทองหลายรอบแล้วน่ารำคาญว่ะ”
ว่าด้วยเสียงไม่จริงจังนักแล้วยืนกอดอกมองหน้าเพื่อนสนิท ไอ้จุ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นคำถามออกมา
“ทำไมซื้อแผ่นเกมไปสองแผ่นวะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อได้ฟังคำถามจบ ทำอย่างกับจะถามเรื่องคอขาดบาดตายกันซะอย่างนั้น เฮ้อ ไอ้เราก็อุตส่าห์ลุ้นจนตัวโก่ง เสียเวลาจริงๆ เลยเว้ย
“อยากซื้อ มีปัญหาไรปะ ถ้าไม่มีจะรีบกลับไปเล่นเกมแล้ว”
ผมถามก่อนจะเลิกคิ้วใส่มัน ไอ้จุ้นยิ้มแหยแล้วออกแรงดันหลังให้เดินต่อ ก็เป็นซะอย่างเนี่ย กลัวเมียไม่พอยังมากลัวเพื่อนอีก ชีวิตเจริญแน่ๆ แต่ก็เป็นข้อดีของมันนะที่ไม่ชอบมีปากเสียงกับคนอื่น คิดไปคิดว่าก็แอบงงตัวเองที่ไม่ยอมบอกความจริงกับมันไป คงกลัวจะโดนแซวอีกมั้ง ช่างมันเถอะ ขี้เกียจคิดให้รกสมอง
กลับบ้านมาในเวลาเกือบห้าโมงเย็นเพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็แทบแย่ แล้วที่น่าตกใจคือพี่ต้นยังกลับไม่ถึงบ้าน ทั้งๆ ที่ออกไปตั้งแต่เช้า คือแบบว่า... จะติดลมติดใจอะไรกับน้องกันย์ขนาดนั้นวะ ดูท่าทางแล้วพี่ชายผมคงจะทิ้งเขี้ยวเล็บเพราะเด็กผู้ชายคนนี้แน่ๆ คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ พี่มีความสุขน้องชายอย่างผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย
ผมพาตัวเองมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วหยิบแผ่นเกมออกมาแล้วจัดการถ่ายรูปส่งให้กับแฮงค์ในไลน์ อีกฝ่ายแทบจะตอบกลับมาในทันทีจนผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ไอ้เด็กคนนี้ติดโซเชี่ยลขนาดนั้นเลยหรือยังไงวะ
แฮงค์
- ขอบคุณมากเลยครับ ~ 17:43
- *สติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์กอดโคนี่มีหัวใจอยู่ตรงกลาง*มุมแบ๊วๆ ของเดือนมหา’ลัยสินะ ไอ้การส่งสติ๊กเกอร์แบบนั้นกลับมาเนี่ย
-----------------------------------------------------------
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ~ 555555555555
พี่ข้าวมันยึดหลักไม่บอกตรงๆ จะไม่เข้าใจเว้ย ยึดหลักความชัดเจนนะเออ
ส่วนพี่ต้นนี่คงโดนกันย์ทำของใส่แล้วล่ะ...