ตอนที่ 10 Matt part
ก๊อกๆๆๆ ก๊อกๆๆๆๆ
ใครมาเคาะประตูแต่เช้า หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
"ฉิบหาย!" 10 โมงครึ่งแล้ว เมื่อคืนก็นอนทั้งชุดเดิม หน้าก็ไม่ได้ล้าง น้ำก็ไม่ได้อาบ
ส่องตาแมวแล้วคงเป็นใครไปไม่ได้ สภาพตอนนี้ผมคิดว่าไม่ควรเปิด
แกร๊ก!
แง้มประตูเข้ามาหาตัวประมาณ 1นิ้ว แล้วโผล่ออกไปแค่ตา
"พี่ผมขอโทษ เพิ่งตื่น แต่ให้เข้ามาตอนนี้ไม่ได้จริงๆ"
"ทำไมละ จะนอนต่อเหรอ หรือว่ายังไม่หายปวดท้อง" พี่มันพยายามจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ประตู
"เฮ้ย! อย่า หายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่สภาพแย่ อาย ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ" พอผมพูดจบ พี่เชนก็หลุดหัวเราะทันที
"ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือ ขอเข้าไปรอข้างในได้ไหม"
"ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่สะดวกหรอกพี่ นะนะ ขอเวลา 20 นาที"
"แค่นั่งรอที่โซฟาก็ไม่ได้เหรอ พี่ปิดตาเข้าไปก็ได้นะ" ดื้อด้านจังวะ บอกว่าไม่ได้ไม่เข้าใจรึไง ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบ
"ครับๆ งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะ ไม่ต้องรีบหรอก" พูดจบพี่แกก็หันหลังเดินออกไป ทำหน้าหงอยซะรู้สึกผิดเลย ถ้าขึ้นไปรอบนห้องตัวเองคงไม่เท่าไหร่ นี่ลงไปรอข้างล่าง กดดันชะมัด
"พี่เชน!" ผมตะโกนเรียก
"ครับ" พี่แกหันมาพร้อมหน้าหงอยๆ
"เข้ามาก็ได้ แต่เว้นระยะห่าง 1 เมตรนะ ปิดตาเข้ามาด้วย"
"ทำไมต้อง 1 เมตร กลัวพี่ทำอะไรเรารึไง" ตลก! ใครจะไปกลัวเรื่องนั้น ถามมาได้ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน ขืนทำอะไรผมก็สู้สิ ยืนเฉยทำไม
"ก็ผมยังไม่ได้แปรงฟัน มันควรไหมละพี่คิดว่า" ใกล้กว่านี้ก็พังกันพอดี กลิ่นปากตอนเช้ามีกันทุกคนนะครับ สโลแกนนี้ผมจำได้ขึ้นใจ
"พี่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยขนาดนั้นหรอก"
"แต่ผมใส่ใจครับ" คือผมเข้าใจนะ ผู้ชายด้วยกัน เรื่องแค่นี้มันไม่น่าอายสักนิด แต่ผมกลับรู้สึกอย่างนั้น และคิดว่าไม่ควร
"โอเคครับ พี่จะปิดตาเข้าไปรอเงียบๆ"
"ปิดประตูให้ด้วยนะพี่" พูดจบผมก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเราสนิทกันขั้นไหนถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวในเวลาที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ได้
.......................................................................
ผมใช้เวลาอาบน้ำแค่ 10 นาทีก็เรียบร้อย แต่ตอนแต่งตัวนี่สิ พื้นห้องน้ำก็เปียก ลำบากชะมัด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาอายเวลาแต่งตัวต่อหน้าผู้ชายด้วยกันมาก่อนเลย ไปเข้าค่ายก็ตั้งหลายครั้ง อาบน้ำรวมกันกับเพื่อนผู้ชายตลอด แต่พอต่อหน้าคนคนนี้กลับกังวลซะอย่างนั้น
"เสร็จแล้วพี่ ลืมตาได้"
"เร็วจัง" ก็เพราะมีคนรออยู่ไงละ ถึงต้องรีบ
"พี่หลับตาอยู่ตลอดเลยเหรอ" ถามขึ้นขณะกำลังพยายามเซ็ทผม
"ใช่สิ ก็แมทบอกให้ทำอย่างนั้น" นี่ก็ซื่อจัง
"วันนี้ไม่ทันไปกินข้าวเช้าพร้อมป๊ากับม๊าเลย" หยิบกระเป๋าเป้มายืนอยู่ตรงหน้าอีกคน
"วันนี้ป๊ากับม๊าออกไปทำธุระข้างนอกแต่เช้า พี่ก็เลยไม่ได้โทรมาปลุกไง" ยื่นมือข้างนึงมาตรงหน้าผม
"อะไร" ผมถามพร้อมมองไปที่มือข้างนั้น
"ดึงหน่อย" ผมคว้ามือพี่แกก่อนจะออกแรงกระชากจนอีกคนลุกขึ้น
"เด็กหว่ะ"
"ก็พยายามทำตัวเด็กจะได้เข้าใจความคิดของเด็ก" พูดจบก็ยิ้มมุมปาก
"ไปกันเถอะพี่ ผมโคตรจะหิว" พูดอะไรงงๆ เข้าใจยาก ผมเลยรีบหมุนตัวเดินนำไปที่ประตูห้อง
"มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม" อีกคนถามขณะเดินออกจากลิฟต์
"ตามแพลนมันต้องกินโจ๊ก”
“กินอะไรเบาๆอย่างโจ๊กก็ดีนะ เมื่อวานก็เพิ่งปวดท้องมา”
“แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พี่มีอย่างอื่นแนะนำรึเปล่า"
"งั้นเดี๋ยวพาไป" ว่าอย่างนั้นก็เดินนำออกจากตึก เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร
"อีกไกลไหม" คือหิวแล้ว ผ่านร้านอาหารมาก็ตั้งหลายร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
"ถึงแล้ว" พี่แกหยุดอยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนดูดีร้านหนึ่ง แต่ป้ายมันยังปิดอยู่เลยนี่หว่า หรือว่าไม่ใช่ร้านนี้
"ร้านปิด" ผมหันไปบอกคนข้างๆที่กำลังล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า
"เดี๋ยวจะเปิดให้เป็นกรณีพิเศษ" พูดจบก็เอากุญแจมาไขประตูแล้วผลักเข้าไปในร้าน
“ไขออกด้วยแฮะ" ผมพูดพร้อมทำหน้าสงสัยก่อนจะได้คำตอบ
"ก็นี่มันกุญแจของที่ร้าน จะไขไม่ออกได้ไง" อธิบายคงหวังจะให้หายสงสัย ก่อนจะหันไปล็อคประตูอีกครั้ง แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี
"ร้านพี่เหรอ นึกว่าทำงานประจำซะอีก เห็นวันก่อนที่พาไปออฟฟิศ" สักพักก็คิดได้ว่าจะสงสัยไปทำไม พี่แกเปิดเข้ามาในร้านได้ก็แสดงว่าต้องเป็นร้านพี่แกดิวะ มีร้านต้องดูแล แล้วทำไมว่างไปเที่ยวกับผมได้ ก็ยังมีเรื่องให้สงสัยไปเรื่อย วิสัยมนุษย์โลกนะครับผมว่า
ผมถอดเสื้อกันหนาวมีฮู้ดตัวนอกออกเหลือไว้เพียงเสื้อยืดแขนสั้นด้านใน ก่อนมองไปรอบๆ ร้านนี้ตกแต่งได้ดูดีและโดดเด่นกว่าทุกร้านในละแวกนี้ แต่ละโต๊ะก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ถูกใจผมเลยละ พี่เชนพาผมมานั่งที่เคานเตอร์ซึ่งสามารถมองทะลุครัวของร้านได้
”นั่งรอตรงนี้นะ อยากกินอะไร พี่จะทำให้" ทำมาเป็นถาม ทีตอนผมถามก็ไม่ตอบ
"พี่ทำอะไรอร่อยผมก็กินอันนั้นแหละ" เมนูก็ไม่เอามาให้ดู เลยต้องตอบไปอย่างนั้น ถ้าพี่แกถนัดทำอาหารจานไหน จานนั้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะไม่อร่อยอยู่ในระดับต่ำแน่นอน
"แมทมีอะไรที่แพ้หรือกินไม่ได้บ้างไหม " ถามขึ้นขณะกำลังผูกผ้ากันเปื้อน
"ที่ถามเพราะแค่ไม่อยากพลาดหรือว่าใส่ใจ" ผมถามอะไรออกไปวะ
"อยากรู้ พี่จะได้จำไว้ว่าเราทานไม่ได้ ถามว่าใส่ใจไหมก็น่าจะใช่ แล้วก็อยากรู้ว่าชอบอะไรด้วย เพราะจะได้เอาใจถูก" มันใช่เหรอ จะเอาใจผมทำไม
สักพักก็ออกมาพร้อมกับตะกร้าเล็กๆที่มีหอยอยู่ในนั้น พี่เชนวางตะกร้าหอยลงข้างเตาพร้อมหยิบกระทะก้นแบนขึ้นมาวางบนเตาตามด้วยขวดเครื่องปรุงสองสามอย่างวางข้างๆกัน จากนั้นก็หมุนตัวมายืนใกล้กับที่ผมนั่งอยู่
"ตกลงเราชอบอะไร" ถามขณะที่กำลังถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วใช้มือค้ำแขนทั้งสองลงบนเคานเตอร์ฝั่งตรงข้ามผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
"ผมชอบพวกอาหารเส้น แล้วก็ไม่มีอะไรที่แพ้ด้วย กินได้ทุกอย่าง" ผมบอก
"งั้นก็พอดีเลย ลองเมนูนี้ละกัน พี่ถนัด" ผมมองคนตรงหน้าที่ขยับมาใกล้กว่าเดิม
"มันใกล้ไป" พอได้ยินอย่างนั้นก็กลับยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกอะไร วันนี้พี่เชนทำตัวแปลกจากสองวันก่อนอย่างสิ้นเชิง หรือพี่แกจะเป็นคนหลายมิติ แบบอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนทุกๆ 2 วัน
"อ้าว แมท มาได้ไง" เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตที่ทำให้ผมต้องรีบหันไปมอง ส่วนอีกคนก็กลับหลังหันไปที่เตาเรียบร้อย
"พี่เชลด้า สวัสดีครับ เอ่อ พี่เชนพามาทานข้าวครับ" พี่เชลด้าเอียงหน้าขมวดคิ้ว คงจะสงสัยน้องชายตัวเอง ไม่แปลกหรอกครับ เพราะวันแรกก็ดูจะเขม่นผมขนาดนั้นแต่วันนี้กลับมาด้วยกัน เป็นผมก็คงงงไม่ต่างกัน
"อ่อจ้ะ แล้วไปเจอกันที่ไหนละ พี่เห็นเชนออกมาตั้งนานแล้วนี่" พี่สาวหันไปถามน้องชายที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา
"ผมลงไปรับแมทที่ห้องเองแหละ พอดีเมื่อวานแมทไม่ค่อยสบาย วันนี้เลยพามาทานอาหารที่ร้านซะเลย” พี่เชนตอบทั้งที่ยังหันหลังให้พี่เชลด้ากับผม
"เชนรู้ได้ไงว่าเมื่อวานแมทไม่สบาย" จะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่ออยู่ด้วยกันทั้งวัน
"ผมอาสาเป็นไกด์ให้แมทเลยอยู่ด้วยกัน" เดี๋ยวนะๆ ไม่ใช่ผมหรอกเหรอที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ
"ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เคยพูดใช่ไหม" ถามขึ้นขณะหรี่ตามองน้องชายตัวเอง
"ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ" พอพี่เชนพูดจบผมหันไปมองก็เห็นคิ้วของพี่เชลด้าขมวดเป็นปมชัดเจน
"เลิกทำหน้างงได้แล้วพี่ ไว้ทำจานนี้เสร็จ ผมจะตอบทุกข้อที่พี่สงสัย" พี่เชนหันมาบอกพี่สาวตัวเองอีกประโยคก่อนจะไปจัดการเมนูตรงหน้าต่อ พี่เชลด้าพยักหน้ารับซึ่งก็คงจะแปลว่ารับรู้ แต่ผมนี่สิยังสงสัยอยู่ เรื่องที่พาเข้ามาในร้านได้ยังไงก็ยังไม่เคลียร์ ถึงจะเจอพี่เชลด้าให้พอหายสงสัยก็เถอะ นี่ยังมีมาเรื่องเพิ่มความสงสัยมาให้อีก
"แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่" พี่เชลด้าชะโงกหน้าแล้วพยายามสูดกลิ่น
"วองโกเล่ครับ" คนหน้าเตาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม
"วองโกเล่แต่เช้าเลยเหรอ" ถามขึ้นพร้อมย่นคิ้วเล็กน้อย
“สายแล้วนะครับ”
"อ้าวเหรอ งั้นเผื่อพี่ด้วยนะ ไปนั่งตรงโน้นกันแมท อยู่ตรงนี้เสื้อเหม็นกลิ่นควันกันพอดี" อ้าว ถามซะนึกว่าจะไม่กิน
"แปลกนะวันนี้เข้าร้านไว ปกติไม่เย็นก็ไม่ได้เห็นหน้าหรอก แล้วยังไปยืนอยู่หน้าเตาอีกยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่" พี่เชลด้าบอกก่อนจะผายมือให้นั่ง
"นี่ร้านของพี่เชลด้าเหรอครับ"
"ใช่จ้ะ ร้านของพี่กับเชนเอง คนที่ยืนอยู่หน้าเตานั่นละหุ้นส่วนใหญ่" อ่อ ถึงว่ามีกุญแจร้านได้
"พี่สองคนเข้าร้านทุกวันเลยเหรอครับ" คนนี้หล่ะที่จะตอบทุกข้อสงสัยของผมได้
"ก็ทุกวันนะ ถ้าไม่มีธุระข้างนอก ส่วนเชนก็เข้าเฉพาะตอนเย็น นี่ก็ไม่เข้ามาสองสามวันละ โผล่มาก็วันนี้แหละ" เห็นไหมครับถามหนึ่งได้ถึงสอง
"ดูท่าทางพี่เค้าทำอาหารเก่งนะครับ" ตำแหน่งของโต๊ะสามารถมองเห็นคนหน้าเตาได้พอดี ดูคล่องแคล่วกว่าที่คิด
"เก่งแล้วก็อร่อยด้วย นานๆเค้าจะทำสักที"
"งั้นวันนี้ก็แสดงว่าแมทโชคดีสิครับ"
"พี่ก็เลยพลอยโชคดีไปด้วย" แล้วก็หัวเราะถูกใจ สงสัยอาหารฝีมือเชฟคนนี้จะหาโอกาสทานยากจริงๆ
"อัลเลวองโกเล่มาแล้วครับ" พอจานวางลงตรงหน้า ผมก็เก็บอาการตื่นเต้นไม่มิด มันน่าทานสมราคาคุย หอยกาบตัวโตๆ
"เชน เชือกที่ผูกไว้ที่ข้อมือหลุดไปแล้วเหรอ" พี่เชลด้าจับแขนน้องชายตัวเองก่อนจะถามขึ้นหลังจากพี่เชนวางจาน
"ครับ ผมยังแปลกใจ อยู่ๆก็หลุด" พูดพลางจับข้อมือตัวเอง
"ก็คงเพราะเชนสมหวังในคำอธิษฐานแล้วไง" ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนพี่เชนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างผม ผมละสงสัยจริงๆว่าคนตรงหน้าขออะไรไปตอนผูกเชือก แต่ผมไม่ควรถามในเมื่ออีกคนไม่อยากบอก
"เป็นไงแมท ชอบไหม" พี่เชลด้าถามผม
"อร่อยมากเลยครับ แมทชอบทานสปาเก็ตตี้" ผมชอบอาหารที่เป็นเส้นทุกชนิด คำแรกที่ได้ลองจานนี้มันรู้สึกได้ถึงนุ่มลิ้น เส้นก็พอดี หอยก็สดๆ ผมให้สิบดาวเลยครับ
"นี่เป็นสเปเชี่ยลเมนูของร้านเราเลยนะ ใครได้ลองก็ติดใจ ถ้าลูกค้ารู้ว่าเชนอยู่ เมนูนี้ถูกสั่งแทบทุกโต๊ะ" ผมพยักหน้ารับขณะที่พี่เชลด้าบรรยายความขึ้นชื่อของอาหารตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะตักเส้นเข้าปากตัวเองบ้าง
“นี่ไม่ได้ใส่ไวน์ขาวหรอกเหรอ” อาหารจานนี้มันต้องใส่เหล้าด้วยเหรอ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่ามันอร่อยมากแล้วนะ ถ้าครบสูตรมันจะอร่อยขนาดไหน
“เมื่อวานแมทปวดท้อง ผมเลยไม่อยากให้ทานอะไรที่มันเสี่ยง” โธ่! พี่คร้าบ อยากจะบอกว่า ใส่มาเถ้อะ กระเพาะผมแข็งแรงกว่าที่พี่คิดเยอะ เมื่อวานมันปวดเพราะกินเกินพอดี เสียดาย! อดกินครบสูตรเลย
“เมื่อกี้ก็ว่าจะถาม แมทดีขึ้นรึยัง ได้ทานยาแล้วใช่ไหม” พี่เชลด้าวางช้อนแล้วทำหน้าตาตื่นถามผมทันทีที่ได้ยินพี่เชนว่าอย่างนั้น
“ครับ ดีขึ้นมากเลย เมื่อวานพี่เชนไปซื้อยามาให้” พอผมพูดจบพี่เชลด้าก็หรี่ตามองน้องชายตัวเองด้วยอาการสงสัย
"เชนเนี่ยนะ” ผมพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
“อืม...แล้วนี่เชนจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยัง" เล่าเลย ผมก็รอฟังอยู่
"อย่างที่พี่เคยพูดไว้ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ต่างกันเพียงแค่ไม่ใช่ความสงสารหรือรู้สึกแค่อยากช่วยเหลือ อะไรบางอย่างในตัวเขาคงดึงดูดผมมากกว่า" เขาคือใคร
"อะไรบางอย่างที่ว่า คงดึงดูดเชนมากเลยนะ เพราะพี่ว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอสมควรเลย" พี่เชลด้าพูดขึ้นขณะกำลังใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ และมองมาที่ผมอย่างยิ้มๆ
"ก็ยาก แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจ" คนข้างๆหันมามองผมก่อนจะหันไปยิ้มกับพี่เชลด้า
"พี่ไม่ถามถึงรายละเอียดก็แล้วกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ถ้าเชนเชื่อว่าดี พี่ก็จะคอยเอาใจช่วยนะ" คราวนี้เป็นพี่เชลด้าที่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม แต่ผมนี่สิกำลังงงว่าทั้งคู่กำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะถามออกไป เพราะมันคงดูไม่มีมารยาท
"ขอบคุณครับพี่" พูดจบก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง
.......................................................................
หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็อาสาช่วยเก็บจาน เพราะเกรงว่ามันจะเป็นการไม่มีมารยาทหากจะนั่งเฉยๆ อะไรที่พอจะหยิบจับได้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ
“ไปกันเถอะ สายแล้ว" ผมเดินตามอีกคนออกมานอกร้าน
"เที่ยวให้สนุกนะ" พี่เชลด้าเดินออกมาบอกลาพร้อมโบกมือให้ที่หน้าร้าน
"ผมถามได้ไหมว่าพี่เชลด้ากับพี่คุยถึงเรื่องอะไรกัน" รีบถามทันทีที่เดินออกมาได้สักระยะ เพราะจากการที่ทั้งคู่หันมามองผมระหว่างที่พูด มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องในบทสนทนานั้น
"เดี๋ยวเราต้องเติมเงินบัตรก่อนขึ้นรถไฟฟ้านะ พี่ว่ามันไม่น่าจะพอ" ผมไม่ชอบเลย พี่เชนมักเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากตอบด้วยการเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่น
"พี่ตอบที่ผมถามก่อนสิ" ผมหันหน้าไปมองคนที่เดินอยู่ข้างตัว แต่แทนที่จะตอบกลับดันไหล่ผมให้ข้ามถนน
"วันนี้พี่จะพาไปเดอะพีคนะ จะได้นั่งรถแทรมด้วย ดีไหม" ในเมื่อไม่ตอบก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเซ้าซี้ ผมเลือกที่จะเดินให้ช้ากว่าหนึ่งก้าว เพื่อจะมองดูอีกฝ่ายจากด้านหลัง พี่เชนหันหลังมามองผมพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเอาคำตอบจากประโยคที่เพิ่งพูดไป ผมรู้ว่าผมควรตอบ ผมไม่ใช่คนที่ชอบประชดประชัน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะทำแบบนี้กับพี่เชน อยากจะประชดโดยการไม่ตอบคำถามบ้าง
.......................................................................
คนบนรถไฟฟ้ายังคงแน่นเหมือนวันที่ผ่านมา ผมว่าขนส่งสาธารณะที่นี่ถูกใช้สอยอย่างคุ้มค่านะ ประชาการส่วนใหญ่มักเลือกวิธีเหล่านี้มากกว่าสร้างรถส่วนบุคคลแล้วเป็นภาระบนท้องถนนแบบบ้านเรา จะเห็นรถส่วนตัวอยู่ตามนอกเมืองซะส่วนใหญ่ อาจจะด้วยระบบคมนาคมที่นี่สะดวกมากก็ได้ ทำให้ใครๆที่นี่ก็เลือกใช้บริการ หรือไม่ก็เพราะสถานที่อยู่อาศัยไม่เอื้ออำนวยให้มีรถส่วนตัวก็เป็นได้ ถ้ามีสักคันคงต้องจ่ายค่าที่จอดแพงพอๆกับค่าผ่อนเลยละมั้งครับ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า "เดอะพีค" เราทั้งคู่ขึ้นมาโดยใช้บริการรถแทรมซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขา อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นกว่าข้างล่างพอสมควร ระหว่างทางถ้ามองออกไปจากหน้าต่างรถก็จะเห็นวิวทิวทัศน์และตึกระฟ้าในมุมที่แตกต่างออกไป พี่เชนเล่าว่า "เดอะพีค" คือจุดสูงสุดของเกาะฮ่องกง แต่ก่อนจะเป็นย่านหรูหราที่สุดของเมืองมีแต่เศรษฐีคนมีฐานะอาศัยอยู่ที่นี่
"แมทอยากขึ้นไปจุดชมวิวข้างบนก่อนหรือไปเดินเล่นแถวๆนี้ก่อนดี" คนด้านหน้าหันมาถามผมขณะกำลังเดินออกจากรถแทรม
"เดินเล่นก่อนดีกว่า ขึ้นไปตอนนี้ท่าทางคนจะเยอะ" เพราะดูจากนักท่องเที่ยวที่ออกจากรถแทรมต่างก็มุ่งหน้ากันขึ้นไปที่จุดชมวิวด้วยกันทั้งนั้น
เราเดินเล่นตามทางบนเนินเขาไปเรื่อยๆ อากาศบนนี้เย็นกว่าที่ผมคิดไว้ค่อนข้างเยอะ แค่หายใจก็พ่นไอออกมาแล้ว บนนี้เหมือนเป็นอีกหนึ่งเมืองเล็กๆเลยนะผมว่า มีห้างสรรพสินค้าเล็กๆคอยอำนวยความสะดวก บ้านบนนี้มีไม่ได้เยอะมาก แต่หลังหนึ่งก็ใหญ่ๆทั้งนั้น คงเป็นบ้านเศรษฐีอย่างที่พี่เชนบอกจริงๆ เพราะถ้าพ้นจากบริเวณร้านค้าและจุดชมวิว แถวนี้ก็ดูสงบน่าอยู่อาศัยมาก
“เราขึ้นไปดูวิวด้านบนกันดีกว่านะพี่ว่า” ผมพยักหน้าตอบรับ
“เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาใช่ไหมพี่ คนถึงเยอะขนาดนี้” ระหว่างทางที่จะขึ้นไปจุดชมวิวที่เรียกว่า สกาย เทอเรส ทุกชั้นจะมีทั้งร้านของฝากและขนมเต็มไปหมดและที่สำคัญคือมีคนเยอะทุกชั้น
“น่าจะอย่างนั้นนะ พี่ก็ไม่ได้มาบ่อยนักหรอก แต่มันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฮ่องกง คนก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา อีกอย่างที่นี่ก็มีประวัติ เลยน่าสนใจ” คงจะเป็นอย่างนั้น
"เป็นไง วิวบนนี้สวยไหม" ถามผมหลังจากเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆจนถึงชั้นดาดฟ้าบนสุดที่เป็นจุดชมวิว
"สวย สวยมาก" ผมเกาะที่ราวกั้นแล้วมองวิวโดยรอบ เห็นรอบฮ่องกง 360 องศาเลยครับ วิวสวยมากจริงๆ
"ตึกที่แมทเห็นฝั่งนู้นทั้งหมดจะเป็นตึกที่เปิดไฟตอนโชว์คืนนี้ที่เราจะไปดูนะ" ขนาดยังไม่เปิดไฟรูปร่างของตึกยังดูสวยงามขนาดนี้ ถ้าตอนกลางคืนไฟถูกเปิดตามแนวรูปร่างของตึกจะน่ามองขนาดไหน
“ผ้าพันคอไหม อากาศบนนี้หนาวนะ” อีกฝ่ายยื่นผ้าพันคอมาให้ผมรับไว้
“แล้วพี่หล่ะ”
“แค่นี้สบายมาก แมทใช้เถอะ” ถึงแม้ในใจผมจะอยากให้พี่เชนลดความใจดีลงบ้าง แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบรับจากมือพี่เชนเอามาพันคอตัวเองทันที ก็อากาศมันหนาวนี่หน่า ผมก็กลัวจะหนาวตายมากกว่ากังวลมากไปจนอึดอัดตายนะ
.......................................................................
"เขาโชว์กันทุกวันเลยเหรอพี่" ผมถามขึ้นหลังจากที่เราหาที่นั่งเหมาะๆได้แล้ว
"ทุกวัน ถ้าหากวันไหนสภาพอากาศไม่ดีหรือมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างก็จะมีประกาศงดแสดง" อย่างเมื่อวานนั่นเอง
รอไม่นานนักโชว์ก็เริ่มแสดง เป็นโชว์ที่สวยงามและพร้อมเพรียงมากในความรู้สึกผม ทุกตึกจะต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนะถึงจะออกมาพร้อมเพรียงขนาดนี้ได้ สำหรับผม ผมว่าผมชอบนะ
"หิวไหม" อีกคนหันหน้ามาถามหลังจากโชว์จบ
"นิดหน่อย"
"ไปหาอะไรอร่อยๆแถวนี้กินกันไหม"
"เอ้อพี่ อยากกินวาฟเฟิลบอลกับน้ำมะม่วงปั่นอีก พาไปกินหน่อยสิ"
"พี่ว่าจะพาไปนั่งรถเปิดประทุนชมวิวรอบเมืองแต่ถ้าจะกินวาฟเฟิลบอลอาจจะไม่ทันนะ"
"งั้นนั่งรถชมเมืองก่อน แล้วค่อยไปกิน ผมยังไม่ได้หิวมากขนาดนั้น" ผมไม่ควรที่พลาดเพียงเพราะความหิวแค่เล็กน้อย
"โอเค ตามนั้นเลยนะ พี่จะได้ไปซื้อตั๋ว" ผมรีบพยักหน้าแล้วยกยิ้มกว้าง
.
.
.
"เนี่ยนะ รถเปิดประทุนที่พี่ว่า" พี่เชนพยักหน้าขณะที่ผมกำลังส่ายหัว นี่ผมคงคาดหวังมากไปเองใช่ไหม
.
.
.
Chen part
หลังจากดู symphony of light จบผมก็ตัดสินใจพาคนตัวเล็กกว่าไปนั่งรถชมเมืองตอนกลางคืน เป็นรถบัสเปิดหลังคาวิ่งรอบเมือง มีทั้งกลางวันกลางคืนแต่บางสายก็จะวิ่งแค่กลางคืนรอบเดียว ซื้อตั๋วเรียบร้อยก็พาอีกคนขึ้นรถ
"ขึ้นไปนั่งข้างบนนะพี่" มันชี้ที่บันไดแล้วเดินนำขึ้นไป
"ถ้าไม่หนาวก็เอาสิ" แล้วก็เดินตามมันขึ้นไป
"คนเยอะ นั่งไหนดี" เดินขึ้นมาถึงก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนรถพอสมควรแต่ก็ยังมีที่นั่งว่าง
"ท้ายสุดเลยไหม ยังว่างอยู่" อีกฝ่ายหันมาพยักหน้าแล้วก็เดินนำไป
"ตรงนี้นะพี่" ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปนั่งเกาอี้ว่างแถวเดียวกันแต่อีกฝั่งนึง
"ไปไหน มานั่งนี่" ตบเบาะข้างๆตัวแล้วกวักมือ ผมเลยลุกไปนั่งข้างๆ
"ก็นึกว่ากลัวแขนจะเบียดแขนอีก"
"แหม จำเก่งนะเราเนี่ย เป็นคนช่างฝังใจรึไงจ้ะ" มันตบไหล่ผมเบาแล้วจีบปากจีบคอพูดเชิงล้อเลียน
"รอบนึงใช้เวลานานแค่ไหนพี่"
"ไม่เคยนั่ง นี่ครั้งแรก" ผมส่ายหน้าเป็นการยืนยัน
"อ้าว แน่ใจนะว่าคนแถวนี้" ว่าจบก็คว้าเอาแผนที่ที่ได้มาตอนซื้อตั๋วไปดู
"รู้แค่ว่าตั๋วแบบที่เราซื้อถ้าลงจากรถแล้วจะขึ้นไม่ได้อีก ใช้ได้แค่รอบเดียว เพราะเราไม่ได้ซื้อแบบ Hop on Hop off ในนี้ว่าไง พี่เข้าใจถูกใช่ไหม" ผมหันไปถามคนที่กำลังกางแผนที่เส้นทางวิ่งของรถคันนี้อยู่
"ไม่รู้หว่ะ อ่านไม่เข้าใจหรอก พี่เอาไปดูเองเหอะ ผมสกิลต่ำ แหะๆ" ว่าจบก็ยื่นแผนที่คืนมาให้ เห็นดูอยู่ตั้งนาน นึกว่าเข้าใจ พอลองดูก็เป็นอย่างที่ว่านั่นละครับ
"เข้าใจถูกแล้ว"
"งั้นนั่งให้ครบรอบเลยละกันนะพี่" ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย ในใจก็คิดคงจะไม่ถึงรอบหรอก หนาวขนาดนี้ แค่รถออกยังไม่ถึงห้านาทีก็เห็นว่าปากซีดปากสั่นไปหมดแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มแฝงอยู่
"ชอบหรือเปล่า" มันพยักหน้าหงึกๆ
"หนาวเหรอ"
"นิดหน่อยพี่" หันมายิ้มบางๆให้
"เอามือมานี่สิ" พูดจบก็คว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ จากรอยยิ้มก็กลายเป็นขมวดคิ้วแล้ว
"อยู่เฉยๆ" ทำท่าจะดึงมือกลับ แต่ผมยึดไว้แล้วค่อยๆถูฝ่ามืออีกฝ่ายไปมาด้วยฝ่ามือตัวเองจนเริ่มอุ่น เรายังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนเป็นผมเองที่ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ในขณะที่อีกคนก็พยายามถอยตัวหนี
"พี่ว่ามันดีแล้วเหรอ" คิ้วที่ขมวดเป็นปมชัดขึ้น
"ถ้ามันอุ่นขึ้นก็แสดงว่าดี" ผมเลี่ยงที่จะพูดถึงอีกเรื่องที่ผมกำลังจะทำ
"ไม่ มันไม่ดีแน่ๆ" ยังคงพยายามดึงมือออกจากมือผม จนต้องปล่อยมือ
"ถ้าเราคิดว่ามันไม่ดี มันก็จะไม่ดี ถ้าเราคิดว่ามันไม่มีอะไร มันก็จะไม่มีอะไร" ก็ไม่รู้ว่าผมจะพูดอะไรให้อีกคนเข้าใจยากไปทำไม ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีอะไร
"อย่าๆ ผมงง มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง อีกนิดเดียวถ้าผมไม่ถอยหน้าหนีมันก็จะมีอะไรแน่ๆ ผมไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนนะ" ส่ายหัวไปมาก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แล้วต่างคนต่างก็ขยับตัวเข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งเดิม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพิ่งทำให้ผมเข้าใจคำว่าสถานการณ์มันพาไป
.......................................................................
Matt part
ระหว่างทางหลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีแต่ความอึดอัดเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปคนเดียวหรืออีกฝ่ายก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
"ใกล้ถึงที่พักหรือยัง" ผมเริ่มที่จะขัดความเงียบขึ้นมาก่อน
"ลงป้ายหน้าเลยก็ได้ เดินต่ออีกนิดหน่อย ไหวไหม" ผมพยักหน้ารับ ทำไมพอเปิดปากพูดกลับรู้สึกว่าอึดอัดกว่าเดิม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะผมเองที่คิดซับซ้อนไปหรือเป็นพี่เชนที่คิดเกินเลยไปแล้วจริงๆ ตอนนี้ผมคิดได้แค่ว่ามันไม่ควร
ลงจากรถมาได้ก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เราเดินข้างกันโดยเว้นระยะห่างพอสมควร ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยมันไว้อย่างนั้น ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันจนลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมต้องลง
"พี่ขึ้นไปเลยก็ได้ ส่งแค่ตรงนี้ ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ" ผมหลีกเลี่ยงบรรยากาศหดหู่ที่เกิดขึ้น ก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนเลือกที่จะเดินออกจากลิฟต์มาเพียงลำพัง
“คืนนี้พี่สาวผมจะมา ผมได้แจ้งไว้ในเมล์ล่วงหน้าแล้ว พรุ่งนี้ผมคงไม่รบกวนพี่ ขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีครับ” ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดตอบ รีบยกมือไหว้ก่อนจะหันหลังเดินจากมาทันที
ที่ผมทำทั้งหมดนี้มันเป็นมารยาทที่แย่ผมรู้ แต่ในหัวผมคิดได้แค่นั้น ผมคิดได้แค่ว่าพี่เชนต้องคิดเกินเลยกับผมแน่ๆ ไม่มีเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะคลายหนาวให้กันด้วยวิธีนั้นหรอก ผมค่อนข้างมั่นใจ ผมควรกันไว้ดีกว่าแก้และนี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หากที่ว่ามาทั้งหมดผมคิดไปเองก็ถือซะว่าเป็นการป้องกันไว้ก่อนก็แล้วกัน
.......................................................................
❤ตอนที่ 10 แล้ว ยังไม่ก้าวหน้าเลย แอบคิดในใจว่าพี่เชนช้าหรืออนาเกริ่นเยอะไป 555
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณค๊า