หลานคุณย่า แอบรัก11
ผมหลับไปจนเย็น ไอ้ผู้ชายปากหมามันก็ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ดีแล้วนี่นา จะได้ไม่มีบุญคุณต่อกันอีก ข้อเท้าผมยังมีผ้าก๊อซพันอยู่อย่างเรียบร้อย เขานั่นแหละที่เป็นคนทำให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ไอ้ผู้ชายบ้าคนนั้นหายไปไหน ก่อนที่ผมจะหลับเขายังนั่งเฝ้าผมอยู่เลย เสียงโทรศัพท์ผมดังมาจากข้างบนบ้าน ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆ ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะไม่เจ็บเท่าเดิมแล้ว อาจจะเป็นเพราะยาที่ผมทานเข้าไป
ผมรีบคว้าโทรศัพท์มารับเพราะกลัวจะตัดสายไปก่อน เป็นพี่ทิมที่โทรมา ไม่รู้มีธุระอะไรด่วนรึเปล่า ก่อนที่จะกรอกเสียวไปตามสายโทรศัพท์
“ครับพี่ทิม”
“น้องมินเป็นยังไงบ้างครับ พี่ได้ข่าวจากน้องพายว่าข้อเท้าแพลง”
“ลื่นล้มนิดหน่อยครับ ไม่เป็นไร” ผมจำเป็นต้องโกหกครับ เพราะยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของผม กลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายมากขึ้น เพราะแค่นี้ผมก็ปวดหัวจนไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง
“พี่เข้าไปหาได้ไหมครับ อยู่บ้านคนเดียวด้วยใช่ไหม เดี๋ยวซื้ออาหารเย็นไปเผื่อเลย จะได้ทานด้วย กัน” พี่ทิมใจดีเสมอเลย ที่จริงก็เกรงใจเขานะครับ แต่ถ้าพี่ทิมไม่เข้ามาผมก็คงไม่มีอะไรทาน เพราะไม่รู้ว่าพี่พายจะเข้ามาได้รึเปล่า
“ขอบคุณครับ รบกวนพี่ทิมรึเปล่า”
“ไม่เลยครับ พี่อยากเจอน้องมินอยู่แล้วด้วย”
“ครับ ขับรถระวังด้วยนะ” พี่ทิมวางสายไปแล้ว ผมเดินลงมาข้างล่างอีกรอบ เห็นเจ้าปลาทองนอนเฝ้าชามอาหารอยู่สงสัยจะหิว ผมลืมเอาอาหารให้มันกินตั้งแต่เช้า แต่มันก็ดันไม่เห่าเรียกซะอย่างนั้น เพราะทุกทีเวลาหิวมันจะเห่าไม่หยุดจนเราต้องเดินไปดูว่ามันต้องหารอะไร ผมเดินไปเทอาหารให้เจ้าปลาทอง ก่อนที่จะเดินตรงไปยังหน้าบ้านเพราะพี่ทิมบอกว่าอีกไม่เกินสิบนาทีน่าจะถึง ขาก็ไม่เป็นใจเดินช้าได้อีก นั่งรอสักพักรถพี่ทิมก็มาจอดเทียบหน้าบ้าน ก่อนที่ผมจะเปิดประตูเล็กให้เขาเข้ามา
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยครับ” ของที่ซื้อมานี่เต็มสองมือพี่ทิมเลยครับ ถ้าสามารถถือได้มากกว่านี้เขาอาจจะเหมามาทั้งตลาดเลยก็ได้
“อาหารเย็นเราไงครับ”
“จะทานหมดเหรอ มันเยอะมากเลยนะครับ” ผมหันไปมองด้วยความตกใจ นี่พี่ทิมเขาซื้อของมาเยอะมากจริงๆ ถ้าผมกินคนเดียวคงอยู่ได้ทั้งอาทิตย์
“ไม่หมดก็อุ่นทานพรุ่งนี้เช้า อยู่คนเดียวไม่ใช่รึไงครับ” มีการคิดเผื่อผมด้วย รู้สึกดีที่มีคนเป็นห่วงแบบนี้จังเลย แต่ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่นั้นนะครับ ผมรู้สึกเหมือนพี่ชายคนหนึ่งที่กำลังดูแลน้องชายอย่างผม
“แม่ไปต่างจังหวัดครับ อีกหลายวันกว่าจะกลับ” พี่ทิมเดินช้าๆ รอผมกะเผลกตามไป จะให้ช่วยพยุงคงไม่ไหวของเต็มมือซะขนาดนั้น
“น้องมินทานข้าวเลยไหมครับ”
“หิวพอดีเลยครับ แหะๆ” พี่ทิมจัดการแกะอาหารเย็นออกมาสำหรับเราสองคน ผมมีหน้าที่นั่งอย่างเดียว พี่ทิมเป็นคนคุยสนุก เล่าเรื่องสมัยที่เขาเรียนเมืองนอกให้ฟังด้วย
เราทานอาหารกันจนใกล้จะเสร็จ แต่พี่พายก็ยังไม่มาสงสัยจะติดธุระ แต่ไม่เป็นไรพี่ทิมก็ดูแลผมดีเหมือนกัน ดูแลไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
“ถึงขนาดนัดกันมาที่บ้านเลยเหรอวะ คิดถึงกันมากรึไง” เสียงแขกไม่ได้รับเชิญดังขึ้น พร้อมกับสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย คนตัวโตเดินอาดๆ เข้ามาอย่างไม่มีมารยาท
“อ้าวคุณซองใช่ไหมครับ พี่ชายน้องพายกับน้องบราว” เสียงเอ่ยทักที่แสนธรรมดาของพี่ทิม ไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นเลยสักนิด เพราะว่าอีกคนเหมือนหมาบ้าเข้าไปทุกที
“หึ กูไม่อยู่แค่ไม่กี่ชั่วโมงนัดผู้ชายมาหาถึงบ้าน” เขาไม่สนใจคำทักทายของพี่ทิมเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผมรู้สึกผิดกับพี่ทิมขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าพี่ทิมจะหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนที่จะปรับให้กลับมาเป็นปกติ ปากหมาๆ เริ่มทำงานอีกรอบ ดีได้ไม่ถึงวันก็เป็นแบบเดิมอีกแล้ว ทำไมเขาถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“ว่าใคร” ผมเริ่มจะหมดความอดทนแล้วตอนนี้ ทำไมเป็นคนชอบดูถูกคนอื่นแบบนี้ ไม่ให้เกียรติผมยังไม่พอ ยังเผื่อแผ่สายตาดูถูกไปหาพี่ทิมด้วย
“ใครรับก็คนนั้นแหละ”
“คุณพูดดีๆ หน่อยสิครับ ทำไมพูดแบบนี้” พี่ทิมคงจะทนไม่ไหวเลยเอ่ยสวนออกไป แต็ไม่ได้ทำให้อีกคนคิดจะลดความโมโหลงเลยแม้แต่น้อย
“ก็ตอนเช้ามันยังอยู่กับกู แต่ตอนเย็นนี่นัดมึงมาเจอ จะให้คิดว่ายังไง”
“ผมมาก็ไม่เห็นแปลก เพราะผมกับน้องมินเราเป็นแฟนกัน” พี่ทิมพูดอะไรของเขาเนี่ย เดี๋ยวไอ้หมาบ้ามันก็ฟัดเอาหรอก ยิ่งไม่มีใครฉีดยาให้มันอยู่ สายตาเขาแทบจะฉีกพี่ทิมเป็นชิ้นๆ แล้วตอนนี้ ก่อนที่จะหันมาจ้องผมอย่างเอาเรื่อง ผมก็ไม่คิดจะหลบสายตาเขาหรอก ตัวเองมีสิทธิ์อะไรมามองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ ผมจึงจ้องกลับอย่างไม่ลดละเหมือนกัน
“ว่าไงนะมิน มึงเป็นแฟนกับไอ้หมอนี่เหรอห๊ะ” เขาตะคอกเสียงดัง คิดว่าผมจะกลัวรึไง มันชินชาแล้วกับอีแค่เสียงดังๆ ที่ชอบขู่คนอื่นตลอดเวลา
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” ผมรับสมอ้างเป็นแฟนพี่ทิมในทันที
“ไหนมึงบอกว่ารักกูไง” มายึดติดอะไรกับคำพูดของผมแค่ประโยคเดียว ที่คนอย่างเขาก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจตั้งแต่แรก
“เรื่องนั้นมันผ่านมนานแล้วนะครับ กรุณาอย่ารื้อฟื้น มันจบไปพร้อมกับของขวัญชิ้นนั้นที่ผมให้คุณ” ของขวัญที่ผมเอาให้เขาในวันนั้น มันเป็นสุดบันทึกเล่มที่ผมเขียนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แค่ต้องการให้เขาได้รู้ความรู้สึกของผมที่เคยมีต่อเขา การมอบมันให้กับเขา เหมือนกับเป็นการคืนความรู้สึกที่ผมเคยมีให้เขาไปหมดแล้ว แต่เขาอาจจะยังไม่ได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ หรืออาจจะเอาทิ้งลงถังขยะแล้วก็ได้
“ชัดแล้วใช่ไหมครับ ถ้าชัดแล้วก็กรุณากลับไปได้แล้ว” พี่ทิมเอ่ยเสียงสุภาพแต่น้ำเสียงก็แฝงด้วยความโมโหไม่ใช่น้อยๆ เลย
“ไม่กลับ มึงนั่นแหละที่ต้องกลับ” ทำไมเขาต้องมาดื้อดึงกับเรื่องแบบนี้ ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เสียดายความรู้สึกดีๆที่อุตส่าห์ช่วยดูแลผมเมื่อเช้า ถ้ารู้อย่างนี้ผมคงไม่ยอมรับน้ำใจจากคนแบบเขาแน่นอน นึกว่าจะดีขึ้นมาสักนิด แต่เปล่าเลย คนเลวก็ยังเป็นคนเลววันยังค่ำ
“กลับไปเถอะผมขอร้อง” พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเหมือนกัน แม้วาเขาจะด่าผมยังไงแต่ก็ไม่อยากจะตอบโต้ให้มากไปกว่านี้ นึกว่าอย่างน้อยถ้าทุกอย่างมันดีขึ้นมาบ้างก็ยังจะเหลือความสัมพันธ์ที่ดีแบบพี่นองไว้บ้าง แต่นี่อะไร ไม่ทันข้ามวันกลับมาเป็นคนแบบนี้อีกแล้ว ผมคงคิดผิดไปจริงๆ กับการที่จะให้อภัยคนอย่างเขา
“มิน มึงเข้าข้างมันเหรอ แล้วกูล่ะ”
“ทำไม พี่ทิมเป็นแฟนผม ผมก็ต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว คุณเป็นใครทำไมต้องเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับพี่ทิมด้วย” เขาเดินตรงดิ่งมาหาผม เหมือนอยากจะกระชากร่างผมออกเป็นชิ้นๆ อย่างนั้นแหละ แต่พี่ทิมก็เข้ามาขวางไว้ก่อน หมัดหนักๆ ของไอ้หมาบ้ากระแทกเข้าหน้าพี่ทิมอย่างแรง จนพี่ทิมเซเหมือนจะล้ม แต่กลับมายืนนิ่งได้เหมือนเดิม เลือดสีสดไหลออกมาตรงมุมปากของพี่ทิมจนผมตกใจ
“เจ็บมาไหมครับพี่ทิม” ผมตรงเข้าไปพยุงพี่ทิมด้วยขาที่ไม่ค่อยจะสมประกอบของตัวเอง
“เป็นห่วงมันมากรึไง”
“กลับไปเลยนะ แล้วไม่ต้องเข้ามาบ้านผมอีก ถ้าคุณเข้ามาผมจะฟ้องคุณย่า” ผมรู้ว่าเขาทั้งเคารพและเกรงใจคุณย่ามากที่สุด ถ้าคุณย่ารู้เรื่องที่ทำกับผมคงไม่ปล่อยไปเฉยๆ แน่
“มึงเอาย่ามาขู่เหรอมิน”
“ไม่ได้ขู่ แต่ผมจะทำจริงๆ ลองคุณเข้ามายุ่งกับผมอีกดูสิ”
“กูไม่ยอมแค่นี้หรอก ส่วนมึงก็จำไว้เลยนะ ว่ามินมันเป็นของกูคนเดียว มึงไม่มีสิทธิ์” เขาชี้หน้าพี่ทิมอย่างกับจะฆ่าให้ตาย จนผมรู้สึผิดทำให้พี่ทิมซวยไปด้วยเลย ส่วนไอ้คนที่มันด่าเมื้อกี้ กลับเดินออกไปแล้วครับ ผมถอนหายใจออกมาดังๆ
“พี่ทิมทำแผลก่อนนะครับ” พี่ทิมพยุงผมเดินมานั่งที่โซฟาห้องรับแขก สรุปอาหารมื้อนี้ก็จบที่ความวุ่นวาย หยิบสำลีออกมาชุบกับแอลกอฮอลล์ ก่อนที่จะล้างแผลตรงมุมปากให้พี่ทิม อีกไม่นานมันคงช้ำแน่เลย
“มินขอโทษที่ทำให้พี่ทิมเดือดร้อนนะครับ” ผมรู้สึกผิดที่ต้องเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“ไม่เป็นไรครับ แต่มินบอกพี่ได้ไหมว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น” ผมนิ่งไปนาน เพราะชั่งใจว่าจะเล่าให้พี่ทิมฟังดีรึเปล่า กลัวเขาจะรับเรื่องทั้งหมดไม่ได้
“...........”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่สะดวกใจที่จะพูด ไม่ต้องบอกพี่ก็ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับพี่ทิม มันเป็นแค่เรื่องน่าอายของมินก็เท่านั้น” สำหรับผมมันน่าอายจริงๆ นะครับที่ไปแอบหลงรักคนที่เขารู้สึกไม่ดีกับตัวเองมาตลอด กลัวพี่ทิมจะมองว่าผมโง่ แม้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
ผมเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กให้กับพี่ทิมได้ฟัง แม้กระทั่งตอนที่ผมไปบอกรักกับไอ้ผู้ชายเลวคนนั้นผมก็เล่า ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ว่าทำไมผมกับอีกคนถึงกลายมาเป็นแบบนี้ ความสัมพันธ์ของผมและอีกคนเป็นยังไง
“ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับมินทำไมเขาต้องแสดงอาการหึงขนาดนั้นล่ะครับ” อันนี้ผมก็ไม่รู้และไม่เข้าใจเหมือนกัน เขาอาจจะแค่หวงก้างกลัวว่าใครจะมายุ่งกับผม
“มินไม่รู้หรอกครับ รู้แต่ว่าเขาเกลียดมิน แล้วตอนนี้มินก็เกลียดเขาไม่ต่างกัน”
“หึๆ พี่ว่าไม่นะ เขาไม่ได้เกลียดมินหรอก อาจจะรักมินไปแล้วก็ได้” พี่ทิมพูดอะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย เขามีแฟนเป็นผู้หญิง เขาชอบผู้หญิง แถมประกาศปาวๆว่าคนอย่างผมวิปริตผิดเพศ แล้วจะมารักได้ยังไง ผมไม่มีทางเชื่อหรอก
“ไม่จริงหรอกครับ”
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะครับ น้องมินลองคบกับพี่ดู แล้วเราก็ค่อยมาพิสูจน์กันว่าไอ้หมอนั่นมันรู้สึกยังไงกับมินกันแน่” ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ ผมไม่ต้องการใช้พี่ทิมเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ความรู้สึกใครสักหน่อย เขาจะรักหรือไม่รักผม มันก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว ผมมีทางเดินของผมแล้ว ผมไม่ต้องการความรักของผู้ชายคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ดีครับ” ผมส่ายหน้ากับพี่ทิมอย่างไม่เห็นด้วย
“ทำไมละครับ ก็วินๆ ทั้งสองฝ่าย” ผมไม่เข้าใจแล้ว พี่ทิมหมายถึงอะไร แล้วพี่ทิมจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ช่วยผม มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
“หมายความว่ายังไง”
“น้องมินก็จะได้รู้ความรู้สึกของคุณซอง ส่วนพี่ก็จะได้พิสูจน์หัวใจของคนที่พี่รักเหมือนกัน” ยิ่งพี่ทิมพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ งงหนักยิ่งกว่าเดิม
“........”
“พี่หมายถึงว่าตัวพี่เองก็จะได้รู้ความรู้สึกของใครคนนั้นของพี่ด้วย เพราะพี่คิดว่าเขาก็คงรักพี่เหมือนกันแต่มันติดอยู่ที่คำว่าพี่น้องที่พี่กับเขามีให้กันมาตลอด เขาเลยไม่เปิดใจที่จะรักพี่ แต่ถ้ามีน้องมินเป็นตัวแปร เขาอาจจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองก้ได้” ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ผมพยักหน้าหงึกๆ เพราะเข้าใจจุดประสงค์ของพี่ทิมแล้ว แต่ผมไม่ต้องการรู้ความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นแล้วนี่ครับ ผมตั้งใจที่จะเริ่มใหม่ตั้งแต่วันนั้น จะไม่มีทางเดินกลับไปอยู่จุดเดิมเด็ดขาด
“แต่ว่ามินไม่ต้องการพิสูจน์ผู้ชายคนนั้นแล้วนะครับ เพราะเรื่องของผมกับเขามันคาราคาซังมานานเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าช่วยพี่” ที่มาหาบ่อยๆ นี่เพื่อผลประโยชน์ใช่ไหม หึ คิดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ลองวีนดูสีกทีดีไหม
“อ้อ! ที่แท้ก็แค่ต้องการผลประโยชน์จากมิน” ผมพูดห้วนๆ ไม่ยิ้มให้พี่ทิมเหมือนอย่างเคย ก่อนที่จะมองสีหน้าคนที่ดูจะตกใจมากในตอนนี้
“ไม่ใช่นะครับ พี่เห็นมินเป็นเหมือนน้องชายพี่ ส่วนเรื่องที่พูดเมื้อกี้ มันก็แค่เข้าทางพอดีเลยอยากจะลองดู แต่ถ้าน้องมินรู้สึกไม่ดีก็ไม่ต้องหรอกครับ” ท่าทางพี่ทิมที่ดูร้อนนจนผมยังนึกขำ ผมรู้ว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากผมหรอก
“มินล้อเล่น แหะๆ”
“พี่ตกใจหมดนึกว่ามินโกรธพี่แล้ว” พี่ทิมมีสีหน้าดีขึ้นมาทันที กลับเป็นพี่ทิมจอมทะเล้นเหมือนเดิมแล้วครับ
“มินช่วยพี่ก็ได้ แต่มีข้อแม้ ว่าพี่ก็ต้องช่วยมินออกจากผู้ชายบ้าคนนั้นด้วย” มันคงจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของผมนะครับ ถ้าเขารู้ว่าผมมีแฟนแล้วๆ ก็รักกันมากเขาคงจะเลิกพยายามทำอะไรบ้าๆ สักที
“โอเคครับ ที่รักของพี่”
“พูดอะไรก็ไม่รู้ขนลุก” ผมส่งยิ้มแหยๆ ให้พี่ทิม มือบางของผมยกขึ้นลูบแขนทั้งสองข้าง
“ก็ซ้อมไว้ไงครับ จะได้ไม่เขินเวลาที่พี่เรียกมินต่อหน้าคนอื่น” ใครเขาจะอนุญาตให้เรียกแบบนี้ ไม่เอาด้วยหรอก มันโคตรน่าอายเลยการที่มีคนมาเรียกผมแบบนี้
“ห้ามเรียกนะครับ เรียกน้องมินเหมือนเดิมดีแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไม่เอาหรอกอายคนอื่นเขา”
“ก็ได้ครับ” พูดง่ายดีครับ ผมตกลงตรงที่ตอนนี้เราสองคนคบกันแล้ว ต่อไปพี่ทิมจะเป็นคนคอยรับคอยส่งผมเอง และจะพาผมไปเปิดตัวกับน้องคนที่พี่ทิมชอบด้วย พี่ทิมเล่าว่าน้องพึ่งอายุสิบเจ็ดเอง พี่ทิมจะกินเด็ก น้องอยู่บ้านติดกันกับพี่ทิม ทั้งสองสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกพี่ทิมก็ยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกที่ตนเองมีให้น้อง ว่ามันหยุดอยู่ที่พี่น้องจริงๆ หรือมากกว่านั้น จนกระทั่งพี่ทิมเห็นคนเข้ามาจีบน้อง ความรู้สึกหึง รู้สึกหวงในตัวน้องจึงเกิดขึ้น พี่ทิมพิสูจน์จนแน่ในในความรู้สึกของตนเอง แต่อีกคนกลับทำเป็นไม่รับรู้ เวลาที่พี่ทิมจะเอ่ยความรู้สึกทีไรน้องก็จะเปลี่ยนเรื่องตลอด จนพี่ทิมเริ่มท้อใจ ลองคบกับคนอื่นดูและพาไปหาน้องก็เหมือนว่าอีกคนจะมีปฏิกริยาที่แปลกไป จนพี่ทิมเริ่มมั่นใจว่าน้องก็มีใจให้เขาเหมือนกัน อาจจะยังสับสนหลายๆ อย่าง ด้วยความที่น้องยังเด็กด้วย อายุห่างจากพี่ทิมเกือบรอบแนะ
พี่ทิมอยู่คุยกับผมจนดึก เดินขึ้นมาส่งผมที่ชั้นสองของบ้าน ก่อนที่ผมจะเตรียมตัวอาบน้ำนอน ผมคงต้องหยุดอยู่บ้านอีกสักวันสองวัน เพราะข้อเท้าผมค่อนข้างที่จะบวม ถ้าไปยืนๆ เดินๆ คงไม่หายแน่นอน
ฤทธิ์ยาที่ผมทานเข้าไปทำให้ผมง่วง และหลับลงไปเพียงเวลาไม่นาน ไม่รู้ว่าดึกขนาดไหนผมสะลืมสะลือตื่น เพราะรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ริมฝีปากบางของผม ไม่รู้ว่ามันเป็นความฝันหรือความจริง
“ใครอ่ะ แม่เหรอฮะ”
“นอนครับดึกแล้ว” มืออุ่นๆ ลูบหัวผม สบายดีจังเลย ทำไมมันรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ รู้สึกดีจนอยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ แต่ผมก็ต้านทานความง่วงไม่ไหว เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งภายในเวลาไม่นาน คราวนี้ผมคงหลับลึกจนถึงเช้าแน่เลย
*************************
มาแล้วนะคะ สนุกไม่สนุกเม้น ให้ด้วยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ ตอนที่แล้วจัดให้ฟินพอกรุบกริบ กลับมาดราม่าอีกแล้ว
อย่างนี้อีเฮียจะชนะใจน้องได้ยังไงเนอะ หาทางช่วยมันหน่อย ทำไงดี แต่ให้หยุดปากหมานี่คงยาก เพราะมันเป็นสันดาร
มีอีกเรื่องเราคงต้องขอโทษคนอ่านบางคนที่อาจจะไม่ชอบเนื้อนิยายที่เราแต่งในตอนที่แล้ว แต่เราก็แต่งตามเรื่องที่วางไว้ ถ้าทำให้เสียความรู้สึกกับเรา และกับตัวนายเอกก็ต้องขอโทษจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงค่ะ เรามันก็แค่คนพึ่งหัดแต่งนิยาย ไม่ได้แต่งเก่งเหมือนมืออาชีพ ทำได้แค่นี้จริงๆ
TBC.