- หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)  (อ่าน 54252 ครั้ง)

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
พี่เจตทำแบบนี้ไม่น่ารักแล้วนะคะ​ ไม่แยกเรื่องงานกับส่วนตัวเลย​ เราจะให้​โอกาสเรื่องอดีตของน้องมันอาจจะยอมรับยาก​ พี่เจตน์คงต้องการเวลา

โอเคถ้าพี่จะไม่รักน้อง​ ไม่รักตัวเอง​ พี่ก็รักแม่บ้างรักครอบครัวบ้าง​ เค้าเป็นห่วงกันอ่ะ​ กลับบ้านมากินยาเถอะ​ค่ะ​ อย่ารีบจากไปไหนเล้ยยยยย

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ตัวเองเป็นโรคหัวใจยังไม่ยอมรับ
ไม่แปลกใจที่จะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
สุดท้ายแล้วถ้ารับไม่ได้จริงๆ
ก็อยากให้พี่กับคุยน้องไปเลยตรงๆ
อย่ากลับมา คบกัน ทำเหมือนไม่มีอะไร
แค่สิ่งที่น้องเคยพลาดไปในอดีต
น้องก็เจ็บปวดมากแล้ว

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
บางเรื่องต้องใช้เวลา แต่กลัวว่าเวลาที่มีจะไม่พอ

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เหมือนมองเห็นตัวเอง เข้าใจทุกๆความรู้สึกของพิรัลนะ บางที...หัวใจมันก็ต้องการเวลาเหมือนกันนะ
ยังไงก็ต้องกลับมาหาน้องนะ พี่เจตน์ สงสารน้อง น้องทำพลาด ถึงจะเป็นบาปที่มหันต์ก็เถอะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เลิกก็ได้นะพี่เจตต์ หมันไส้ ไม่ให้น้องแล้วววว  :katai1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่สิบสอง



“พี่ ถอยหน่อยได้ป้ะ ผมจะเก็บของ”

พิรัลหันมองไปตามเสียง เขาเป็นพนักงานชายมีผิวคล้ำและมีสำเนียงพูดเสียงดังแบบคนภาคใต้ พิรัลลุกขึ้นเดินออกห่างจากโต๊ะม้าหินอ่อน มองพนักงานชายก้มๆเงยๆหยิบลังกระดาษหลายกล่องเก็บเข้าตู้เหล็กขนาดสูงท่วมหัว จากนั้นเขาก็เดินห่างออกมาเพราะมีพนักงานคนอื่นเข้ามาช่วยเก็บลังกระดาษเหล่านั้น

ตั้งแต่มาถึงทะเลกระบี่พิรัลก็ว่างเปล่า ว่างเปล่าแบบที่ไม่มีอะไรทำ ไม่มีกิจกรรมอะไรที่อยากทำ และไม่มีความต้องการเสาะแสวงหากิจกรรมอื่นใด เขาว่าง เหมือนมากระบี่เพื่อเปลี่ยนที่นอนเท่านั้น วันก่อนหน้านี้พิรัลใช้เวลาขี่จักรยานตระเวนไปทั่วเมือง แวะตลาดนัดข้างทาง ตลาดเล็กตลาดน้อยเท่าที่จะมีในเมือง ซื้อของว่าง อาหาร น้ำดื่มกินไปเรื่อยเปื่อย แต่เพียงแค่วันเดียวกิจกรรมทุกอย่างที่ทำมันช่างดูน่าเบื่อหน่าย เขาขาดความทะเยอทะยานเหมือนไฟกำลังมอดดับ และเพราะกำลังเบื่อหน่ายช่วงเวลาวันเสาร์ที่กำลังดำเนินผ่านไปอยู่นี้ยิ่งดูน่าเอือมระอาไร้จุดหมาย

ชายหนุ่มผู้ห่อเหี่ยวเดินทอดน่องมายังหาดที่อยู่ใกล้โฮสเทล พระอาทิตย์ตั้งฉาก เงาที่ทอดอยู่บนผืนทรายสั้นน้อยนิด เท้าเปลือยเปล่าของเขาเดินเรียบอยู่บนทรายร้อนระอุ พิรัลไม่มีอะไรจะทำ แม้แต่การนั่งทอดหุ่ยปล่อยอารมณ์ไปกับแสงแดดสายลมก็ยังไม่อยากทำ เขารู้สึกผิดที่ทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อดั้นด้นมาตามอารมณ์ของตัวเอง รู้สึกผิดที่ปล่อยให้ใครต่อใครต้องเป็นห่วง แต่มันยากเหลือเกินกับการได้รับรู้ว่าคนที่เขารักเคยทำสิ่งใดไว้ในอดีต ความคาดหวังที่มีต่อนิพัทธ์คงฟุ้งขจรอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน เมื่อรับรู้ว่าดอกทานตะวันที่ละมุนละม่อมกลายเป็นอย่างอื่นพิรัลเตรียมตั้งรับไม่ทัน เขาไม่รู้ว่าควรคาดหวังแบบใดต่อความรักครั้งนี้

แดดร้อนจัด พิรัลจึงเลือกเดินมานั่งที่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่คว้าบุหรี่ขึ้นจุดสูบ เขาว่างเปล่าเหลือเกิน ทั้งที่เมื่อก่อนก็ออกตระเวนไปไหนมาไหนคนเดียว วันนี้ช่างแปลกไปหัวใจของเขาเบาบาง ความรู้สึกที่มีขาดๆหายๆ พิรัลอยากใช้เวลากับตัวเอง อยากคิด อยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และเขารู้ดีว่าวิธีนี้คงไม่ต่างอะไรจากเด็กที่กำลังวิ่งหนีปัญหา แต่บางครั้งเขาตั้งรับมันไม่ทันจึงคิดได้เพียงอยากหนีหายไปจากตรงนั้น พิรัลคาดว่าตอนนี้ที่ทำงานคงวิ่งวุ่นหาคนมาทำงานแทนเขา หวานที่กำลังจะคลอดน้องคงเครียดจัด ครอบครัวของเขาอาจโกรธและขณะเดียวกันก็ชินชากับนิสัยนี้ของพิรัล เขาเคยเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอยู่จึงจองตั๋วไปเที่ยวเวียดนามเพียงลำพัง ใส่นอนลา เช่ารถจักรยานยนต์ขับไปทั่วเมืองอย่างเรื่อยเปื่อย ตอนนั้นเขารู้สึกถูกเยียวยาจากทุกสิ่งด้วยการเห็นชีวิตสดใหม่ ได้ทำอะไรแปลกใหม่ และกลับมากรุงเทพด้วยความรู้สึกใหม่ๆ แต่ครั้งนี้แตกต่างไป พิรัลรู้แล้วว่าการตีตัวออกห่างจากนิพัทธ์ไม่อาจเยียวยาหัวใจอันอ่อนแอนี้ได้

พิรัลถอนหายใจยาวยืด ควันที่พ่นออกมาเป็นสายหายไปกับลมทะเล เขาขยี้ดับบุหรี่เดินออกมาจากตรงนั้นแวะทิ้งมวนบุหรี่ไว้ในถังขยะก่อนจะเดินเข้าร้านไอศกรีม ใช้ของเย็นดับใจร้อนรุ่ม บางทีของหวานก็เยียวยาทุกอย่างแต่ถ้าจะให้ดีต้องเยียวยาด้วยโทมาฮอคสักหนึ่งกิโลฯ พิรัลเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง มีข้อความแจ้งว่ามีหมายนู่นนี่ติดต่อเข้ามามากมาย ข้อความจากแอพพลิเคชั่นสั่นเตือนระรัวจนเขาเองก็นึกประหลาดใจ ประหลาดใจตัวเองที่แข็งแกร่งไม่มากพอจะยืนหยัดสู้กับความรับผิดชอบที่แบกไว้ มันอะไรกันนักหนา ทำไมเขาถึงได้ล้มเหลวกับการใช้เหตุผลในแบบคนที่อายุสามสิบหกปีพึงควรมี อารมณ์หุนหันพลันแล่นที่มีทำให้เขาเสียหน้าที่การงานไป ยังไม่รวมถึงความเมินเฉยที่แสดงออกอย่างชัดเจนต่อนิพัทธ์อีก เขาเสียทั้งงานเสียทั้งคนรัก ใช่ เขายังรักนิพัทธ์อยู่ ความรักที่มีให้ปรากฏตัวขึ้นชัดเจนในยามที่ทุกอย่างว่างเปล่า แต่เหนือสิ่งอื่นใดการกระทำของเขาส่งผลให้ครอบครัวต้องเสียใจ พิรัลคิดถึงแม่ ที่กระบี่ไม่มีไข่น้ำอร่อยๆให้เขากินเลย

นิ้วมือใหญ่จิ้มตัวอักษรผิดบ้างถูกบ้าง เขาส่งข้อความถึงหัวหน้าก่อนเป็นอันแรก อย่างน้อยเรื่องงานก็ควรถูกสะสางให้ชัดเจน หวานจะเชิญเขาออกก็คงยินยอมรับผลนั้นอย่างไม่อาจโต้แยงสิ่งใดได้ ต่อมาก็คือครอบครัวเขาส่งข้อความหาแม่ แม่ที่ชอบเล่นแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังอัพเดททุกความเคลื่อนไหวรอบตัว และเป็นคนส่งรูปภาพดอกไม้เจ็ดสีสวัสดีเจ็ดวันให้เขาในทุกเช้า แม่เปิดอ่านข้อความเร็วมาก ส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธมาให้หลากหลายตัวก่อนจะทิ้งท้ายถามพิรัลว่ากินข้าวหรือยัง เท่านั้นแหละ พิรัลยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม

“แม่”

“เจตน์อยู่ไหนลูก”

“อยู่กระบี่ นั่งกินไอติมอยู่”

“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” พิรัลตอบสั้นๆ ต่างฝ่ายต่างเงียบลงไปก่อนเขาจะเริ่มต้นบทสนทนาใหม่ “แม่ เจตน์ขอโทษ”

“อืม ไม่เป็นไรลูก แล้วที่ทำงานว่ายังไง”

“ยังไม่รู้เลย อาจจะโดนเชิญออก แม่ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวหางานใหม่เอาก็ได้”

“เจตน์ลูก ทุกคนเป็นห่วงเจตน์นะ จ๊ะจ๋าก็ถามถึงอาเจตน์อยู่เนี่ย ดูสิ หลานยังเป็นห่วงอาเจตน์เลย”

“ฝากบอกจ๋าหน่อยว่าเดี๋ยวซื้อขนมไปให้ แม่อยากกินอะไรมั้ยเดี๋ยวเจตน์ซื้อไปให้”

“เจตน์ก็รู้ว่าแม่ชอบกินอะไรบ้าง ซื้อมาเยอะหน่อยแล้วกันจะแบ่งไปให้ยัยติ๋มหน่อย”

“ได้ครับ”

“เจตน์... กลับมาเร็วๆนะลูก”

แม่วางสายไปแล้วก่อนพิรัลจะถอนหายใจยาวเป็นรอบที่แปดล้านแปดแสน เขาทำอะไรลงไปกันแน่นะ ทำไมถึงทำให้ทุกอย่างดูแย่ลงด้วยการอ้างว่าอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง อย่างน้อยเขาควรมีความชัดเจนในเรื่องนั้น บอกกล่าวหัวหน้างาน บอกกล่าวครอบครัว และท้ายที่สุด คนที่เขาควรบอกอย่างชัดเจนก็คือนิพัทธ์

นิ้วมือของพิรัลสัมผัสหน้าจอเลื่อนไปมา เขาไม่ตอบข้อความนิพัทธ์ ลังเลในการกดนิ้วลงไปที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ เขาควรเผชิญหน้ากับนิพัทธ์อย่างไรดี พิรัลล็อคหน้าจอ หยิบถ้วยไอศกรีมมาตักกินจนหมดก่อนจะเดินกลับที่พัก


พิรัลเปลี่ยนชุดลำลองมาเป็นชุดว่ายน้ำ เขาใส่กางเกงว่ายน้ำ บนคอคล้องผ้าขนหนูลงมายังด้านล่างของที่พักซึ่งมีสระน้ำส่วนกลางคอยให้บริการ สระว่ายน้ำขนาดไม่ได้มาตรฐานปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าสวย มีบางจุดเป็นกระเบื้องแบบเหลือบวิบวับเหมือนเกล็ดปลา ถึงจะเป็นโฮสเทลแต่ที่นี่ค่อนข้างเป็นโฮสเทลที่มีรสนิยมอยู่พอควรเกือบเทียบเท่าโรงแรมสองดาว บริเวณเก้าอี้นั่งตัวยาวมีชาวต่างชาติสองสามคนนอนอาบแดดตัวแดงเถือก พิรัลเลือกนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งวางของไว้บนนั้น เดินไปล้างตัวก่อนจะกระโดดลงสระและแหวกว่ายไปมา พิรัลลอยตัวนอนหงายอยู่บนผืนน้ำ ครุ่นคิดถึงการเผชิญหน้ากับนิพัทธ์ เขาคิดว่าการส่งข้อความหรือพูดคุยทางโทรศัพท์มือถือมันไม่เพียงพอ อย่าไปนับรวมถึงการวิดิโอคอลต่างๆ มันอาจเห็นหน้ากันแต่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศระหว่างกัน เขาคงเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบหกปีที่คุ้นชินกับยุคอะนาล็อกอยู่สักหน่อย วิถีชีวิตแบบเมื่อก่อนคือความคลาสสิคสำหรับเขา ไม่ต่างจากวิถีชีวิตสมัยนี้ที่การวิดิโอคอลคงจะคลาสสิคสำหรับเด็กยุคดิจิทัลนั่นแหละ

ตะวันคล้อยต่ำลงแต่ยังปรากฏตัวอยู่บนผืนฟ้า สาดลำแสงร้อนแรงลงมาที่ดาวเคราะห์แห่งนี้ แม้ตัวจะอยู่ในน้ำแต่หน้าที่เผชิญกับแสงแดดก็ร้อนเสียจนเริ่มทนไม่ไหว พิรัลพลิกตัวจุ่มร่างลงในสระว่ายน้ำ ดำดิ่งอยู่ข้างใต้พักหนึ่งก่อนจะผุดขึ้นเหนือน้ำ ขึ้นมาล้างตัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวใต้ร่มขนาดใหญ่ ตัวของเขาเปียกชุ่ม หอบหายใจเล็กน้อย พิรัลก้มหน้าลงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เขาคิดไม่ออกว่าควรเริ่มต้นพูดอย่างไรกับนิพัทธ์ แต่แล้วในช่วงที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้นเขารู้สึกได้ว่ามีคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเหลือบมองพบว่าเป็นปลายเท้าบนรองเท้าแตะของใครสักคนที่หยุดยืน พิรัลเงยหน้ามอง หัวใจของเขาเต้นแรงตุบตับเมื่อได้พบอีกฝ่าย ลมทะเลพัดโชย เสื้อผ้าลู่ลมไปทางใดทางหนึ่ง ขากางเกงคงสั้นและบานมากอยู่พอควร เนื้อผ้าเลิกขึ้นสูงจนพิรัลเห็นขาขาวกระจ่างจนเกือบถึงต้นขา ใบหน้าที่แก้มระเรื่อสีชมพูเพราะร้อนจากแดดไม่ได้แสงอารมณ์อะไรเป็นพิเศษ นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ ณ ที่ตรงนี้ราวกับฝันไป แต่พิรัลไม่ได้ฝันเพราะนี่คือความจริง

“ร้อนเนอะ”

พิรัลเอ่ยทักหลังจากเห็นว่านิพัทธ์ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานสองนาน น่าแปลก คำพูดต่างๆที่เคยคิดไว้มันซ่อนเร้นอยู่ที่ไหนสักแห่ง


นิพัทธ์พักอยู่ที่โรงแรมเดิมพวกเขาจึงย้ายมาคุยในห้องพักแห่งนี้ เพราะหากคุยกันที่โฮสเทลที่พิรัลพักอยู่คงจะไม่เหมาะสม เพราะห้องพักแบบโฮสเทลมีคนอยู่เต็มไปหมด พิรัลเดินตามหลังเด็กหนุ่มมาเงียบๆ เดินออกมาทั้งที่ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำและมีผ้าขนหนูคล้องคอ ขณะเดินก็มองผิวเนื้อที่โผล่พ้นจากกางเกงขาสั้นเหมือนที่เคยทำประจำ นิพัทธ์ยังคงมีบางสิ่งบางอย่างเย้ายวนต่อเขาเสมอ

“กานต์มาถึงเมื่อไหร่” พิรัลเอ่ยถามขณะที่มองดูนิพัทธ์แตะบัตรเพื่อเข้าห้อง

เด็กหนุ่มเหลือบมองแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“กานต์” ชายหนุ่มร้องทักเมื่อเข้ามาในห้องแล้วถูกนิพัทธ์รั้งเข้ามาจูบ ริมฝีปากของพวกเขาประกบติดกัน ความอ่อนนุ่มที่ห่างหายไปทำให้ละทิ้งสิ่งอื่นไปหมดสิ้น พิรัลรู้ตัวแล้วว่าโหยหานิพัทธ์มากขนาดไหนและรู้ด้วยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถูกอีกฝ่ายดึงกางเกงว่ายน้ำที่ยังชื้นอยู่ออกไป นิพัทธ์คุกเข่าลงตรงหน้า โอบรับท่อนเนื้อที่เริ่มขยับขยายด้วยริมฝีปาก เขาดูด เขาเลีย และอมไปถ้วนทั่วอวัยวะ พิรัลร้องครางอยู่ในลำคอ เขาเองก็ห่างหายจากเรื่องนี้ไปพักใหญ่เมื่อถูกคนที่คุ้นเคยกันกระตุ้นเร้าก็ตื่นตัวอย่างง่ายดาย นิพัทธ์ลุกขึ้นยืนหลังจากเห็นว่าท่อนเนื้อถูกปลุกเร้าจนแข็งขืน เด็กหนุ่มถอดกางเกงออกแล้วหันหลัง เผยบั้นท้ายให้พิรัล คนคุ้นเคยกันเขารู้ดีว่าควรทำอย่างไร พิรัลรูดรั้งท่อนเนื้อจดจ่อไปที่ช่องทางด้านหลัง ให้ส่วนปลายที่ผุดซึมน้ำต่างๆจากร่างกายได้ชโลมบริเวณนั้นจนชื้นแฉะ ไม่นานนักท่อนเนื้อเปลือยเปล่าก็สอดแทรกเข้าไปอย่างรนร้อน

ร่างของนิพัทธ์ถูกดันติดกับผนังห้อง บั้นท้ายแนบชิดอยู่ที่หน้าขาของพิรัล ความร้อนแรงหลังจากที่ไม่ได้รับมาช่วงหนึ่งทำให้เขาร้องครวญครางด้วยความพึงพอใจ ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีความอ่อนหวาน มีเพียงความกระสันต้องการในแบบคนคุ้นเคย พิรัลร้อนแรงถูกใจเด็กหนุ่มจนช่องทางด้านหลังบีบรัดของพิรัลอย่างไร้การควบคุม เขาถูกพิรัลกระแทกในจุดอ่อนไหวซ้ำไปซ้ำมา ท่อนเนื้อของตัวเองถูไถกับผนังห้องเย็นชืด มันคงเป็นรอยด่างดวงจากน้ำหล่อลื่นที่ไหลซึมออกมา ร่างของเขาถูกอัดแรงเข้าออกแบบนั้นพักใหญ่ ช่องทางลับกลืนกินท่อนเนื้อของพิรัลครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคิดว่าความดิบเถื่อนแทบไร้การเล้าโลมแบบที่พิรัลโหมใส่อยู่ตอนนี้ใกล้ทำให้เขาถึงฝากฝั่งเต็มที

หากเป็นพิรัลในโหมดปกติชายหนุ่มจะเริ่มทำช้าลงเมื่อรู้ว่าตัวเองใกล้ถึงจุดนั้น เพื่อยืดเวลาในการร่วมกิจกรรมด้วยกัน แต่ครั้งนี้พิรัลไม่ออมแรงเลย ความอุ่นจากภายในของนิพัทธ์ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิม ความชื้นแฉะในร่องหลืบด้านหลังนี้ทำให้เขามัวเมาในกามอารมณ์ พิรัลโหมแรงเข้าไปอีก เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังชัดเจนคละเคล้าเสียงหอบหายใจครวญคราง สะโพกของนิพัทธ์ไม่หลีกหนีและยืนหยัดให้พิรัลรุกล้ำเข้าไปลึกกว่าเดิม เด็กหนุ่มหันมาเหลือบมองใช้มือข้างหนึ่งแหวกเนื้อบั้นท้ายออกอ้า

“เอาผมแรงๆหน่อยครับพี่เจตน์ ผมใกล้จะเสร็จแล้ว”

พิรัลแทบจะคลั่งเสียให้ได้ เขากระแทกสวนกายเข้าไปเต็มแรง นิพัทธ์ร้องครางร่างกายเริ่มบิดเกร็งจากการถึงจุดสุดยอด เขาดุนดันท่อนเนื้อเข้าลึกในตอนที่ถึงฝากฝั่งอันวาบหวาม ทิ้งลูกน้องล้านชีวิตไว้ในช่องทางด้านหลัง มองมันไหลซึมออกมาตามผิวเนื้อที่เชื่อมต่อกัน นิพัทธ์หันกลับมาโอบรั้งใบหน้าเขาเข้าไปจูบพลางเกี่ยวขาเข้าหา ขณะพิรัลพยุงรับขาทั้งสองข้างนั่นไว้ พวกเขาจูบกัน แลกลิ้นกัน และนัวเนียกันทั้งที่ยืนอยู่เช่นนั้น พิรัลเริ่มแข็งตัวอีกครั้งอย่างแทบไม่น่าเชื่อสำหรับชายวัยสามสิบหกปี เขาจับท่อนเนื้อกดเข้าแทรกอยู่ในร่างกายนิพัทธ์ เขย่าร่างเด็กหนุ่มด้วยท่อนเนื้ออันตะกละตะกลาม โยกสะโพกเข้าหาไม่หยุดยั้ง

“หิวมากมั้ยครับพี่เจตน์”

“มากครับ”

“ผมก็หิวมากครับ”

ในตอนนั้นพิรัลรู้สึกราวกับได้กำลังวิเศษมาจากมิติลี้ลับ เขาพาร่างนิพัทธ์มาที่เตียงแต่ยังไม่ทันได้วางร่างอีกฝ่ายลงนิพัทธ์ก็เปลี่ยนมาคร่อมทับเขาแทน ท่อนเนื้อของเขาถูกกลืนหายไปยังร่องลับอีกครั้ง นิพัทธ์ขยับโยกไหวบนแท่งเนื้อด้วยความกระหาย เขารู้ เขาสัมผัสได้ถึงแรงขับเคลื่อนของเด็กหนุ่มที่อัดแน่นสุมกองและถ่ายทอดออกมาเป็นความร้อนแรงนี้ หากกล่าวว่าเขายังไม่รู้จักอดีตของนิพัทธ์มันคงเป็นเรื่องจริง แต่หากกล่าวว่าเขาไม่รู้จักร่างกายของเด็กคนนี้เขาขอเถียงขาดใจ

เด็กหนุ่มวางมือสองข้างไว้บนเตียง ส่วนสะโพกขยับตอบรับเข้าหาแท่งเนื้อซึ่งชูชันอยู่ภายใน เขาควบขี่มันดั่งใจต้องการ ทั้งรุนแรงจนส่วนหน้าของตัวเองขยับส่ายไปมาและลุ่มลึกถึงอกถึงใจจนต้องร้องร่ำแสดงความกระหายออกมา พิรัลมัวเมาเกินทานทน มือของเขาโอบสะโพก บอกกล่าวให้อีกฝ่ายนั่งอ้าขาออกกว้าง ก่อนจะยกส่วนล่างแทรกสวนในช่องลับนั่น นิพัทธ์จ้องมอง พร่ำบอกให้เขาชำเราที่เบื้องล่างมากขึ้นอีก ความเย้ายวนทำให้พิรัลหลงทำตามอย่างว่าง่าย เขาเชื่อฟังคำร้องเรียกของเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะให้เน้นย้ำที่จุดไหน จะให้ท่อนเนื้อลุกล้ำลึกเพียงใด เขายินยอมหมดทุกอย่างแล้ว

พิรัลผุดลุกขึ้นนั่ง โอบร่างเด็กหนุ่มไว้ขณะท่อนล่างสุขสมอยู่ภายใน เขาจูบตามผิวกายที่อ่อนเยาว์กว่า กอดรัดความปรารถนาที่ล้นทะลักเมื่อถึงฝากฝั่ง น้ำกามของเขาพุ่งอยู่ในนั้นไหลเยิ้มออกมาเปียกหว่างขา หน้าท้องของเขาเปรอะเปื้อนน้ำขาวขุ่นจากอีกฝ่าย พิรัลน้อมรับทั้งหมดนั่นไว้ด้วยใจโหยหา เขาตระหนักถึงความรักที่มีต่อนิพัทธ์ แม้หากไม่ได้ร่วมสัมพันธ์อันร้อนระอุนี้ แค่เพียงเห็นหน้ากันอีกครั้งเขาก็รับรู้ได้ว่ารักที่เคยมีให้ยังปรากฏตัวอยู่อย่างชัดเจน

“พี่เจตน์อยากเลิกกับผมมั้ยครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามหลังจากลมหายใจราบเป็นปกติ เขายังคงนั่งอยู่บนตัวพิรัลในท่วงท่าเดิม กอดอีกฝ่ายไว้เกยใบหน้าลงบนลาดไหล่

พิรัลอ้าปากค้าง เขาไม่เคยคิดเลิกกับนิพัทธ์ เขาแค่ต้องการทบทวนความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้น แต่เมื่อได้พบหน้านิพัทธ์ ความกล้าความเก่งกาจที่มีมันหายไปหมด เขาจุกที่หัวใจจนพูดแทบไม่ออก

“ถ้าอยากเลิกก็บอกมาตรงๆครับ ไม่ใช่หายมาแบบนี้ รู้มั้ยว่าที่ทำงานวุ่นวายกันมาก”

“บอกพี่หวานไปแล้วว่าจะกลับเข้าออฟฟิศวันจันทร์” พิรัลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่มือปัดป่ายไปตามเรือนร่างอีกฝ่าย ผิวกายอบอุ่นซึ่งชื้นเหงื่อให้สัมผัสอ่อนละมุนไปทุกส่วน เขาชอบนิพัทธ์จนไม่อาจละเลยส่วนไหนได้อีก

“แล้วที่ลาพักร้อนอาทิตย์หน้าไว้ล่ะ”

“ไม่ลาแล้ว”

“แล้ว?”

“แล้วอะไร”

“แล้วจะเอายังไง จะเลิกกับผมมั้ย”

ถึงตอนนี้นิพัทธ์ขยับตัวเพื่อมองและจ้องเขาเขม็ง เขาจำได้ถึงใบหน้าสลดเศร้าก่อนจากมาในคืนนั้น แต่เวลานี้นิพัทธ์ไม่หลงเหลือความเว้าวอนใดๆอีก มีเพียงความแจ่มชัดของความรู้สึกที่ส่องประกายออกมาทางแววตา

“พี่เจตน์โกรธผมเพราะเรื่องนั้นผมเข้าใจได้ ถ้าอยากเลิกกันก็บอกมา แต่พี่เจตน์จะทำให้ครอบครัวของพี่เจตน์เสียใจไม่ได้นะครับ”

พิรัลรู้สึกเหมือนเป็นเด็กชายพิรัลที่กำลังถูกนายนิพัทธ์เริ่มต้นสั่งสอน “ผมรู้ ผมคุยกับแม่แล้ว”

“รู้ว่าแม่เสียใจแต่ยังทำอีกเหรอครับ ยังหนีมาแบบนี้อีกเหรอ ผมรู้นะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก”

“ก็ผมอยากอยู่เงียบๆคิดอะไรคนเดียวนี่”

“แน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้แล้วได้ผล”

“เมื่อก่อนก็ได้ผลนะ คิดอะไรได้เยอะ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ ผมคิดอะไรไม่ออก”

นิพัทธ์เงียบลง เฝ้ามองใบหน้าของพิรัล เขายังรักคนๆนี้อยู่เต็มหัวใจแต่เขารู้ว่าพิรัลไม่อาจยอมรับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาได้ และนี่อาจเป็นสุดขอบความรักของพวกเขา

“ผมจะให้โอกาสพี่เจตน์เป็นคนพูด”

“พูดอะไร”

“บอกเลิกผมไง ผมไม่ชอบคาราคาซังแบบนี้”

พิรัลเงียบ มองสบตากับคนตรงหน้า ในเวลาแบบนี้นิพัทธ์ดูชัดเจน เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวกว่าเขามากเหลือเกิน ทั้งที่เขาอายุมากกว่าแต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นปัญหานี้จึงไม่สามารถรับมือได้เลย “ผมขอโทษนะกานต์...” พิรัลคว้ามือของเด็กหนุ่มมากอบกุม มือที่ไม่ได้อ่อนนุ่มแต่มันเป็นมือที่คอยให้ความอบอุ่นใจกับพิรัลเสมอมาตั้งแต่ที่รู้จักกัน “ผมขอโทษที่หนีหายมา ผมไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นและผมรับมือกับมันได้แย่มาก มานั่งคิดดูผมผิดมากที่ไม่ได้อยู่กับกานต์ในตอนที่กานต์รู้สึกแย่ ผมคิดถึงแต่ตัวเอง ผมขอโทษนะ”

“.............”

“ตอนผมมาที่นี่ ทบทวนคิดอะไรของตัวเอง ใจเย็นลงและพยายามใช้เหตุผล อย่างที่เคยบอกผมอายุจะสี่สิบ ไม่เคยคบคนที่เด็กมากเท่ากานต์มาก่อน ผมบอกตามตรงผมระแวงเรื่องของเรา ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่างผมกลัวว่าถ้ารักกานต์ไปมากกว่านี้คนที่เจ็บก็คือผมเอง แล้วผมก็ยิ่งระแวงมากขึ้นตอนเห็นท่าทีของคุณกรณ์ ตอนผมรู้ความจริงผมรับไม่ได้ ผมแม่งช็อกไปเลย”

“ผมเข้าใจครับ”

“แล้วตอนนี้กานต์กับเขาเป็นยังไง”

นิพัทธ์ส่ายหน้าพลางเอนซบที่ซอกคออีกฝ่าย “ไม่มีอะไรแล้วครับ”

“อ้าว แล้วที่วันนั้นหายไปล่ะ”

“ผมไปหาแม่ แม่ผมป่วย ผมไม่ค่อยสนิทกับแม่ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเลย แต่อากรณ์บังคับให้ผมไปหาแม่ ถ้าไม่ไปเขาจะบอกเรื่องนั้นกับพี่เจตน์”
พิรัลรับคำอยู่ในลำคอ เขายิ่งรู้สึกผิดเข้าไปมากกว่าเดิมเมื่อฉุกคิดว่าแทนที่จะพยายามเข้าใจนิพัทธ์ แทนที่จะรับฟังเรื่องราวต่างๆด้วยเหตุและผล เขามัวแต่หวาดระแวงกับเรื่องอื่น เรื่องไม่เป็นเรื่องจนได้เรื่องอยู่แบบนี้ “ผมขอโทษนะกานต์”

“ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ มันไม่มีอะไรแล้ว แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว”

“แล้วคือคุณกรณ์เขารักกานต์... แบบนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ”

ชายหนุ่มอายุมากกว่านิ่งค้าง เขาผ่านโลกมาก็มาก เรื่องทำนองนี้ก็เคยได้ยินคู่สังคมมาโดยตลอด แต่พอเจอกับตัวเอง กับคนใกล้ตัว เขาคิดว่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังคงฟุ้งขจรอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน

“ผมเสียใจมากแต่ผมก็ตัดอากรณ์ไม่ได้ เขาดีกับผมมาตลอดทั้งชีวิต ถ้าไม่มีอากรณ์พ่อคงรักษาตัวแบบคนไข้อนาถา แล้วตัวผมเองก็คงลำบากมากๆ อีกอย่างผมบอกพี่เจตน์ตามตรงว่าตอนนั้นผมตัดสินใจของผมเอง มันเป็นความผิดพลาดของผม ผมรู้แล้วว่ามันผิดมาก ผมไม่มีความสุขหรอกนะครับกับเรื่องนั้นน่ะ ถ้าพี่เจตน์รับไม่ได้ผมก็เข้าใจแต่ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่มีอะไรไปมากกว่าความเป็นญาติครับ”

พิรัลขยับออกห่างเพื่อมองสบตากับเด็กหนุ่ม ทำไมเขาถึงได้ตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นได้มากขนาดนี้นะ การที่นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ พูดคุยให้ทุกอย่างชัดเจนทำให้พิรัลตื่นรู้เสียทีว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้รักใครอื่นไปมากกว่าตัวเอง ต่างจากนิพัทธ์ที่แม้จะมีปัญหาใดๆกล้ำกรายเข้ามาในชีวิต เด็กหนุ่มก็พร้อมเผชิญหน้าและฝ่าฝันผ่านม่านหมอกแห่งปัญหานั้นออกไป

“ตอนผมทำลงไป ทุกวันหลังจากนั้นผมรู้สึกว่ามันยาวนานเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เลยครับ พี่เจตน์รู้มั้ยครับว่าเวลาบนดาวพุธมันผ่านไปช้าๆเมื่อเทียบกับโลกของเรา ผมเหมือนอยู่บนนั้น กว่าจะหายใจผ่านไปได้แต่ละนาทีพร้อมกับการแบกรับเรื่องนั้นไว้มันทำให้ผมเหนื่อยมาก ผมทนไม่ไหว ผมสารภาพบาปกับคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่าพระเจ้าจะให้อภัยกับลูกของท่านและให้ผมไถ่บาปด้วยการมอบความรักให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รักคนอื่นให้เหมือนที่รักตนเอง…”

นิพัทธ์หยุดพูดเมื่อมือของเขาถูกพิรัลกอบกุมแน่นหนักกว่าเดิม

“ผมผ่านจุดนั้นมาได้ไม่นานนี้เองครับพี่เจตน์ ผมเดินทางออกมาจากดาวพุธและให้อภัยตัวเองต่อสิ่งที่เคยทำ แต่ผมไม่เห็นพี่เจตน์ตามผมมาเลย พี่เจตน์ยังไม่ให้อภัยตัวเองอีกเหรอครับ ทำไมยังไม่รักและยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง”

ถึงคราวพิรัลนิ่งเงียบ เขาไม่คิดเลยว่านิพัทธ์จะสามารถมองตัวตนของเขาได้อย่างลึกซึ้งจนแม้แต่ตัวเองยังมองไม่ถึงจุดนั้น

“พี่เจตน์ทำเหมือนว่าโรคที่เป็นอยู่มันโอเค เดี๋ยวมันก็หายไป ไม่อยากให้คนอื่นทำเหมือนตัวเองเป็นคนป่วยใกล้ตาย แต่พี่เจตน์กำลังลงโทษตัวเองอยู่หรือเปล่า ลงโทษที่เคยทำพฤติกรรมไม่ดีจนเป็นโรคนี้ ลงโทษที่เคยทำให้แม่เสียใจเพราะว่าหนีหายไปเฉยๆโดยไม่บอกครอบครัว ลงโทษตัวเองที่พยายามทำใจยอมรับว่าตัวเองผิดปกติแต่ไม่เคยสำเร็จสักที”

พิรัลมองใบหน้าของเด็กหนุ่มตัวขาวที่มีรอยยิ้มเจือจาง เขายิ้มตามแม้จะหนักเหนื่อยกับความสับสนของตัวเองที่กลัดกลุ้มมานานแสนนาน ทำไมนิพัทธ์ถึงได้เข้าใจตัวตนของเขามากขนาดนี้ พิรัลไม่เคยเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดบนโลก ไม่ว่าจะทางพุทธ ทางคริสต์ ทางใดก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งอุปโลกน์ เป็นนามธรรม เขาไม่ศรัทธาสิ่งใดแม้แต่ตัวของเขาเอง

พิรัลตัดสินใจตั้งแต่รับรู้ว่าเขาเป็นโรคเส้นเลือดตีบที่หัวใจ มีคนที่อาการแย่กว่านี้ มีคนที่ทุรนทุรายเพราะโรครุมเร้ามากกว่าเขาหลายเท่า แต่พิรัลมองเพียงตัวเอง มองเห็นแค่ว่าเขาเจ็บตรงนี้และไม่อาจแบ่งปันสิ่งนั้นให้ใครได้ จะเจ็บมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้แต่มันก็คือความเจ็บปวดเหมือนๆกัน ไม่ว่าคำพูดปลอบประโลมเลิศเลอวิเศษมาจากไหนเขาคิดว่ามันราบเรียบเป็นสามัญ แต่วันนี้มันต่างออกไปนิพัทธ์เป็นดั่งแสงอบอุ่น เรืองรองอยู่ในอนธการ เป็นดั่งจุดสว่างที่พิรัลคอยแหวกว่ายตัวเองออกตามหา เขาพบแล้วว่าสิ่งนั้นคือนิพัทธ์ และไม่ว่าพระเจ้าในศาสนาใดบนโลกจะมีจริงหรือไม่มีจริง แต่นิพัทธ์เป็นรูปธรรม จับสัมผัสได้ และมอบศรัทธาหวนคืนสู่พิรัลอีกครั้ง

ศรัทธาแห่งความรักอาจดูเป็นคำลวงโลก ดาษดื่น และน้ำเน่า จวบจนกระทั่งพิรัลประจักษ์แจ้งแก่ตนเอง เขาพบแล้วว่ามันวิเศษขนาดไหน ในบ่ายคล้อยเย็นย่ำวันนั้นเขากอดนิพัทธ์แนบแน่น ร้องไห้ในอ้อมอกอันอบอุ่นของคนที่อายุน้อยกว่าอยู่นานสองนาน บางทีมันอาจถึงเวลาที่ควรกลับสู่โลกเสียที


ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1



พิรัลโดนตำหนิตามที่คาดการณ์ไว้ มันเป็นสิ่งแท้แน่นอนที่แทบจะไม่ต้องใช้สมองส่วนใดคิด หวานต่อว่าอย่างตรงไปตรงมาแต่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นข้องหมองใจ เธอพูดถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่พิรัลละทิ้งไว้ พูดถึงผลของการกระทำ และพูดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ พิรัลไม่ขัดข้องหากโดนเชิญออก เขาตระหนักถึงการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในครั้งนี้ว่าได้สร้างความยากลำบากให้หลายฝ่าย หากแต่เขารู้สึกผิดน้อยมากกว่าที่คิดไว้เมื่อเป็นเรื่องของงาน วัฏจักรในสังคมทำงานไม่บ่งชี้ว่าเขาสามารถอยู่ยืนยงไปจวบจนสิ้นอายุขัย วันใดวันหนึ่งเขาต้องลาออกเพื่อหางานใหม่ หรือท้ายที่สุดแล้วเขาต้องเกษียณอายุงานอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่แยแสหากโดนเชิญออกตามที่คิด

และแม้ว่าจะคิดเช่นนั้น และนี่อาจไม่ใช่ความโชคดีในโชคร้าย แต่หวานได้มอบโอกาสครั้งสุดท้ายในการพิสูจน์ตัวเองแก่พิรัล เธอแจ้งว่าจะต้องหักเงินเดือนในวันที่พิรัลไม่ได้มาทำงานและขอให้พิรัลช่วยสร้างผลงานโดดเด่นเพื่อพิสูจน์ต่อโอกาสในครั้งนี้ พิรัลรู้ว่าตัวเองมีความสามารถพอประมาณ ไม่ได้ลำพองในตนเองแต่เขาประเมินแล้วว่าเขามีความสามารถและมีประสบการณ์มากพอที่หวานจะดึงรั้งไว้ ลองคิดดู ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ วุฒิภาวะ การต่อรองถึงผลประโยชน์ในเนื้องาน หรือแม้แต่การเจรจาพูดคุยกับคนภายใน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่พิรัลเคยสร้างไว้ อีกอย่างการมองหาคนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป หวานต้องเตรียมตัวลาคลอดทั้งยังบุคลากรในที่ทำงานไม่เพียงพอ การเชิญพิรัลออกในทันท่วงทีอาจต้องพิจารณาอีกครั้ง

กระนั้นใช่ว่าพิรัลจะไม่รู้สึกผิดเลย เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาที่เมื่อพบเจอเรื่องราวหนักหนารุมเร้าก็ย่อมต้องการถอยออกมาเพื่อมองภาพของปัญหานั้นๆใหม่ แต่วิธีที่ก้าวออกมาอาจส่งผลกระทบให้คนอื่นเดือดร้อนมากอยู่สักหน่อย พิรัลพบว่าตัวเองในวัยสามสิบหกปีนี้เติบโตขึ้นอีก พร้อมกับการเรียนรู้และเกราะคุ้มกันอันแข็งแกร่งขึ้น

“พี่เชื่อในโอกาส แต่โอกาสมีให้แค่ครั้งเดียวนะเจตน์ พี่พูดตามตรง พี่คิดว่าเจตน์เป็นคนมีศักยภาพมากและพี่เข้าใจว่าคนเราก็มีปัญหาส่วนตัวได้ พี่เองก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่ว่านี่ก็คือโลกของการทำงาน... พี่เจตน์เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ”

“อืม พี่ไม่ขออะไรมากเลย หลังจากงานทาวน์ฮอลพี่คงต้องตั้งประเมินเจตน์ไว้สูงกว่านี้ เจตน์เองก็ต้องพยายามแตะเพดานหน่อยนะ เพราะไม่อย่างนั้นพี่คิดว่ามันไม่คุ้มกับโอกาสที่พี่ให้เจตน์ไป”

“ครับ”

“แล้วเจตน์จะยังลาพักร้อนมั้ย ที่ขอไปก่อนหน้านี้”

“ไม่แล้วครับ”

“แน่ใจนะ พี่ยังให้ลาได้ยังไงก็เป็นสิทธิ์ของพนักงาน”

“ไม่ลาครับ เก็บไว้ลาวันอื่น”

“โอเค หมดเรื่องแล้วล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

พิรัลรับคำจากนั้นก็เดินตามหลังหวานออกมาจากห้องประชุม เขามองเห็นว่านิพัทธ์กำลังเดินสวนทางมาดี ใบหน้าขาวกระจ่างที่คุ้นเคยดูเพียงครู่หนึ่งก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่เพื่อไม่ให้หวานสงสัยนิพัทธ์จึงเดินเลยไปทางแคนทีนทำทีเป็นออกมาเติมดื่มน้ำในขวดน้ำ พิรัลอยากเข้าไปพูดคุยกับเด็กหนุ่มใจจะขาด เขาสามารถหาอ้างเหตุผลกับหวานได้แต่เมื่อเห็นกรณ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขารับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเองก็ต้องการพูดคุยกับเขาเช่นกัน และกรณ์อาจหาเหตุผลหลีกเลี่ยงยากอยู่พอควร

“คุณหวานไปกินข้าวที่ไหนครับ”

“หวานว่าจะลงไปซื้อข้าวกล่องใต้ตึกขึ้นมากินค่ะ พอดีมี Issue ที่ร้านหาดใหญ่คุณฉัตรชัยนัดมีทติ้งไว้ตอนบ่าย”

กรณ์พยักหน้ารับรู้ “เชิญตามสบายครับคุณหวาน เดี๋ยวเจอกันในห้องมีทติ้ง”

“อ้าว คุณกรณ์เข้าด้วยเหรอคะ หวานนึกว่าจะให้หมิงเข้าซะอีก”

“ผมเข้าเองครับ Issue นี้เรื้อรังมามากแล้ว ผมอยากให้จบก่อน FY นี้”

“โอเคค่ะ งั้นหวานไปก่อนนะคะ”

จากนั้นกรณ์จึงเบนสายตามาทางพิรัลพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งไม่ต่างจากเดิม “ผมนัดกานต์ไว้ที่ร้านอาหารใต้ตึก”

“ครับ” พิรัลรับคำแต่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น หลังจากรับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอาและหลานคู่นี้แล้วเขาเองก็ใช่ว่าจะรับมือได้เป็นอย่างดีในทันท่วงที บางอย่างเวลาก็สำคัญมากเหมือนกัน

“คุณไปด้วยนะ ผมจะคุยเรื่องของคุณกับหลานของผม”

จังหวะนั้นเองที่นิพัทธ์เดินกลับมาและยืนเคียงข้างพิรัล



ดวงตาของเขาจับจ้องมายังพิรัลขณะพนักงานเสิร์ฟอาหารให้ จวบจนกระทั่งพนักงานเดินออกไปเขาจึงเริ่มต้นสนทนา

“คุณคงรู้หมดทุกอย่างแล้ว”

“ครับ”

กรณ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบแก้วมาดื่มน้ำ “แล้วคุณยังรับไหวเหรอกับเรื่องนั้นน่ะ”

“อากรณ์...”

แต่ก่อนที่นิพัทธ์จะได้พูดจนจบ พิรัลก็พูดแทรกอีกฝ่ายที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เขามองตรงไปยังเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณคงรู้ว่าผมเองก็ตกใจกับเรื่องนั้นมาก และผมจะไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดเท่าที่ผมเคยเจอมา เรื่องของกานต์ตอนนั้นผมถือว่ามันไม่เกี่ยวกับผม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่ว่าเรื่องไหนของกานต์ผมจะต้องมีส่วนร่วมด้วยทุกอย่าง”

กรณ์ยิ้มมุมปาก ประสานมือเท้าคางไว้บนโต๊ะ “เข้าใจพูดนี่ เหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักน้ำเน่า”

พิรัลยิ้ม เขาเริ่มจับจุดของคนๆนี้ได้บ้างแล้ว ไอ้ประเภทยิ้มแล้วพูดเสียดสีถากถางเนี่ยไม่เกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว อีกอย่างเขามีความมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในตัวของนิพัทธ์ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังไกลเกินกว่าคำว่าจุดจบ “ก็แล้วแต่คุณกรณ์จะคิดครับ ผมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึก”

“ผมถามตามตรงนะ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ทำให้กานต์เสียใจ”

“คุณกรณ์ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรคุยกับกานต์สองคนนะ”

ชายหนุ่มชุดสูทตรงหน้าพิรัลไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลง แต่แววตาที่แสดงออกมาพิรัลรับรู้ได้ว่าคำพูดของเขาจี้จุดกรณ์มากแค่ไหน
“ผมเข้าใจว่าพวกคุณเป็นญาติกัน แต่ผมว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับกานต์นะครับ แล้วเรื่องนี้ผมกับกานต์ก็ตัดสินใจกันแล้ว” พิรัลเอ่ยสำทับอีก “มีอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ ผมหิวข้าวมาก”

นิพัทธ์ส่งสายตามาทางพิรัลก่อนจะยิ้มตามบ้าง เด็กหนุ่มเองก็รู้ว่าคำพูดของพิรัลไม่ต่างอะไรจากการตะโกนใส่หน้าอาของเขาว่าเสือก กรณ์ดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ คำพูดร้ายกาจ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเป็นเรื่องของนิพัทธ์เขาจะให้ความสำคัญในแบบที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ

“คุณตัดสินใจอะไร”

“ผมจะคบกับกานต์ต่อครับ”

“แต่คุณรู้เรื่องนั้นแล้วนะ คุณรับไหวแน่เหรอ”

“ครับ ผมรับรู้แล้วครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนนั้นมันเป็นเรื่องของพวกคุณ แต่หลังจากนี้เรื่องของกานต์เป็นเรื่องของผม”

กรณ์ถอนหายใจยาวก่อนจะมองมาทางหลานของตัวเองที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ผมดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ชีวิตของเขาผ่านเรื่องแย่ๆมาหลายอย่าง คุณช่วยสัญญากับผมหน่อยได้มั้ยครับคุณเจตน์... อย่าทำให้หลานผมเสียใจ ถึงจะเลิกกันในอนาคตผมก็อยากให้คุณเลิกกับหลานผมด้วยดี จบลงด้วยดี  อย่าให้หลานผมต้องเสียใจที่เคยรักคุณ”

“ผมสัญญาครับ”

ชายหนุ่มสองคนอายุไล่เลี่ยกันมองสบตา แม้ใบหน้าของพิรัลจะราบเรียบแต่แววตานั้นมีความหนักแน่น กรณ์อาจรักนิพัทธ์ในแบบที่คนในโลกทั้งใบอาจประนามหยามเหยียด แต่รักของเขานั้นไม่ใช่เพียงการครอบครอง เขาหวังดีต่อนิพัทธ์เสมอมา ท้ายที่สุดแล้วเขาปรารถนาเพียงแค่ให้นิพัทธ์มีความสุข ในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนั้น ช่วงเวลาพักเที่ยงที่พนักงานออกมากินข้าว เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ พวกเขาสามคนร่วมกินข้าวด้วยกันพร้อมกับความรู้สึกอันปลอดโปร่ง





************************************






 :ling3:

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เฮ้อ......รู้ใจตัวเองซะทีนะ คุณเจตน์
อดีต...มันเป็นสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ดีแล้วๆๆๆ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น้องกานต์เป็นคนหนักแน่น​ และเข้มแข็งกว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก​ ดีใจนะที่พี่เจตน์ให้โอกาสน้อง​ ต่อจากนี้ก็รักษาตัวเองนะ​ จะได้อยู่กับน้องนานๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้าใจกันเเล้วก็ดี ขออย่าให้พี่เจตต์เป็นอะไรไปอีกนะคะ ให้น้องกานต์บังคับให้พี่เจตต์กินยาด้วยเลยยย

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่สิบสาม



ตรรกะบางอย่างของพิรัลอาจเป็นสิ่งแปลกประหลาด จำนวนยาสุมกองอยู่ในลิ้นชักข้างเตียงนอนสร้างความฉงนแก่นิพัทธ์ ซองยาที่ถูกเปิดออกมีเพียงซองเดียวแต่นอกเหนือจากนั้นไม่มีซองไหนที่อยู่ในสภาพถูกใช้งาน นี่อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความลำบากใจแก่เด็กหนุ่ม เขาพยายามทำความเข้าใจและเคารพสิทธิตัดสินใจของพิรัลแม้อีกฝากฝั่งความรู้สึกอาจเป็นสิ่งตรงกันข้าม เด็กหนุ่มเฝ้าทวนถามว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่อาจเปลี่ยนใจพิรัลได้บ้าง คำตอบอาจซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดสักแห่งหน และเขาจะไม่ฟุ้งฝันว่าความรักของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของพิรัลได้

คำเกลี้ยกล่อมไม่เคยหลุดจากปากของนิพัทธ์ มันอัดแน่นอยู่ในห้วงความรู้สึก กระนั้นเรื่องที่พิรัลไม่ยอมรับการรักษายังเป็นเสมือนเรื่องต้องห้าม เป็นคำสาปที่ไม่อาจเอ่ยปากได้ เด็กหนุ่มรักพิรัล ไม่มีเหตุผลที่น่าประทับใจเหมือนความรักของคนอื่น แต่เขาไม่สนใจ ความรักที่มีให้พิรัลนั้นรุนแรงและฝังลึก เขาปรารถนาว่ารักครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เขาอยากอยู่กับพิรัลเนิ่นนานเท่าที่ชีวิตนี้จะมีอยู่ได้ แต่พฤติกรรมของพิรัลช่างเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน และนิพัทธ์ไม่มีคำพูด ไม่มีการกระทำใดที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของพิรัลได้
อาการของพิรัลเด่นชัดขึ้นในช่วงพิสูจน์ตัวเองต่อโอกาสที่ได้รับ พิรัลกลับบ้านดึกเพราะทำงาน บางครั้งแทบลืมมื้ออาหารไปเสียด้วยซ้ำ นิพัทธ์นึกแย้งความรู้สึกรักของตัวเอง มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจมอยู่กับคนอย่างพิรัล ความคิดนั้นแทรกเข้ามาตอนที่พิรัลแน่นหน้าอกหลังงานทาวน์ฮอล

ในห้องประชุมซึ่งขนัดแน่นด้วยบุคลากรระดับบริหารของบริษัท และคลาคล่ำไปด้วยพนักงานระดับปฏิบัติการ เสียงพูดคุยทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้ความบ้าง หากนับว่าเป็นเรื่องของหน้าที่การงานคงนับเป็นโอกาสดีของเด็กใหม่อย่างนิพัทธ์ที่ได้ร่วมเข้าประชุมด้วย เขามองพิรัลที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้อง สวมสูทเรียบกริบ ผูกเน็กไท ใส่เสื้อผ้าสีสุภาพ เด็กหนุ่มยอมรับว่าในหัวจินตนาการถึงการร่วมรักทั้งชุดสูทแบบนั้น และไม่ค่อยได้ฟังในสิ่งที่พิรัลพูดสักเท่าไหร่ พิรัลนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของทีมที่สอดคล้องตอบรับต่อแนวทางจากผู้บริหาร ทุกอย่างถูกจัดเตรียมและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เด็กระดับปฏิบัติการอย่างนิพัทธ์ออกจะเริ่มรู้สึกเบื่ออยู่นิดหน่อย แต่เพราะพิรัลมองมาทางเขา มองด้วยสายตาโหยหาต้องการ ไม่ใช่ต้องการในเรื่องอย่างว่า แต่ต้องการที่พึ่งพา ที่ที่จะสามารถทำให้พิรัลสงบลงได้เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา

นิพัทธ์ส่งยิ้มให้ก่อนเห็นสายตาเบื่อหน่ายจากอาของตัวเองที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องประชุม เขาไม่สนใจสักนิด สมาธิของเขาจดจ่ออยู่ที่พิรัล ทุกอย่างที่ด้านหน้านั้นอยู่ในสายตาทั้งหมดจวบจนพิรัลเข้ามานั่งสมทบกับสมาชิกของทีม หวานกล่าวคำชมและนิพัทธ์ดูออกว่าหัวหน้าสาวของเขาภูมิใจในการพรีเซ็นต์งานของพิรัลเป็นอย่างมาก หากแต่เขาไม่อาจแสดงออกได้มากนัก เขาอยากเข้าไปกอด ปลดกางเกง และมอบรางวัลให้แก่พิรัลด้วยการขย่มควบขี่อยู่ด้านบน อาจฟังดูจั๊กกะจี้หูแต่นิพัทธ์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี ร่างกายแข็งแรง และเต็มไปด้วยสมรรถภาพอันเต็มเปี่ยม

ขณะที่ผู้คนกำลังชักชวนพิรัลคุยถึงเรื่องงาน เด็กหนุ่มสังเกตเห็นจังหวะการหายใจที่ดูผิดไปจากเดิม ส่วนพิรัลก็เริ่มใช้จังหวะนั้นขอตัวออกไปด้านนอกอย่างพอดิบพอดี นิพัทธ์เดินตามออกไปเมื่อสบสายตากัน เขารู้แล้วว่าพิรัลอาจอาการกำเริบ เขาไม่ใช่แพทย์แต่พอเดาได้ว่าคงเพราะเรื่องงานที่มีความกดดันสูงมากจึงทำให้อาการกำเริบ พิรัลมุ่งเดินไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ นิพัทธ์รีบเดินตามและไม่ลืมล็อกประตูหลังจากเข้ามา พิรัลนั่งลงบนพื้น เสื้อสูทถอดออกวางไว้ด้านข้าง เด็กหนุ่มเข้าไปช่วยคลายเน็กไท ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าให้

“ผมต้องทำยังไงครับพี่เจตน์”

พิรัลมองมาที่เขาแต่ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงจับมือของเขาไว้และนั่งปวดหนึบที่หน้าอกอยู่เช่นนั้น นิพัทธ์เห็นแล้วว่ามันไร้ประโยชน์ สัมผัสจากคนรักไม่อาจช่วยเหลือกายภาพที่ผิดแผกของพิรัลได้ ในวันนั้นเขานึกคิด คิดว่าความรักเช่นคนรักหรือแม้แต่ความรักจากครอบครัว ยังไม่สามารถทะลุผ่านตรรกะอันแปลกประหลาดของพิรัลได้ เขาควรทำอย่างไร ควรพยายามเข้าใจความคิดบ้าบอของพิรัลหรือควรปล่อยวางดี

ภาพเบื้องหน้าราวกับอยู่ในห้วงอนธการ พิรัลไม่เห็นแสงสีสว่างเช่นนั้นอีกต่อไป ทุกอย่างดำมืดจนเขานึกหวาดกลัว แม้ว่าเรื่องของนิพัทธ์จะคลี่คลายความรู้สึกไปแล้ว แต่โรคที่รุมเร้าอยู่นี้เป็นความจริงที่ไม่คลี่คลายเสียที อุดมการณ์ อุดมคติห่าเหวเหล่านั้นกำลังค้ำคอ เพราะต้นเหตุคือตัวของพิรัลเอง เขาเที่ยวป่าวประกาศ แสดงออกอย่างรุนแรงว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ไม่ต้องการรับการรักษา และพิรัลไม่รู้ว่าควรปลดระวางมันอย่างไร

ชายหนุ่มเคยจินตนาการว่านิพัทธ์อาจจะต้องพยายามพูดเพื่อโน้มน้าว แต่ไม่เลย นิพัทธ์ไม่เคยพูดมันออกมาสักครั้ง เพียงแต่ความเหนื่อยล้าในแววตาได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาเห็นมันก่อนทุกอย่างจะดับมืด พิรัลล่องลอยอยู่ในที่แห่งนั้น ไม่มีแสงสว่างนำทาง เขาอึดอัดและหายใจยากลำบากทุกวินาที ร่างของเขาแหวกว่ายไปในความเวิ้งว้าง ชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่มืดสนิท พิรัลรนรานดีดตัวออกห่าง ก่อนจะขยับไปทางอื่นและพบว่าตัวของเขาถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่างคล้ายแผ่นพลาสติกสีดำ มันรัดที่ข้อเท้าของเขา แผ่ขยายลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายแผ่นบางๆที่คล้ายพลาสติกได้ห่อหุ้มไปทั่วร่าง พิรัลดีดดิ้น เหงื่อแตกพล่าน นิ้วมือของเขาพยายามขยับ พยายามอย่างมากจนรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป แผ่นพลาสติกมีช่องโหว่ เขารีบใช้มือแหวกมันออกมา และในตอนนั้นเขาเห็นมือของใครบางคนที่แหวกผ่านห้วงอนธการ

เสียงพูดคุยดังอยู่เคียงใกล้ ดวงตาของเขาลืมขึ้นและหยีลงเมื่อพบแสงไฟ สมองของเขาประมวลผล ได้ยินเสียงปิ๊ปจากอะไรบางอย่าง มองเห็นบุคคลในชุดสีขาวยืนอยู่ด้านข้างก่อนตามด้วยใบหน้าที่โผ่ลแวบเข้ามาก่อนผละออกไป ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา พิรัลลุกขึ้นนั่ง เสียงปิ๊ปที่ได้ยินมาจากเตียงด้านข้าง บุคคลในชุดขาวคือหมอที่กำลังให้การช่วยเหลือคนไข้รายอื่น พิรัลรู้ตัวว่าอยู่ที่โรงพยาบาลในห้องฉุกเฉิน

“เป็นยังไงบ้างครับพี่เจตน์”

พิรัลหันมองตามเสียง นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านี้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ก็... โอเคอยู่ ยังไม่ตาย” เขาพยายามทำตลก แต่นิพัทธ์กลับไม่แม้แต่ขยับกล้ามเนื้อใดบนใบหน้า

“พี่แจงรออยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ผมกลับก่อนนะครับ”

“กานต์” เขาเอ่ยเรียก หากแต่เด็กหนุ่มเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงใดๆ พิรัลตวัดผ้าคลุมและรีบก้าวเดินตาม เมื่อออกมาด้านนอกเขาเห็นคนรักกำลังร่ำลากับพี่สาวของเขา ไม่ช้าพิรัลรีบสาวเท้าไปคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่านิพัทธ์กำลังจะร้องไห้ แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งจุ๊บแจงก็เข้ามาบอกให้พวกเขาเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลนัก

“กานต์จะกลับยังไง”

“ผมกลับแท็กซี่ครับ”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งแถวรถไฟฟ้าข้างหน้าแล้วต่อแท็กซี่ดีกว่า โทษทีนะที่พี่ไม่ได้ไปส่งที่คอนโด ลูกพี่ก็ป่วยเหมือนกัน” จุ๊บแจงกล่าวพลางปลดล็อคประตูรถ “เด็กป่วยแล้วงอแง พี่โคตรเหนื่อยเลยว่ะ” ท้ายประโยคเธอหันมามองพิรัลที่กำลังแทรกตัวเข้าในรถ

“กานต์ ผมไปค้างที่ห้องด้วยนะ”

“พอดีเดี๋ยวผมจะกลับบ้านครับ ไม่ได้กลับคอนโด”

พิรัลรู้ว่านี่คือประโยคปฏิเสธ และเขาพอจะเดาได้ว่านิพัทธ์กำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง “งั้นผมไปค้างที่บ้านด้วย”

เด็กหนุ่มหันมามอง ดวงตาจ้องที่พิรัลเขม็ง “ที่บ้านไม่สะดวกครับ”

“งั้นกลับบ้านกับผม ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

จุ๊บแจงลอบมองสองหนุ่มจากกระจกมองหลังก่อนจะถอนหายใจยาว เธอเหนื่อยล้าด้วยหน้าที่แม่ซึ่งพ่วงด้วยอาการป่วยของลูกสาว ไหนจะมีน้องชายที่ไม่ยอมดูแลตัวเองอีก เห็นแบบนี้เธอยิ่งเหนื่อยทวีคูณ “พี่ส่งกานต์ข้างหน้าตรงนี้นะ เจตน์ฉันไม่ไปส่งแกที่บ้านนะ ลูกฉันป่วยต้องรีบกลับไปเช็ดตัวให้”

หลังจากจุ๊บแจงเลี้ยวจอดใกล้บริเวณสถานีรถไฟฟ้า ชายหนุ่มสองคนก็ยืนอยู่ตรงริมถนนที่ค่อนข้างร้างผู้คน พิรัลจึงใช้โอกาสนี้ในการถามหาถึงสาเหตุของความหมางเมิน “กานต์โกรธอะไรผมหรือเปล่า”

“ไม่เชิงว่าโกรธครับ ผมแค่มีเรื่องให้คิด”

“เรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ สายตาสอดมองหาแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับไปยังที่พัก

“กานต์ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้กานต์โกรธ ผมขอโทษนะอย่าโกรธผมเลย”

“พี่เจตน์กลับก่อนเลยนะครับ แท็กซี่มาแล้ว”

พิรัลถอนหายใจยาวเมื่อประโยคขอโทษของเขาถูกปัดตกไปอย่างไรเยื่อใยแต่เขาจะไม่ปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้อย่างแน่นอน อย่างไรเสียก็ต้องคุยกับนิพัทธ์ให้รู้ความ เมื่อแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาจอด เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มฉุดให้เข้าแท็กซี่และรวบรัดบอกจุดหมายเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่พิรัลชอบใช้มันเป็นสถานที่พักผ่อนอารมณ์เสมอมา

ตลอดทางพิรัลไม่เซ้าซี้หากว่าคนรักของเขาจะยังไม่อยากพูดจา เขาเข้าใจดีว่าในบางครั้งคนเราก็มีเรื่องที่คิดอยู่เต็มในหัวไปหมดแต่กลับพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นเขาไม่สำเหนียกสักนิดว่าเรื่องที่สร้างความยากลำบากให้แก่นิพัทธ์จะเป็นเรื่องตัวของเขาเสียเอง ในแท็กซี่มีเสียงเพลงลูกทุ่งขับขาน และมีกลิ่นบุหรี่อยู่ด้านใน พิรัลจึงนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาตลอดทางจนถึงสวนสาธารณะ นี่อาจเป็นโชคดีเพราะเขาเจอแท็กซี่ไม่พูดมาก ทอนเงินครบทุกบาททุกสตางค์ และมาส่งถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เวลาล่วงเลยจนพิรัลเพิ่งมานึกคิดว่าสวนสาธารณะอาจจะปิดแล้ว แต่เมื่อมองเวลาบนข้อมือเขาพบว่ายังเหลือเวลาอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าประตูด้านหน้าจะปิดลง เขาจับมือนิพัทธ์แนบแน่นไม่อายสายตาคนที่กำลังออกกำลังกายบริเวณนั้น หากว่ากันตามตรงแทบไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย ผู้ชายสองคนจับจูงมือกันฉันท์คนรักไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แล้ว นิพัทธ์ไม่ยุดยื้อให้ดูมากความ เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะปฏิเสธการพูดคุยครั้งนี้อย่างไร เขาอยากพูดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อพิรัลทั้งหมดแต่เพราะว่าเข้าใจความเป็นพิรัลเขาจึงคิดว่าไม่พูดเสียจะดีกว่า

“บอกพี่ได้หรือยังว่าคิดเรื่องอะไรอยู่”

ทุกครั้งที่พิรัลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแทนตัวเองว่าพี่มักทำให้นิพัทธ์ใจอ่อนยวบยาบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน “ผมยังไม่อยากพูดครับ”

“เรื่องที่คิดเกี่ยวกับอะไรบอกพี่ได้ไหม พี่เป็นห่วงกานต์นะ”

เด็กหนุ่มอยากเถียงกลับว่าห่วงตัวเองเสียก่อนเถอะ แต่เขาก็ยังเงียบงันปล่อยให้พิรัลจับมือเดินไปยังทิศทางตามแต่อีกฝ่ายต้องการ

“เรื่องคุณกรณ์เหรอ”

“ไม่ใช่ครับ”

“หรือเรื่องงานของผม”

นิพัทธ์เบี่ยงหน้าไปมองพิรัลก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น เบื้องหน้าของพวกเขาไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากร่มเงาต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาจากหลอดไฟ ท้องฟ้าในกรุงเทพคงไม่ต้องพูดถึงว่ามันด่างด้อยกว่าท้องฟ้าที่ต่างจังหวัดแค่ไหน ไม่มีดวงดาว มีเพียงแสงจากอุปกรณ์ฝีมือมนุษย์ แต่ความเงียบสงบที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากยานพาหนะต่างๆทำให้พวกเขาเหมือนหลุดออกมาที่อีกโลกใบหนึ่ง เขาควรพูดออกไปดีหรือเปล่า นิพัทธ์วนเวียนถามตัวเองนับล้านครั้ง เขาไม่อยากแสดงออกว่ามันเป็นการทำเพื่อร้องขอ เขาอยากเคารพในความคิดของพิรัล แต่มันทำใจยากลำบากเพราะตัวเขาเองก็ยังต้องการพิรัลมากเหลือเกิน

“ผมรู้ว่าผมทำงานหนักไปหน่อยช่วงนี้ แต่หมดงานทาวน์ฮอลก็ไม่มีอะไรแล้วแหละ กานต์เข้าใจใช่ไหมว่าผมต้องพยายามเรียกความเชื่อมั่นจากพี่หวานคืนมา ผมไม่ได้จะโทษกานต์หรืออะไรเลยนะ ผมโทษตัวผมเองนี่แหละ แต่มันก็ต้องเป็นไปอะกานต์ ผมต้องเวิร์คฮาร์ดหน่อย”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนท้ายที่สุดจะยอมพูดมันออกมา “ผมคิดเรื่องที่พี่เจตน์ไม่ยอมกินยา”

ถึงคราวที่อีกฝ่ายจำต้องชะงักงัน พิรัลไม่คาดคิดว่านิพัทธ์จะเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ผมไม่อยากพูดขอร้องเพราะผมชอบพี่เจตน์ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เรื่องนี้ผมทำใจไม่ค่อยได้ ตอนนี้ก็เลยคิดอยู่ว่าผมควรทำยังไงดี”

“กานต์จะทำยังไง”

“บางทีถ้าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันผมอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้”

หลังจากพูดออกไปนิพัทธ์รู้สึกโล่งอก เขาก้มหน้าลงมองปลายเท้าเพราะยังไม่อยากสบตากับคนรักของตัวเอง

“ผมรู้ว่าพูดอะไรไปพี่เจตน์ก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี ให้พูดขอร้องให้กินยาผมไม่อยากทำเหมือนกัน”

พิรัลถอนหายใจยาว ผิดคาดไปมากกว่าเดิมอีกเพราะเขาเคยจินตนาการว่าหากเมื่อใดที่นิพัทธ์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มตัวขาวของเขาจะต้องเว้าวอนร้องขอให้เขายอมรักษาตัวเอง แต่นิพัทธ์เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว ทั้งที่รู้ว่าเขาอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้แต่ก็ยังไม่ขอร้องเพื่อให้เขาละทิ้งความตั้งใจที่มี นี่เป็นครั้งแรกที่พิรัลฉุกคิดว่าการกระทำของตัวเองได้สร้างความทรมานใจแก่คนรักมากแค่ไหน

“ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงต้องรักคนอย่างพี่เจตน์ ถ้าวันนึงพี่เจตน์ตายไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว ยังรักพี่เจตน์อยู่คนเดียว”

“กานต์ ยังไงสักวันผมก็ต้องตายอยู่แล้ว”

“ผมรู้ แต่ปัจจุบันนี้ล่ะ แม่ผมใกล้จะตายก็คนนึงแล้ว ผมยังต้องมาเจอพี่เจตน์ที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อีกเหรอ แล้วผมล่ะ” เด็กหนุ่มหันมองสบตา ความอัดอั้นในใจของเขาถูกถ่ายทอดออกมาหมดเสียที นิพัทธ์คิดว่าพิรัลอาจโกรธที่เขามีความคิดแบบนี้หากแต่พิรัลไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ชายหนุ่มที่อายุมากกว่านิ่งสงบและรับฟัง ดวงตาที่สบมองบ่งบอกว่าพิรัลรับฟังอยู่ตลอดเวลา “พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะครับ”

พิรัลมีรอยยิ้มปรากฏ เขามองดวงตาของเด็กหนุ่มที่ดูวูบไหวเหมือนกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ใครเล่าจะกล้าดุเด็กหนุ่มคนนี้ เด็กหนุ่มที่เข้มแข็งสำหรับพิรัล “กลัวพี่โกรธเหรอครับ”

นิพัทธ์ยินยอมด้วยการพยักหน้า

“พี่ไม่โกรธกานต์หรอก พี่รักกานต์ตั้งขนาดนี้ พี่จะโกรธได้ยังไง”

“ก็ผมกังวลนี่”

“เอาเป็นว่าพี่รับฟังสิ่งที่น้องพูดทั้งหมดแล้วนะ อยากบอกอะไรพี่อีกมั้ย”

คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ

พิรัลมองเด็กหนุ่มเต็มตาก่อนเผยยิ้มกว้าง “ถ้างั้น... กานต์ครับ เราไปคุยกันต่อที่ห้องได้มั้ย”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเป็นเชิงสงสัย

“พี่อยากคุยกับกานต์ทั้งคืนเลย” ท้ายประโยคถูกกระซิบที่ข้างหู พิรัลไม่ขยับห่างเขาจูบที่ใบหู ลามลงมาที่แก้ม และแม้ว่าจะมีสายตาจากคนที่มาออกกำลังกายลอบมองแต่พิรัลยังคงโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวเอาไว้ “ว่าไงครับ พี่กลับห้องกับกานต์ได้มั้ย”

นิพัทธ์พอจะเข้าใจความหมายของการกลับห้องดี เขาพยักหน้าก่อนจะเผยยิ้มที่ดูเขินอาย

ณ ที่ตรงนั้น วงกลมที่เคยแตะกันเพียงเส้นรอบวง ตอนนี้วงกลมของพวกเขาค่อยประสานแนบแน่นมากขึ้นทุกช่วงขณะ



นิพัทธ์ทอดกายนอนขณะปล่อยให้พิรัลรุกเร้าท่อนเนื้อที่แข็งชัน เด็กหนุ่มแทบสะกดกลั้นไม่อยู่น้ำขาวขุ่นไหลพุ่งอยู่ในโพรงปากของพิรัล มันไหลเลอะออกมาเล็กน้อย เขาหอบหายใจแรงมองดูพิรัลปาดเช็ดปากพลางขยับกายเข้ามาคร่อมทับ ยอดอกตรงหน้าถูกดูดดุนและขบเม้มไม่เบาแรงหากนิพัทธ์กลับหายใจติดขัดด้วยรู้สึกเสียวซ่าน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าโอบรั้งใบหน้าอีกฝ่าย ครวญครางเป็นสุขเมื่อนิ้วมือรุกรานเข้าในช่องลับหลืบ หากว่ากันตามตรงเขาอยากให้พิรัลสอดใส่เข้ามาเสียเต็มประดาแต่พิรัลยังรั้งรอเล่นแง่ ศีรษะของพิรัลเคลื่อนต่ำลงอีกครั้ง รั้งสะโพกของนิพัทธ์จัดท่วงท่าให้เหมาะสม เขาใช้ลิ้นกับช่องทางด้านหลัง มันชื้นแฉะด้วยน้ำลาย นิพัทธ์ร่ำร้อง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชอบมากแค่ไหนยามเมื่อถูกพิรัลปรนเปรอให้เช่นนี้ ส่วนหน้าของเขาขยายตัวแต่ยังไม่ถึงที่สุด ส่วนล่างของเขาเกร็งขืนเมื่อพิรัลลงลิ้นหนักขึ้น นิพัทธ์ขยุ้มกลุ่มผมคนอายุมากกว่า ร้องบอกว่าเสียวซ่านเพียงใด

พิรัลเงยหน้า ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับคนใต้ร่างอีกครั้ง ส่วนแข็งขืนของเขาเสียดสีท่อนล่างของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากลากผ่านผิวกาย จมูกซุกไซ้ซอกคอ “น้องชอบมั้ยครับ”

ดวงตานิพัทธ์เคลิบเคลิ้ม ชายหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“ไหนบอกพี่ซิ อยากให้พี่ทำอะไรต่อครับ” พิรัลกล่าวติดชิดริมฝีปาก มือของเขาลูบไล้ยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่าง บีบเค้นที่ท่อนเนื้อของเด็กหนุ่มตัวขาว “อยากให้พี่เลียตรงนี้ให้อีกมั้ยครับ”

นิพัทธ์ส่ายหน้า ริมฝีปากยกยิ้ม “น้องเสียวตรงนี้ครับพี่เจตน์” นิพัทธ์จับมืออีกฝ่ายล้วงเข้าไปลูบไล้ร่องหลืบ “ทำให้เสียวกว่านี้ได้มั้ยครับ”

พิรัลยิ้มกริ่มและคิดว่าถ้านิพัทธ์ยังเย้ายวนอยู่แบบนี้เขาคงได้ตายคาอกเข้าสักวัน ชายหนุ่มขยับตัวจูบริมฝีปากช่างพูดนั่นพลางใช้ส่วนปลายของอวัยวะบุกเบิกช่องทางด้านหลัง ในส่วนนั้นซึ่งคับแน่นถูกดุนดันเข้าไปทีละน้อย พิรัลครางเครือในลำคอด้วยความพออกพอใจเมื่อถูกความอ่อนนุ่มโอบรัด เขาขยับแผ่วเบาด้วยต้องการซึมซับช่วงเวลานี้ไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ

ใบหน้าผละจูบออกมามองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ริมฝีปากยกยิ้มเมื่อเห็นว่านิพัทธ์จดจ้องมาเช่นกัน เขาอดจูบที่แก้มอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งจูบทั้งหอมและดอมดมผิวกายไปทั่ว นิพัทธ์ตอบรับเป็นอย่างดี มือสองข้างกอดประคอง สองเรียวขาโอบรับสะโพกที่ขยับอย่างเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่รู้จักพิรัลมาเขาเริ่มติดใจรสรักอันเชื่องช้าทว่าหนักหน่วงถึงใจในช่วงที่ถูกที่ควร หากว่ากันถึงอดีตทุกอย่างเร่งรีบและร้อนแรงไปเสียหมด นิพัทธ์เองก็เพิ่งได้เรียนรู้ว่าบทรักที่ไม่รีบเร่งของพิรัลนั้นทำให้เขาสั่นสะท้านมากเพียงใด

สัดส่วนอวบอัดคับแน่นอยู่ในร่องหลืบ มันขยับเข้าอย่างเชื่องช้าและหนักหน่วงในช่วงท้าย ร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวไหวเอนไปตามแรง พวกเขาไม่มีท่วงท่าพิสดารอัศจรรย์พันลึก มันเป็นเพียงท่าร่วมรักแสนธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์วาบไหว พิรัลมองสบตา ใบหน้าที่เห็นจมูกเป็นสันชัดเจนเอ่ยเย้า นิพัทธ์ยิ้มอายก่อนจะเย้ากลับบ้าง ความสุขในค่ำคืนนั้นเติมเต็มอารมณ์หมายหลังจากที่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาพักหนึ่ง

“น้องคิดถึงพี่เจตน์”

“หืม เราก็เจอกันทุกวันนี่”

“เจอหน้าทุกวันแต่พี่เจตน์ก็เอาแต่งาน ไม่เห็นเอาน้องเลยครับ” นิพัทธ์กล่าวแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

พิรัลหัวเราะและยังคงมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าด้วยแววตาพึงใจ “ช่างพูด” เขาจูบบนริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติ ท่อนล่างเริ่มเร้าจังหวะมากขึ้นด้วยเพราะทนต่อความเย้ายวนชื้นแฉะนั่นไม่ไหว เสียงครางครวญเคล้าเสียงผิวเนื้อ พิรัลไม่แน่ใจนักว่าตัวเองได้เร่งเร้าจังหวะรักมากเกินไปหรือเปล่า เขายังไม่อยากให้เวลานี้จบลงแต่เรือนร่างที่นอนระทวยอยู่ในอ้อมอกนี้ก็เกินทานทนเสียเหลือเกิน นิพัทธ์จูบเขา นิพัทธ์โอบกอดร่างเขาไว้และบอกรัก ดวงตาพิศมองมายังเพียงพิรัลผู้เดียว เขารักช่วงเวลานี้และไม่อยากให้มันจบลงเร็วนัก

“รักพี่มั้ยครับ”

“รักครับ”

ชายหนุ่มจูบบนหน้าผาก ผิวกายอ่อนละมุนตราตรึงจนหัวใจสั่นระรัว “พี่ก็รักกานต์ครับ” น้ำเสียงของเขาแม้จะเบาแต่จริงใจ ทุกคำพูดล้วนผ่านการคิดในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

พิรัลผละตัวออกมา จัดท่วงท่าให้สอดคล้องกันเขาเริ่มรบเร้าร่องหลืบของนิพัทธ์มากขึ้น ความเสียวซ่านก่อเกิดดำเนินต่อไป มือสองข้างโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อรองรับการรุกรานที่หนักหน่วงมากขึ้นทุกที ภายในของนิพัทธ์ให้ความรู้สึกดี อีกทั้งยังความรู้สึกจากทางใจ ทุกอย่างกำลังรุมเร้าให้พิรัลและนิพัทธ์ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายเดียวกัน พวกเขาร่ำบอกรักกันอีก มันหวานฉ่ำหยดหยาดอยู่ในห้วงความรู้สึก นิพัทธ์สอดนิ้วประสานตอบรับอีกฝ่าย มองใบหน้าที่โน้มเข้าหาก่อนริมฝีปากจะถูกจูบ

เขาบอกให้พิรัลสุขสมเพราะตนเองก็ใกล้ถึงฟากฝั่งเต็มที ช่องทางด้านหลังบีบรัด คลายออก และบีบรัดอีกครั้งยามเมื่อพิรัลปลดปล่อยความวาบหวามทั้งหมดที่มีในร่องหลืบนั้น พิรัลรั้งร่างอีกฝ่ายให้นั่งบนตัก ใช้มือรูดรั้งส่วนตื่นตัวของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากดูดดึงยอดอก พาอารมณ์อันอ่อนไหวทะยานให้ถึงจุดหมาย นิพัทธ์กอดเขาแนบแน่นและผลของความสุขสมนั้นอยู่ในอุ้งมือของพิรัล
ชายหนุ่มอายุมากกว่าแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกแน่นตึงด้วยมัดกล้ามพอดิบพอดี ในท่วงท่านั้นทำให้นิพัทธ์สามารถก้มลงจูบตรงกลางกลุ่มผมได้อย่างถนัดถนี่ เขาโอบกอดพิรัล จูบซ้ำย้ำไปมาที่กลุ่มผมตัดสั้น มันอาจชื้นเหงื่อไปบ้างแต่เขาชอบกลิ่นอายของคนรักจนไม่อยากผละตัวหนีหายไปไหน

พิรัลเงยหน้าขึ้นเด็กหนุ่มจึงจูบที่หน้าผาก มองคนรักด้วยรอยยิ้ม เขาไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่พิรัลยังรักเขาแบบนี้ รักษาตัวเองด้วยการทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกประการ นิพัทธ์รู้สึกเต็มตื้นในหัวอก เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงรักพิรัลและอยากอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ แต่เขาพร้อมเหลือเกินกับการใช้ชีวิตสืบต่อไปกับพิรัล เขารักพิรัลและหวังแค่ได้ความรักกลับคืนมา เพียงแค่รักก็พอแล้ว

หลังจากนัวเนียยืดยาดกันอยู่บนเตียงนานสองนาน พิรัลจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มไปทำธุระในห้องน้ำเหมือนเช่นเคย เขาคว้ากางเกงขึ้นมาสวมใส่และเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ในนั้นบรรจุของทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นหลากหลายอย่าง พิรัลมองซองยามากมายของตัวเอง เขาใส่มันเข้ามาในกระเป๋าตอนไหนยังแทบจำไม่ได้ ยังไม่รวมถึงซอองยาที่เหลือในลิ้นชักที่บ้านของตัวเอง พิรัลหยิบมันขึ้นมาดูพลิกหน้าพลิกหลัง บ้างให้กินหลังอาหารสี่เวลา บ้างให้กินสามเวลา ดวงตาสีเข้มมองของตรงหน้า ครุ่นคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาทิ้งยาทั้งหมดลงถังขยะ รวบถุงที่รองขยะ มัดปากถุง และนำมันออกไปทิ้งที่ด้านนอก

พิรัลยังคงเป็นพิรัล เป็นคนที่ไม่อาจละทิ้งอุดมการณ์อันน่าแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ทันท่วงที บางครั้งความคิดที่ไม่เข้าท่านี้คงเกินเยียวยา




************************************




 :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 20:17:01 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
แซ่บมาก ศีลเสมอกันดีจีงๆนะคะเรื่องบนเตียง   :hao6: :hao6:
แต่พี่เจตตตตตตตตตน์ ยังคงน่าตีเหมือนเดิม ไม่อะไรมาฉุดรั้งให้พี่เจตน์อยากกินยาเลยหรอ
ไม่เข้าใจตรรกะแปลกประหลาดของพี่เจตน์ เมื่อไหร่จะยอมดูแลตัวเองค้า
ก็รู้ว่าต้องตาย แต่กินยามันก็ช่วยให้่อยู่นานขึ้นนะ งอนพี่เจตน์  :hao4: :angry2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ต้องเห็นน้องร้องจนตายก่อนไหมถึงจะกินยา  :katai1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่เจตน์ก็นะ จะรักอุดมการณ์ของตัวเองไปไหน ทำแบบนี้มันดูเห็นแก่ตัวเกินไปอ่ะ ไม่นึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังเลย

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เจตต์ต้องคิดเเล้วนะว่าต่อไปนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวเเล้วอะ มีน้องด้วยเเล้ว ไม่อยากอยู่กับน้องไปนานๆหรอ รักน้องก็อย่าทำให้น้องเสียใจเลย เราเห็นด้วยกับประโยคที่น้องบอกว่า"ถ้าวันนึงพี่เจตน์ตายไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว ยังรักพี่เจตน์อยู่คนเดียว” มันจริงมากๆอะ พี่เจตต์อย่าใจร้ายกับน้องเลย รักษาตัวเถอะ ฮืออออ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ตอนน้องบอกว่าเหลือแค่น้องที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว มันบีบหัวใจอะ พี่เจตน์ไม่สงสารน้องเหรอ

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เจตน์นี่....รักน้องมั่งมั้ย ทำไมต้องทำให้น้องไม่สบายใจด้วยล่ะ
อยู่กับน้องไปนานๆไม่ได้หรอ เฮ้อ :serius2:

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตอนที่สิบสี่



“พี่เจตน์อย่าลืมกินยานะครับ”

“ครับ ไม่ลืมครับ”

ประโยคง่ายๆที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ทำให้นิพัทธ์เบาใจไปได้บ้าง แม้จะไม่มีคำสัญญาแน่ชัด ไม่มีคำพูดใดจากพิรัลที่บ่งบอกว่าจะกินยาตามแพทย์สั่ง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินพิรัลตอบรับเมื่อเขาบอกเตือนให้กินยา ไม่มีทีท่าอิดออดบ่ายเบี่ยง มันทำให้นิพัทธ์เชื่อสนิทใจว่าพิรัลอาจได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นแล้ว หากนิพัทธ์ไม่ล่วงรู้สักนิดว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา หนึ่งอาทิตย์ที่แสนสงบสนุก พิรัลยังคงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ

นิพัทธ์มองความเป็นจริงตรงหน้า เลือดในการสูบฉีดมันรุนแรงขึ้นด้วยอารมณ์หลากหลาย ซองยาที่ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้านของพิรัลทำให้เขาผิดหวังจนถึงที่สุด เขาไม่คาดคิดว่าวันใดวันหนึ่งต้องมาแอบยืนเสียใจเพียงลำพังที่ข้างถังขยะใบใหญ่ มันดูช่างน่าอนาถใจเหลือทน

ก่อนหน้านี้เขามาเยี่ยมเยียนครอบครัวของพิรัลตอนช่วงสายของวันอาทิตย์ แม่ของพิรัลเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มจะมาหาเธอจัดเตรียมน้ำพริกเห็ดอย่างที่นิพัทธ์ชอบให้ เธอโอบรับความสัมพันธ์ระหว่างพิรัลและนิพัทธ์ตราบเท่าที่เด็กสองคนนี้จะมีความสุข นิพัทธ์กินข้าวเช้าในช่วงสายจนอิ่มท้อง เขากับพิรัลช่วยกันเก็บโต๊ะอาหารและล้างจานชาม จากนั้นพิรัลปลีกตัวขึ้นข้างบนเพื่อเก็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งสำหรับการไปค้างคืนกับเด็กหนุ่ม ขณะที่นิพัทธ์ไปช่วยพ่อของพิรัลทำชั้นวางกระถางต้นไม้อยู่นอกบ้าน ทุกอย่างดูเป็นปกติสุขดีตามที่เคยเป็นเสมอมา

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพ่อต้องพาแม่ไปซื้อของใช้เข้าบ้านอีก กานต์ไปพักเถอะลูก” พ่อของพิรัลกล่าวเช่นนั้นขณะสายตาสอดส่ายมองชั้นวางกระถางต้นไม้ที่ประกอบขึ้นเอง “กานต์ว่าเจ้าแมวข้างบ้านมันจะมาทำกระถางของแม่เขาตกแตกอีกมั้ย พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี คราวที่แล้วมันมาเดินย่ำบนต้นไม้ของแม่เขา ทำต้นกระบองเพชรเขาตายอีก”

“ถ้าเอาไม้มาตีพาดตรงกลางระหว่างชั้นผมว่าน่าจะช่วยได้นะครับ อย่างน้อยไม่น่าจะโดนแมวปัดตก”

พ่อของพิรัลพยักหน้ารับรู้พลางวางสิ่งของไว้ที่เดิม “อืม ดี เดี๋ยวพ่อจะลองทำดู ตามสบายนะลูก พ่อไปอาบน้ำล่ะนัดแม่เขาไว้ตอนบ่ายสอง”

นิพัทธ์รับคำไปตามเรื่องตามราว สายตามองตามหลังผู้สูงวัยจนลับตาก่อนตัวเขาจะเดินหลีกไปอีกทาง เด็กหนุ่มนึกอยากบุหรี่แต่คิดว่ามันไม่เหมาะสมหากจะทำตามอำเภอใจ เขาจึงเลี่ยงออกมาสูบบุหรี่ที่นอกบ้าน อยู่ในมุมที่พิรัลแนะนำเพราะตัวพิรัลเองก็มักออกมาสูบบุหรี่ที่จุดนี้หลายครั้ง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะปิดบังอะไรแต่เพราะควันพิษจะได้ไม่รบกวนคนอื่น นิพัทธ์คาบบุหรี่ไว้ในปาก ส่วนมือกดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ปกติแล้วเขาไม่ได้ติดบุหรี่อะไรมากนักแต่มีบ้างที่นึกอยากสูบมันเป็นครั้งคราว ไม่ผิดแผกไปจากเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

เขาเล่นเกมไปได้พักหนึ่ง นานจนทำให้บุหรี่มอดไปเกือบครึ่ง สายตาที่เคยจดจ้องหน้าจอมาเป็นเวลาพักใหญ่ละมองไปทางอื่น เด็กหนุ่มเห็นพิรัลเดินออกมาจากประตูบ้าน หอบถุงขยะหนึ่งถุงใหญ่มาทิ้งก่อนตามด้วยถุงขนาดย่อมสีสว่างและเดินกลับเข้าบ้าน นิพัทธ์ขยับเปลี่ยนท่า อัดสูบบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะดับมันลง ตั้งใจจะเข้าไปนั่งเล่นเกมต่อในห้องของพิรัล เขาเดินไปทิ้งมวนบุหรี่ที่เหลือในถังขยะใบใหญ่ สายตาเหลือบมองเห็นของที่พิรัลทิ้งไว้ ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะคิดว่าคงเป็นขยะ แต่แล้วถุงสีสว่างกลับสะดุดตา เขาหยิบมันขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นถุงจากโรงพยาบาล ในใจเริ่มนึกสงสัย ลางสังหรณ์บางทำให้เขารู้สึกไม่สู้ดีนัก นิพัทธ์เปิดถุงดู เห็นซองยามากมายหลากหลาย เขาคิดว่าอาจเป็นยาที่หมดอายุ แต่ก็ไม่น่าจะใช่อีกเพราะยาเฉพาะโรคเฉพาะทางหมอต้องจ่ายยาให้พอเหมาะอยู่แล้ว และบนฉลากก็ระบุวันเวลาที่จ่ายยาให้อย่างชัดเจน

สองเท้าย่ำอยู่ที่เก่า สมองประมวลผล หลังจากเกิดเรื่องต่างๆมากมาย นิพัทธ์คิดว่าพวกเขาเข้าใจกันดี พวกเขาเห็นตรงกัน และมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน แต่มาวันนี้นิพัทธ์รับรู้ได้ว่าบนเส้นทางระหว่างพวกเขาสองคนยังห่างไกล พิรัลยังหยุดอยู่ที่เดิม ไม่แปรเปลี่ยน กาลเวลา วาจา หรือแม้แต่รักที่มอบให้ยังคงเข้าไม่ถึงความเป็นพิรัล เขาไม่เข้าใจพิรัล ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจ นิพัทธ์มองถุงยาในมือและครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป

นิพัทธ์ไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่เวลานี้เขาเสียใจเหลือเกิน เขารู้สึกเหมือนว่าได้สูญเสียช่วงเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขารักอยู่กับใครบางคนที่ไม่ยอมสละบางอย่างเพื่อคนอื่นบ้างเลย นิพัทธ์นึกเศร้าใจและบางอย่างกำลังสะกิดความเชื่อมั่นให้สั่นคลอน พิรัลรักเขาบ้างหรือเปล่า หากรักกันทำไมพิรัลจึงไม่พยายามทำทุกทางให้รักครั้งนี้คงอยู่สืบนานเท่านาน นิพัทธ์ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงความคิดของพิรัลแม้น้อยนิด เวลานี้มันเกินกว่าทานทน เขารับไม่ไหวแล้ว

พิรัลยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนรักเดินเข้ามาในบ้าน เขาโอบกอดคนตัวขาว ได้กลิ่นบุหรี่เบาบางยามเมื่อจูบบนกลุ่มผมอีกฝ่าย แต่เพราะถุงยาในมือของนิพัทธ์ทำให้สีหน้าระรื่นชะงักลง เขาไม่รอบคอบเอง เขาคิดว่านิพัทธ์น่าจะไปยืนกินขนมอยู่ในห้องครัวหลังจากช่วยพ่อซ่อมนู่นซ่อมนี่เหมือนที่ผ่านมา ไม่คิดเลยว่าวันนี้นิพัทธ์นึกอยากสูบบุหรี่ ไม่คิดด้วยซ้ำว่านิพัทธ์จะเฉียดใกล้ถังขยะใบนั้น

“พี่เจตน์ไม่กินยาเหรอครับ”

ชายหนุ่มอายุมากกว่าพูดไม่ออก

“ผมถามหน่อยได้มั้ยว่าทำไมถึงไม่ยอมกินยา”

พิรัลมองคนตรงหน้า ดวงตาที่สบด้วยอยู่นี้ดูอ่อนล้า “ผมขอโทษ”

“ผมไม่อยากได้คำขอโทษ ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่เจตน์ถึงไม่กินยา”

“กานต์ ไว้ค่อยคุยได้มั้ย ผมไม่อยากให้แม่ได้ยิน”

นิพัทธ์เงียบลงไม่พูดอะไรต่ออีก หากแต่เด็กหนุ่มวางถุงยาไว้บนโต๊ะบริเวณนั้นก่อนเดินไปทางหน้าบ้าน เขาไม่มีท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพียงแค่เดินออกไปตามปกติ พิรัลก้าวตามด้วยรู้ว่าหากไม่รั้งไว้คงได้ทะเลาะใหญ่โต แต่ทันทีที่จับแขนนิพัทธ์ได้ เด็กหนุ่มกลับขืนแรงออกและหันมาเผชิญหน้า

“ผมไม่ไหวแล้วครับพี่เจตน์ ผมพยายามมองข้ามเรื่องนี้แต่ผมทำไม่ได้”

“กานต์ ผมแค่ไม่อยากให้แม่รู้เรื่องนี้ ไว้แม่ออกไปกับพ่อก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน ใจเย็นหน่อยสิ”

“ทะเลาะอะไรกันลูก”

เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นอยู่ด้านหลัง แม่ของพิรัลในชุดพร้อมออกไปข้างนอกยืนอยู่บนขั้นบันไดด้วยสีหน้าฉงน

“ไม่มีอะไรครับแม่”

“เจตน์...” เธอปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พิรัลรู้ตัวว่าไม่อาจโกหกต่อหน้าแม่ได้อีก เขาจึงเลือกที่จะเงียบ

“ผมขอเลิกกับพี่เจตน์ครับคุณน้า” เสียงของนิพัทธ์ไม่ราบเรียบเช่นเคย มันสั่นเครือราวกับพยายามสะกดกลั้นความเสียใจที่กำลังถาโถมอยู่ตอนนี้

แม่ของพิรัลมีหน้าตกใจ แต่เพราะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวไปมากกว่าที่ได้ยินเธอจึงยังไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นอะไร “ใจเย็นกันก่อนลูก ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน”

เด็กสองคนตรงหน้าเงียบงัน ไม่มีใครพูดหรือแม้แต่ขยับตัว

“บอกแม่ได้มั้ยว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร”

พิรัลอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบลง เขาหาเรื่องแก้ตัวไม่ทัน

“ผมขอโทษครับคุณน้า” นิพัทธ์เอ่ยแล้วยกมือไหว้ “ผมขอกลับก่อนนะครับ”

“กานต์ลูก อย่าเพิ่งไป มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เธอเดินเข้ามารั้งตัวเด็กหนุ่มไว้ ลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักแม่นยำเสมอ เธอรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การทะเลาะกันจากเหตุของมือที่สาม หรือเรื่องหยุมหยิมตามประสาคนรัก มันมีอะไรมากกว่านั้น

นิพัทธ์ไม่กล้าฝืนแรงแม่ของพิรัล เขาได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม “ผมทำใจไม่ได้ครับคุณน้า เรื่องที่พี่เจตน์...ไม่ยอมรักษาตัวเอง ผมพยายามจะเข้าใจ แต่ผมทำไมได้ครับ”

แม่ของพิรัลถอนหายใจยาวก่อนปล่อยมือที่รั้งแขนนิพัทธ์ไว้ “งั้นกลับไปเถอะลูก”

“แม่ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” พิรัลโวยวายขึ้น สีหน้าดูร้อนรนเมื่อเห็นนิพัทธ์หันหลังเดินออกไป

“เจตน์ ปล่อยน้องไปเถอะ”

“ปล่อยได้ยังไงล่ะแม่”

“เจตน์...” น้ำเสียงของเธอเข้มขึ้น สีหน้าที่มักดูใจดีมีเค้ามูลของความจริงจังปรากฏขึ้น “แม่ขอพูดอะไรหน่อยนะ แม่รู้ว่าเจตน์ไม่เคยกินยาเลย ไปหาหมอก็จริงแต่แม่รู้ว่าเจตน์ไปเพื่อให้แม่สบายใจ”

พิรัลทำท่าจะเถียงแต่เขากลับเงียบปากสนิท ความจริงที่แม่กำลังพูดออกมาทำให้เขาจุกปรี่

“ทุกคนในบ้านรู้หมดแหละว่าเจตน์ไม่ได้รักษาตัวเองเลย อาการกำเริบตอนไหนบ้างแม่ก็พอดูออก แต่แม่ไม่ได้พูดแค่นั้นแหละ เจตน์รู้มั้ยว่าสิ่งที่เจตน์เลือกทำให้แจงลำบากแค่ไหน อาทิตย์ก่อนนู้นน้องจ๋าเป็นไข้ ใหญ่ก็ไปทำงานที่ต่างจังหวัด แต่แจงก็ต้องไปหาเจตน์ที่โรงพยาบาล ทิ้งจ๋าไว้ที่บ้านคนเดียว ดีนะว่าจ๊ะจ๋าพูดรู้เรื่อง ถ้าเป็นเด็กคนอื่นแม่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

พิรัลยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย แม้ว่าน้ำเสียงของแม่จะไม่ได้ต่อว่าต่อขาน แต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังสะกิดเปิดทางให้เขายอมรับฟังบ้าง

“แม่รู้เรื่องนี้เพราะแม่โทรหาแจงแล้วแจงไม่รับสาย แม่ก็เลยโทรหาใหญ่ จะถามว่าหลานเป็นยังไงบ้างแต่กลายเป็นว่ารู้เรื่องของเจตน์แทน แม่ก็อดที่จะถามไม่ได้หรอกนะ ทั้งลูกทั้งหลาน” เธอว่าเช่นนั้นแล้วเผยยิ้มเบาบางก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวเดิมในมุมโปรดของเธอ

ชายหนุ่มเดินตามมาด้วยสีหน้าสลดลง แต่ยังคงเงียบปาก

“เจตน์ลูก แม่ไม่รู้ว่าทำไมเจตน์ถึงคิดอะไรแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรแม่เข้าใจได้เพราะเจตน์เป็นลูกของแม่ แจงก็ไม่เคยว่าอะไรเจตน์เลยเพราะเจตน์เป็นน้อง แต่เจตน์ไม่ลองคิดถึงแจงบ้างเหรอ ลองคิดหน่อยมั้ยว่าเจตน์ทำให้แจงลำบากแค่ไหน แล้วเจตน์จะยังทำให้แจงต้องลำบากต่อไปอีกเหรอ แล้วเรื่องกานต์...”

คราวนี้พิรัลมองสบตาผู้เป็นแม่ หัวใจของเขาเต้นสั่นระรัวไปหมด

“ปล่อยน้องไปก่อนเถอะลูก แต่แม่อยากให้เจตน์ลองคิดว่ารักของเจตน์ทำให้กานต์มีความสุขมั้ย ถ้ามีความสุขทำไมกานต์ถึงยังเสียใจกับสิ่งที่เจตน์เลือกล่ะ เจตน์อยากให้คนรักของเจตน์ต้องทนอยู่กับสิ่งที่เจตน์เลือกเหรอ ทำไมกานต์ต้องทนเพราะเจตน์ล่ะ อยากรักเขา อยากอยู่กับเขา อยากไปง้อเขา แต่เจตน์คิดบ้างมั้ยว่าสิ่งที่เจตน์เลือกทำให้กานต์ลำบากแค่ไหน แล้วทำไมต้องทำให้เขาลำบากล่ะลูก”

เธอจับมือลูกชาย มองตาและมอบรอยยิ้มอันโอบอ้อมอารีให้ “กานต์เขารักเจตน์นะ เขานึกถึงแต่เจตน์ แล้วเจตน์ล่ะเมื่อไหร่จะนึกถึงใจน้องบ้าง อย่ามองแต่ตัวเองสิ”

พิรัลรับฟัง อย่างน้อยท่าทีอ่อนโอนก็เป็นสัญญาณอันดีงาม เพราะหากเป็นปกติแล้วเพียงแค่เอ่ยปากเกี่ยวกับโรคที่รุมเร้าเจ้าตัว พิรัลแทบจะเดินหนีและทุ่มเถียงไม่ยินยอมรับฟังเลย เธอจับมือพิรัล แม้จะตัวโตสูงใหญ่ ดูเป็นคนขึงขังจริงจังกับหน้าที่การงาน แต่พิรัลกลับไม่เอาไหนเรื่องความรัก เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอมีความคิดประหลาดที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่สามารถโอบรับตรรกะแปลกแยกเป็นเพราะเธอคือครอบครัวของพิรัล แต่กับคนอื่นเธอไม่ต้องการให้ลูกของเธอสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และหากยังมีโชคดีติดตัวอยู่บ้าง เธออยากให้พิรัลคิดได้เสียที มันอาจสายเกินไปแต่อย่างน้อยลูกของเธอจะได้เรียนรู้ สำนึกในการกระทำของตัวเอง และไม่คิดประพฤติอย่างที่เคยเป็นมาอีก

“เจตน์ลูก...”

“ครับ”

“ถ้าไปง้อกานต์แล้วเขายังไม่ยอมคืนดีเจตน์จะทำยังไง”

“ต้องยอมสิแม่”

เธอมองลูกชายด้วยแววตาครุ่นคิด “อย่าเพิ่งไปตามกานต์ตอนนี้เลย แม่อยากให้เจตน์ทบทวนความรู้สึกของตัวเองก่อน”

พิรัลเงียบไม่โต้ตอบอะไร

“เอาล่ะ แม่จะออกไปข้างนอกกับพ่อ เจตน์จะไปด้วยมั้ย”

“ไม่ครับ”

“เจตน์ลูก… ทุกคนรักเจตน์นะ ทำอะไรคิดให้เยอะหน่อย”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนเดินหายขึ้นไปบนตัวบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เฮ้อ... เมื่อไหร่จะโตสักที”

เสียงจากคนเป็นพ่อดังขึ้นเมื่อเห็นลูกชายเดินขึ้นบ้านไปแล้ว คนเป็นแม่หันมาส่งยิ้มให้ก่อนคนสูงวัยจะกอบกุมมือกัน และภาวนาให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี



ด้วยความสัตย์จริงนิพัทธ์ไม่หวังให้พิรัลตามมาอธิบายสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเหนื่อยหน่ายและไม่อยากรับฟังคำเลื่อนเปื้อนจากพิรัล จะว่าโกรธก็ไม่เชิงเพราะเขาไม่นึกโกรธพิรัล เพียงแต่น้อยใจว่าทำไมความรักของเขาที่มีให้พิรัลจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ มาทบทวนเรื่องราวทั้งหมดบางทีคำตอบมันง่ายเพียงนิดเดียว พิรัลคงไม่ได้รักเขามากพอสำหรับการรักษาความสัมพันธ์นี้ให้คงอยู่นานเท่านาน และหากเป็นเช่นนั้นนิพัทธ์ท้อถอยเกินกว่าจะพยายามแล้ว

เขานั่งรถแท็กซี่กลับมาที่คอนโดของตัวเอง ระหว่างนั้นพิรัลไม่ได้โทรหาสักครั้ง ไม่ส่งข้อความ ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมา ใจของนิพัทธ์วูบโหวงไปช่วงหนึ่งแต่อีกส่วนหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว หากรักกันไม่มากพอก็ไม่มีประโยชน์จะรั้งรอสิ่งใดอีก ทั้งนี้ไม่เชิงว่าเขาหมดหวังในตัวพิรัลเพียงแต่ความผิดหวังเสียใจกำลังแสดงออกมามากกว่า





ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1


ในเช้าวันรุ่งขึ้น วันจันทร์ที่มนุษย์เงินเดือนต่างหนีไม่พ้นวังวนคนทำงาน นิพัทธ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาขึ้นรถไฟฟ้ามาทำงานตามเวลาปกติ ไม่เคยนึกหนีหน้าพิรัล ไม่เคยอยากหนีหายไปไหน เพียงแต่เมื่อได้เจอหน้ากันแล้วเขาพบว่ามันยากเหลือเกินกับการทำตัวให้เป็นปกติ ทางเลือกที่มีก็มีเพียงน้อยนิด หรือไม่มีเลยต่างหาก นิพัทธ์เดินเข้าคอกไปตามปกติเหมือนเคย

พิรัลนั่งอยู่ที่เดิม เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเข้ามาทำงานแล้วจึงขยับเข้าไปใกล้ มีอาหารเช้าแบบง่ายยื่นให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา หากแต่วันนี้นิพัทธ์กลับลังเลที่จะรับ พวกเขาอยู่ในช่วงประดักประเดิดเข้าหน้ากันลำบาก

“ขอบคุณครับ”

นิพัทธ์เอ่ยขึ้น หัวใจของพิรัลเริ่มสดใสขึ้นบ้าง หากแต่ประโยคถัดมากลับทำให้หัวใจห่อฟีบลง

“คราวหน้าพี่เจตน์ไม่ต้องลำบากซื้อมาให้ผมก็ได้นะครับ”

ในน้ำเสียงนั้นไร้การประชดประชัน ดวงตาของนิพัทธ์เองก็สื่อความหมายเช่นนั้นออกมา

“กานต์ ผมอยากคุย…” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคพิรัลกลับต้องชะงักลงเพราะรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมากะทันหัน “เรื่องที่ผมไม่กินยา ผมไม่อยาก…” พิรัลชะงักไปอีกครั้งจนนิพัทธ์จับสังเกตได้ ชายหนุ่มรู้สึกตึงช่วงด้านซ้าย ไม่เชิงว่ารู้สึกชาไม่รู้สึกเจ็บแต่มันตึงไปหมด เขามองหน้านิพัทธ์อยากพูดในสิ่งที่คิดอยู่แต่มันทำได้อย่างยากลำบาก หัวใจของพิรัลแน่นหนักไม่ใช่อุปมาปุมัยแต่เขาเจ็บมันอย่างจริงจังไม่เหมือนที่ผ่านมา

ภาพเบื้องหน้าดูสว่างจ้าไปหมด เขามองสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ชัดเจน ได้ยินนิพัทธ์พูดถามในสมองประมวลผลได้อยู่แต่พูดไม่ได้ดั่งใจ เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด พิรัลทรมานกว่าทุกครั้ง ความรู้สึกของเขาติดๆดับๆ รู้ตัวว่านิพัทธ์กำลังพยุงพาเขาออกไป ได้ยินเสียงนิพัทธ์คุยโทรศัพท์มือถือ พักหนึ่งเขาเห็นกรณ์วิ่งหน้าตื่นออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ภาพเบื้องหน้าชัดบ้างมัวบ้าง แต่โดยรวมพิรัลแทบจับใจความอะไรไม่ได้อีกต่อไป

พิรัลรู้ตัวว่าถูกพามาส่งที่โรงพยาบาล อยู่ในห้องฉุกเฉิน พยาบาลวิ่งวุ่นพร้อมเข็นเครื่องอะไรต่อมิอะไรเข้ามารุมล้อมเต็มไปหมด พักหนึ่งเขาได้ยินเสียงพูดคุยขึ้นเหนือหัว เสียงราบเรียบที่พูดคุยกันนั้นพิรัลฟังไม่รู้ความเท่าไหร่ เขาได้ยินเพียงแค่ว่าตีบกี่เปอร์เซ็นต์ ศัพท์แสงทางการแพทย์อะไรอีกมากมายเขาได้ยินและยังไม่สิ้นสติเสียที แสงตรงหน้าสว่างจ้าจนเขาต้องหลับตาลงและคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจอีกมากมาย ความรู้สึกผิดฉุดรั้ง คำพูด คำสัญญาที่อยากให้นิพัทธ์ยังเต็มอยู่ในหัวสมองไปหมด แต่พิรัลไม่สามารถพูดมันออกมาได้ เขามองไม่เห็นใคร บางทีทุกคนอาจไม่รอเขาอยู่ที่เดิมแล้ว แม้แต่นิพัทธ์ก็ยังลอยละล่องไปที่อื่น ทิ้งไว้เพียงแต่พิรัลที่อยู่คนเดียวบนดาวพุธ

พิรัลหลับไปนานหลายชั่วโมง รู้สึกตัวเพราะหนาวมากกว่าปกติ เขามองไปรอบด้านไม่ได้อยู่ห้องฉุกเฉินเดิมแต่ไม่รู้เช่นกันว่าอยู่ในห้องอะไร ชายหนุ่มคิดถึงครอบครัวของตัวเองโดยเฉพาะพี่สาวที่มักตกยากเพราะต้องคอยดูแลน้องชายคนนี้ บางทีแจงอาจโกรธเขามากจนไม่อยากจะเห็นหน้ากันอีก พิรัลคิดถึงแม่กับพ่อผู้คอยรับฟังทุกปัญหาและบรรเทาทุกข์ให้เสมอ แต่บางทีทุกข์ของเขาอาจหนักหนาเสียจนแม่กับพ่อเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับฟังอีก ความคิดถึงสุดท้ายคือภาพความทรงจำล่าสุด เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเขา ผิวขาวกระจ่าง ที่แก้มมักระเรื่อสีแดงธรรมชาติ ดวงตาของเขาใสแจ๋วราวกับดาราได้ฉายส่องเปล่งประกาย ริมฝีปากของเด็กหนุ่มคนนี้กำลังพูดเอ่ยอะไรบางอย่าง พิรัลอ่านปากไม่ออกแต่เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่ส่งมาผ่าน บุคคลเหล่านั้นหายไปอยู่ที่ไหนกัน ทำไมมีเพียงเขาอยู่ตามลำพังกับเครื่องมือทางการแพทย์

วินาทีเป็นวินาทีตายของเขาได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่พิรัลกลับนึกฉงนว่าทำไมเขายังได้รับโอกาสนี้ และเขาควรทำอย่างไรกับโอกาสที่ได้รับ จะมีใครโชคดีเหมือนเขาอีกบ้างสำหรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาถึงหลากหลายครั้ง จะมีใครอีกบ้างที่ได้รับความคาดหวังให้มีชีวิตอยู่ต่อไป พิรัลตระหนักอย่างท่องแท้ มันล้ำลึกถึงที่สุดว่าโอกาสในครั้งนี้หากยังไม่เรียนรู้ที่จะรักษาไว้ หากไม่เรียนรู้ที่จะโอบกอดความรักที่คนรอบข้างได้มอบให้ ท้ายที่สุดแล้วเขาอาจไม่ได้รับโอกาสแบบนี้อีก

พยาบาลเดินเข้ามาบอกว่าจะเจาะเลือด พร้อมกับแจ้งข่าวที่เป็นดั่งสายใยหนักแน่นให้พิรัลได้กลับไปยังโลกมนุษย์อย่างผ่องแผ้ว ครอบครัวและคนรักของเขาพร้อมหน้ารอกันอยู่ที่ด้านนอก เธอแจ้งว่าเดี๋ยวหมอจะเข้ามาคุยด้วย พิรัลนอนรออยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพักใหญ่ เขาอยากออกไปพบหน้าครอบครัวและคนรักของเขามากกว่าครั้งไหนๆ อีกอึดใจใหญ่กว่าหมอจะเดินเข้ามา เป็นแพทย์ผู้หญิงเจ้าของไข้คนที่รักษาเขา

“คุณพิรัล สวัสดีค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ตามคนอัธยาศัยดี “รอบนี้แย่เลยเนอะ”

จากนั้นหมอก็สาธยายเกี่ยวกับการรักษาที่ได้กระทำลงไป พิรัลฟังไม่ค่อยรู้เรื่องจับใจความได้บางอย่างเช่นหมอสวนหัวใจและใส่ขดลวดเพื่อถ่างขยายหลอดเลือด อีกมากมายที่พิรัลไม่ค่อยเข้าใจ

“ผมกลับได้แล้วใช่มั้ยครับ”

แพทย์สาวทำสีหน้าตื่นตกใจก่อนจะยิ้มอีกครั้ง เธอทำให้พิรัลนึกสงสัยว่าคนเป็นหมอทำไมจึงดูใจเย็นและมีวิธีพูดให้เขานำกลับไปคิดทุกที “จะกลับเลยเหรอ คุณพิรัลไม่อยากรู้วิธีดูแลตัวเองต่อจากนี้เหรอคะ”

พิรัลนิ่งเงียบไป หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงสะบัดผ้าห่มเดินออกจากห้องนี้ไปเลยด้วยซ้ำ “นัดรอบหน้าได้มั้ยครับ”

“หมอขอเวลาแป้บเดียวนะ ฟังหมอพูดหน่อย” เธอกล่าวก่อนจะบอกให้เจ้าหน้าที่พยาบาลนำเครื่องมือต่างๆเข้ามาพร้อมกับมอบคู่มือดูแลตัวเองฉบับเล็กจิ๋วให้ พิรัลฟังเธอแนะนำวิธีดูแลตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พิรัลรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรก็หนืดไปกว่าเดิม จะว่าอย่างไรดีล่ะ เขารู้สึกขยับเขยื้อนไม่ได้ดั่งใจแต่ไม่ถึงกับเชื่องช้าขนาดนั้น ราวกับว่าจิตใจของเขาได้พุ่งทะยานออกไปที่ด้านนอกเสียแล้ว

พิรัลเห็นครอบครัวของตัวเองยืนรออยู่ที่ด้านหน้า แม่ส่งยิ้มให้เดินเข้ามาโอบกอดเป็นคนแรก ส่วนคนอื่นส่งเสียงถามไถ่ถึงอาการในตอนนี้ เพียงแต่พิรัลมองไม่เห็นนิพัทธ์

“กานต์ล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน โทรมาบอกฉันว่าแกจะตายแล้ว แต่พอมาถึงก็ไม่เห็นกานต์ แกนี่มันอึดชะมัดฉันนึกว่าแกไม่รอดแน่ๆ”

“แจงลูก ไม่เอาน่าอย่าซ้ำเติมน้องสิ” แม่รีบห้ามปรามด้วยรู้ว่าลูกสาวและลูกชายมักพูดจากันอย่างไร

“ไม่ตายก็ดีแล้ว แกยังไม่ได้พาหลานไปอควาเรี่ยมเลย”

“เออ เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จแล้วจะพาน้องจ๋าไปเอง แจงพูดมากจังวะ”

“เจตน์อย่าพูดไม่เพราะกับพี่สิ”

พิรัลอดยิ้มไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างใกล้จะเข้าที่เข้าทางแล้ว ขาดก็เพียงแต่นิพัทธ์

“เจตน์ไม่เป็นไรแล้วนะครับแม่ ทุกคนกลับกันก่อนได้เลยนะ เจตน์จะกลับไปทำงานต่อ”

“แกจะบ้าเหรอไอ้เจตน์ หมอให้พักไม่ใช่เหรอ” จุ๊บแจงโวยวายขึ้นมาขณะที่ครอบครัวของพวกเขาเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล

“เออ รู้ว่าต้องพักถ้าไม่ไหวจะพัก แต่งานบางอย่างมันยังต้องเคลียร์นี่หว่า”

“แกมันบ้าไอ้เจตน์ อยู่โรงพยาบาลวันเดียวเจ้านายไม่หักเงินหรอกนะ” แจงบ่นงึมงัมแต่ไม่ได้ต่อความยาวไปมากกว่านี้

“ตามใจเจตน์แล้วกันลูก ถ้ายังไงจะกลับบ้านหรือไม่กลับบ้านก็บอกหน่อยล่ะ ถ้ากลับแม่จะทำไข่น้ำไว้ให้”

พิรัลยิ้มกว้างพูดถึงไข่น้ำของแม่แล้วอารมณ์ดีขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์จริงๆ เขารับปากทุกคนว่าจะไม่หักโหมทำงานก่อนจะล่ำลาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ช่วงเวลาที่พิรัลออกจากโรงพยาบาลฟ้าก็มืดแล้ว เขาคิดว่าครอบครัวของเขาคงจะมาเฝ้ารอตั้งแต่รู้ข่าว พิรัลรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้กลับบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เพราะความคะนึงถึงคนรักทำให้อยู่ไม่เป็นสุข พิรัลจึงเลือกมาหานิพัทธ์ดั่งใจต้องการ เขาเข้ามาที่ออฟฟิศเห็นโอมกับหญิงกำลังขนของอยู่ที่หน้าตึกเพราะมีออนไซต์ต่างจังหวัดและต้องออกเดินทางในคืนนี้พอดิบพอดี

“พี่เจตน์ มาทำไมพี่ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ นี่เป็นหวัดหรือสวนหัวใจกันแน่อะพี่”

“โรงพยาบาลรัฐอะ ถ้าไม่ใกล้ตายจริงเขาไม่ให้ค้างคืนหรอก” พิรัลพูดติดตลก พาให้เด็กสองคนหัวเราะ “เห็นกานต์ป้ะ”

“ยังเคลียร์งานซ่อมอยู่เลยพี่ งานดันมาเยอะตอนพี่ไม่อยู่อีก”

“อ้าว ติดอะไรป้ะ”

“ติดเยอะเลยพี่ ผมส่งอีเมลให้แล้ว”

“ขอบคุณมากโอม เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”

“พี่เจตน์ไหวเหรอ พักก่อนเหอะ” คราวนี้เป็นเสียงจากหญิงที่เพิ่งขนอุปกรณ์ลงรถตู้ชิ้นสุดท้ายเสร็จ “หญิงว่าจะหักโหมไปนะถ้าวันนี้มาทำงาน ถามจริงพี่ หมอให้ออกมาได้ยังไง”

“ไหวๆ ผมไม่ฝืนหรอก ขอบคุณมากนะหญิง เดินทางปลอดภัยล่ะคืนนี้” แม้จะรู้ว่าน้องสองคนเป็นห่วงแต่เขาเลือกที่จะตัดบทเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกคนอื่นถามถึงอาการเจ็บป่วยนี้เลย

พิรัลเดินจากมาหลังจากส่งน้องสองคนขึ้นรถตู้ของบริษัทเพื่อออกเดินทางไปต่างจังหวัดในคืนนี้ เขาหันกลับมาด้านหลัง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่นิพัทธ์อยู่ตรงนั้น

สภาพโดยทั่วไปของออฟฟิศแห่งนี้ดูเงียบสงัดลงเมื่อเป็นช่วงเวลากลางคืน จะมีก็แต่ทีม Helpdesk ที่ห้องทำงานเปิดสว่างเพราะตอนกลางคืนมักมีลูกค้าจากร้านต่างๆโทรมาแจ้งซ่อมเครื่องเป็นจำนวนมาก พิรัลเดินเข้ามายังคอกของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ผิดหวังนิดหน่อยเมื่อไม่ได้เห็นนิพัทธ์นั่งทำงานอยู่ แต่เพราะคอมพิวเตอร์และเครื่องที่ลูกค้าส่งมาซ่อมยังกองสุมระเกะระกะไม่เรียบร้อยทำให้เขารู้ว่าเด็กหนุ่มยังทำงานอยู่ พิรัลดูอีเมลที่เปิดค้างไว้ก่อนไล่สายตาอ่านไฟล์งานเอ็กส์เซลไปเรื่อยเปื่อย พักหนึ่งนิพัทธ์ก็ยังคงไม่ปรากฏตัวมันทำให้เขาเริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง พิรัลลุกขึ้นเดินวนไปทั่วออฟฟิศด้วยนึกว่าบางทีนิพัทธ์อาจแวะไปนั่งกินอะไรที่แคนทีน แต่แล้วเขาไม่เห็นนิพัทธ์เสียที พิรัลลองไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่พบ เขาพยายามนึกว่านิพัทธ์จะหายไปที่ไหนได้บ้างและคิดขึ้นมาได้ว่านิพัทธ์อาจจะอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์

“เอากุญแจห้องมาจากไหน”

กล่องลังกระดาษบรรจุสายแลนล่วงหล่นตกลงพื้น นิพัทธ์คว้าจับชั้นเหล็กเบื้องหน้าไว้เพื่อทรงตัว เขาตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มเสียง โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ตกลงมาจากบันไดเหล็กที่ใช้ปีนหยิบของ

“เอากุญแจมาจากโอมครับ” เด็กหนุ่มตอบก่อนหันมองไปทางอื่น แต่แล้วก็หันกลับมาอีกราวกับเพิ่งตั้งสติได้ว่าเป็นพิรัล พิรัลคนเดียวกันกับที่เพิ่งส่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้า “หมอให้ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ”

ความจริงหมอไม่อนุญาตให้เขาออกมาและยืนกรานว่าพิรัลต้องพักผ่อน แต่พิรัลทนไม่ไหว เขาขอร้องจนหมอยอมอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล หลังจากจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆเขาก็มุ่งหน้ามาที่นี่ “ยังไม่ใกล้ตายหมอก็ไล่ให้ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ” พิรัลพยายามทำตลก แต่ลืมไปเสียแล้วว่าตนเองไม่ใช่คนคารมณ์ดีอะไร

นิพัทธ์ไม่ขำสักนิดอีกทั้งยังดูไม่ได้สนใจจะถามอะไรต่ออีก

“กานต์ ลงมาคุยกันก่อน” เขาใช้เท้าเขี่ยกล่องสายแลนก่อนเดินเข้าไปยืนข้างบันไดเหล็กที่นิพัทธ์ยืนอยู่ “มีงานอะไรค้างอีก ทำไมยังไงไม่กลับบ้าน”

นิพัทธ์ลงมาจากบันได เผชิญหน้ากับพิรัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ผมก็ทำตามปกตินั่นแหละครับ”

น้ำเสียงที่ได้ยินฟังดูห่างเหิน แต่นิพัทธ์ไม่หลบหน้าอีกทั้งยังจ้องตา เป็นตัวพิรัลเองที่รู้สึกละอายต่อการกระทำที่ผ่านมา “พี่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ประโยคที่ได้ยินทำให้พิรัลใจชื้นขึ้นบ้าง

“ไม่ต้องบอกผมก็ได้”

ประโยคถัดมาใจที่ชุ่มชื้นกลับแห้งผากลง “กานต์…” พิรัลชะงักค้าง คำพูดที่มีสุมกองอยู่มากมายหากแต่เขาพูดไม่ออก ทีท่าของนิพัทธ์ทำให้เขาไขว้เขวไปหมด

“ผมเป็นแค่ลูกน้องไม่ต้องบอกอะไรหรอกครับ” เด็กหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะก้มตัวลงเก็บสายแลนที่ทำตก

เป็นอีกคราวที่พิรัลไร้คำพูด เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นด้วยประโยคไหน ยิ่งเมื่อได้เห็นริมฝีปากสีสดที่เริ่มเม้มแน่น เห็นช่วงเวลาที่นิพัทธ์แอบใช้แขนเสื้อปาดเช็ดใบหน้า แม้ว่าจะเริ่มต้นไม่ได้แต่อย่างน้อยพิรัลก็รู้ว่านิพัทธ์กำลังเสียใจ เมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาเห็นแขนเสื้อเชิ้ตทำงานสีขาวชุ่มน้ำ บนแก้มที่เขาเคยดอมดมหอมซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากำลังเปียกด้วยน้ำตา หัวใจของพิรัลปวดร้าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดต่อใครสักคนมากขนาดนี้

“พี่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน แต่กานต์อย่าร้องไห้ได้มั้ย พี่ใจจะขาดแล้ว”

นิพัทธ์วางมือจากการเก็บสายแลน แผ่นหลังภายใต้เสื้อสีขาวสั่นเทาเล็กน้อย พิรัลร้อนรุ่มใจไปหมดเขาไม่รู้จริงๆว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน อยากปลอบ อยากง้อ อยากอธิบาย อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล อยากขอโทษ สารพัดสารพันมากมาย แต่ทุกอย่างกลับจุกปรี่อยู่ในอก เขาเพิ่งตระหนักว่าเป็นคนรักที่แย่ขนาดไหน เขาทำไม่ได้แม้แต่จะปลอบประโลมไม่ให้นิพัทธ์ร้องไห้

เด็กหนุ่มหันหลังอยู่เช่นนั้น ร้องไห้เสียใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนับจากพ่อเสียชีวิต เพราะเขารักพิรัล รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีมูลปลายสายเหตุ และเขาเสียใจมากเหลือเกิน เสียใจที่ความรักซึ่งอยู่ตรงนี้ไม่ถูกหยิบนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร พิรัลต้องรอให้อาการแย่กว่านี้ ต้องรอจนสายเกินไปหรืออย่างไรจึงจะตระหนักถึงความรักของนิพัทธ์บ้าง

“ผมแค่ไม่อยากให้พี่เจตน์ตาย”

แผ่นอกของพิรัลแนบแผ่นหลังอันสั่นเทา ไออุ่นของเด็กหนุ่มตัวขาวตรงหน้ายังให้ความรู้สึกดีเหมือนที่เคยมา เพียงแต่เวลานี้นิพัทธ์กำลังหมดหนทาง และเป็นตัวเขาเองที่ไล่ต้อนให้นิพัทธ์จนมุม เขาไม่เคยเห็นนิพัทธ์ร้องไห้จนวินาทีนี้เด็กตัวขาวที่แสนเข้มแข็งสำหรับพิรัลกำลังอ่อนแอลง ตัวเขานั้นคิดเสมอมาว่าหากตายวันตายพรุ่งไปก็คงไม่เป็นไร เมื่อชีวิตจบลง ความรู้สึกนึกคิดก็ดับสูญและไม่มีสิ่งใดให้พิรัลยังต้องเป็นกังวลอีก แต่เมื่อได้รู้จักนิพัทธ์ ได้เรียนรู้กันและกัน ได้รักและผูกพันธ์ พิรัลเพิ่งแจ้งประจักษ์ว่าที่ผ่านมาความคิดของเขาเห็นแก่ตัวเหลือเกิน เขาไม่คิดถึงคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เขาคิดถึงเพียงตัวเอง ไม่ต้องการให้ตัวเองเจ็บปวด จะตายก็ช่างมัน เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนไป แต่เขาไม่อาจทนเห็นนิพัทธ์เสียใจเพราะเรื่องนี้ได้อีกแล้ว พิรัลรู้สึกผิดและละอายเหลือเกิน นิพัทธ์ไม่คู่ควรกับความคิดเห็นแก่ตัวของเขาแม้น้อยนิด

ใบหน้าของพิรัลแนบชิด อ้อมแขนโอบกอดคนตรงหน้าไว้ “อีกสองอาทิตย์หมอนัดติดตามอาการอีก กานต์ไปกับพี่นะ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับ พิรัลจึงใช้โอกาสนั้นรั้งตัวนิพัทธ์ให้หันมาสบหน้ากัน ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เสมอมากำลังหม่นหมองจนพิรัลรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เขาคิดถึงคำพูดของแม่ ทำไมเขาต้องทำให้คนที่เขารักตกอยู่ในสภาวะลำบากใจ แล้วเวลานี้ตัวเขาพร้อมสำหรับการเปลี่ยนความคิดแล้วหรือยัง คำตอบอยู่ตรงหน้านี้ พิรัลยอมหมดทุกอย่างเพียงเพื่อได้รักกับนิพัทธ์

“พี่จะไม่ทำให้กานต์เสียใจอีก กานต์อย่าเลิกรักพี่เลยนะ”

“………..”

“กานต์ ตอบพี่หน่อยสิครับ”

นิพัทธ์นิ่งฟัง พิรัลคงคาดหวังคำตอบอันสวยหรูไว้ เพียงแต่นิพัทธ์ยังไม่สามารถมอบมันให้ได้

“ผมไม่รู้ครับพี่เจตน์ ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไร”





************************************




สวัสดีวันลอยกระทงค่ะ แต่อย่าเพิ่งเอาอิพี่เจตน์ไปลอยอังคารนะคะทุกคน 555555555
ใกล้จะจบแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้ มาเร็วเคลมเร็ว เพราะจะไปแต่งเรื่องหนึ่งมิตรชิดใกล้ต่อ 5555555
 :heaven

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สมน้ำหน้าอิพี่เจตต์ คราวที่แล้วเจอน้องใจอ่อนให้ รอบนี้ไม่ได้แอ้ม ขอแบบนี้เยอะๆค่ะ หมันไส้  :z2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไม่รู้จะเชียร์ยังไงแล้วนะพี่เจตน์

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ฮืออออออ สงสารน้องกานต์
ถ้าไม่ติดว่าเปนพระเอกจะเอาพี่เจตต์ไปลอยทิ้งจริงๆด้วย
ทำน้องร้องไห้อีกแล้วนะ แถมยังจะมาตายต่อหน้า
คิดดูความรู้สึกน้องจะเปนยังงัย จะกลัวแค่ไหน
ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองดีๆ รักน้องให้มากๆด้วยนะคุณพี่เจตต์

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
จะให้โอกาสพี่เจตน์เป็นครั้งสุดท้ายนะ :z6:
ถ้ายังไม่กินยาอีก​ จะเชียร์ให้กานต์ไปบดๆผชคนอื่น

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เจตต์คนใจร้าย ถ้ายังดื้ออีกจะให้น้องหนีไปจริงๆเเล้วนะ :monkeysad:

ออฟไลน์ doubleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มันต้องโดนไม้แข็งแบบนี้นี่แหละพี่เจตน์ จะได้รู้สึกบ้าง
น้องกานต์ใจแข็งเข้าไว้นะลูก  :hao5:

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :angry2: พี่เจตน์ ทำน้องกานต์ร้องไหหห้
 :angry2: เอาไม้เรียวมาให้ที จะตีพี่เจตน์ให้หลังลาย

ออฟไลน์ yodyahyee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารน้อง.....น้องยังรักและเป็นห่วง แต่มันก็หน่วงหน่อยๆ เพราะรักที่ให้ไป เหมือนส่งไปไม่ถึงใจพี่เลย
ขอให้แฮปปี้เอนดิ้งนะ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
นอกจากกานต์จะร้องไห้แล้ว เราก็ร้องไห้ด้วย คิดถึงคนที่รักตัวเองด้วยนะพิรัล คนอยู่เสียใจยาวนานกว่านะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องกานต์งอนไปเลย ให้พี่เจตน์ง้อสักปีสองปี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด