ตอนที่สิบสามตรรกะบางอย่างของพิรัลอาจเป็นสิ่งแปลกประหลาด จำนวนยาสุมกองอยู่ในลิ้นชักข้างเตียงนอนสร้างความฉงนแก่นิพัทธ์ ซองยาที่ถูกเปิดออกมีเพียงซองเดียวแต่นอกเหนือจากนั้นไม่มีซองไหนที่อยู่ในสภาพถูกใช้งาน นี่อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความลำบากใจแก่เด็กหนุ่ม เขาพยายามทำความเข้าใจและเคารพสิทธิตัดสินใจของพิรัลแม้อีกฝากฝั่งความรู้สึกอาจเป็นสิ่งตรงกันข้าม เด็กหนุ่มเฝ้าทวนถามว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่อาจเปลี่ยนใจพิรัลได้บ้าง คำตอบอาจซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดสักแห่งหน และเขาจะไม่ฟุ้งฝันว่าความรักของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของพิรัลได้
คำเกลี้ยกล่อมไม่เคยหลุดจากปากของนิพัทธ์ มันอัดแน่นอยู่ในห้วงความรู้สึก กระนั้นเรื่องที่พิรัลไม่ยอมรับการรักษายังเป็นเสมือนเรื่องต้องห้าม เป็นคำสาปที่ไม่อาจเอ่ยปากได้ เด็กหนุ่มรักพิรัล ไม่มีเหตุผลที่น่าประทับใจเหมือนความรักของคนอื่น แต่เขาไม่สนใจ ความรักที่มีให้พิรัลนั้นรุนแรงและฝังลึก เขาปรารถนาว่ารักครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เขาอยากอยู่กับพิรัลเนิ่นนานเท่าที่ชีวิตนี้จะมีอยู่ได้ แต่พฤติกรรมของพิรัลช่างเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน และนิพัทธ์ไม่มีคำพูด ไม่มีการกระทำใดที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของพิรัลได้
อาการของพิรัลเด่นชัดขึ้นในช่วงพิสูจน์ตัวเองต่อโอกาสที่ได้รับ พิรัลกลับบ้านดึกเพราะทำงาน บางครั้งแทบลืมมื้ออาหารไปเสียด้วยซ้ำ นิพัทธ์นึกแย้งความรู้สึกรักของตัวเอง มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจมอยู่กับคนอย่างพิรัล ความคิดนั้นแทรกเข้ามาตอนที่พิรัลแน่นหน้าอกหลังงานทาวน์ฮอล
ในห้องประชุมซึ่งขนัดแน่นด้วยบุคลากรระดับบริหารของบริษัท และคลาคล่ำไปด้วยพนักงานระดับปฏิบัติการ เสียงพูดคุยทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้ความบ้าง หากนับว่าเป็นเรื่องของหน้าที่การงานคงนับเป็นโอกาสดีของเด็กใหม่อย่างนิพัทธ์ที่ได้ร่วมเข้าประชุมด้วย เขามองพิรัลที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้อง สวมสูทเรียบกริบ ผูกเน็กไท ใส่เสื้อผ้าสีสุภาพ เด็กหนุ่มยอมรับว่าในหัวจินตนาการถึงการร่วมรักทั้งชุดสูทแบบนั้น และไม่ค่อยได้ฟังในสิ่งที่พิรัลพูดสักเท่าไหร่ พิรัลนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของทีมที่สอดคล้องตอบรับต่อแนวทางจากผู้บริหาร ทุกอย่างถูกจัดเตรียมและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เด็กระดับปฏิบัติการอย่างนิพัทธ์ออกจะเริ่มรู้สึกเบื่ออยู่นิดหน่อย แต่เพราะพิรัลมองมาทางเขา มองด้วยสายตาโหยหาต้องการ ไม่ใช่ต้องการในเรื่องอย่างว่า แต่ต้องการที่พึ่งพา ที่ที่จะสามารถทำให้พิรัลสงบลงได้เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา
นิพัทธ์ส่งยิ้มให้ก่อนเห็นสายตาเบื่อหน่ายจากอาของตัวเองที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องประชุม เขาไม่สนใจสักนิด สมาธิของเขาจดจ่ออยู่ที่พิรัล ทุกอย่างที่ด้านหน้านั้นอยู่ในสายตาทั้งหมดจวบจนพิรัลเข้ามานั่งสมทบกับสมาชิกของทีม หวานกล่าวคำชมและนิพัทธ์ดูออกว่าหัวหน้าสาวของเขาภูมิใจในการพรีเซ็นต์งานของพิรัลเป็นอย่างมาก หากแต่เขาไม่อาจแสดงออกได้มากนัก เขาอยากเข้าไปกอด ปลดกางเกง และมอบรางวัลให้แก่พิรัลด้วยการขย่มควบขี่อยู่ด้านบน อาจฟังดูจั๊กกะจี้หูแต่นิพัทธ์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี ร่างกายแข็งแรง และเต็มไปด้วยสมรรถภาพอันเต็มเปี่ยม
ขณะที่ผู้คนกำลังชักชวนพิรัลคุยถึงเรื่องงาน เด็กหนุ่มสังเกตเห็นจังหวะการหายใจที่ดูผิดไปจากเดิม ส่วนพิรัลก็เริ่มใช้จังหวะนั้นขอตัวออกไปด้านนอกอย่างพอดิบพอดี นิพัทธ์เดินตามออกไปเมื่อสบสายตากัน เขารู้แล้วว่าพิรัลอาจอาการกำเริบ เขาไม่ใช่แพทย์แต่พอเดาได้ว่าคงเพราะเรื่องงานที่มีความกดดันสูงมากจึงทำให้อาการกำเริบ พิรัลมุ่งเดินไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ นิพัทธ์รีบเดินตามและไม่ลืมล็อกประตูหลังจากเข้ามา พิรัลนั่งลงบนพื้น เสื้อสูทถอดออกวางไว้ด้านข้าง เด็กหนุ่มเข้าไปช่วยคลายเน็กไท ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าให้
“ผมต้องทำยังไงครับพี่เจตน์”
พิรัลมองมาที่เขาแต่ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงจับมือของเขาไว้และนั่งปวดหนึบที่หน้าอกอยู่เช่นนั้น นิพัทธ์เห็นแล้วว่ามันไร้ประโยชน์ สัมผัสจากคนรักไม่อาจช่วยเหลือกายภาพที่ผิดแผกของพิรัลได้ ในวันนั้นเขานึกคิด คิดว่าความรักเช่นคนรักหรือแม้แต่ความรักจากครอบครัว ยังไม่สามารถทะลุผ่านตรรกะอันแปลกประหลาดของพิรัลได้ เขาควรทำอย่างไร ควรพยายามเข้าใจความคิดบ้าบอของพิรัลหรือควรปล่อยวางดี
ภาพเบื้องหน้าราวกับอยู่ในห้วงอนธการ พิรัลไม่เห็นแสงสีสว่างเช่นนั้นอีกต่อไป ทุกอย่างดำมืดจนเขานึกหวาดกลัว แม้ว่าเรื่องของนิพัทธ์จะคลี่คลายความรู้สึกไปแล้ว แต่โรคที่รุมเร้าอยู่นี้เป็นความจริงที่ไม่คลี่คลายเสียที อุดมการณ์ อุดมคติห่าเหวเหล่านั้นกำลังค้ำคอ เพราะต้นเหตุคือตัวของพิรัลเอง เขาเที่ยวป่าวประกาศ แสดงออกอย่างรุนแรงว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ไม่ต้องการรับการรักษา และพิรัลไม่รู้ว่าควรปลดระวางมันอย่างไร
ชายหนุ่มเคยจินตนาการว่านิพัทธ์อาจจะต้องพยายามพูดเพื่อโน้มน้าว แต่ไม่เลย นิพัทธ์ไม่เคยพูดมันออกมาสักครั้ง เพียงแต่ความเหนื่อยล้าในแววตาได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาเห็นมันก่อนทุกอย่างจะดับมืด พิรัลล่องลอยอยู่ในที่แห่งนั้น ไม่มีแสงสว่างนำทาง เขาอึดอัดและหายใจยากลำบากทุกวินาที ร่างของเขาแหวกว่ายไปในความเวิ้งว้าง ชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่มืดสนิท พิรัลรนรานดีดตัวออกห่าง ก่อนจะขยับไปทางอื่นและพบว่าตัวของเขาถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่างคล้ายแผ่นพลาสติกสีดำ มันรัดที่ข้อเท้าของเขา แผ่ขยายลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายแผ่นบางๆที่คล้ายพลาสติกได้ห่อหุ้มไปทั่วร่าง พิรัลดีดดิ้น เหงื่อแตกพล่าน นิ้วมือของเขาพยายามขยับ พยายามอย่างมากจนรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป แผ่นพลาสติกมีช่องโหว่ เขารีบใช้มือแหวกมันออกมา และในตอนนั้นเขาเห็นมือของใครบางคนที่แหวกผ่านห้วงอนธการ
เสียงพูดคุยดังอยู่เคียงใกล้ ดวงตาของเขาลืมขึ้นและหยีลงเมื่อพบแสงไฟ สมองของเขาประมวลผล ได้ยินเสียงปิ๊ปจากอะไรบางอย่าง มองเห็นบุคคลในชุดสีขาวยืนอยู่ด้านข้างก่อนตามด้วยใบหน้าที่โผ่ลแวบเข้ามาก่อนผละออกไป ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา พิรัลลุกขึ้นนั่ง เสียงปิ๊ปที่ได้ยินมาจากเตียงด้านข้าง บุคคลในชุดขาวคือหมอที่กำลังให้การช่วยเหลือคนไข้รายอื่น พิรัลรู้ตัวว่าอยู่ที่โรงพยาบาลในห้องฉุกเฉิน
“เป็นยังไงบ้างครับพี่เจตน์”
พิรัลหันมองตามเสียง นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านี้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ก็... โอเคอยู่ ยังไม่ตาย” เขาพยายามทำตลก แต่นิพัทธ์กลับไม่แม้แต่ขยับกล้ามเนื้อใดบนใบหน้า
“พี่แจงรออยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ผมกลับก่อนนะครับ”
“กานต์” เขาเอ่ยเรียก หากแต่เด็กหนุ่มเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงใดๆ พิรัลตวัดผ้าคลุมและรีบก้าวเดินตาม เมื่อออกมาด้านนอกเขาเห็นคนรักกำลังร่ำลากับพี่สาวของเขา ไม่ช้าพิรัลรีบสาวเท้าไปคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่านิพัทธ์กำลังจะร้องไห้ แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งจุ๊บแจงก็เข้ามาบอกให้พวกเขาเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลนัก
“กานต์จะกลับยังไง”
“ผมกลับแท็กซี่ครับ”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งแถวรถไฟฟ้าข้างหน้าแล้วต่อแท็กซี่ดีกว่า โทษทีนะที่พี่ไม่ได้ไปส่งที่คอนโด ลูกพี่ก็ป่วยเหมือนกัน” จุ๊บแจงกล่าวพลางปลดล็อคประตูรถ “เด็กป่วยแล้วงอแง พี่โคตรเหนื่อยเลยว่ะ” ท้ายประโยคเธอหันมามองพิรัลที่กำลังแทรกตัวเข้าในรถ
“กานต์ ผมไปค้างที่ห้องด้วยนะ”
“พอดีเดี๋ยวผมจะกลับบ้านครับ ไม่ได้กลับคอนโด”
พิรัลรู้ว่านี่คือประโยคปฏิเสธ และเขาพอจะเดาได้ว่านิพัทธ์กำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง “งั้นผมไปค้างที่บ้านด้วย”
เด็กหนุ่มหันมามอง ดวงตาจ้องที่พิรัลเขม็ง “ที่บ้านไม่สะดวกครับ”
“งั้นกลับบ้านกับผม ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
จุ๊บแจงลอบมองสองหนุ่มจากกระจกมองหลังก่อนจะถอนหายใจยาว เธอเหนื่อยล้าด้วยหน้าที่แม่ซึ่งพ่วงด้วยอาการป่วยของลูกสาว ไหนจะมีน้องชายที่ไม่ยอมดูแลตัวเองอีก เห็นแบบนี้เธอยิ่งเหนื่อยทวีคูณ “พี่ส่งกานต์ข้างหน้าตรงนี้นะ เจตน์ฉันไม่ไปส่งแกที่บ้านนะ ลูกฉันป่วยต้องรีบกลับไปเช็ดตัวให้”
หลังจากจุ๊บแจงเลี้ยวจอดใกล้บริเวณสถานีรถไฟฟ้า ชายหนุ่มสองคนก็ยืนอยู่ตรงริมถนนที่ค่อนข้างร้างผู้คน พิรัลจึงใช้โอกาสนี้ในการถามหาถึงสาเหตุของความหมางเมิน “กานต์โกรธอะไรผมหรือเปล่า”
“ไม่เชิงว่าโกรธครับ ผมแค่มีเรื่องให้คิด”
“เรื่องอะไร”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ สายตาสอดมองหาแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับไปยังที่พัก
“กานต์ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้กานต์โกรธ ผมขอโทษนะอย่าโกรธผมเลย”
“พี่เจตน์กลับก่อนเลยนะครับ แท็กซี่มาแล้ว”
พิรัลถอนหายใจยาวเมื่อประโยคขอโทษของเขาถูกปัดตกไปอย่างไรเยื่อใยแต่เขาจะไม่ปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้อย่างแน่นอน อย่างไรเสียก็ต้องคุยกับนิพัทธ์ให้รู้ความ เมื่อแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาจอด เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มฉุดให้เข้าแท็กซี่และรวบรัดบอกจุดหมายเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่พิรัลชอบใช้มันเป็นสถานที่พักผ่อนอารมณ์เสมอมา
ตลอดทางพิรัลไม่เซ้าซี้หากว่าคนรักของเขาจะยังไม่อยากพูดจา เขาเข้าใจดีว่าในบางครั้งคนเราก็มีเรื่องที่คิดอยู่เต็มในหัวไปหมดแต่กลับพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นเขาไม่สำเหนียกสักนิดว่าเรื่องที่สร้างความยากลำบากให้แก่นิพัทธ์จะเป็นเรื่องตัวของเขาเสียเอง ในแท็กซี่มีเสียงเพลงลูกทุ่งขับขาน และมีกลิ่นบุหรี่อยู่ด้านใน พิรัลจึงนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาตลอดทางจนถึงสวนสาธารณะ นี่อาจเป็นโชคดีเพราะเขาเจอแท็กซี่ไม่พูดมาก ทอนเงินครบทุกบาททุกสตางค์ และมาส่งถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
เวลาล่วงเลยจนพิรัลเพิ่งมานึกคิดว่าสวนสาธารณะอาจจะปิดแล้ว แต่เมื่อมองเวลาบนข้อมือเขาพบว่ายังเหลือเวลาอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าประตูด้านหน้าจะปิดลง เขาจับมือนิพัทธ์แนบแน่นไม่อายสายตาคนที่กำลังออกกำลังกายบริเวณนั้น หากว่ากันตามตรงแทบไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย ผู้ชายสองคนจับจูงมือกันฉันท์คนรักไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แล้ว นิพัทธ์ไม่ยุดยื้อให้ดูมากความ เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะปฏิเสธการพูดคุยครั้งนี้อย่างไร เขาอยากพูดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อพิรัลทั้งหมดแต่เพราะว่าเข้าใจความเป็นพิรัลเขาจึงคิดว่าไม่พูดเสียจะดีกว่า
“บอกพี่ได้หรือยังว่าคิดเรื่องอะไรอยู่”
ทุกครั้งที่พิรัลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแทนตัวเองว่าพี่มักทำให้นิพัทธ์ใจอ่อนยวบยาบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน “ผมยังไม่อยากพูดครับ”
“เรื่องที่คิดเกี่ยวกับอะไรบอกพี่ได้ไหม พี่เป็นห่วงกานต์นะ”
เด็กหนุ่มอยากเถียงกลับว่าห่วงตัวเองเสียก่อนเถอะ แต่เขาก็ยังเงียบงันปล่อยให้พิรัลจับมือเดินไปยังทิศทางตามแต่อีกฝ่ายต้องการ
“เรื่องคุณกรณ์เหรอ”
“ไม่ใช่ครับ”
“หรือเรื่องงานของผม”
นิพัทธ์เบี่ยงหน้าไปมองพิรัลก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น เบื้องหน้าของพวกเขาไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากร่มเงาต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาจากหลอดไฟ ท้องฟ้าในกรุงเทพคงไม่ต้องพูดถึงว่ามันด่างด้อยกว่าท้องฟ้าที่ต่างจังหวัดแค่ไหน ไม่มีดวงดาว มีเพียงแสงจากอุปกรณ์ฝีมือมนุษย์ แต่ความเงียบสงบที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากยานพาหนะต่างๆทำให้พวกเขาเหมือนหลุดออกมาที่อีกโลกใบหนึ่ง เขาควรพูดออกไปดีหรือเปล่า นิพัทธ์วนเวียนถามตัวเองนับล้านครั้ง เขาไม่อยากแสดงออกว่ามันเป็นการทำเพื่อร้องขอ เขาอยากเคารพในความคิดของพิรัล แต่มันทำใจยากลำบากเพราะตัวเขาเองก็ยังต้องการพิรัลมากเหลือเกิน
“ผมรู้ว่าผมทำงานหนักไปหน่อยช่วงนี้ แต่หมดงานทาวน์ฮอลก็ไม่มีอะไรแล้วแหละ กานต์เข้าใจใช่ไหมว่าผมต้องพยายามเรียกความเชื่อมั่นจากพี่หวานคืนมา ผมไม่ได้จะโทษกานต์หรืออะไรเลยนะ ผมโทษตัวผมเองนี่แหละ แต่มันก็ต้องเป็นไปอะกานต์ ผมต้องเวิร์คฮาร์ดหน่อย”
นิพัทธ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนท้ายที่สุดจะยอมพูดมันออกมา “ผมคิดเรื่องที่พี่เจตน์ไม่ยอมกินยา”
ถึงคราวที่อีกฝ่ายจำต้องชะงักงัน พิรัลไม่คาดคิดว่านิพัทธ์จะเอ่ยถึงเรื่องนี้
“ผมไม่อยากพูดขอร้องเพราะผมชอบพี่เจตน์ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เรื่องนี้ผมทำใจไม่ค่อยได้ ตอนนี้ก็เลยคิดอยู่ว่าผมควรทำยังไงดี”
“กานต์จะทำยังไง”
“บางทีถ้าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันผมอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้”
หลังจากพูดออกไปนิพัทธ์รู้สึกโล่งอก เขาก้มหน้าลงมองปลายเท้าเพราะยังไม่อยากสบตากับคนรักของตัวเอง
“ผมรู้ว่าพูดอะไรไปพี่เจตน์ก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี ให้พูดขอร้องให้กินยาผมไม่อยากทำเหมือนกัน”
พิรัลถอนหายใจยาว ผิดคาดไปมากกว่าเดิมอีกเพราะเขาเคยจินตนาการว่าหากเมื่อใดที่นิพัทธ์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มตัวขาวของเขาจะต้องเว้าวอนร้องขอให้เขายอมรักษาตัวเอง แต่นิพัทธ์เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว ทั้งที่รู้ว่าเขาอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้แต่ก็ยังไม่ขอร้องเพื่อให้เขาละทิ้งความตั้งใจที่มี นี่เป็นครั้งแรกที่พิรัลฉุกคิดว่าการกระทำของตัวเองได้สร้างความทรมานใจแก่คนรักมากแค่ไหน
“ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงต้องรักคนอย่างพี่เจตน์ ถ้าวันนึงพี่เจตน์ตายไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว ยังรักพี่เจตน์อยู่คนเดียว”
“กานต์ ยังไงสักวันผมก็ต้องตายอยู่แล้ว”
“ผมรู้ แต่ปัจจุบันนี้ล่ะ แม่ผมใกล้จะตายก็คนนึงแล้ว ผมยังต้องมาเจอพี่เจตน์ที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อีกเหรอ แล้วผมล่ะ” เด็กหนุ่มหันมองสบตา ความอัดอั้นในใจของเขาถูกถ่ายทอดออกมาหมดเสียที นิพัทธ์คิดว่าพิรัลอาจโกรธที่เขามีความคิดแบบนี้หากแต่พิรัลไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ชายหนุ่มที่อายุมากกว่านิ่งสงบและรับฟัง ดวงตาที่สบมองบ่งบอกว่าพิรัลรับฟังอยู่ตลอดเวลา “พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะครับ”
พิรัลมีรอยยิ้มปรากฏ เขามองดวงตาของเด็กหนุ่มที่ดูวูบไหวเหมือนกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ใครเล่าจะกล้าดุเด็กหนุ่มคนนี้ เด็กหนุ่มที่เข้มแข็งสำหรับพิรัล “กลัวพี่โกรธเหรอครับ”
นิพัทธ์ยินยอมด้วยการพยักหน้า
“พี่ไม่โกรธกานต์หรอก พี่รักกานต์ตั้งขนาดนี้ พี่จะโกรธได้ยังไง”
“ก็ผมกังวลนี่”
“เอาเป็นว่าพี่รับฟังสิ่งที่น้องพูดทั้งหมดแล้วนะ อยากบอกอะไรพี่อีกมั้ย”
คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ
พิรัลมองเด็กหนุ่มเต็มตาก่อนเผยยิ้มกว้าง “ถ้างั้น... กานต์ครับ เราไปคุยกันต่อที่ห้องได้มั้ย”
นิพัทธ์เลิกคิ้วสูง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเป็นเชิงสงสัย
“พี่อยากคุยกับกานต์ทั้งคืนเลย” ท้ายประโยคถูกกระซิบที่ข้างหู พิรัลไม่ขยับห่างเขาจูบที่ใบหู ลามลงมาที่แก้ม และแม้ว่าจะมีสายตาจากคนที่มาออกกำลังกายลอบมองแต่พิรัลยังคงโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวเอาไว้ “ว่าไงครับ พี่กลับห้องกับกานต์ได้มั้ย”
นิพัทธ์พอจะเข้าใจความหมายของการกลับห้องดี เขาพยักหน้าก่อนจะเผยยิ้มที่ดูเขินอาย
ณ ที่ตรงนั้น วงกลมที่เคยแตะกันเพียงเส้นรอบวง ตอนนี้วงกลมของพวกเขาค่อยประสานแนบแน่นมากขึ้นทุกช่วงขณะ
นิพัทธ์ทอดกายนอนขณะปล่อยให้พิรัลรุกเร้าท่อนเนื้อที่แข็งชัน เด็กหนุ่มแทบสะกดกลั้นไม่อยู่น้ำขาวขุ่นไหลพุ่งอยู่ในโพรงปากของพิรัล มันไหลเลอะออกมาเล็กน้อย เขาหอบหายใจแรงมองดูพิรัลปาดเช็ดปากพลางขยับกายเข้ามาคร่อมทับ ยอดอกตรงหน้าถูกดูดดุนและขบเม้มไม่เบาแรงหากนิพัทธ์กลับหายใจติดขัดด้วยรู้สึกเสียวซ่าน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าโอบรั้งใบหน้าอีกฝ่าย ครวญครางเป็นสุขเมื่อนิ้วมือรุกรานเข้าในช่องลับหลืบ หากว่ากันตามตรงเขาอยากให้พิรัลสอดใส่เข้ามาเสียเต็มประดาแต่พิรัลยังรั้งรอเล่นแง่ ศีรษะของพิรัลเคลื่อนต่ำลงอีกครั้ง รั้งสะโพกของนิพัทธ์จัดท่วงท่าให้เหมาะสม เขาใช้ลิ้นกับช่องทางด้านหลัง มันชื้นแฉะด้วยน้ำลาย นิพัทธ์ร่ำร้อง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชอบมากแค่ไหนยามเมื่อถูกพิรัลปรนเปรอให้เช่นนี้ ส่วนหน้าของเขาขยายตัวแต่ยังไม่ถึงที่สุด ส่วนล่างของเขาเกร็งขืนเมื่อพิรัลลงลิ้นหนักขึ้น นิพัทธ์ขยุ้มกลุ่มผมคนอายุมากกว่า ร้องบอกว่าเสียวซ่านเพียงใด
พิรัลเงยหน้า ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับคนใต้ร่างอีกครั้ง ส่วนแข็งขืนของเขาเสียดสีท่อนล่างของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากลากผ่านผิวกาย จมูกซุกไซ้ซอกคอ “น้องชอบมั้ยครับ”
ดวงตานิพัทธ์เคลิบเคลิ้ม ชายหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ไหนบอกพี่ซิ อยากให้พี่ทำอะไรต่อครับ” พิรัลกล่าวติดชิดริมฝีปาก มือของเขาลูบไล้ยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่าง บีบเค้นที่ท่อนเนื้อของเด็กหนุ่มตัวขาว “อยากให้พี่เลียตรงนี้ให้อีกมั้ยครับ”
นิพัทธ์ส่ายหน้า ริมฝีปากยกยิ้ม “น้องเสียวตรงนี้ครับพี่เจตน์” นิพัทธ์จับมืออีกฝ่ายล้วงเข้าไปลูบไล้ร่องหลืบ “ทำให้เสียวกว่านี้ได้มั้ยครับ”
พิรัลยิ้มกริ่มและคิดว่าถ้านิพัทธ์ยังเย้ายวนอยู่แบบนี้เขาคงได้ตายคาอกเข้าสักวัน ชายหนุ่มขยับตัวจูบริมฝีปากช่างพูดนั่นพลางใช้ส่วนปลายของอวัยวะบุกเบิกช่องทางด้านหลัง ในส่วนนั้นซึ่งคับแน่นถูกดุนดันเข้าไปทีละน้อย พิรัลครางเครือในลำคอด้วยความพออกพอใจเมื่อถูกความอ่อนนุ่มโอบรัด เขาขยับแผ่วเบาด้วยต้องการซึมซับช่วงเวลานี้ไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ
ใบหน้าผละจูบออกมามองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ริมฝีปากยกยิ้มเมื่อเห็นว่านิพัทธ์จดจ้องมาเช่นกัน เขาอดจูบที่แก้มอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งจูบทั้งหอมและดอมดมผิวกายไปทั่ว นิพัทธ์ตอบรับเป็นอย่างดี มือสองข้างกอดประคอง สองเรียวขาโอบรับสะโพกที่ขยับอย่างเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่รู้จักพิรัลมาเขาเริ่มติดใจรสรักอันเชื่องช้าทว่าหนักหน่วงถึงใจในช่วงที่ถูกที่ควร หากว่ากันถึงอดีตทุกอย่างเร่งรีบและร้อนแรงไปเสียหมด นิพัทธ์เองก็เพิ่งได้เรียนรู้ว่าบทรักที่ไม่รีบเร่งของพิรัลนั้นทำให้เขาสั่นสะท้านมากเพียงใด
สัดส่วนอวบอัดคับแน่นอยู่ในร่องหลืบ มันขยับเข้าอย่างเชื่องช้าและหนักหน่วงในช่วงท้าย ร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวไหวเอนไปตามแรง พวกเขาไม่มีท่วงท่าพิสดารอัศจรรย์พันลึก มันเป็นเพียงท่าร่วมรักแสนธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์วาบไหว พิรัลมองสบตา ใบหน้าที่เห็นจมูกเป็นสันชัดเจนเอ่ยเย้า นิพัทธ์ยิ้มอายก่อนจะเย้ากลับบ้าง ความสุขในค่ำคืนนั้นเติมเต็มอารมณ์หมายหลังจากที่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาพักหนึ่ง
“น้องคิดถึงพี่เจตน์”
“หืม เราก็เจอกันทุกวันนี่”
“เจอหน้าทุกวันแต่พี่เจตน์ก็เอาแต่งาน ไม่เห็นเอาน้องเลยครับ” นิพัทธ์กล่าวแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
พิรัลหัวเราะและยังคงมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าด้วยแววตาพึงใจ “ช่างพูด” เขาจูบบนริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติ ท่อนล่างเริ่มเร้าจังหวะมากขึ้นด้วยเพราะทนต่อความเย้ายวนชื้นแฉะนั่นไม่ไหว เสียงครางครวญเคล้าเสียงผิวเนื้อ พิรัลไม่แน่ใจนักว่าตัวเองได้เร่งเร้าจังหวะรักมากเกินไปหรือเปล่า เขายังไม่อยากให้เวลานี้จบลงแต่เรือนร่างที่นอนระทวยอยู่ในอ้อมอกนี้ก็เกินทานทนเสียเหลือเกิน นิพัทธ์จูบเขา นิพัทธ์โอบกอดร่างเขาไว้และบอกรัก ดวงตาพิศมองมายังเพียงพิรัลผู้เดียว เขารักช่วงเวลานี้และไม่อยากให้มันจบลงเร็วนัก
“รักพี่มั้ยครับ”
“รักครับ”
ชายหนุ่มจูบบนหน้าผาก ผิวกายอ่อนละมุนตราตรึงจนหัวใจสั่นระรัว “พี่ก็รักกานต์ครับ” น้ำเสียงของเขาแม้จะเบาแต่จริงใจ ทุกคำพูดล้วนผ่านการคิดในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง
พิรัลผละตัวออกมา จัดท่วงท่าให้สอดคล้องกันเขาเริ่มรบเร้าร่องหลืบของนิพัทธ์มากขึ้น ความเสียวซ่านก่อเกิดดำเนินต่อไป มือสองข้างโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อรองรับการรุกรานที่หนักหน่วงมากขึ้นทุกที ภายในของนิพัทธ์ให้ความรู้สึกดี อีกทั้งยังความรู้สึกจากทางใจ ทุกอย่างกำลังรุมเร้าให้พิรัลและนิพัทธ์ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายเดียวกัน พวกเขาร่ำบอกรักกันอีก มันหวานฉ่ำหยดหยาดอยู่ในห้วงความรู้สึก นิพัทธ์สอดนิ้วประสานตอบรับอีกฝ่าย มองใบหน้าที่โน้มเข้าหาก่อนริมฝีปากจะถูกจูบ
เขาบอกให้พิรัลสุขสมเพราะตนเองก็ใกล้ถึงฟากฝั่งเต็มที ช่องทางด้านหลังบีบรัด คลายออก และบีบรัดอีกครั้งยามเมื่อพิรัลปลดปล่อยความวาบหวามทั้งหมดที่มีในร่องหลืบนั้น พิรัลรั้งร่างอีกฝ่ายให้นั่งบนตัก ใช้มือรูดรั้งส่วนตื่นตัวของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากดูดดึงยอดอก พาอารมณ์อันอ่อนไหวทะยานให้ถึงจุดหมาย นิพัทธ์กอดเขาแนบแน่นและผลของความสุขสมนั้นอยู่ในอุ้งมือของพิรัล
ชายหนุ่มอายุมากกว่าแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกแน่นตึงด้วยมัดกล้ามพอดิบพอดี ในท่วงท่านั้นทำให้นิพัทธ์สามารถก้มลงจูบตรงกลางกลุ่มผมได้อย่างถนัดถนี่ เขาโอบกอดพิรัล จูบซ้ำย้ำไปมาที่กลุ่มผมตัดสั้น มันอาจชื้นเหงื่อไปบ้างแต่เขาชอบกลิ่นอายของคนรักจนไม่อยากผละตัวหนีหายไปไหน
พิรัลเงยหน้าขึ้นเด็กหนุ่มจึงจูบที่หน้าผาก มองคนรักด้วยรอยยิ้ม เขาไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่พิรัลยังรักเขาแบบนี้ รักษาตัวเองด้วยการทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกประการ นิพัทธ์รู้สึกเต็มตื้นในหัวอก เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงรักพิรัลและอยากอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ แต่เขาพร้อมเหลือเกินกับการใช้ชีวิตสืบต่อไปกับพิรัล เขารักพิรัลและหวังแค่ได้ความรักกลับคืนมา เพียงแค่รักก็พอแล้ว
หลังจากนัวเนียยืดยาดกันอยู่บนเตียงนานสองนาน พิรัลจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มไปทำธุระในห้องน้ำเหมือนเช่นเคย เขาคว้ากางเกงขึ้นมาสวมใส่และเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ในนั้นบรรจุของทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นหลากหลายอย่าง พิรัลมองซองยามากมายของตัวเอง เขาใส่มันเข้ามาในกระเป๋าตอนไหนยังแทบจำไม่ได้ ยังไม่รวมถึงซอองยาที่เหลือในลิ้นชักที่บ้านของตัวเอง พิรัลหยิบมันขึ้นมาดูพลิกหน้าพลิกหลัง บ้างให้กินหลังอาหารสี่เวลา บ้างให้กินสามเวลา ดวงตาสีเข้มมองของตรงหน้า ครุ่นคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาทิ้งยาทั้งหมดลงถังขยะ รวบถุงที่รองขยะ มัดปากถุง และนำมันออกไปทิ้งที่ด้านนอก
พิรัลยังคงเป็นพิรัล เป็นคนที่ไม่อาจละทิ้งอุดมการณ์อันน่าแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ทันท่วงที บางครั้งความคิดที่ไม่เข้าท่านี้คงเกินเยียวยา
************************************