[รบ]
ผมลืมเรื่องที่ว่าผมต้องง้อธนูไปจนหมดสิ้น เพราะธนูมันทำตัวไม่ดีกับผมก่อน
ผมรู้ว่าเราสองคนยังอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่าเริ่มต้นเรียนรู้ซึ่งกันและกันหรือไม่ก็ถือว่าคบกันแล้วส่วนหนึ่ง (ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง) แต่การที่มันพาตัวเองไปเจ็บแบบนี้ บอกเลยว่าผมไม่ชอบอย่างแรง...
เหมือนมันไม่แคร์คนที่อยู่ข้างหลังของมันเลยสักคน
ไม่รู้ว่ามันรู้หรือเปล่าว่าผมไม่ชอบ มันถึงได้บอกให้ผมหยุดงาน แล้วก็ปล่อยตัวเองไปบู๊ลางผลาญกับแก๊งอันธพาลพวกนั้นจนทำให้ตัวเองเต็มไปด้วยแผลแบบนี้
“ทำไมต้องทำหน้าโหด” ธนูนั่งบนเตียงของมันแล้วมองไปทางอื่นราวกับไม่กล้าสบตาผม
“มึงบุกไปคนเดียวใช่มั้ย”
“...” มันยักไหล่แทนคำตอบ
“มึงบ้าป่ะวะ”
“กูไม่ได้บ้า กูแค่โมโห”
“ถ้ามึงเป็นอะไรหนักกว่านี้ล่ะ”
“กูทนไหวน่า”
“ทนไหวพ่อมึงน่ะสิ!” ผมร้องลั่นจนธนูแอบสะดุ้ง “พวกนั้นอาจจะฆ่ามึงก็ได้...มึงคิดอะไรอยู่วะ”
“ตอนนี้เหมือนมีไฟออกมาจากปากมึงเลย”
“อย่ามาทำเป็นตลก”
“...” ธนูถึงกับนิ่งเมื่อผมไม่ขำด้วย
“เพราะงี้ใช่มั้ยถึงให้กูหยุดงาน”
“ใช่” อีกฝ่ายทอดถอนใจ
“...”
"กูไม่อยากให้มึงเห็นกูในสภาพเละเทะ ไม่ได้คิดมาก่อนว่ามึงจะโกรธขนาดนี้” เสียงของธนูฟังดูอ่อยราวกับว่ามันแคร์ความรู้สึกของผม
“จะไม่ให้กูโกรธได้ไงวะ” ไอ้บ้านี่ควรจะได้รับการเตะซ้ำเพื่อเป็นการสั่งสอนให้แม่งหลาบจำ...แต่ผมคงไม่ทำแบบนั้นหรอก
จริงๆ แล้วไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมรู้สึกอยากทำร้ายร่างกายมันจริงๆ สักที มีแต่พูดเล่นทั้งนั้น (ตามอารมณ์น่ะ)
“มึงทำเพื่อนกูตกใจมากนะ”
“...” ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“กูเองก็...ตกใจ”
ผมเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมเพิ่งจะลองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมัน...บางทีนี่อาจจะเป็นความประพฤติปกติของคนอย่างธนูก็ได้ เวลาที่เพื่อนเจ็บ...มันมักบุกเดี่ยวไปแก้แค้นแทนเพื่อน ซึ่งผมบอกได้เลยว่าผมโคตรไม่ชอบการกระทำแบบนี้
ก็ผมเป็นห่วงมันนี่หว่า...
“เอาเป็นว่าหายกัน” ผมตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด “กูโกรธมึงเรื่องมึงไม่ห่วงตัวเอง ส่วนมึงโกรธกูเรื่องที่กูดูแลเพื่อนมึงไม่ดี ฉะนั้น...”
“ไม่ หายกันไม่ได้” ธนูร้องขัด “เรื่องเพื่อนกู...กูโมโหมากนะ”
กลายเป็นผมที่ตกเป็นเบี้ยล่างของมัน...งงฉิบ ทำไมเกมพลิกวะ “คือว่า...”
“กูฝากพวกนั้นไว้กับมึงเพราะกูไว้ใจมึง คนพวกนั้นถึงแม้ว่าจะแสดงออกว่าพวกมันเป็นคนปกติ แต่เชื่อกูเถอะว่ามันไม่ปกติ เหมือนวงกลมที่มีรอยแหว่งกันทุกคน...”
“...”
“พวกมันต้องการผู้นำ แล้วมึงก็ทำมันพัง”
ผมดูไม่ออกว่ามันแกล้งผมหรือเปล่า...แต่ตอนนี้ผมรู้สึกผิดไปถึงขั้วหัวใจแล้ว
“ก็กลุ่มกูไม่ได้ซีเรียสขนาดนี้นี่...พวกกูก็แค่อยู่ไปวันๆ ไม่ได้มีศัตรูที่ไหนจริงจังเหมือนพวกมึง” ผมเถียงเสียงอู้อี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับธนูที่กำลังแอบยิ้มพอดี มันหุบยิ้มฉับด้วยความไวแสง
“พวกกูไม่มีศัตรูหรอก กูคนเดียวต่างหากที่มีศัตรูน่ะ” ธนูพูดน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “ไหนมึงลองง้อกูสักหน่อยซิ”
“ถือว่าหายกันเหอะ มึงเองก็เพิ่งทำผิดกับกูมานะ” ผมไม่ยอมง่ายๆ เพราะเรื่องที่ผมโกรธมันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมเหมือนกัน
“กูทำอะไรผิด” ยัง...ยังไม่รู้ตัวอีก
“มึงทำให้กูเป็นห่วง”
ถ้อยคำของผมทำเอาธนูถึงกับชะงักค้าง...มันกระพริบตาปริบๆ ราวกับไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้ายังไง ก่อนจะถอนหายใจ
“กูขอโทษ” มันพูดเสียงเบา
“อย่าทำแบบนี้อีกได้มั้ย” เสียงของผมอ่อนลง รู้สึกหัวใจจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ยิ่งเห็นแผลที่ใบหน้าของมัน...ผมก็ยิ่งใจไม่ดี
“ไม่รู้สิวะ” มันถอนหายใจ “เพื่อนมันเจ็บ...จะให้กูอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ได้ เหมือนมันมีสัญชาตญาณอะไรบางอย่างในตัวกูที่ทำให้กูห่วงเพื่อนพวกนั้นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”
ผมเผลอกลืนน้ำลาย...อย่างน้อยตอนนี้ธนูมันก็กล้าที่จะบอกผมทุกอย่าง
“ถามไรหน่อย” ผมทำหน้าซีเรียส
“หือ”
“ตอนดวงจันทร์เต็มดวง...มึงจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าป่ะ” ขอถามหน่อยเหอะไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย...ยิ่งรู้จักพวกแม่งก็เหมือนรู้จักฝูงมนุษย์หมาป่าของรันเข้าไปทุกวัน อะไรมันจะรักพวกพ้องปานนั้น
“มึงบ้าป่ะเนี่ย” ธนูมองผมด้วยสายตาตำหนิ “แอบไปติดซีรี่ส์มาเหรอ”
“...”
“แต่กูก็ชอบมองดวงจันทร์นะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายร่างขึ้นมาก็ได้สักวัน”
แม่งก็เสือกเล่นกับผมไปอีก...มันหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกวักนิ้วเรียกผมเข้าไปใกล้
“ไม่ไปโว้ย” ผมปฏิเสธ “เพื่อนมึงก็อยู่ข้างล่างกัน”
“กูไม่ได้คิดจะทำเสียงดังอะไร”
“...”
“นี่มึงคิดไปถึงขนาดนั้นแล้วเหรอ”
ผมรู้สึกเหมือนผมเสียหน้า ยิ่งธนูมันทำหน้าอารมณ์ดี ผมก็ยิ่งอยากเอื้อมมือไปตีปากเก่งๆ นั่นของมัน
“พักผ่อนซะ วันนี้มึงไม่ต้องออกไปไหนอีกแล้ว” ผมค่อยๆ ขยับไปที่ประตู
“รบ”
“ไรวะ”
“กูบอกให้มึงมานี่” มันส่งเสียงดัง
แอลฟาของรันส่งเสียงเข้มจนผมรู้สึกหงอไปบ้าง แต่ก็เล็กน้อยเท่านั้นแหละ
“กูบอกว่าไม่ไง” ผมร้องกลับไป
“เฮ้ย”
“...”
“กูเป็นเจ้านายมึง”
“แล้วไง”
แอลฟาแล้วยังไงวะ...มันจะแน่สักแค่ไหนกัน
ผมหันหลังไปเปิดประตู...จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีคนคนหนึ่งเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง จากนั้นก็หอมแก้มผมอย่างฝังจมูกลึกมากซะจนผมต้องเอียงคอหลบ
“กูเดินมาหาเองก็ได้”
“สาดดดด...เพื่อนมึงอยู่ข้างล่าง”
“หอมแก้มเฉยๆ ไม่ได้ทำกัน” มันยังไม่ยอมปล่อยผมไป “มึงชวนกูขึ้นมานี่เอง จะไม่ให้กูทำอะไรมึงเลยมันก็เสียชื่อคนอย่างกูไปหน่อย”
ผมยังมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า...ผมยังสามารถเอาชนะมันได้
ครับ...ทุกคนคงเคยชินกันแล้วใช่มั้ยกับการแข่งขันบ้าบอระหว่างผมกับธนู
“มึงก็ได้แค่หอมแก้มแค่นั้นล่ะวะ”
เกลียดตัวเองเวลาที่ยอมคนอย่างมันไม่ได้จริงๆ...อาจเป็นเพราะผมติดมาจากตอนที่เราทั้งคู่ยังชอบเขม่นกันเวลาอยู่ในมอมั้ง
คำพูดของผมสร้างความถูกอกถูกใจให้กับธนูเป็นอย่างมาก มือของมันเลื่อนลงไปยังกระดุมกางเกงยีนของผมอย่างรวดเร็วราวกับพร้อมปลดมันออกทุกเมื่อ
มือไวยิ่งกว่าปลาหมึกก็มือไอ้ควายธนูนี่แหละ...จะเป็นมือใครซะอีกล่ะ
“เชี่ย ล้อเล่น!” ผมปัดมือมันออกไป “เพื่อนมึงอยู่กันหมดเลยนะ”
“ทำไมมึงย้ำเรื่องนี้จัง”
“...”
“นี่ถ้าพวกมันไม่อยู่...มึงกับกูก็ทำกันได้ใช่ป่ะ”
ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละโว้ยยยยยยย
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอย่างใจลอยอยู่...ธนูมันก็พูดอะไรบางอย่างกับโทรศัพท์ที่มันถือไว้แนบหู
“การ์ด...มึงกับเพื่อนออกไปจากร้านกันให้หมด” การ์ดแม่งรับสายจริง แถมยังได้ยินจริงๆ
“เชี่ย!” ผมดันตัวมันให้ออกไปจากตัวมัน จากนั้นก็วิ่งจู๊ดลงไปอย่างชั้นล่างแทบจะในทันที
วันนี้รอด...แต่วันอื่น...ผมไม่รู้ว่าผมจะรอดหรือเปล่า
แอลฟาของรันนี่แม่ง...ร้ายฉิบ
“รบ...ทำไมมึงเดินตัวบิดๆ” การ์ดมองท่าทางการเดินที่สุดแสนจะผิดปกติของผมตอนที่ผมถึงชั้นล่างแล้ว
“ไม่มีอะไร”
ใครจะไปอยากให้คนอื่นเห็นเวลาที่เป้าของผมมันกำลังแข็งล่ะ...
[การ์ด]
เดี๋ยว นี่พวกมันดีกันแล้วเหรออออ
ผมนึกว่าผมจะได้ยินเสียงการทำลายข้าวของมาจากชั้นบนซะอีก แต่เปล่าเลย...ผมเห็นแต่ท่าทางเขินอายของไอ้รบกับอาการยิ้มพึงใจของไอ้ธนู
อยู่กับพวกแม่งนานๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะเป็นประสาทตายหรือเปล่า
กูปรับตัวปรับอารมณ์ไม่ทันพวกมึงเลยสักนิดว้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น...ยังไงบรรยากาศสีชมพูยังไงก็ต้องดีกว่าบรรยากาศมืดมนชวนขนลุกอย่างแน่นอน
กลายเป็นว่าวันนี้รบอยู่ช่วยงานต่อแทนที่จะหยุดอย่างที่ไอ้ธนูมันสั่งเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่ค่อยทำงานแบบผมกับเพื่อนก็ตาม ทำไมน่ะเหรอครับ...เพราะมันมัวแต่คอยไปด้อมๆ มองๆ ดูไอ้ธนูว่ามันจะเดินไหวหรือล้มตกบันไดเพราะแผลตามตัวของมันหรือเปล่า
ดูไปบ่นไป...แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะอยู่ห่างท่านหัวหน้าของผมไปไหน เหมือนมันงอนนิดๆ แต่มันก็ยังเป็นห่วงอยู่น่ะ
“แขนมึงมีรอยช้ำนี่” ตอนที่ไอ้ธนูยกของพังๆ ช่วยไอ้ก้อง รบก็ส่งเสียงท้วงทันที “ตรงศอกด้วย...เอามานี่มา กูทำเอง ไปนั่งพักไป”
“จะบ้าเหรอรบ แค่นี้เอง” ธนูถึงกับเหวอไปเลย ยังไงแม่งก็ไม่ยอมให้รบมาทำลายความเท่ของมันแน่ๆ เรื่องการที่มันต้องแมนกว่ารบนี่เป็นอะไรที่แม่งโคตรจะซีเรียส...
“มึงหลบไปนั่งตรงนู้นนนน”
“ไอ้รบ”
ในที่สุดรบก็แย่งของในมือจากไอ้ธนูไปได้ ท่านผู้นำของผมทำหน้าเซ็งอย่างปิดไม่มิด มันเลยหันไปช่วยยุจัดการกับพวกแก้วที่โดนอันธพาลพวกนั้นทำลาย แต่รบก็เข้ามาหามันด้วยความไวแสงอยู่ดี
“ไปนั่งพัก” มันแย่งงานจากมือของไอ้ธนู
ยุนี่ถึงกับถลึงตามอง...ปกติเคยมีใครขัดใจไอ้ธนูถึงขั้นแย่งของในมือมันไปบ้าง คำตอบของคำถามนั้นคือศูนย์ ไม่มีเลยสักคน
“เฮ้ย กูโดนซ้อมมา กูไม่ได้โดนรถชน” เพื่อนผมโวยวาย
“หุบปากแล้วไปนั่ง”
ธนูมันแทบจะทนไม่ไหว...แต่มันก็ไปตามคำสั่งของรบ ผมกับเพื่อนลอบสบตากันเพราะสิ่งที่เรากำลังเห็นมันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ
ไอ้ธนูเองมันก็ยังรับไม่ค่อยจะได้เลย พอรบแย่งงานทุกอย่างไปจากมือของมัน มันก็หายออกไปทางข้างหลังร้านราวกับต้องการที่สำหรับสงบสติอารมณ์ตัวเอง
ไอ้รบเห็นท่าไม่ดีจึงตามไปอย่างเร็วรี่...ส่วนผมกับเพื่อนที่เหลือนั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยครับ...
พวกเราเดินไปแอบดูพวกแม่งซะเลย
ไอ้ก้องใช้มือกดหัวให้ผมนั่งลงเพราะมันก็จะดูเหมือนกัน ไอ้ยุกับไอ้โฮมก็ทิ้งงานทุกอย่างเพื่อมาดูว่าสองคนนั้นจะงอนง้อกันยังไงอีก อย่าหาว่าผมอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับ...พวกผมชอบเห็นเวลาที่ไอ้ธนูมันหลุดมาดโหดน่ะ แม่งสะใจพิลึกยังไงก็ไม่รู้
“กูหรือเปล่าวะที่ต้องงอนมึง” รบเปิดประเด็น มันใช้เท้าเขี่ยบริเวณม้านั่งว่างๆ ข้างๆ ธนูด้วยท่าทีไม่ได้ป่าเถื่อนอะไร...มันดูเหมือนเขินจนไม่รู้จะวางตัวยังไงมากกว่า
“กูไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”
“แต่กูก็เป็นห่วงไง”
“รบ” เสียงธนูดูเหมือนคนที่อยากจะอธิบาย แต่ก็อธิบายออกมาได้ยาก... “กูขอพูดตรงๆ นะ”
“อือ”
“อย่าทำเหมือนกูอ่อนแอเลยว่ะ มึงรู้มั้ยว่ากูอยากดูเข้มแข็งมากโดยเฉพาะกับคนอย่างมึง”
เพื่อนผมเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย...ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกมันทั้งสองเป็นเกย์ร่างสูงที่มองเผินๆ ก็เหมือนผู้ชายทั่วไป ธนูมันคงอยากมีอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือกว่ารบนอกเหนือจากเรื่องบนเตียงอย่างแน่นอน
มันก็แค่อยากดูแลรบให้ดีน่ะ
โป๊ก
“เชี่ย” ไอ้โฮมเผลอร้องเมื่อท่านหัวหน้าของพวกเราโดนเคาะกบาลเรียกสติ เพราะมันส่งเสียง...ผมกับเพื่อนคนอื่นๆ จึงได้เคาะกบาลมัน ให้มันโดนเป็นเพื่อนไอ้ธนูซะเลย โทษฐานที่แม่งส่งเสียงดัง
โชคดีที่เป้าหมายของเราทั้งสองคนยังไม่รู้ตัว
“อะไรของมึง” ธนูคลำหัวตัวเอง...พ่อง อยากถ่ายรูปเก็บไว้ฉิบหาย มันถูกคนอื่นตีแต่ไม่กล้าตีโต้ตอบคนอื่น แบบนี้ก็มีด้วยโว้ยยย
“สำหรับกูมึงเข้มแข็งมาก เป็นผู้นำมาก เท่มาก สิ่งเหล่านั้นกูรู้อยู่แล้ว แต่ที่กูทำไปทุกอย่างเนี่ย...”
โป๊ก
การเคาะกบาลไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวว่ะ แม่งมีสอง!
ไอ้โฮมถึงกับทึ้งหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อทีเดียว...ถ้าธนูแม่งยอมรบขนาดนี้ เชื่อว่าถ้ารบขอขี่คอมันก็คงยอมอ่ะ
“กูทำเพราะกูเป็นห่วงมึง”
“แต่...” ธนูตั้งท่าจะเถียง
รบกำกำปั้นขึ้นมาอีก เมื่อเห็นว่าธนูหยุดพูดแถมเอียงใบหน้าหลบ มันจึงลดกำปั้นลง
อยากจะขำแต่ก็ไม่รู้ควรขำดีหรือไม่...ไอ้ธนูแม่งไม่เคยกลัวหลายสิบตีนของพวกนักเลงอันธพาลพรรคพวกของพี่นทีแต่ดันกลัวแค่กำปั้นเดียวของไอ้รบเนี่ยนะ
“มึงเจ็บอยู่...ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปนอนหลับพักผ่อน จะได้หาย”
เพื่อนผมพ่นลมออกมา “ก็ได้”
“...”
“มึงพูดแล้วนะว่ากูเข้มแข็ง กูเท่”
“มึงเป็นเด็กสี่ขวบที่อยากได้คำชมเหรอ ถ้าชอบจะได้พูดให้ฟังบ่อยๆ เอามั้ยล่ะ”
พวกแม่งเข้ากันได้ดีจนผมกับเพื่อนอดคิดไม่ได้ว่า...พวกมันควรจะคุยกันหรือทำความรู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“ดี ชมกูเยอะๆ นะ”
“...”
“ชมว่ากูหล่อ กูเท่...ประมาณนี้”
“เออ มึงหล่อ มึงเท่ พอใจยัง”
บางทีก็รู้สึกปวดขมับตุบๆ อยู่เหมือนกันเวลาที่ไอ้ธนูมันยอมรบเหมือนลูกไก่ในกำมือ แต่ก็นั่นแหละ ผมจะไปว่าอะไรมันได้ล่ะ ก็ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้
รบทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ธนู...มองเพื่อนผมที่วางมือไว้บนเข่าก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของมันไว้แล้วส่งยิ้มให้
เชี่ย...โมเมนต์หวานๆ ก็มา คนดีกันจริงๆ มันเป็นอย่างนี้สินะ
ยัง ยังไม่พอครับ...ธนูเอื้อมมืออีกข้างมาขยี้ผมไอ้รบก่อนจะจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผาก
โอย หวานจนน้ำตาลปี๊บเรียกพ่อ...แบบนี้มันคงถึงเวลาแล้วล่ะมั้งที่ผมกับเพื่อนจะสลายโต๋ ปล่อยให้พวกแม่งได้สวีตกันท่ามกลางอากาศร้อนๆ ใต้ร่มไม้นั่น
ก้องเป็นคนสะกิดผมให้หันไปดูคนสองคนนั่นอีกครั้งระหว่างที่เราทั้งสี่คนกำลังหันหลังกลับเข้าร้านไป
ไอ้เหี้ย...เห็นแล้วเขินนิดๆ เหมือนกันนะ
พวกมันทั้งสองคนกำลังจูบกันอยู่ครับทุกคน...
To be continued