บทที่ 4 ฟ้าครึ้มในยามสายตะวันเร้นกายอยู่หลังแพเมฆฝนเกาะกลุ่มคล้อยต่ำ ที่ลานตากผ้ามีแต่ราวตากโครงไม้ไผ่กับคนใช้ที่ยืนท้าวสะเอวบ่นว่าฝนใกล้จะตกอยู่รอมร่อ ห่างออกไปพวกลูกศิษย์สำนักยังซ้อมพลองทำเสียงอึกทึกแข่งกับเสียงลม ฝุ่นทรายตลบฟุ้งพัดไปทั่ว ในเรือนใหญ่กับประตูอ้ากว้างอย่างนี้ทำเอาคนกำลังถูพื้นห้องโวยขึ้นมาอีกรอบ
“ลมแรงอย่างนี้บ้านเจ้าเปิดประตูรอเง็กเซียนเสด็จรึไง!”
“ระวังคำพูดหน่อย!” คนแก่กว่าเอ็ดขึ้นมา “เจ้าก็ลุกไปปิดประตูแล้วค่อยมาถูพื้นต่อ อย่าทำให้เป็นเรื่อง”
ซุนซีที่เพิ่งยกโต๊ะไม้เสร็จแทบจะห่อตัวเดินออกไป สาวใช้ยิ่งอายุมากยิ่งน่ากลัว คำกล่าวนี้เขาได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว..
เด็กรับใช้ข้างนอกตรงมาเกาะขอบประตู ท่าทางจะรีบจัดจนจุกผมเบี้ยวจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ “ซุนเกอ คนจากโรงหมอมาหา อยู่ข้างนอก--”
“อิงอิง ไปมัดผมใหม่เดี๋ยวนี้!” ประกาศิตดังมาจากข้างหลังเขา เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง กวดฝีเท้าโกยหน้าตื่นกลับไปทางเดิม
ซุนซีก้มหน้าก้มตาเช็ดมือกับชายเสื้อ สาวเท้าไวๆ ตามออกไปถึงประตูใหญ่ เด็กชายตัวเล็กยืนทำท่าขึงขังเป็นนายทหารเฝ้ายามอยู่หน้าขั้นบันได สองมือหอบห่อผ้าป่านสีทึมกอดเอาไว้เป็นอย่างดี กันไม่ให้เลอะแม้ว่ารองเท้าเจ้าตัวจะเขลอะโคลนกระเด็นมาถึงเข่า
“รอนานไหม?” ฝ่ายที่เพิ่งมาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าถูแก้มเช็ดคราบเปื้อนเล็กๆ หนุ่มน้อยส่ายศีรษะเอื่อยช้า หยีตาลงนิดแต่ไม่ได้เอนตัวหลบไปไหนอย่างคนคุ้นกันดี รอจนละมือถึงส่งห่อผ้าให้
“ซือฝุ ขึ้นเขา” เด็กชายแจ้งเสียงเรียบ ดวงตาสีหมึกจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง
ซุนซียิ้มน้อยๆ ส่งห่อกระดาษบรรจุถั่วตัดใส่มือเจ้าหนู “ขอบใจเจ้ามาก ฝนใกล้ตกเดินทางระวังด้วย”
คนรับส่งเสียงอืมในลำคอ ยัดเอาห่อขนมไว้ในอกเสื้ออย่างดีแล้วถึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับทางเดิม ซุนซีไม่ได้ยืนส่งเจ้าหนูเหมือนอย่างเคย ได้ของเขาก็รีบสาวเท้าปรี่เข้าไปในเรือนด้านหลัง
คุณหนูใหญ่นั่งประสานมือบนหน้าตัก ทันทีที่เห็นเขาเข้ามาพร้อมห่อผ้าเมิ่งตงหลานก็แย้มสรวลงดงามราวบุปผาแรกผลิใบ รอยบุ๋มลักยิ้มน้อยๆ แต้มประดับที่สองแก้มชัดเจนกว่าครั้งไหน เมื่อไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้มือนางก็พาลสั่นตาม
“กลับไปอ่านที่ห้องกันดีไหม?” ซุนซีถามระหว่างส่งห่อผ้าให้ เมิ่งตงหลานรับเอามาถือไว้แนบอก พยักหน้าตอบระรัว
คุณหนูใหญ่กลั้นยิ้มเป็นระยะ พยายามเลี่ยงคำถามจากสาวใช้ที่เดินสวนมา สองเท้าเล็กๆ ก้าวไวราวกับกำลังเหาะข้ามทางเดินใต้ร่มหลังคาทอดยาว เพราะแทบอดใจรอไม่ไหวเลยลืมไปแล้วว่าซุนซีคอยตามหลังอยู่ไม่ห่าง คนมีศักดิ์เป็นพี่กลัวเหลือเกินว่านางจะรีบเสียจนสะดุดชายกระโปรง
ประตูห้องปิดไม่ทันไรคุณหนูคนโตก็พุ่งไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวเรียบร้อย ซุนซีหันไปสั่งให้สาวใช้ประจำตัวคุณหนูรออยู่ด้านนอก เขาตามเข้ามาข้างใน ทันเห็นมือขาวราวหยกเนื้อดีลูบไปตามสันพัด วี่แววลังเลพาดผ่านในดวงตากลมโต นางหันกลับมาขอความช่วยเหลือสลับกับมองพัดที่ถืออย่างถนอมในมือ
“เอาอย่างไรดีพี่ใหญ่..ข้ากลัว...”
“ไม่เปิดเจ้าก็ไม่รู้คำตอบว่าดีร้าย อย่ารีรออีกเลย” ซุนซีรีบนั่งลงข้างๆ มือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น แค่อยู่ด้วยกันเขาก็ตื่นเต้นตามจะแย่แล้ว!
นิ้วเรียวยาวคลี่พัดออกเบามือ บนผืนกระดาษปรากฏลายอักษรสองแบบในแถวยาวข้างกัน หยงฝูต่อกลอนด้วยตนเองไม่ผิดแน่ เห็นอย่างนั้นต่างคนต่างเผลอกลั้นหายใจ สายตากวาดไล่ลงอ่านไม่กล้าเอ่ยเสียง
เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด
ข้าห่างไกลแสนไกลกับเจ้า, เจ้าอยู่ไกลแสนไกลจากข้า
เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด
ผีเสื้อไม่มองหาบุปผา, ทุกคืนพานพบเพียงว่างเปล่า
ท่อนหลังมาจากบทประพันธ์เดียวกันต่อขึ้นเป็นกลอนฉบับสมบูรณ์ ...ทว่าในบาทสุดท้ายกลับแก้เปลี่ยนเป็นการตัดรอนสัมพันธ์ รอยยิ้มคนรอเลือนหาย สีหน้าเมิ่งตงหลานดิ่งลงราวฟ้าครึ้ม ในความเงียบดวงตาคู่งามรื้นน้ำใสไม่นานก็หยาดรินอาบแก้มนวล สตรีในห้วงรักกลืนก้อนสะอื้นลงคอ กระทั่งไหล่ก็สั่นน้อยๆ
ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะคิดกับชายสูงวัยผู้นี้อย่างไร สิ่งที่ซุนซีตระหนักเห็นจากอีกฟากหนึ่งกลับไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว ยามนี้เด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าความรู้สึกที่หยงฝูมีต่อเมิ่งตงหลานไม่ผิดอะไรไปจากผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กที่เห็นตั้งแต่เล็ก เปรียบเป็นรักก็บริสุทธิ์เกินกว่าจะเป็นคู่ชีวิต
ซุนซีสีหน้าดิ่งลง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นฝ่ายดับแสงเทียนริบหรี่ลงเองหรอกหรือ ไฟแห่งความหวังดวงน้อยเพิ่งมอดลงต่อหน้า แม้กระทั่งเชื้อไฟก็บิดปลิวเหมือนฝุ่นธุลีต้องลม
พายุจู่ๆ พลันกระหน่ำลงบนหลังคากระเบื้อง ฟ้าลั่นคระครืน เสียงอึกทึกด้านนอกดังฝ่าเสียงห่าฝน ต่างคนกระวีกระวาดยกของเก็บกันให้วุ่น ..ครวญสะอื้นไห้ก็กลืนหายไปกับช่อดอกไม้กลีบช้ำหลุดร่วงบนลานดิน
เสียงกู่เจิ้งยามเย็นเงียบหายไปนานแล้ว กระทั่งเงาของหญิงงามยังไม่อาจแลเห็น
รอยยิ้มในดวงตาคุณหนูคนโตเลือนหายตั้งแต่วันที่พัดส่งถึงมือ เมิ่งตงหลานกล่าวว่าหากไร้วาสนาตนไม่ขอคาดหวังสิ่งใดอีก นับแต่นั้นน้องสาวของเขาไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ นางกลับมากินข้าวอีกครั้งแต่ก็เหมือนร่างไร้วิญญาณ ว่างเมื่อไหร่ก็นั่งเหม่อลอยไม่มีเค้าของเด็กสาวคนเดิม
สายวันหนึ่งเจ้าสำนักเมิ่งสั่งให้ข้ารับใช้เรียกคนหามเกี้ยวมาที่บ้าน ตามทางยังเฉอะแฉะจากฝนเมื่อตอนสาย ลุงกงไห่เดินโขยกเขยกออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเกี้ยวสองคัน คันหนึ่งเตรียมไว้ให้เมิ่งตงหลาน อีกคันให้เมิ่งชุนเถา
ลำพังคนแบกเกี้ยวก็แปดคนแล้ว ซุนซีจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เด็กหนุ่มเห็นแต่อาตงรีบผัดหน้าด้วยแป้งหอมแก้มทาชาดเป็นสีแดงเรื่อ นางบอกด้วยเสียงดังคล้ายตะโกนว่าจะไปดูแสดงงิ้ว แต่งตัวสวยขนาดนี้ถึงต้องเดินอยู่ข้างเกี้ยวก็ดูท่าจะยินดี
ที่หน้าประตูใหญ่คนหามยกเกี้ยวขึ้นพร้อมเพรียง แดดส่องผ่านม่านหน้าต่างพอให้เห็นรอยยิ้มอิดโรยของเมิ่งคนโต...ซุนซีเห็นแต่ไม่กล้าพูดปลอบ มือผอมจับกรอบประตูไม้ชื้นๆ สองตามองไล่หลังขบวนเกี้ยว ภาวนาให้เที่ยวในเมืองครั้งนี้ชุบชีวิตไม้งามช่ออ่อนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่เด็กหนุ่มคิดผิด คราวนี้ผิดมหันต์
เป็นเวลาเกือบค่ำกว่าขบวนเกี้ยวจะกลับมา ช้าไปจากกำหนดถึงสองชั่วยามทำเอาป้าหม่านั่งไม่ติดที่ ซุนซีตามมารออยู่ตรงถนนหน้าบ้าน โคมไฟไหวๆ ส่องสว่างใต้ฟ้าครึ้มใกล้ค่ำ รออยู่นานกว่าจะเห็นเงาคนแบกเกี้ยวหลังเล็กเดินมาตามทาง อาตงร้องเรียกให้มาช่วยประคองเมิ่งตงหลานตั้งแต่เกี้ยวยังไม่ทันแตะพื้น คนล้อมหน้าล้อมหลังซุนซีได้แต่ยืนมองห่างๆ เมิ่งคนรองสบตาแล้วส่ายศีรษะรัว เขาต้องรอจนคุณหนูกลับห้องถึงได้รู้ข่าว
เรื่องวุ่นวายเหตุเพราะงิ้วจากคณะทางใต้เล่นเรื่องคู่รักผีเสื้อ อาตงเล่าว่ายังแสดงไม่ทันจบเมิ่งตงหลานร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ ร้องหนักจนสิ้นสติ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอาการของเมิ่งตงหลานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว นางล้มป่วยนอนซมอยู่แต่ในห้อง แม้จะตามหมอมารักษาคนแล้วคนเล่าก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น บอกว่าเพราะขาดอาหารบ้าง เพราะพักผ่อนไม่พอบ้าง ดูแล้วคล้ายจะเลี่ยงไม่พูดต่อหน้าเจ้าสำนักว่าป่วยเพราะอะไร
โรคใจมิใช่โรคกาย ยาดีตำราไหนถึงจะรักษาได้เล่า?
ใช้เวลาไม่กี่วันจดหมายจากคุณชายอินทรีก็ส่งกลับมา ซุนซีรับมันมาเปิดดูลำพังในห้องนอนรวมที่ตอนนี้ปราศจากคน มือผ่ายผอมไล่ไปตามซองกระดาษทรงยาวก่อนจะดึงพับจดหมายออกมา ใจความที่เขาเคยเล่าไปฉบับก่อนกล่าวว่าเขาทำเพื่อนคนหนึ่งเป็นทุกข์เพราะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี
ยิงฉู่หยุนตอบเพียงถ้อยคำตรงไปตรงมา
ไม่ได้ข่าวจากเจ้าหลายสัปดาห์ เป็นอย่างไรบ้าง ฝึกวรยุทธ์ราบรื่นดีหรือไม่?
เรื่องที่ถามมานั้นแจ้งแก่สหายเจ้าเถิดว่าบางอย่างก็สุดวิสัย ไม่ใช่การแก้ปัญหาทุกครั้งจะคลายปัญหาได้ในทันที หากว่าทำเต็มที่แล้วเจ้าจงทำใจให้สงบ ที่ไม่ควรโทษตัวเองเพราะใครเล่าจะทำนายอนาคตได้ ไม่แน่เมื่อเวลาผ่านปัญหาหนักใจอาจมีหนทางคลี่คลายได้ ขอเพียงอย่าย่อท้อก็เพียงพอ
เซี่ยเหมย เจ้ายังเด็กนักก็ทำใจให้สบายเถิด มีความสุขกับเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละวันให้มาก หากมีเรื่องอะไรก็ให้เขียนมาอีก ข้าจะรอ
ยิงฉู่หยุน
ตลอดค่ำวันนั้นซุนซีเก็บเอามาอ่านทวนอีกหลายรอบ ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่ใต้แสงเทียน สองมือกางกระดาษจดหมายไล่สายตาอ่านซ้ำๆ ทีละตัวอักษร ตัวหนังสือเพียงไม่กี่แถวทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
อย่างไรเขาก็ยังคิดอยู่ว่าควรมีวิธีช่วยเมิ่งตงหลานได้อีก แต่ทุกอย่างช่างเกินความสามารถเขาเหลือเกิน ลำพังแรงน้อยนิดของเขาไม่อาจช่วยน้องสาวได้เลยหรือ?
ซุนซีไม่อยากให้เมิ่งตงหลานแต่งงานไปเป็นภรรยารอง ยิ่งกับภรรยาหลวงลูกชายลุงเถียนที่ขึ้นชื่อว่าชอบกินน้ำส้มสายชู ด้วยแล้วเขายิ่งเป็นกังวลใจ
ปลายยามเหม่า ข้างนอกครึกครื้นกว่าเคยเพราะขบวนคุ้มกันของคุณหนูสามกลับมาพร้อมของฝาก ไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยถึงบ้านแล้ว เสียงเด็กๆ หัวเราะร่าลอยมาไกลถึงห้องเขียนหนังสือ ซุนซีนวดมือตัวเองพักสายตาจากเอกสารกองโต หันไปทางประตูอีกคราวก็เห็นอาตงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้น
“มัวแต่ทำงานไม่ไปเอาของฝากหรือ?” นางถาม เขาตอบด้วยการโคลงศีรษะ
“นั่งเฉยๆ เดี๋ยวของก็มา”
ไม่ทันขาดคำเสียงโหวกเหวกก็ดังมาแต่ไกล ฝีเท้าหนักๆ วิ่งเป็นลิงทโมนมาตามระเบียงทางเดิน อาตงมองหน้าเพื่อนอย่างรู้กัน ซุนซีถึงกับหลุดขำ
“พี่ใหญ่! อาตง! กินข้าวหรือยัง?” เจ้าของเสียงโผล่ถึงที่ก็เกาะแขนสาวใช้เป็นเจ้าจ๋อติดแม่
แม่ลิงจำเป็นหันมองต้นเสียงเจื้อยแจ้ว แม้แต่จะแกล้งทำหน้าระรื่นยังขี้เกียจ “คุณหนูสามกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ฟังก็รู้ว่าถามทักไปอย่างนั้น
“กลับมาแล้วสิ! ข้าไม่อยู่คิดถึงข้าใช่ไหมล่ะ” นางยิ้มแหย่ “เนี่ยน้า มีหนุ่มฝากเครื่องประดับมาให้อาตงด้วย”
เมิ่งเซี่ยเหมยหยิบของในถุงผ้าออกมาวางกลางฝ่ามือ มันเป็นหวีไม้แก่นจันทร์ประดับไข่มุกล้อแสงเป็นมันวาว ดูเรียบๆ แต่เป็นงานฝีมือประณีต อาตงเห็นแล้วทำหน้าไม่จืดไม่เค็ม
“คุณชายห้า? อันที่จริงของจากเด็กข้าไม่อยากรับหรอกนะ” ไม่ว่าเปล่า มือก็คว้าเอาหวีเก็บเข้าอกเสื้อ
“ไม่ชอบจริงเหรอ ไม่ชอบไม่ต้องฝืนรับไว้ก็ได้นะอาตง”
“วันนี้งานยุ่งจริงเชียว ไม่ว่างคุยกับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” นางตัดบท แงะคุณหนูออกแล้วก้าวฉับๆ พริบตาก็หายไป คนช่างแหย่ถูกปล่อยให้ถามเก้อ ปากเม้มตาก็หยีกลั้นขำสุดกำลัง
ซุนซียิ้มแล้วส่ายหัวหน่ายๆ “เสี่ยวเหมย เดินทางคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็เหมือนเดิม” นางว่า ลากเก้าอี้ไม้ครืดคราดมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “เออนี่ พี่ใหญ่ ช่วงที่ข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดพี่รองถึงป่วยได้ล่ะ”
ซุนซียกกองหนังสือย้ายไปไว้ด้านข้าง เปิดเป็นที่โล่งๆ ให้นางนั่งคุยได้ถนัด “เรื่องงานแต่งเสี่ยวหลาน ..ให้พูดตามตรง ที่นางป่วยเป็นความผิดพี่เอง”
“ความผิดพี่ใหญ่ได้อย่างไรล่ะ? อะไรๆ ท่านพ่อก็เป็นคนจัดการ พี่รองเครียดทีไรเป็นไข้ทุกทีอยู่แล้ว”
“...” เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เมื่อมองตาใสซื่อของอีกฝ่ายเมิ่งเซี่ยเหมยก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่าทุกข์ร้อน สุดท้ายพี่ชายเลือกจะเลี่ยงไม่ตอบด้วยการก้มหน้าคัดหนังสือต่อ
“ช่างเถอะ พี่รองกินยาเดี๋ยวก็หายป่วยเองนั่นแหละ” น้องเล็กเอาศอกวางอยู่กับโต๊ะ แตะปลายนิ้วเขี่ยขอบกระดาษ ครวญเพลงเสียงแผ่วในลำคอ
ด้วยความที่กลัวนางจะเบื่อ พี่ใหญ่ก็เลื่อนถาดของกินเล่นไปให้ ลูกอมน้ำผึ้งปั้นไส้บ๊วยเม็ดเล็กห่ออยู่ในกระดาษสุมกันเป็นกองน้อยๆ นางบ่นอุบว่าตัวไม่ใช่เด็กแต่ก็แกะกินอมไว้จนแก้มป่อง พักหนึ่งถึงยืดแขนเลื้อยไปบนโต๊ะเขียนหนังสือ
“...อันที่จริง..ข้าคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปก็คงดี”
ซุนซีฟังแล้วเหลือบขึ้นมองครั้งหนึ่ง แววรักใคร่ปรากฏบนใบหน้า มือก็จุ่มปลายพู่กันเติมน้ำหมึกค้างไว้ “เป็นอย่างเจ้าคิดได้หรือ? ยิ่งเกิดเป็นลูกผู้หญิงสักวันย่อมต้องออกเรือน แต่งเข้าสกุลสามีก็ยากจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”
“บางครั้งข้าก็อยากให้ท่านพูดโกหกปลอบใจข้าบ้าง...” นางบ่นพึมพำ เรียกรอยยิ้มบางบนใบหน้าคนเป็นพี่
“ยาดีก็ขมปากอย่างนี้ ต่อให้พี่ใหญ่โกหกใช่ว่าเปลี่ยนความจริงได้เสียเมื่อไหร่ ...ยอมรับได้ไวจะได้ไม่ต้องเสียใจมากนัก แบบนี้ไม่ดีหรือ?”
ท้ายประโยคซุนซีว่าพลางใช้มือว่างลูบนิ้วผอมไปบนหลังมือแม่เด็กขี้แย ไม่นานจากอาการซึมนั่งคอตกก็ดีขึ้นตามลำดับ
“นี่ๆ พี่ใหญ่... พี่คิดว่าท่านพ่อจะให้พวกเราไปหาแม่สื่อดูตัวอีกหรือเปล่า” นางถามเสียงตัดพ้อหน้ามุ่ย “ข้าไม่ชอบเลย แต่งตัวน่าอึดอัดไปให้แม่เฒ่าดู นางเลือกคนอย่างกับเลือกผักในตลาด ครั้งที่แล้วก็ติข้าไม่มีชิ้นดี...”
“อย่าห่วงนักเลย ลองให้เจ้าได้อาละวาดสักครั้งท่านลุงคงนึกขยาดแล้ว”
“ดีสิ! ถ้าเลือกได้ข้าจะไม่แต่งงานหรอก อยู่กับท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่สาวยังสบายกว่ากันเยอะ”
ซุนซีฟังแล้วอมยิ้มไม่ว่าอะไรต่อ สิ้นเสียงเจื้อยแจ้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง .. นานทีจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังกรอบแกรบ คนหนีมาพักหาววอดโต จากนั่งหลังค่อมก็ไถลเลื้อยไปบนโต๊ะว่าง
“พี่ใหญ่” เมิ่งเซี่ยเหมยเอาคางเกยแขน เอนหัวอิงจนแก้มย้วย “พี่ใหญ่ว่าใครเหมาะจะแต่งกับพี่รอง”
ซุนซีเหลือบมองอยู่ครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดที่สองมุมปากระหว่างตวัดข้อมือ “เสี่ยวหลานชอบชีวิตสุขสงบแถมยังเอื้อเฟื้อ ให้นางแต่งกับท่านหมอหยงคงดีกว่าแต่งกับลูกชายเจ้าของโรงเตี๊ยม”
คนถูกถามพูดกับตัวเองดังๆ เมื่อเอ่ยปากแล้วก็ถือโอกาสร่ายยาวเผื่อไปถึงคนอื่น
“เสี่ยวเถาติดสบายแต่ไม่สนสังคม” เขาว่าพลางลากพู่กันเขียนงานไม่หยุด “จะหาคนรับมือนางได้คงไม่ใช่คนละแวกนี้ ถ้าได้แต่งกับคนไกลก็ให้เอาสาวใช้ไปสองคน”
แม่สาวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ จ้องด้วยตากลมโตสีเข้มเหมือนหยดหมึก “ทำไมต้องสองคนล่ะพี่ใหญ่”
พู่กันหางกระรอกปาดไปบนปลายจมูกนาง เจ้าคนช่างซักหน้ายู่ แตะมือลูบที่หน้าจนเปื้อนสีดำเป็นทาง
“จากบ้านเดินทางไกล คนแรกเป็นสาวรุ่นให้ทำงานหนักได้ อีกคนเป็นสาวแก่ความรู้มากให้คอยตระเตรียมทุกอย่างได้ เกิดวันใดคนอายุน้อยแต่งออกไปจะได้มีสาวใช้เหลือคอยดูแล ..พอมีเงินมากจะเชื่อใจใครก็ยาก เอาคนรู้จักแต่เล็กไว้ใกล้ตัวจะได้ไม่ฟูมฟายคิดถึงบ้าน”
กว่าซุนซีจะว่าจบคู่สนทนาก็เอาผ้าแพรผืนน้อยมาเช็ดหน้าจนเกลี้ยงไม่นึกเสียดาย เขาได้แต่ถอนหายใจยืดยาว
“ส่วนเจ้า เสี่ยวเหมย แต่งกับคนรวยไม่ต้องให้มีบรรดาศักดิ์นัก จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องวางตัว”
สาวน้อยหัวเราะแหะ “รวยหรือไม่ข้าก็ไม่เอาหรอก ดูพี่ใหญ่สิ แสนดีอย่างท่านยังไม่เห็นอยากแต่งงานเลย”
คนไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดยิ้มเฝื่อน ยังมีอะไรที่นางไม่เข้าใจอีกมาก บางเรื่องเขาคงไม่มีเวลามานั่งอธิบาย...กับเรื่อง ‘ภรรยา’ ของเขายิ่งแล้วใหญ่ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อรสนิยมแบ่งท้อ ไม่อาจผลิดอกออกผลได้
เสียงเรียกดังมาจากนอกห้องขัดจังหวะ เมิ่งเซี่ยเหมยตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา !” คุณหนูเล็กลุกพรวดพราด กระโจนทีเดียวไปถึงหน้าต่าง “ข้าไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน วันนี้เราไม่ได้พบหน้ากัน ข้าเชื่อมือพี่ใหญ่นะ”
และทันทีที่ประตูเปิดอ้า เจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก็กระโดดแผล็วอย่างกระต่ายหายไป ทิ้งไว้แต่พี่ใหญ่คนดีให้รับมือกับป้าหม่าหน้าคว่ำที่ยืนอยู่ตรงประตู ในมือแข็งแรงข้างหนึ่งถือถาดถ้วยน้ำชา อีกข้างหนึ่งยังค้างอยู่ในท่าดันบานประตูไม้
“คุณหนูสามกลับมาเดี๋ยวนี้!” ซุนซีรีบก้าวยาวๆ ไปรับของ ถึงตอนนี้เจ้าของชื่อก็บินหนีเป็นนกแตกรังไปไกลลิบแล้ว..
ผู้คนเช่นมดงานเดินสวนสนามวุ่นวายแต่เช้า อากาศเย็นหลังน้ำค้างลงไม่เท่าไหร่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีดวงไฟก็จุดทั่วหัวระแหง แสงสีส้มทอกลืนไปกับบรรยากาศสลัวหม่น เสียงหัวร่อต่อกระซิกยังลอยมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ชายกระโปรงยาวสะบัดสีเป็นทำนองผืนผ้ายามก้าวเท้า ลมหอบพัดเอากระดิ่งห้อยหลังคาดังกรุ๊งกริ๊ง
ครอบครัวพร้อมลูกเล็กเด็กแดงตบเท้าเข้ามาที่ลานเป็นสาย พื้นที่หน้าศาลากลางตั้งเก้าอี้ไม้ขัดมันเรียงเป็นระเบียบ กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อนๆ ลอยมาพร้อมควันฉุยจากหม้อใบใหญ่ ไม่ช้าอาหารก็ตักลงถ้วยพอดีมือ แจกให้ทานกันจนอุ่นท้อง
ซุนซีพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกหอบเอาเสื่อผืนโตมาปู ท้องเขาร้องประท้วงเสียงดัง คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวร่อก่อนไล่ให้ไปรับข้าวต้ม เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ท่านย่าใหญ่ก็มาถึงพร้อมยายเฒ่าคนอื่นๆ เด็กหนุ่มรุดเข้าไปโค้งคารวะคอยต้อนรับ
“ยังเตรียมของกันไม่เสร็จหรือ?” ผู้อาวุโสถามเสียงเรียบ
บรรดาคนบนลานกลางแจ้งหลีกทางราวทะเลแหวก ซุนซีก้มหน้าก้มตารับแทน “ใกล้แล้วขอรับ เมื่อคืนฝนตกเลยต้องจัดใหม่ตอนเช้า”
ท่านย่าใหญ่ไม่ตอบกระไร เมื่อถึงบัลลังก์เล็กๆ ท่านก็นั่งหลังตรง จับไม้เท้าปักพื้นตั้งตระหง่านแผ่รัศมีน่าเกรงขามดุจนางพญา แม้แต่เจ้าพนักงานที่เข้ามายืนคุมความเรียบร้อยยังต้องยืนเกร็งกันเป็นแถว
วันนี้เป็นอีกวันสำคัญสำหรับเด็กสาว ซุนซีเคยร่วมพิธีเมื่อตอนเมิ่งตงหลานกับอาตงอายุครบเกณฑ์ คราวนี้เป็นตาของคุณหนูคนที่สอง
ผมดำขลับเป็นแพรผืนยาวของเมิ่งชุนเถาสระสะอาดและหวีรวบขึ้นเป็นสองมวยอย่างเด็กหญิง นางยืนรวมกลุ่มอยู่กับสาวแรกรุ่นคนอื่น -- และออกจะดูผิดที่ผิดทางเมื่อบรรดาดรุณีนางน้อยตื่นเต้นกับพิธี แต่คุณหนูของเขายังคงหน้าครึ้มหน้าคว่ำอย่างคนไม่ชอบรออะไรนานๆ
เสียงประกาศเริ่มพิธีดังก้องหลังทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซุนซีถอยมายืนรวมกับคนในบ้านสกุลเมิ่งที่วงนอก อาตงเว้นที่ให้เขายืนข้างเมิ่งเซี่ยเหมย ถึงไม่พูดแค่สบตาก็รู้ว่ารับมือคุณหนูสามช่างจ้อไม่ไหวแล้ว..
บรรดาเด็กสาวหยุดยืนเรียงแถวบนเสื่อก่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมเพรียง ยกแขนทั้งสองด้วยกิริยาอ่อนช้อยน้อมคารวะยายเฒ่าตรงหน้า บรรดาสักขีพยานยืนมองเงียบเสียงอยู่ริมนอก แดดขึ้นสูงทีละน้อย อากาศยังเย็นทั้งลมพัดพอให้แขนเสื้อยาวไหวๆ ไม่เหนอะตัว
ท่านย่าใหญ่เดินโดยไม่อาศัยไม้เท้า มีสาวใช้คนหนึ่งคอยประคองแขน ส่วนหญิงรับใช้อีกเจ็ดคนถือถาดไม้ใส่ปิ่นคอยเดินตาม กลางถาดที่สาวใช้คนแรกถือมีปิ่นหยกเหอเถียนฉลุลายปลาอ่อนช้อย ครีบและปลายหางสลักละเอียดราวมีชีวิต ..ซุนซีไม่คิดว่าจะมีเครื่องประดับอื่นเหมาะสมไปกับเมิ่งชุนเถามากไปกว่าปิ่นนี้แล้ว
ต่างหูทองแกว่งไหวๆ เมื่อยามลมพัดผ่าน ริมฝีปากแต้มชาดคลี่ยิ้มแต่เพียงน้อยเมื่อสตรีสูงวัยหยุดฝีเท้าอยู่ด้านหลัง เด็กสาวในวัยสิบห้าก้มศีรษะลงนิด มือสั่นเทาของท่านย่าใหญ่จับหวีบรรจงสางผมของเมิ่งชุนเถาอย่างนึกถนอมก่อนรวบขึ้นม้วนตลบเป็นทรง ไม่ช้าปิ่นหยกก็เสียบเข้าบนเรือนผมมัดมวย ถ้อยคำอวยพรหลั่งไหลมาดุจแว่วบรรเลงดนตรี
ยายเฒ่าปักปิ่นให้สาวใช้ย่างวัยสิบห้าสิบหกอีกหลายคน เสื้อคลุมสีแดงสะบัดพลิ้วไหวๆ ห่มกายดรุณีแรกแย้ม ผู้เฝ้ามองยังแว่วได้ยินเสียงพ่อแม่สักคนสะอื้นยินดี
เมื่อจอกเหล้ายกถึงปากก็เป็นอันสิ้นสุดฐานะเด็กน้อยไม่รู้ประสา นับแต่นี้ก้าวเข้าโลกของผู้ใหญ่แล้ว เมื่อพ้นวัยเยาว์ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นตามตัว อนาคตที่วาดฝันไว้อาจเป็นวันวิวาห์ไม่ช้าก็เร็ว
“สงสัยข้าจะได้ปักรอบสอง ” อาตงตัดพ้อหลังถอนใจยาว เสียงหัวเราะคุณหนูสามกังวานอยู่ใกล้ๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าปักเป็นเพื่อนอาตงเอง จะปักกี่อันก็เอามาเลย”
ซุนซีตีแขนแม่คนอยากเป็นสาวแก่อยู่บ้านจนผมขาว “ของเจ้าน่ะ รอบสองให้ท่านป้าปักปิ่นทองก็พอ ” เมิ่งเซี่ยเหมยทำว่าร้องโอดโอย กระโดดแผล็วไปเอนซบไหล่อ้อนพี่สาวคนโตที่เพิ่งยิ้มออกเนือยๆ
เด็กหนุ่มทอดสายตากลับไปที่ลานพิธี รอยยิ้มพลันจางลงเมื่อเห็นสีหน้าเริงรื่นจนน่าสงสัยของเจ้าสำนักหู่โห่ว...ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เมิ่งชุนเถาเตือนเขาไม่ใช่หรือ
------------------------------------------------------------------------
เนื่องในวันเกิดจะอัพเพิ่มเสาร์กับอาทิตย์นี้วันละบทนะคะ!
ครึ่งแรกบทนายเอกค่อนข้างจืดจางค่ะ ทำหน้าที่เป็นเหมือนฟันเฟืองให้เรื่องของสามพี่น้อง
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ