อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ
บทที่ 5
“ทำไมต้องแปลงกายเป็นชิวาว่า”
“โอมถามว่าอะไรนะ”
อนูบิสถามกลับเมื่อเสียงจอแจของยวดยานพาหนะที่เห็นเบื้องหน้ากำลังทำให้เทพอย่างเขาเวียนหัว
สถานที่ใหม่แห่งนี้มีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด มันไม่ได้แห้งแล้งเวิ้งว้างเหมือนทะเลทรายหรือหดหู่น่ากลัวดังเช่นในดินแดน
มรณะ ผู้คนที่นี่มากมายและต่างเร่งรีบจนไม่มีคำทักทายหรือการพูดจาซึ่งกัน แถมยังเจ้าพาหนะเหล็กที่วิ่งกันขวักไขว่ทั้งบนพื้นและลอย
อยู่กลางฟ้าก็ช่างแตกต่างจากรถลากยามที่ผู้คนในดินแดนของเขาออกทัพจับศึก
“ทำไมคุณถึงเลือกที่จะแปลงกายเป็นหมาชิวาว่าล่ะ”
อาศิรเอ่ยถามด้วยประกายตาขำขันไม่เลิก เขานึกเอ็นดูยามเจ้าชิวาว่าตัวน้อยแอบอยู่ในกระเป๋าเพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็น
ว่าแอบนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในเขตโรงพยาบาล แต่อาศิรจำเป็นต้องฝากให้ชาลินีดูแลแต่แม่เพื่อนตัวดีก็เล่นกับเจ้าชิวาว่าที่เป็นถึงเทพ
ระดับสูงด้วยการลูบหัวลูบหางจนชิวาว่าตัวจิ๋วหน้างอง้ำอยู่นานกว่าที่อาศิรจะร่วมกับทีมแพทย์ให้การรักษาคนไข้ประจำวันเสร็จเรียบร้อย
งานในวันนี้เสร็จสิ้นลงก็เกือบเที่ยงวันในวันหยุดราชการ อาศิรจึงออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับอนูบิสที่คืนร่างมนุษย์กลับคืน
“ที่นี่เรียกว่าชิวาว่าหรือ ผมไม่รู้หรอกว่าเรียกกันเช่นนั้น แต่ที่ผมแปลงกายเป็นหมาตัวนี้เพราะผมเคยเห็นบรรดาฟาโรห์และ
ชายาชอบเลี้ยงมันไว้ดูเล่นอยู่ในราชวัง ผิดกับหมาในอย่างเช่นผมที่ได้แต่อยู่ในทะเลทรายและจะออกหากินในเวลากลางคืน”
“ชิวาว่านี่มีมานานตั้งแต่โบราณขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย”
อาศิรก็เพิ่งรู้ เขามองเสี้ยวหน้าคมคล้ายแขกขาวแต่ผิวออกสีแทนอย่างคนออกแดดเป็นประจำพลางก็นึกเปรียบเทียบกับชิวา
ว่าจนต้องกลั้นยิ้มไว้
“โอม ไม่เห็นต้องขำขนาดนั้นเลย ก็คุณบอกให้ผมแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ที่ตัวเล็กๆนี่”
เวลาคนตัวใหญ่หน้าตาดุทำหน้าง้ำเหมือนเด็กกำลังงอนอยู่แบบนี้มันก็น่ารักดีนะ มันทำให้อาศิรแทบจะลืมความแข็งกร้าวยาม
ที่เห็นอนูบิสต่อสู้กับปีศาจร้ายอยู่บนฟากฟ้าท่ามกลางสายฝนโปรยปรายไปแล้ว
“ขอโทษคร้าบท่านเทพ อย่าเคืองเลยน่า ก็ใครจะนึกว่าเทพอย่างท่านอนูบิสจะน่ารักขนาดนี้”
ยกมือตบต้นแขนอนูบิสเบาๆอย่างเริ่มคุ้นเคย อนูบิสลอบมองใบหน้าสดใสร่าเริงของอาศิรแล้วก็อดจะยิ้มตามไม่ได้
ใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มนั้นอาจจะไม่ได้ถึงขั้นหล่อเหลาปานเทพบุตรอย่างเช่นเทพฮอรัสลูกพี่ลูกน้องของเขาอันเป็นบุตร
ชายของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส แต่เสน่ห์ของอาศิรอยู่ที่ความสดใสและมีชีวิตชีวาที่ทำให้คนรอบข้างอารมณ์ดีตามไปด้วย ยามที่
อาศิรยิ้มแย้มดวงตาเรียวคู่นั้นจะเต็มไปด้วยประกายสดใสและส่งให้ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์อีกดวง อนูบิสที่ชีวิต
พบเจอแต่ความสิ้นหวังหดหู่และเวิ้งว้างมืดมิดในดินแดนหลังความตายจึงได้แต่จ้องมองใบหน้านั้นจนไม่อาจวางตา
“แล้วโอมจะพาผมไปที่ไหน”
เอ่ยด้วยความสงสัยเมื่ออาศิรพาเขาเดินทางออกจากโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ขึ้นรถที่อาศิรเรียกว่ารถไฟฟ้าจนกระทั่งลงมา
เดินอยู่ริมถนนก่อนจะพาเลี้ยวเข้าซอยแยกและเดินมาหยุดที่อาคารสูงเทียมฟ้ายิ่งกว่าเสาโอเบลิสก์หลายเท่า อนูบิสได้แต่มองด้วยความ
ตื่นตาและพยายามเก็บข้อมูลทุกอย่างในดินแดนใหม่ที่เขากำลังใช้ชีวิตอยู่
“มาหาเพื่อนสนิทของผม เขาเป็นนักอียิปต์วิทยาที่รู้เรื่องในสมัยของคุณเยอะมาก เพื่อนของผมคนนี้ชื่อเวทิศ มันเป็นแฟน
คลับของคุณด้วยนะ ไอ้ทิศมันพักอยู่ที่คอนโดนี้แหละ ตามผมมาสิ”
อาศิรเดินนำร่างสูงใหญ่ของอนูบิสเข้าไปในตึกสูงสวยงามที่เรียกว่าคอนโดมิเนียมและเข้าไปในสี่เหลี่ยมเล็กๆที่สามารถขึ้นไป
บนอาคารสูงได้โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป อนูบิสนึกทึ่งในความสะดวกสบายของดินแดนใหม่เหลือเกิน
หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องก่อนที่อาศิรจะกดกริ่งที่ติดอยู่ข้างประตู ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงกุกกักจากภายในและประตูจึงเปิด
ออก อนูบิสเห็นบุรุษผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมา บุรุษผู้นั้นมีกระจกอยู่ที่ดวงตาและใบหน้านั้นราวกับผู้คงแก่เรียนดังเช่นนักปราชญ์ในดินแดน
ของเขา
“อ้าว ไอ้โอม วันนี้มาเยือนถึงถิ่น อ้าวแล้วพาใครมาด้วยวะ”
“เออ อย่าเพิ่งพูดมาก ให้กูเข้าไปก่อน”
อาศิรเอื้อมมือผลักเพื่อนสนิทให้เดินกลับเข้าไปในห้องและพยักหน้าให้อนูบิสเดินตามเข้าไป เทพจากไอยคุปต์ค่อยๆมอง
สำรวจรอบห้องสี่เหลี่ยมที่จัดไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก มีห้องเล็กๆกั้นอยู่ฝั่งหนึ่งและที่เหลือก็เป็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรามากมายรวม
ถึงวัตถุที่อนูบิสคุ้นตาจากดินแดนของเขา
“ว่าไงวะ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้ถ่อมาหากูได้”
เวทิศเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาขยับแว่นตามองร่างสูงของอนูบิสด้วยความสนใจ
“แล้วไอ้หล่อเกินหน้ากูนี่คือใคร มึงพามาด้วยทำไม”
“พามาให้มึงช่วยไงล่ะทิศ คนที่กูพามาด้วยเขาต้องอาศัยความรู้จากมึง”
อาศิรบอกง่ายๆแต่เวทิศก็ยังไม่เข้าใจ เขามองเพื่อนสนิทหน้าตาเหรอหรา
“พูดผิดพูดใหม่ได้ คนอย่างกูเนี่ยนะจะไปช่วยใครได้ กูให้โอกาสมึงพูดใหม่”
“มึงนี่แหละเหมาะที่สุดแล้วไอ้ทิศ”
คำยืนยันจากอาศิรยังไม่ได้สร้างความกระจ่างให้แก่เวทิศเลยสักนิด อาจารย์หนุ่มที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยคณะโบราณคดีได้
แต่มองอาคันตุกะหน้าตาหล่อเหลาที่หยุดยืนมองวัตถุโบราณชิ้นเล็กบรรจุอยู่ในกล่องแก้วบนโต๊ะทำงานรกไปด้วยหนังสือของเวทิศ
“นี่มันกำไลข้อเท้าของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่สอง”
เวทิศลืมตาโพลง เขาถลาเข้ามาและจ้องหน้าอนูบิสด้วยสายตาคาดไม่ถึง
“คุณรู้ได้ไงว่าเป็นของอเมเนมเฮตที่สอง ผมหาข้อมูลเรื่องนี้มาเกือบเดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าของใคร แล้วทำไมคุณรู้จักฟาโรห์
อเมเนมเฮตด้วย”
เวทิศใส่คำถามไม่ยั้ง อนูบิสได้แต่ยักไหล่พลางไล่สายตาไปยังที่วางของด้านข้าง เขามองรูปหล่อทองเหลืองขนาดเกือบสอง
คืบที่เวทิศตั้งไว้อย่างสนใจ
“สวยดีนี่”
อนูบิสคว้ามันมาอยู่ในมือแล้วมองทีละส่วน มันเป็นรูปหล่อทองเหลืองที่ทำขึ้นมาใหม่เป็นร่างกายมนุษย์แต่กลับมาศีรษะเป็น
สุนัขมือหนึ่งถือคทามือหนึ่งถืออังค์
“เฮ้ย คุณ ระวัง นี่เป็นของที่ระลึกตอนที่ผมไปเรียนโทที่อียิปต์นะคุณ นี่เทพอนูบิสเทพองค์โปรดของผมเลยนะเนี่ย คุณ เอ่อ
ชื่ออะไรวะ”
เวทิศหันไปหาอาศิรที่ยืนนั่งอยู่บนโซฟาเล็กๆที่ใช้รับแขก อาศิรยักคิ้วให้เพื่อนแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถามเขาสิว่าเขาชื่ออะไร เป็นใคร”
เพราะเพื่อนไม่ยอมตอบเวทิศจึงต้องหันขวับไปหาจุดสนใจอีกครั้ง คนแปลกหน้ากดยิ้มอยู่ตรงมุมปากส่งให้เจ้าของห้องก่อน
ที่ใบหน้าคมเข้มนั้นจะแปรเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อหน้าเวทิศที่ยืนตัวแข็ง ดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
“มะ ไม่จริง กูฝันอยู่ใช่ไหมเหี้ยโอม”
อาศิรลุกจากเก้าอี้แล้วตรงมาหาเพื่อน เขาลากแขนเพื่อนให้เดินเข้ามาใกล้และจับมือเวทิศให้แตะลงไปบนท่อนแขนเต็มไป
ด้วยกล้ามของอนูบิส
“อะ มีตัวตนจับต้องได้ แล้วทีนี้มึงลองถามเขาใหม่สิว่าเขาเป็นใคร”
หัวใจของเวทิศแทบจะหยุดเต้น เหงื่อของเขาไหลเป็นทางอยู่บนใบหน้า มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่พึมพำออกมา
“อะ อะ อนูบิส”
แล้วเวทิศก็หงายหลังล้มตึงลงไปทันที
“โอม แกล้งเพื่อนใช่ไหม”
อนูบิสส่ายหัวเมื่อเห็นอาศิรหัวเราะขำ เพราะหลังจากนั้นพักใหญ่กว่าที่เวทิศจะฟื้นคืนสติขึ้นมานั่งตัวแข็งฟังเรื่องทั้งหมดที่
อาศิรเล่าให้ฟังจนจบเพื่อให้เวทิศช่วยหาข้อมูลเรื่องปีศาจเนรู พอฟังจบแล้วเวทิศก็หันใบหน้าที่ยังไม่เชื่อสายตาตัวเองไปหาอาศิร
“ตกลงว่านี่เรื่องจริง ตอนนี้คือกูเจอไอดอลกูอยู่ใช่ไหม”
อนูบิสคืนร่างเป็นใบหน้ามนุษย์แล้วตอนที่นั่งสนทนาเรื่องปีศาจร้าย มาถึงตอนนี้เวทิศเพิ่งจะตั้งสติได้ เขามองอนูบิส อย่างตื่น
เต้นและโผเข้ากอดร่างกำยำของอนูบิสไว้แน่นพร้อมทั้งปล่อยโฮออกมา
“ชาตินี้ไอ้ทิศตายไม่เสียชาติเกิดแล้วโว้ย ใครจะนึกว่ากูจะได้เจอเทพตัวเป็นๆ ฮือ ท่านอนูบิส ผมขอลายเซ็นหน่อยน้า”
กว่าจะคุยกันเข้าใจจุดประสงค์ก็อีกพักใหญ่ เวทิศตกปากรับคำแข็งขันที่จะช่วยเหลืออนูบิสกับอาศิรเรื่องตามหาและกำจัด
ปีศาจเนรูเพื่อชิงขนนกกลับคืน เมื่อเข้าใจกันดีแล้วอาศิรจึงพาอนูบิสกลับออกมาเพื่อจะกลับบ้าน
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย เขาเรียกเซอร์ไพร้ส์ต่างหากล่ะครับ”
ก็เพื่อนของเขาคลั่งไคล้เทพอนูบิสเสียขนาดนั้น อาศิรจึงจัดเต็มให้เพื่อนสนิท
“ได้เวทิศมาช่วยอีกแรงก็ดี ความรู้ของเขาดีมาก”
อนูบิสเบาใจไปได้บ้างกับภารกิจสำคัญนี้ เขานึกขอบคุณที่ยังมีอาศิรอยู่ข้างๆคอยช่วยเหลือ
เสียงรถยนต์บนถนนคันหนึ่งเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและเสียหลัก บรรดาผู้คนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ข้างทางต่างพากันตกใจเมื่อ
มันพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนนเสียงดันลั่น อาศิรหันไปมองทันทีเขาเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์คันนั้นพร้อมทั้งเสียงหวีดร้องของ
ผู้พบเห็นเหตุการณ์ รถยนต์คันอื่นที่วิ่งตามมาต่างพากันเบรกและหยุดต่อกันเป็นขบวน ดูเหมือนจะมีอาศิรที่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
“อินทร์ภู รออยู่ตรงนี้นะอย่าไปไหน”
ยังไม่ทันที่อนูบิสจะเอ่ยถามว่าเรื่องอะไรอาศิรก็วิ่งไปทางรถยนต์คันที่พุ่งชนเกาะกลางถนนเสียแล้ว อนูบิสนิ่งมองร่างโปร่ง
เพรียวนั้นควบคุมสถานการณ์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากรถยนต์อย่างเอางานเองการ สีหน้าจริงจังยามปั๊มหัวใจคนบาดเจ็บเพื่อยื้อชีวิตให้ได้
นั้นประทับลงไปในความรู้สึกของอนูบิสจนยากจะถอน
อนูบิสขมวดคิ้ว เขามองเห็นวิญญาณของผู้บาดเจ็บกำลังหลุดลอยออกจากร่างโดยที่ไม่มีใครเห็นนอกจากเขาที่ยืนอยู่ริมถนน
แต่ที่น่าแปลกคืออนูบิสเห็นอาศิรเม้มปากด้วยความขัดใจและหยุดให้การช่วยเหลือพร้อมทั้งเงยหน้ามองตามวิญญาณโปร่งแสงที่กำลัง
ล่องลอยช้าๆอย่างหงุดหงิดเขาไม่สามารถช่วยเหลือจากความตายได้
นอกจากอนูบิสที่เป็นเทพแห่งความตายแล้ว ยังมีอาศิรอีกคนงั้นหรือที่สามารถมองเห็นวิญญาณที่กำลังจะหลุดออกจากกาย
หยาบได้
อาศิรใบหน้าบึ้งตึงเมื่อเดินทางต่อ อนูบิสเองก็ไม่ได้รบกวนความคิดของอาศิรอีกเพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของอาศิรดีจน
กระทั่งเดินเคียงข้างกันใกล้จะถึงบ้านของอาศิร อนูบิสจึงรั้งแขนของอาศิรให้หยุดเดิน
“โอม อย่าเสียใจเลยที่ช่วยมนุษย์คนนั้นไม่ได้”
อาศิรถอนหายใจยืดยาวก่อนจะหันไปสบตากับอนูบิส
“ผมเข้าใจอินทร์ภู แต่ถึงยังไงผมก็อดเสียใจไม่ได้จริงๆ”
“นั่นสินะ การได้เห็นความสูญเสียต่อหน้าต่อตาในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็นมันย่อมเจ็บปวดกว่าใครอยู่แล้ว”
อาศิรชะงัก ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากอนูบิส
“คุณรู้ ว่าผม “เห็น” งั้นหรือ”
อนูบิสยิ้มอ่อนโยน เขานึกเห็นใจในสิ่งที่อาศิรมีพรสวรรค์เกินมนุษย์ผู้อื่น
“ผมเห็นโอมมองตามวิญญาณดวงนั้นที่กำลังหลุดออกจากร่างทั้งที่คนอื่นๆยังสนใจอยู่แต่ร่างกายที่ไร้ลมหายใจแล้ว”
อาศิรก้มหน้าถอนหายใจอีกครั้งเมื่ออนูบิสรู้ความลับของเขา
“ใช่ ผมเห็น ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบคนใกล้จะตายเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น และหลังจากนั้นเรื่อยมา มันเป็นความลับที่ผมบอกใครไม่ได้
ว่าผมเห็นวิญญาณของคนตาย ใครเขาจะเชื่อ แต่ผมไม่ได้มองเห็นวิญญาณทั้งหมดหรอกนะอินทร์ภู ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะบ้าไปเสียก่อน
ผมเห็นเฉพาะวิญญาณของคนที่หมดวาระของเขาเท่านั้น”
อาศิรเงยหน้าสบตาอนูบิสอย่างต้องการคำตอบ
“เทพอย่างคุณรู้บ้างไหม ว่าทำไมคนอย่างผมต้องมองเห็น ทำไมผมถึงต้องเจ็บปวดกับความสูญเสียพวกนี้ด้วย”
อนูบิสวางมือหนาหนักไปบนบ่าของอาศิรแทนคำปลอบโยน
“ทุกอย่างอันเกิดบนโลกนี้ย่อมมีสาเหตุ ทุกคนมีลิขิตเส้นทางชีวิตไม่เหมือนกัน สักวันโอมจะหาคำตอบได้เองว่าทำไมถึงต้อง
เป็นโอมที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ”
ดวงตาคมยามมองอย่างอ่อนโยนทำให้ความว้าวุ่นใจของอาศิรสงบลงได้ เขายืนนิ่งซึมซับแรงที่อุ่นวาบอยู่ตรงบ่าให้ไหลวน
เวียนอยู่ในร่างกายของเขาราวกับสิ่งที่อยู่ในร่างกายกำลังสื่ออยู่กับผู้เป็นเจ้าของ ไม่นานนักอาศิรก็คลี่ยิ้มสดใสออกมา
“เฮ้อ ผมนี่ก็บ่นอะไรไม่เข้าท่า รีบเดินเร็วๆเข้าเถอะอินทร์ภู หิวข้าวแล้ว เย็นป่านนี้ป้าแก้วคงทำอาหารเย็นรอเราอยู่แล้วล่ะนะ”
มีต่ออีกนิด...