หอพักนักเรียนเป็นอาคารไม้สองชั้น อาจารย์ผู้ดูแลหออนุญาตให้เลอมานและสิงห์เข้าไปได้อย่างสะดวก บุตรชายท่านทูตพาลูกชายกำนันเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งซึ่งเขาแวะเวียนมาประจำจนคุ้นเคย
“สง่า สันติ ฉันเอง” ว่าพลางเคาะบานประตูไม้เป็นมารยาท
“เข้ามาเลยคุณชาย” เสียงสง่าโหวกเหวกมาจากในห้อง มือเรียวจึงเปิดเข้าไปไม่รั้งรอ ปล่อยให้คนตัวโตยืนกระสับกระส่ายเก้กังอยู่นอกห้อง ได้แต่ชะเง้อแลมอง ไม่กล้าเข้าไป
ห้องของพวกจ้อยกะทัดรัดพออยู่กันได้สามคนไม่แออัด เตียงสองชั้นของสง่ากับสันติชิดผนังด้านหนึ่ง แค่กวาดตาดูก็รู้แล้วว่าเตียงไหน โต๊ะไหนเป็นของใคร โต๊ะรกๆ เกลื่อนไปด้วยนิตยสารมวย ผนังข้างเตียงติดรูปโผน กิ่งเพชร กับเพชรา เชาวราษฎร์ให้พรืดไปทั้งแถบนั่นเป็นพื้นที่ของสง่า ส่วนโต๊ะของผู้คงแก่เรียนอย่างสันตินั้น มีตำราเรียนปนกับหนังสือธรรมะวางอย่างเป็นระเบียบ ส่วนของจ้อยนั้นดูสะอาดสะอ้านโล่งตากว่าใคร มีเพียงหนังสือเรียนกับดอกมหาหงส์ปักอยู่ในแก้วส่งกลิ่นหอมเย็น ปลาตะเพียนสานเองแขวนอยู่ที่หน้าต่าง แหวกว่ายสายลมไปมา
จ้อยนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง รายล้อมด้วยสองสหาย ร่างเล็กเขยิบนั่งหลังตรง ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเพื่อนผู้สูงศักดิ์
“อ่านหนังสือกันอยู่หรือ” เลอมานถามเมื่อเห็นตำราเรียนในมือทั้งสาม และสองสามเล่มกางหราเกลื่อนเตียง
หากเมื่อนักเรียนทั้งสามเห็นหน้าผู้มาเยือนถนัดถนี่เท่านั้น ห้องน้อยก็พลันชุลมุน
“คุณชาย! เจ็บมากไหมครับ” จ้อยยันกายลุกจากเตียง กุมท้องเดินเขยกมาหา
“หนักขนาดนี้เลยเรอะ” สันติปราดเข้ามาใกล้ ขยับแว่นมองให้ชัดๆ
“ซี้ด..เห็นแล้วเจ็บแทน” สง่าทำท่าแหยง กุมแก้มตัวเองเหมือนรอยช้ำนั้นอยู่บนหน้าตน
สามหนุ่มตรงเข้ามะรุมมะตุ้ม คุณชายต้องรีบยกสองมือปราม รีบวกเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด
“จ้อย มีคนมาเยี่ยมแน่ะ” ร้องบอกพลางหันมองหน้าประตู ทั้งสามหันมองตาม “สิงห์ เข้ามาสิ”
ลูกชายกำนันเยี่ยมหน้าเข้ามา กระชับตะกร้าของเยี่ยมในมือแน่น กระแอมไอก่อนก้าวเข้าห้อง ยิ่งเห็นสายตาไม่ต้อนรับของคนที่ตั้งใจมาเยี่ยมยิ่งประหม่าจนใจฝ่อ
นักเลงที่เคยเดินกร่างอยู่ในตลาด บัดนี้กลับดูตัวลีบลงถนัดใจเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนครูโดยไร้ฝูงลูกน้องติดตาม
ตระหนักรู้ว่าสถานที่นี้ไม่ใช่ที่ของคนอย่างเขาเลยสักนิด
แล้วที่ไหนเล่าถึงจะเหมาะ ในบ่อน ในซ่อง ในร้านเหล้า ในโรงบิลเลียดอย่างนั้นหรือ
โสมมสิ้นดี
สายตาอ่อนโยนนิ่งมองคนเจ็บไม่วางตา ร่างเล็กบางบอบช้ำทรุดนั่งลงบนเตียง สายตาแชเชือนเบือนหนีไปมองนอกหน้าต่างราวกับหน้าเขามันน่าขยะแขยงนัก สิงห์ถือโอกาสพิศเสี้ยวหน้าละมุน ความอัปรีย์ที่ลูกน้องของเขาก่อไว้ยังทิ้งร่องรอยบนใบหน้า หางคิ้ว มุมปาก ยังเขียวช้ำ
“จ้อย ข้ามาเยี่ยม” เสียงทุ้มเรียกแผ่ว ทว่าใบหน้านั้นก็ยังไม่หันมา “เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
เหมือนพูดกับตุ๊กตา ไม่มีคำตอบ ไม่มีแม้หางตาเหลือบแลมอง
มุมหนึ่งแสนอึดอัด แต่อีกมุมชุลมุนนัก คู่หูลากคุณชายไปซักถามอาการเสียงโขมงโฉงเฉง ก่อนสง่าจะโพล่งขึ้นมาว่าต้องเอาน้ำแข็งประคบ แล้วทั้งคู่ก็ลากคุณชายถูลู่ถูกังออกจากห้อง พาวิ่งโร่ไปหาน้ำแข็ง
จ้อยชะงักตาเบิกกว้าง ขยับปากจะเรียกเพื่อนไว้แต่ก็ไม่ทัน ร่างบอบช้ำลุกขึ้นจะตามออกไป แต่กลับซวนเซทรุดลงในอ้อมแขนแกร่งที่โผเข้ารับ จึงรีบขืนตัวออกอย่างขยะแขยง
ดวงตาสีเหล็กนิ่งมองนักเรียนตัวเล็กเดินกะเผลกไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากเตียงออกไป ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น นี่ไอ้จ้อยมันคิดว่าเขาชั่วช้าถึงขนาดจะปล้ำมันกลางหอพักรึไง
อยู่กันเพียงลำพังสองคนแบบนี้ยิ่งชวนอึดอัด มวลอากาศรอบตัวดูอึมครึม ปลาตะเพียนน้อยที่ขอบหน้าต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง
“ข้าซื้อของมาเยี่ยม” นักเลงตัวโตเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ กระชับตะกร้าในมือยามเดินเข้าใกล้คนป่วย “มีน้ำแดงที่เอ็งชอบด้วยนะ กินเลยไหม”
กุลีกุจอคว้าขวดน้ำอัดลมในตะกร้า หยิบไฟแช็คเตรียมงัดฝาจีบ
“ไปให้พ้น!” เสียงเล็กไล่ส่ง ไม่ไล่เปล่า มือน้อยปัดของในมืออีกฝ่ายเสียกระเด็น ส้มสุกลูกไม้กระจัดกระจาย
สิงห์นิ่งมองขวดน้ำแดงกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นไม้กระดาน
จำได้.. ในตลาดสดจอแจ หน้าแผงร้านน้ำแข็งไส น้ำหวานน้ำอัดลมหลากสีเรียงรายล่อตาล่อใจหมู่เด็กที่กระหายอยากดื่มด่ำรสซาบซ่า เด็กน้อยแก้มใสคนหนึ่งยืนป้ายน้ำมูกน้ำตา
[ “..น้องจ้อยอยากกิน น้องจ้อยอยากกินจริงๆนะ..”
“มันแพง ขวดละตั้งบาท” พี่ชายต่างพ่อทรุดตัวลงนั่ง ลูบหลังลูบไหล่น้อง “ขวดนึงซื้อไข่ได้ตั้งสามใบ ซื้อปลาทูได้ตั้งหลายตัว เก็บไว้ซื้อปลาทูดีกว่า จ้อยชอบปลาทูไม่ใช่หรือ”
เด็กขี้แยสูดจมูกฟืด พึมพำ “..น้องจ้อยอยากกิน..”
เด็กชายตัวโตอย่างสิงห์ลอบมองอยู่เงียบๆ
“เอาอย่างนี้ไหม” พี่ชายจับไหล่น้อง “พี่จินดาจะต้มน้ำกระเจี๊ยบให้กินแทน สีแดงๆเหมือนกัน อร่อยกว่าด้วย เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อน แล้วพรุ่งนี้เราไปขอปันกระเจี๊ยบจากลุงอ่ำกัน ดีไหม”
งานของพี่ที่ว่า คืองานรับจ้างในร้านก๋วยเตี๋ยว ทั้งเสิร์ฟ ทั้งล้างจาน ค่าแรงน้อยนิด
เด็กน้อยพยักหน้าอ้อมแอ้ม พี่ชายยิ้มกว้าง ลุกขึ้นจูงมือน้องเดิน
เด็กชายตัวโตปรูดเข้าดักหน้า น้องน้อยชะงัก ก่อนคลี่ยิ้มกว้าง “พี่สิงห์”
“จินดาไปทำงานเถอะ เราพาจ้อยไปเอง”
เด็กชายสิงห์ขี่จักรยานพาน้องซ้อนลิงโลด แต่พอถึงที่หมายกลับแทบเข่าอ่อน ไร่กระเจี๊ยบที่เคยรกเครื้อกลับเตียนโล่ง ตาอ่ำให้เหตุผลว่าแกฟันทิ้งเพราะจะปลูกอย่างอื่นแทน
แววตาน้องเศร้าสลดน่าสงสาร
“ไปกินน้ำแดงบ้านพี่ไหม”
“ไม่เอา” ใบหน้าอ่อนใสส่ายดิก น้ำใสเอ่อกลบตา “แม่พี่สิงห์ชอบบอกว่าน้องจ้อยเป็นลูกนังหยำฉ่า”
แปลว่าอะไรไม่รู้ แต่ความหมายไม่ดีแน่
พี่ดึงตัวมากอด แสนสงสาร ก่อนคลายออกใช้สองมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้ม
“โตขึ้นพี่จะซื้อที่กว้างๆ ปลูกบ้านหลังโตๆ” วาดแขนเป็นวงกว้างเท่าที่แขนเด็กสิบขวบจะอำนวย “จ้อยอยากปลูกอะไรพี่จะตามใจหมดเลย อยากได้อะไรบ้าง มหาหงส์ มะขาม มะม่วง แตงโม ปลูกไว้กินเยอะๆ กระเจี๊ยบด้วยเอ้า”
นึกย้อนกลับไปก็น่าขัน บ้านในฝัน ปลูกต้นไม้ได้มั่วจริงๆ
“ซื้อตู้เย็นหลังโตๆ แช่น้ำแดงเยอะๆ ให้จ้อยกินคนเดียว”
“แบ่งพี่จินดากับยายด้วยได้ไหม”
“ได้สิ”
สองพี่น้องจูงมือกันเดินไปในแสงอาทิตย์อัสดง
“พี่จะดูแลจ้อยเอง ดูแลตลอดไปเลย” ] ...พี่จะดูแลจ้อยเอง ดูแลตลอดไปเลย...
คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาได้อย่างไร สิงห์นึกเท่าไรก็อับจนในสิ่งที่ตัวเองเป็น
“ไปสิ! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง คนเขาไล่แล้วยังยืนเซ่ออยู่ได้” ไม่ไล่เปล่า มือเล็กก้มหยิบแอปเปิลที่กลิ้งไปแทบเท้า ปาใส่คนตัวโต โดนเข้าที่ต้นแขน โทสะพุ่งวาบ นักเลงหัวไม้ปรี่เข้าไปบีบต้นแขนเล็ก มือเดียวกำได้รอบ
แอปเปิลลูกเดียวไม่ทำให้เจ็บเท่าไร แต่ทำไมสิงห์ถึงรู้สึกรานใจนัก
เวลาเพียงไม่กี่ปี ความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งแก้วใส งดงาม เปราะบาง เกิดรอยร้าวทั้งดวงจนไม่เหลือเค้าเดิมได้อย่างไร
มือที่กำรอบต้นแขนค่อยคลายออก นิ่งมองแววตาชิงชังตรงหน้า
จ้อยที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แค่พ่อค้าขายผักซอมซ่อ ไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าแร้นแค้น แต่เป็นนักเรียนครู เป็นคนมีการศึกษา เป็นชนชั้นมันสมองของชาติ แม้ยามเจ็บไข้ยังสุกสกาวเหมือนดาวส่องแสง
ยิ่งมองยิ่งเห็นความต่าง ยิ่งใกล้ยิ่งรู้สึกห่างไกล
แม้จะรู้จุดอ่อนของคนตรงหน้าดี หนี้ที่ติดค้าง ดอกเบี้ยที่งอกเงยจนถูกยึดโฉนดที่นานั่นปะไร แต่สิงห์ไม่อยากเอามาใช้ข่มขู่ ไม่อยากถูก ‘เกลียด’ มากไปกว่านี้
ใจยังหวังอยู่เต็มเปี่ยม ว่าสักวัน รอยร้าวนั้นจะสมานคืนดังเดิม
นักเลงโตหันหลังกลับ ก้าวออกมาจากห้อง ข้ามผ่านผลไม้กระจัดกระจาย โดยมีสายตาชิงชังของนักเรียนดีเด่นไล่ส่งไม่วางตา
******************************
คุณชายเล็กเดินเอามือแนบแก้มกลับเรือนไม้ ถุงน้ำแข็งที่สง่ากับสันติโปะแก้มให้ยังทิ้งความเย็นไว้จนชาไปทั้งซีกหน้า คิ้วเรียวขมวดมุ่น เมื่อนึกถึงสภาพห้องจ้อยที่เห็นตอนกลับไปอีกที
ตะกร้าเอย ผลไม้เอย ขวดน้ำแดงเอย กระจายเกลื่อนพื้น ไร้วี่แววลูกชายกำนัน สง่าไล่เก็บของแพงอย่างแอปเปิลกัดกินเอร็ดอร่อย แถมยังยัดใส่มือเขามาลูกหนึ่งอีกต่างหาก
มือเล็กยกแอปเปิลแดงจัดขึ้นดม หอม.. ได้กลิ่นแล้วชวนให้คิดถึงบ้าน เพราะตอนอยู่อังกฤษเขากินแอปเปิลทุกวันเลยก็ว่าได้
เหลือบเห็นอาจารย์ตัวสูงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหัวบันได เลอมานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ตั้งใจจะเดินผ่านไปเหมือนสายลมวูบหนึ่ง แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือแข็งแรงคว้าหมับที่ต้นแขนเล็ก กระชากให้หันมาเผชิญหน้า
“ครูเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าตอนกลางคืนห้ามไปไหนก่อนได้รับอนุญาต” ความเคืองขุ่นปนในน้ำเสียงและแววตาเห็นได้ชัด มือที่กำแน่นไม่คลายแรงบีบลงแม้แต่น้อย จนนักเรียนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ตอนผมไปกับสิงห์อาจารย์ก็เห็นนี่”
“แต่ครูยังไม่อนุญาต!”
หากดอกหางนกยูงจะร่วงลงหนึ่งดอกทุกครั้งที่คนึงตะคอกเขา ป่านนี้ต้นหางนกยูงที่สูงตระหง่านอยู่หน้าเรือนไม้คงเหลือแต่กิ่งแห้งเหี่ยวเฉายืนต้นตาย
ทำไมนะ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ผิดในสายตาฝ่ายนั้นไปเสียหมด เมื่อเขาทำผิดก็สมควรโกรธอันนี้พอเข้าใจ แต่เมื่อเขาอยู่เฉยๆ คนึงก็ยังโกรธ แม้บางครั้งจะพยายามทำดี คนึงก็ยังโกรธอีก แล้วจะให้ทำอย่างไร ต้องทำแบบไหนถึงจะพอใจ
สิ้นหวังทดท้อกับการเฝ้ารอเศษเสี้ยวความเมตตา ทะเลทรายคอยฝนยังมีความหวังมากกว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคอยความอาทรจากอาจารย์คนึง ใจล้าจนหมดแรงจะพยศ
“จะลงโทษยังไงก็เชิญ ไปหยิบไม้เรียวมาสิ” ขอบตาเขาร้อนผ่าวยามเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ ซึ่งคงจับอารมณ์ประชดประชันในน้ำเสียงเขาได้ มือที่แข็งแรงราวคีมเหล็กจึงค่อยคลายลง เปิดโอกาสให้เลอมานสลัดตัวพ้นจากพันธนาการ เดินหนีเข้าห้อง
อีกฝ่ายยังตามมาราวี “เราไม่เหมาะจะใช้ชีวิตในกฎระเบียบเลย ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด”
มือบางที่กำลังถอดสเว็ตเตอร์ชะงัก หันมองเจ้าของวาจาเสียดแทงใจ แทบผงะเมื่อเห็นอีกฝ่ายในระยะประชิด ใกล้จนเห็นไรหนวดเขียว เห็นเงาตัวเองฉายชัดในแววตาเคียดขึ้ง “ตอนแรกว่าจะกลับอังกฤษแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับมาที่นี่ คงเพราะถูกบังคับใช่ไหม ถ้าไม่กลับมา ท่านชายจะไม่ยกมรดกให้งั้นสิ”
เฆี่ยนเขาสักร้อยไม้ยังไม่เจ็บเท่านี้
“ไม่ใช่” คล้ายมีก้อนแข็งๆแล่นขึ้นมาจุกคอ เด็กหนุ่มฝืนกล้ำกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก เอ่ยความจริงที่ไม่เคยคิดจะบอกใคร
“ถ้าผมไม่กลับมา.. ท่านพ่อจะบังคับ.. ให้ผมหมั้น”
“อ้อ..” อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับรู้ “ผู้หญิงคนนั้นคงขี้ริ้วน่าดูเลยสินะ”
ดวงตาสีน้ำตาลใสคลอวับเงยขึ้นสบตาคนใจดำ คนที่กรีดใจเขาขาดวิ่นแล้วยังสาดเกลือซ้ำ
“เปล่า..” ไอร้อนที่กระบอกตาทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี กระพริบตาถี่ “ผู้หญิงคนนั้น.. เป็น.. ”
กว่าจะเอ่ยได้แต่ละคำแสนยากเย็น
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของ..” เลอมานสูดจมูกลึก ใบหน้าคมคายอ่อนโยนของคนที่อยู่ไกลแสนไกลทั้งในความจริงและความฝันลอยวูบเข้ามาในห้วงคำนึง “..ของเลขาท่านพ่อ แต่ท่านพ่อไม่ทรงทราบ”
ดวงตาหลุบต่ำนิ่งมองพื้นไม้กระดานที่เริ่มพร่าเลือน ไม่รู้หรอกว่าคำพูดตนทำให้คนฟังใจอ่อนยวบลงเพียงใด ไม่รู้หรอกว่าสายตาที่เอาแต่เกรี้ยวกราดใส่ บัดนี้มองเขาด้วยความอ่อนโยนและสำนึกเสียใจแค่ไหน รู้แต่ว่าไอร้อนในตาตนมันผ่าวขึ้นทุกที
“ทำไมถึงช่างขยันหาเรื่องให้คนอื่นปวดหัวนัก!”
“ผมมีหน้าที่ดูแลเขา เขาบาดเจ็บแบบนี้เท่ากับผมบกพร่องต่อหน้าที่”
“ผมละสะใจที่สุด โดนเขาแกล้งตีระหัดใส่หน้าเข้าให้ จ๋อยไปเลย” ปลายจมูกโด่งรั้นแดงก่ำ เลอมานสูดจมูกลึกก่อนเงยหน้าขึ้นประสานสายตา ถามคำถามที่รบกวนอยู่ในหัวใจมาตลอด
“อาจารย์เกลียดผมใช่ไหม”
นึกชื่นชมตัวเอง เขาถามคำถามนั้นออกไปได้อย่างไรโดยที่เสียงไม่สั่นพร่า วงหน้าคมคายตรงหน้านิ่งงันคล้ายถูกสะกด สองสายตาประสานกันท่ามกลางความเงียบงัน เลอมานรอคำตอบอยู่ชั่วอึดใจ
ขอชมตัวเองอีกครั้ง เขาฝืนยิ้มออกไปได้อย่างไรทั้งที่น้ำตากำลังจะไหลลงร่องแก้มเขียวช้ำ
“ไม่ต้องพูดหรอก ผมรู้คำตอบแล้ว” ว่าพลางผินหลังหนีขึ้นเตียงนอน มือแข็งคว้าแขนไว้ เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ก้มหน้าเอ่ยแผ่วเบา
“ผมปวดหัว อยากนอน”
มือที่รวบต้นแขนไว้จึงค่อยคลายออกอย่างยอมจำนน
ดึกสงัด เสียงหรีดหริ่งเรไรระงม กลิ่นมหาหงส์ยิ่งหอมจัดยามดึก คืนหน้าฝนอากาศเย็นสบาย ทว่าอาจารย์ผู้แสนเข้มงวดกลับนอนพลิกกายกระสับกระส่าย อาศัยเพียงแสงจันทร์สลัว ลอบมองผ่านช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือไปยังร่างที่นอนขดกายอยู่บนเตียงอีกฝั่งห้อง
คำถามที่เด็กคนนั้นถามยังกึกก้องอยู่ในหัวใจ
‘เกลียด’ อย่างนั้นหรือ?
หากเลอมานถามคำถามนี้ในวันแรกๆที่พบกัน เขาจะตอบคำถามนั้นได้ทันทีโดยไม่ลังเล ทว่าตอนนี้.. แม้แต่ตอบใจตัวเองยังตอบไม่ได้
ยังเจ็บยอกอยู่ในอก ประกายตาตัดพ้อนั้น ไยจึงติดตรึงใจ ไยจึงสั่นสะเทือนนัก
เสียงเตียงไม้ลั่นออดจากอีกฝั่งห้อง คนึงสะดุ้งวาบ แสร้งนอนนิ่ง หากสายตาจ้องเขม็ง เห็นร่างบอบบางในชุดนอนค่อยๆลุกขึ้นนั่ง พอเสี้ยวหน้านั้นหันมา ชายหนุ่มรีบหลับตาปี๋ เงี่ยหูฟังอยู่สักพัก จนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ได้ยินเสียงบานประตูไม้ลั่นออดในความเงียบ จึงค่อยหรี่ตาขึ้นมอง
เจ้าเด็กดื้อออกจากห้องไปเห็นหลังไวๆ
ร่างสูงใหญ่ยันกายลุกขึ้นนั่ง คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างนึกสงสัย พรายน้ำบนนาฬิกาข้อมือที่วางไว้ข้างหมอนบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า เด็กนั่นจะไปไหนตอนดึกดื่นป่านนี้
อาจารย์หนุ่มก้าวลงจากเตียง ติดตามไปด้วยฝีเท้าเบากริบ เปิดประตูห้องอย่างเบามือไม่ให้ได้ยินเสียงบานพับลั่น ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มดังมีไฟสุม หม่อมราชวงศ์เลอมานจะไปไหน.. หรือว่า..
นัดใครไว้?
ถึงนอกชาน น้ำค้างลงเย็นจัดจนต้องห่อไหล่ กลิ่นมหาหงส์หอมเย็นคละเคล้าไปในมวลอากาศ คนึงชะงักเมื่อแว่วเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบามาตามลม ค่อยๆสาวเท้าแทบย่องไปหัวบันไดซึ่งเป็นต้นเสียงนั้น
แสงจันทร์สลัวรางสาดส่องให้เห็นร่างหนึ่งซุกกายกอดเข่าอยู่กับขั้นบันไดข้างกอมหาหงส์ที่ออกดอกเต็มต้น ไหล่เล็กบางสั่นสะท้านเหมือนลูกนกที่หลงทางมากับพายุ เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบานั้นเสียดแทงหัวใจคนได้ยินนัก
คนึงยืนอยู่ตรงระเบียง ไม่กล้าก้าวขาลงบันไดไปหา ได้แต่นิ่งฟังเงียบงัน
“ฮึก.. ท่านพ่อ.. พี่ชานนท์.. ชายอยากกลับบ้าน..” เสียงร่ำไห้หาบ้านอย่างว้าเหว่นั้นบีบเค้นหัวใจคนฟังให้ปวดยอกด้วยความสำนึกผิด อาจารย์หนุ่มหันหลังกลับเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดหน้าของตัวเองติดมือมา
ลงบันไดได้เพียงสองขั้น ร่างน้อยที่สั่นเทาก็สะดุ้งเฮือกหันขวับมามองอย่างรู้ตัว พอเห็นหน้าเขาเท่านั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างอย่างกับเห็นผี
“ผะ..ผมเห็นอาจารย์หลับแล้ว เลยไม่กล้าขออนุญาต” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเบือนหนี สองมือพยายามเช็ดน้ำตาเป็นระวิง หากต้องร้องโอ๊ยออกมาเมื่อมือไปโดนแก้มที่เขียวช้ำเข้า
อาจารย์หนุ่มนั่งลงเคียงข้าง มือใหญ่ดึงมือเล็กออก แสงจันทร์นวลอาบไล้เสี้ยวหน้างามละมุน หยดน้ำตาต้องแสงจันทร์ดูราวเกล็ดเพชร บรรจงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับรอยน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา ดวงตาที่แวววาวคล้ายดาวสุกใสมองเขาอย่างตกใจและไม่เข้าใจ
คนึงไม่มีคำพูดใดจะเอ่ย เพียงจูงมือเรียวเล็กประคองให้กลับเข้าห้อง ได้ยินเสียงสูดจมูกฟืดฟาดยิ่งบาดใจเขานัก
“พรุ่งนี้ผมจะไปพบอาจารย์ใหญ่ ขอเปลี่ยนให้อาจารย์ประพนธ์ดูแลผมแทนดีไหม” เลอมานถามขึ้นเมื่อนั่งลงบนเตียง พยายามดึงมือออกจากมืออาจารย์ที่ยังกุมมือศิษย์ไม่ปล่อย
คนึงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง จ้องมองไม่วางตา ก่อนลุกขึ้นไปจุดตะเกียงโคมที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แสงทองเรืองรองกระจ่าง ขับผิวขาวจัดของร่างบนเตียงจนนวลเป็นประกาย
อ้อมชั้นหนังสือไปหยิบดอกมหาหงส์ที่วางอยู่ข้างหมอนประคองไว้ในอุ้งมือใหญ่อย่างทะนุถนอม ก่อนเดินกลับมาทรุดกายลงนั่งเคียงข้างคนที่ยังมองหน้าเขาอย่างพิศวง
อมยิ้มเมื่อดวงตาสุกใสคู่นั้นเบิกกว้าง ยามเขายื่นเจ้าดอกขาวลออส่งให้ ลูกแก้วสีน้ำตาลใสมองหน้าเขาสลับกับดอกมหาหงส์ไปมา
เมื่อเห็นเขาพยักหน้ายืนยัน มือเรียวจึงค่อยยื่นมาอย่างเก้กัง ทว่าจู่ๆกลับชะงักคล้ายนึกขึ้นได้ ดึงมือกลับไปกระพุ่มไหว้อย่างอ่อนน้อมก่อนยื่นมือมารับ
“ขอบคุณครับ”
อาจารย์ยิ้มอ่อนโยน มือใหญ่วางบนเรือนผมสีอ่อน ขยี้เบาๆอย่างนึกเอ็นดู ก่อนไล้มาตามแนวโครงหน้าเรียวได้รูป สัมผัสคราบน้ำตาที่เริ่มแห้งจาง จมูกโด่งได้รูปก้มลงดมกลิ่นดอกไม้หอม ก่อนเงยหน้าขึ้นถามคำถามเสียดแทงใจ
“อาจารย์ยังไม่ตอบผมเลย”
ร่างสูงใหญ่ถอนใจแผ่วเบา หยิบตลับไพลบดขึ้นเปิดฝาออก กลิ่นหอมเย็นโชยฟุ้ง บรรจงป้ายตัวยาลงบนแก้มขวาที่เขียวช้ำให้อย่างเบามือจนเหลืองอร่ามไปทั้งซีกหน้า
ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยน้ำใสจ้องมองเขานิ่งงัน
“เจ็บหรือ” มือใหญ่ชะงัก “ครูมือหนักไปหรือเปล่า หรือยาเข้าตา”
นักเรียนส่ายหน้าสูดจมูกลึก “อาจารย์ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่พาดพิงถึงอาจารย์ ถ้าอาจารย์ใหญ่ถามว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยน ผมจะบอกว่าผมเรื่องมากเอง ดีไหม”
น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลลงร่องแก้ม ล้อแสงตะเกียงดูราวเพชรน้ำงาม กลิ้งผ่านริมฝีปากที่พยายามฝืนยิ้ม
เหมือนอะไรบางอย่างในหัวใจกำลังสั่นสะเทือน อะไรบางอย่างที่ตนเป็นคนสร้างขึ้นเองกำลังพังทลายลงช้าๆ
อ้อมแขนแกร่งคว้าร่างแบบบางเข้ามากอดแนบอก ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตกตะลึงแค่ไหน
“ครูขอโทษ” เสียงทุ้มพร่ากระซิบแนบหู โยกโคลงร่างในอ้อมแขนไปมาอย่างปลอบขวัญ “ขอโทษที่ทำเล็กเจ็บ ทำเล็กเสียใจ ครูขอโทษ”
ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี***ณ เวลานี้ คนึงขอตอบว่าหัวใจ
ไม่ใช่สมอง!
เลอมานกระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่รินไหล ได้ยินเสียงหัวใจเต้นชิดริมหู อ้อมแขนอุ่นล้ำที่กอดรัดแน่นส่งกระแสอบอุ่นพุ่งวาบอาบทาทั่วหัวใจ
“อาจารย์.. เสื้ออาจารย์เลอะหมดแล้ว” ส่งเสียงประท้วงอู้อี้กับอกแกร่ง กลับยิ่งถูกกอดแน่นกว่าเดิม
Tell me where is fancy bred,
Or in the heart, or in the head?
How begot, how nourished?
Reply, reply.เลอมานรู้คำตอบแน่วแน่..
In the heart.
โปรดติดตามตอนต่อไป-----------------------------------------------------------------------------------------------
*น้ำตาดาว, ธาตรี คำร้อง, บุษยา รังสี ขับร้อง
** ศกุนตลา
*** เวนิสวาณิช(แอ๊ ข้อความมีตัวอักษรมากเกิน ขอไปตอบเม้นข้างล่างนะคะ^^")