บทที่ ๓๗
คอย(ครึ่งแรกจ้ะ
)
แต่นี้คงคอยนานแสนจะนาน
เหตุเพราะมารมาขวางกางกั้น จากกันเป็นรอยอาลัย
แต่นี้คงเพียงแต่หวังรอคอย แต่นี้เป็นรอยติดตรึงหัวใจ
เหมือนตกอยู่ในอเวจี
โอ้ดวงใจเอ๋ย เคยชื่นฉ่ำ ลิขิตขีดนำเพียงนี้
ซากรักเตือนใจตราบจนชีวัน ไม่ขอลืมกันจวบจนชีวี
ฝากเพียงคำนี้ไปตามสายลม*
พิธีสวดพระอภิธรรมศพที่ตั้งอยู่บนศาลาดูยิ่งใหญ่อลังการประหนึ่งผู้ที่นอนอยู่ในหีบทองในสีขาวแกะลายพิกุลและเทพพนมฐานสามชั้นนั้นคือผู้สูงศักดิ์ เปี่ยมฐานะและลาภยศ ดอกไม้หน้าศพจัดทำพิเศษเป็นสวนน้ำตก ดอกไม้นานา ซ่อนกลิ่น กุหลาบ เบญจมาศ หน้าวัว กล้วยไม้ ตกแต่งประดับประดาสวยสด
“งานศพยายช้อยอลังการปานนี้เทียว” ผู้เฒ่าหนึ่งลากสังขารกระย่องกระแย่งขึ้นมาเห็นความตระการตาแล้วอดตั้งคำถามไม่ได้
“ไม่อลังการได้รึ” อีกผู้เฒ่าตอบพลางปาดน้ำหมาก “แม่ยายกำนันทั้งคนก็ต้องสมเกียรติกันหน่อย”
ใช้คำว่า ‘สมเกียรติ’ ไม่ได้ เพราะยายไม่ได้มีเกียรติอันใดให้ยกย่อง แค่หญิงชราชาวนายากไร้ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกหลานพระยานาหมื่นจากไหน
จ้อยในเครื่องแบบนักเรียนครูนั่งพับเพียบสงบนิ่งอยู่หน้าโลง สายตาทอดมองเพียงเปลวไฟตะเกียงระริกเร่าตรงหน้า เมื่อมีแขกมาก็ยกมือไหว้ จุดธูปส่งให้เหมือนหุ่นยนต์ ไม่พูดอะไรสักคำ
“เฮ้อ.. กว่ากำนันจะรู้ยายช้อยก็ลาโลกไปแล้ว”
“ยังดีกว่าไม่รู้เลย อย่างน้อยครูจะได้มีคนดูแล”
“ยายแกไปสบายแล้ว หักห้ามใจนะลูก”
“ปล่อยแม่ยายกะลูกลำบากมาเกือบยี่สิบปี กำนันเองก็คงเสียใจ”
“ก็เขาไม่รู้ แม่ทรัพย์น่ะซี้ สั่งให้ปิดไว้ทำไมกัน”
“จะอะไรเสียอีก หวงสมบัติไว้ให้ลูกตัวนั่นแหละ”
นานาสรรพเสียง บางคำพูดกับจ้อย บางคำหันไปพูดกันเอง ทุกคำผ่านไปเหมือนลมพัดผ่าน
จ้อยจำไม่ได้ว่าจ้อยพูดครั้งสุดท้ายเมื่อไร เมื่อวันที่น้าเวกไปตามจ้อยที่โรงสีพี่สิงห์นั่นละมั้ง จ้อยกับพี่ตามน้าเวกไปที่อนามัย ที่นั่น..จ้อยพบกำนันเสริม ป้าทรัพย์ รออยู่ก่อนแล้ว
และร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั่น ต่อให้มีผ้าขาวคลุมหัวจรดเท้า จ้อยก็ไม่มีวันลืม
ยายจ๋า...
หมออนามัยบอกว่ายายถูกงูกัด กว่าจะมีคนไปเจอกลางคันนาก็พบว่าเป็นศพไปแล้ว กำนันบอกว่าในมือยายกำบางสิ่งไว้แน่น แงะออกดูพบว่าเป็นแหวนทองสลักนามสกุลสีตลาที่แกเคยมอบให้แม่ของจ้อยเอาไว้ ป้าทรัพย์ร้องห่มร้องไห้ พร่ำขอโทษที่บังคับยายให้ปิดบังมาตลอดหลายปี ขอโทษที่เห็นแก่ตัว ขอโทษที่อิจฉา ขอโทษที่กลัวลูกแม่กำไลจะเป็นที่รักของกำนันเสริมมากกว่าลูกชายแก ป้าทรัพย์เข้ามากอดจ้อย พร่ำขอโทษทั้งน้ำตา ชาวบ้านแถวนั้นตบเข่าฉาด มีเสียงพึมพำว่านี่ละหนาซื้อหวยไม่ถูก ถึงว่าทำไมเมียกำนันถึงรังเกียจรังแกจ้อยเสียขนาดนั้น
พี่สิงห์เองก็นิ่งตะลึงไป แต่จ้อยไม่สนใจสิ่งใดเลย จ้อยโผเข้ากอดร่างเย็นเยียบของยาย เขย่าร่างไร้วิญญาณ ร่ำไห้ปานจะขาดใจ และเมื่อกำนันมากอดจ้อย เรียกจ้อยว่าลูก จ้อยอยากล้มลงสิ้นสติตรงนั้นแล้วตื่นขึ้นใหม่ในโลกที่ไม่มีใครทั้งนั้นนอกจากยายกับจ้อย
คำพูดสุดท้ายที่จ้อยพูดกับยาย.. จ้อยบอกยายว่าอะไร..
จ้อยบอกยายว่าอะไร..
“หนูเกลียดยาย!” ไม่จริง..ไม่จริง.. หนูโกหก หนูไม่เคยเกลียดยาย หนูรักยาย หนูรักยายที่สุด พี่สิงห์เข้ามากอดจ้อย เช็ดน้ำตาให้จ้อยบอกจ้อยอย่าให้น้ำตาตกต้องร่างยาย ยายจะเป็นห่วง ยายจะไม่สงบ บอกจ้อยอย่างนั้นทั้งที่พี่เองก็น้ำตาไหล
แต่ต่อให้พร่ำเรียก พร่ำขอโทษ พร่ำบอกว่ารักยายอย่างไร ยายก็ไม่มีวันตื่นขึ้นมารับฟัง มือคู่นั้นไม่มีวันลูบหัวและยกโทษให้จ้อยอีกแล้ว
หลังจากการตายของยาย เรื่องฉาวโฉ่ของกำนันเสริมและแม่กำไลของจ้อยมีอันถูกลากไส้ออกมาให้ชาวบ้านรู้กันจนหมดทั้งบาง เนื้อความก็คล้ายๆ ละครน้ำเน่าที่พวกผู้ใหญ่ชอบฟังกันทางวิทยุ เรื่องมีอยู่ว่าตอนพี่จินดายังเล็กแม่กำไลถูกเสือฝ้ายบ้านใต้มาดักฉุดไปกลางงานบุญประจำปี กำนันเสริมตามไปช่วยไว้ ยิงเสือฝ้ายตายโหงเป็นผีเฝ้าทุ่ง เข้าตำราวีรบุรุษกับสาวงาม กำนันหนุ่มกับแม่ค้าสาวรอนแรมมาด้วยกัน เห็นอกเห็นใจกัน ก็เกิดผูกสมัครรักใคร่เกิดสายสัมพันธ์กันขึ้น บางคนก็ว่าเขาหมายตากันมานานแต่ติดตรงกำนันมีเมียอยู่แล้วเลยทำอะไรไม่ได้
หลังจากนั้น ๙ เดือนแม่กำไลก็ให้กำเนิดจ้อย กำนันเสริมนึกเอะใจแต่เห็นแม่กำไลเงียบเฉยก็ปล่อยเลยตามเลย คนบางนี้ตราหน้าแม่ว่าสำส่อนอยู่แล้ว ดังนั้นใครจะเป็นพ่อของจ้อย จะรู้ไปใยมี และพอจ้อยตั้งไข่ได้ไม่ทันไร แม่ก็หนีหายไปกับพ่อค้าแตงโมจากบางปะหัน เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ส่งข่าวคราว ทิ้งพี่จินดากับจ้อยไว้ให้ยายเลี้ยงตามลำพัง
ราวกับจะชดเชยความผิดบาปในใจ ทั้งกำนันและเมียบอกจ้อยว่าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานศพยายอย่างดี ซึ่งก็.. ดีเกินกว่าที่จ้อยคิดด้วยซ้ำ
ไหนจะเตรียมสถานที่ตั้งโรงเลี้ยง โรงครัว เมื่อเริ่มงานก็มีการตกแต่งโลงอย่างวิจิตร ตอนกลางคืนมีสวดพระอภิธรรม กลางวันทำบุญถวายสังฆทาน เตรียมอาหารไว้จัดเลี้ยงผู้มาฟังสวดและนั่งเพื่อนศพ มีมหรสพตลอด ๓ คืน คณะหนังสดที่กำนันหามา เดินทางมาด้วยเรือเอี้ยมจุ๊น ล่องลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาเลยทีเดียว ตัวแสดงมากมายทั้งพลยักษ์พลลิง บนศาลาหน้าวัดก็มีมโหรีปี่พาทย์ ร้องส่งกัน ประโคมกันทุกคืนดังกระหึ่ม ชาวบ้านแห่มาดูกันเนืองแน่น ราวกับงานศพของยายเป็นงานประจำปี การเลี้ยงอาหารตอนกลางคืนมีถั่วลิสงคั่วกับน้ำชา มีขนมแห้ง ขนมสด ข้าวต้ม เกี้ยมอี๋ กระเพาะปลา มีการล้มหมู ล้มวัว รองรับแขกที่จะมาเป็นจำนวนมากตามบารมีกำนันเสริม และคุณนายพูนทรัพย์ สีตลา
ทั้งคู่ยืนทักทายผู้มาร่วมงานอยู่หน้าศาลาการเปรียญ ในชุดสีดำสุภาพตัดจากผ้าไหมชั้นดี ในขณะที่ร่างที่นอนในโลงอยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายสีหม่นและผ้าถุงผืนเก่า ชุดเก่งของยายที่นานทีปีหนจะเอาออกจากหีบมาใส่ทีเฉพาะเวลามีงานบุญที่วัด แขกเหรื่อที่น่าจะมีเพียงชาวบ้านที่นับถือยายช้อย,เพื่อนนักเรียนและอาจารย์ของจ้อยไม่กี่คน กลับกลายเป็นงานใหญ่ที่แม้แต่นายอำเภอและผู้ว่าฯยังต้องให้เกียรติมา
หากไม่ได้ภาพถ่ายของยายที่อาจารย์คนึงเอามาให้ บอกว่ากล้องของคุณชายเลอมานถ่ายภาพยายเอาไว้โขอยู่ ยายคงไม่มีรูปตั้งหน้าศพ และจ้อยคงสับสนว่าจ้อยนั่งอยู่ในงานศพใครกันแน่ กลางดึกคืนแรกจ้อยปูเสื่อนอนเฝ้ายาย ลมพัดแรงอื้ออึง บานเฟี้ยมหน้าต่างกระแทกกึงกัง จ้อยสะดุ้งตื่น แวบแรกนึกห่วงยาย ฝนมาฟ้าร้องยายจะอยู่คนเดียวอย่างไร จ้อยจะลงจากศาลาหากพี่สิงห์ที่นอนอยู่เคียงกันคว้ามือไว้ ถามจ้อยจะไปไหน จ้อยบอกจ้อยจะไปหายาย พี่ดึงจ้อยเข้าไปกอดแนบอก กระซิบเสียงเครือว่ายายนอนอยู่ที่นี่.. ตรงหน้าเรานี่..
อ้อ.. จ้อยจึงเพิ่งนึกได้.. ยายตายแล้ว.. ยายไม่อยู่กับจ้อยแล้ว..
มีเสียงโฆษกประกาศต้อนรับเชื้อเชิญแขกเข้าสู่โรงเลี้ยงเพื่อรับประทานอาหาร เหมือนงานศพผู้รากมากดีสักคน เหมือนไม่ใช่งานศพหญิงชาวนายากไร้ เหมือนร่างที่นอนอยู่ในหีบทองในแกะลายเทพพนมนั้นไม่ใช่ยายช้อยของจ้อย ไม่ใช่ยายที่ลุกมาจุดตะเกียงน้ำมันแต่เช้ามืด เดินเบากริบบนไม้ฟากออดแอด หุงข้าวส่งกลิ่นหอมอวลปลุกจ้อยให้ตื่น ลุกขึ้นช่วยยายห่อข้าวต้มผัด ห่อขนมกล้วย ปั้นขนมต้ม กลัดขนมใส่ไส้ เสร็จแล้วลำเลียงทุกอย่างลงเรือ สองคนยายหลานพายเรือกันไปตลาดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เรือน้อยล่องไปตามคลอง สงบ ใสเย็น แสงเงินแสงทองฉาบทาขอบฟ้าทิศตะวันออกทีละนิด
กำนันเสริมไม่อายใครที่จะแนะนำกับทุกคนว่าจ้อยคือลูกชายคนเล็ก ทั้งสองให้คำมั่นว่าชีวิตจ้อยจากนี้จะไม่ลำบากอีก ทั้งสองจะรับจ้อยเป็นลูก จะให้จ้อยย้ายไปอยู่ร่วมชายคา ไม่ใช่ในฐานะเด็กรับใช้ขัดดอกเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้าน จะดูแลส่งเสียจ้อยเป็นอย่างดี
หากสำหรับจ้อย ไม่มียาย..ก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น..
*********************
หม่อมราชวงศ์เลอมานรับรู้ข่าวร้ายด้วยความตกตะลึง แก้วน้ำที่ถืออยู่แทบพลัดหลุดมือไป
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เลอมานประท้วงอึงอลอยู่ในอกหมองไหม้ ครั้งล่าสุดที่พบกัน ยายยังแข็งแรงดีอยู่เลย
อาจารย์ปรีชาผู้แจ้งข่าวบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และบอกว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ไม่มีใครหรือสิ่งใดคงอยู่กับเราตลอดไป เมื่อวานยังพูดคุยกันอยู่ วันรุ่งขึ้นกลับไม่ได้เห็นหน้ากันอีกตลอดกาล
แม้ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในกระท่อมน้อยนั้นช่างมีความหมาย เป็นช่วงเวลาที่เลอมานจะจดจำไว้เป็นคืนวันอันแสนสุขตราบชั่วชีวิต ยายช้อยใจดี มีเมตตา เล็กไม่มีวันลืมมืออบอุ่นที่เคยลูบหัว เคยแกะปลาให้กิน เคยไล้รอยคิ้วขมวดมุ่นให้คลาย มือที่เคยประคับประคองเล็กไว้ในวันที่ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน
ยายจากไปกะทันหัน เล็กยังเสียใจขนาดนี้ แล้วหลานแท้ๆ ที่อยู่กับยายมาตลอดอย่างจ้อยเล่าจะขนาดไหน
กำหนดการพิธีนั้นช่างบีบคั้นหัวใจ เล็กได้รับรู้จากอาจารย์ปรีชาในวันนั้นเองว่าหลังจากวันเผาศพยาย เช้าวันรุ่งขึ้นเล็กต้องเดินทางกลับอังกฤษ เป็นวันที่หม่อมย่าและท่านพ่อกำหนดไว้แล้วอย่างไม่อาจเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย
ศพยายช้อยตั้งสวด ๓ คืน คืนนี้ก็คืนที่สองแล้ว หมายความว่าเล็กมีเวลาอีก ๒ วัน วันสวดคืนสุดท้าย และวันเผาเท่านั้นที่จะไปกราบลายาย กราบลาผู้มีพระคุณของเล็กเป็นครั้งสุดท้าย
“ย่าไม่อนุญาต!” หม่อมย่ายังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพัศดี โดยมีเล็กเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ เล็กคิดไว้แล้วว่าต้องถูกปฏิเสธ แต่ที่คาดไม่ถึงว่าจะหล่นจากปากท่านคือประโยคถัดไป “กะอีแค่งานศพยายแก่ชาวนาจนๆ จะไปทำไม!”
เล็กมองหม่อมย่าอย่างตะลึงไป ยายจ๋า.. ย่าแท้ๆ ของเล็กเป็นสุภาพสตรีแบบที่คนในสังคมเรียกว่าหญิงสูงศักดิ์ เป็นภริยาอดีตแม่ทัพฟ้า เป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย มือไม่เคยด้านอย่างคนที่เคยทำงานหนักเหมือนยาย
เล็กไม่คิดเลยว่าย่าแท้ๆ ของเล็กจะใจดำเหมือนอีกา ‘ยายแก่ชาวนาจนๆ’ อย่างนั้นหรือ หากท่านทราบว่ายายแก่ชาวนาจนๆ อย่างยายเคยช่วยเล็กไว้มากแค่ไหน อยากรู้ว่าท่านจะปฏิเสธคำขอของเล็กได้ลงคอไหม ท่านไม่มีทางรู้หรอกว่าตลอดระยะเวลาเกือบปีที่เล็กอยู่ที่นี่ ทั้งยายและจ้อยมีความหมายต่อหัวใจของเล็กมากเพียงใด
นอกจากอยากไปกราบลายายเป็นครั้งสุดท้าย เล็กเป็นห่วงจ้อยเหลือเกิน เพื่อนรักของเล็ก.. ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“ร่ำร้องอยากไปขนาดนี้ ไม่ใช่อยากไปเจอไอ้ครูนั่นในงานหรอกหรือ” หม่อมย่าเบ้หน้าเดียดฉัน อย่างนี้นี่เอง เหตุผลแท้จริงที่ท่านไม่อยากให้เล็กไปหายาย “ฝันไปเถอะตาเล็กว่าย่าจะปล่อยเราไป!”
เล็กนิ่งขึงไป ในใจเหมือนมีเมฆหมอกหนาเคลือบคลุมลงมาเรื่อยๆ ย่าแท้ๆ ของเล็กใจดำอย่างร้ายกาจ หากจะกักขังกันเช่นนี้ทำไมไม่หาโซ่มาล่ามไว้เลยเล่า
เหลือเวลาอีกเพียง ๒ วัน เล็กจะต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้!
****************************
ลมพัดมาจากทางใต้ คลองน้ำใสไหลรินเอื่อย ตะวันกำลังต่ำลงเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะเหลือแค่แสงขีดรอยบนแก้มฟ้า จ้อยมานั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำเช่นนี้นานเท่าไรแล้วมิอาจรู้ได้ เสียงวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงธรณีกันแสงแว่วมา ผู้คนเริ่มทยอยกันมาฟังสวดอภิธรรมเป็นคืนที่สาม
แต่หัวใจนักเรียนหนุ่มกลับลอยละเมอไปไกลแสนไกล ใบหน้าของยายวูบผ่านเข้ามา ..ไปเถิดจ้อยเอ๋ย ไปอยู่ดูแลพี่เขา พ่อสิงห์ยายฝากน้องด้วย.. ใบหน้าพี่สิงห์วูบผ่านเข้ามา จ้อยนึกถึงร่างกายที่กอดรัดกับพี่ชายพ่อเดียวกัน ใจเอยด้านชาลงทุกที
จ้อยอยากกลับไปเป็นจ้อยคนเก่า เด็กกะโปโลเนื้อตัวมอมแมม วิ่งเล่นตามท้องไร่ท้องนา น้ำมูกป้ายแก้มเกรอะกรัง ทว่า.. ชีวิตครั้งนั้นมันก็ดีกว่าตอนนี้
แม้จะลำบากตรากตรำ อดมื้อกินมื้อ เจ็บที่สุดก็แค่ตอนวิ่งเล่นตกท้องร่อง เสื้อนักเรียนที่มีอยู่ตัวเดียวเปรอะเปื้อนจนยายวิ่งไปรูดก้านมะยมฟาดน่อง เคยเบื่อยาย เคยเบื่อพี่ แต่จ้อยก็ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ร้าวทารุณตกค้างในก้นบึ้งใจ
น้ำตายังคงหยาดตกอย่างเยียบเย็น เนืองนองในอกที่เต้นช้าลงทุกขณะ ความมืดดำหนาหนักทอดทาบลงบนหัวใจ จนกระทั่งมาสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกได้ถึงรอยไล้แผ่วเบาบนแก้ม
“พี่เรียกอยู่นานแล้ว” จ้อยหันไปก็เห็นพี่ พี่ที่เมื่อ ๓ คืนก่อนยังอยู่ในอ้อมแขนกัน แสงอัสดงฉาบใบหน้าหล่อเหลาเป็นสีทอง “ไม่หันมาสักที” สายตาพี่ยามมองจ้อยยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน หากจะมีเพิ่มบ้างคือพี่สงสารจ้อยมากกว่าเก่า สงสารที่จ้อยต้องมาเสียยายไปอย่างกะทันหัน แต่นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย พี่ถนอมจ้อยยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ ราวกับพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยที่แท้จริงเราเป็นพี่น้องกัน
แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..
สิงห์แตะข้อมือน้อยเพื่อจูงน้องไปกินข้าว วันนี้พยายามเคี่ยวเข็นกันหลายหนแต่จ้อยก็แตะแค่แมวดม น้องกลับดึงมือออก แผ่วเบา.. ไม่ได้รุนแรงสักน้อย
แต่ไอ้สิงห์เห็นแววตานั้น เงียบงันเหมือนก้นน้ำบ่อลึกสุดหยั่ง กระทั่งไอ้สิงห์เองก็ยังเข้าไปไม่ถึง
เลอมานไม่มีทางรู้เลยว่าจ้อยทุกข์ระทมเพียงไหน แทบไม่มีใครได้ยินเสียงจ้อยเลยตั้งแต่ยายจากไป น้ำตาไม่ไหลสักหยด แต่ใครต่อใครดูก็รู้ว่ามันเนืองนองอยู่ภายใน ไอ้สิงห์ยังคงดูแลประคับประคองน้องตลอดเวลา ราวกับคำว่าพี่น้องพ่อเดียวกันไม่ได้มีผลอะไรทั้งสิ้น เพื่อนๆ ของจ้อย ทั้งสง่า สันติ ขลุกอยู่ที่วัด อาจารย์ปรีชา อาจารย์ประพนธ์ อาจารย์วิรัชก็มาหมด ยิ่งอาจารย์คนึงยิ่งอยู่ตลอด อยู่เหมือนเป็นญาติมากกว่าเป็นแขก และไม่เคยใส่เครื่องแบบข้าราชการเหมือนเพื่อนครูคนอื่นเลยทั้งเลี้ยงพระกลางวันและฟังสวดกลางคืน
คืนสุดท้ายแล้ว ผู้อำนวยการและคณะครูจากโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพ อดีตอาจารย์หนุ่มอยู่ในชุดสุภาพ เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็คดำ เขาไม่มีโอกาสกลับไปสวมชุดสีกากีอีกแล้ว ครูคนึงถูกไล่ออก ชาวบ้านโจษจันกันทั่ว ชื่อของเขายังติดอยู่บนริมฝีปากที่ซุบซิบกัน แต่โชคดี หนนี้.. ไม่มีชื่อเลอมานอยู่ในคำติฉินนั้นแล้ว สายตาเดียดฉันท์ยังจ้องมองมา ชาวบ้านไม่อยากเสวนาด้วย แต่เขาต้องอดทน เขามาเพื่อยาย เพื่อจ้อย
และเพื่อความหวังว่าจะได้พบเลอมานเป็นครั้งสุดท้าย
อาจารย์ปรีชาบอกว่าหลังจากเสร็จพิธีฌาปนกิจยายช้อยในวันพรุ่งนี้ วันรุ่งขึ้นหลังจากนั้นหม่อมดาราจะพาคุณชายเล็กกลับอังกฤษแล้ว
หัวใจต้อยต่ำไหวสะท้าน แม้จะเจียมใจเจียมตนไว้แล้ว แต่เมื่อความเป็นจริงมาถึงมันช่างกะทันหันเกินตั้งรับ วันรุ่งขึ้นหลังจากเผายายช้อนงั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขามีเวลาแค่วันพรุ่งนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น
อย่างน้อย.. ขอให้พวกเขามีโอกาสได้กล่าวคำลากันสักครั้ง
****************************
ยังเช้าอยู่มาก ตะวันยังลอยดวงไม่พ้นขอบทุ่ง ทอแสงอ่อนโยนงดงามเมื่อมองผ่านม่านหมอกออกไป น้ำค้างยังเกาะพราวพรายอยู่ตามปลายหญ้าสนามหน้าโรงเรียนเหมือนไข่มุกสดใส ไก่สองสามตัวที่อาจารย์ปรีชาเลี้ยงไว้โผลงจากคอน เริ่มคุ้ยเขี่ยหากินอยู่บนพื้น นกเล็กๆ บินออกจากรังเพื่อหาอาหาร ละเมาะไม้ไกวโยกกิ่งก้านและดอกหญ้าโอนอ่อนกับกระแสลม ผีเสื้อหลากสีสันกระพือปีกบินว่อนอยู่เต็มท้องฟ้า
ทุกสิ่งสวยงามสมเป็นวันเดินทางไกลของหญิงชราผู้มีความหมายต่อหัวใจเลอมานเหลือเกิน
หม่อมราชวงศ์หนุ่มแต่งตัวแต่เช้าตรู่ เสื้อเชิ้ตขาวสะอาดกางเกงสีดำรีดเรียบกริบ ดวงตาสีน้ำตาลแน่วแน่ในกระจกมองกลับมา วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้ไปกราบลายาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาจะต้องไปร่วมพิธีให้ได้
แน่นอนว่าไม่ง่าย แค่หม่อมย่าเข้ามาเห็นเขาแต่งตัวเรี่ยม ก็แทบแล่นมาฉีกอกเขาแล้ว
“พูดไม่รู้ฟังนะ!” ท่านชราแล้ว แต่เรี่ยวแรงยังเหลือเฟือ กระชากแขนเขาแทบหัก “ย่าบอกเรากี่ครั้งแล้ว บอกเรากี่ครั้งแล้วตาเล็ก!”
เสียงดังขนาดนี้ ใครกันจะกล้ายุ่ง บรรดาทหารรับใช้แค่เยี่ยมๆมองๆอยู่หน้าประตู มิมีใครกล้าเข้ามา ท้าวเธอยังโวยวายไม่หยุด แทบจะฟาดฝ่ามือลงสะโพกเขาอยู่แล้ว วุ่นวายจนเลอมานไม่ทันสังเกตว่าทหารที่เมื่อครู่ยังเฝ้าอยู่หน้าประตูพากันวิ่งกรูลงไปข้างล่างตั้งแต่เมื่อไร
จนกระทั่ง..
“ถ้าไปกับผมคงไม่เป็นไรมังครับหม่อมย่า”
เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากหน้าประตู หม่อมดาราชะงักมือที่เงื้อขึ้นเตรียมฟาดหลานรัก เลอมานหันไปตามต้นเสียง
“ท่านพ่อ!”
โปรดติดตามตอนต่อไปแค่เนี้ยะ!
แค่นี้ละจ้ะ มาก็น้อย แถมบทจะอัพก็อัพแบบไม่มีปี่มี่ขลุ่ย แฮร่
ครึ่งหลังจะมาต่อให้ยาววววๆ เลยค่ะ
รักคนอ่านนะ
ดอกไม้
๑๑ มี.ค. ๖๒