โลกเรานี่สับสนเจงๆ บางทีมองไม่ออกเลยใครจะเป็นแบบไหน
*********************
บทที่ 13 พยาบาลหนุ่มจอมวุ่น
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการมึนตึบ ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดจากเป็นไข้ หรือเพราะว่ามีคนตัวใหญ่มานอนกอดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้กันแน่
ผมพยายามขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา ทว่าในยามหลับสนิทแบบนี้ เคลวินก็ยังคงแข็งแรงมากจนผมไม่สามารถจะดิ้นออกไปจากตัวเขาได้
ผมเหลือบดูนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง มันเป็นเวลา 7 โมงเช้าแล้ว ตามปกติเคลวินจะตื่นเร็วกว่านี้ เพราะเขาต้องกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดทำงาน แต่วันนี้เขายังไม่ตื่นขึ้นมาเลย เดี๋ยวได้ไปทำงานสายแน่ๆ
ตามปกติ เคลวินจะรักษาภาพพจน์ของตัวเอง เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ไปทำงานแต่เช้า เนื่องจากเขามีบริษัทในเครือมากมาย ทำให้ต้องรีบไปเพื่อที่จะคอยเซ็นต์เอกสาร ประชุม รับฟังรายงาน บางครั้งก็ต้องออกไปเยี่ยมบริษัทในเครือ และพบปะลูกค้าอีกด้วย
เขาเป็นคนตั้งกฏระเบียบให้พนักงานปฏิบัติงาน ดังนั้น เขาจึงต้องทำให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่ผมได้ร่วมงานกับเขา ผมก็เฝ้าชื่นชมเจ้านายหนุ่มคนนี้
ถึงแม้เขาจะเข้มงวดกวดขันกับลูกน้องในเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะกับผม แต่ทุกอย่างที่ท่านประธานคนนี้ตัดสินใจ ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเกิดความผิดพลาด
ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้บริษัทที่เขาดูแลเติบโตก้าวหน้าและขยายกิจการใหญ่ขึ้น ผมต้องอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทตามคำสั่ง จึงทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเป็นนักบริหารหนุ่มที่มีฝีมือพอตัว
“เคลวินครับ ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะ กลับบ้านได้แล้วครับ เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานไม่ทันนะ”
ผมเขย่าตัวเขาเบาๆ เมื่อเขาปรือตาขึ้นมา ผมจึงบอกเขาด้วยความเป็นห่วง เคลวินยิ้มให้ผม แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้น กลับโน้มคอผมไปจูบปาก เนิ่นนานทีเดียวกว่าเขาจะยอมถอนตัวออก จนผมเกรงว่าเขาจะติดไข้หวัดไปจากผม
“ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ”
บอกเขาด้วยความเป็นห่วง เคลวินทำท่าซึ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขากอดผมแน่น แล้วเอาจมูกของเขามาถูไถที่จมูกผม
“ไม่กลัวหรอก ถ้าป่วยก็ป่วยด้วยกันนี่แหละ จะได้ผลัดกันดูแล”
“ไม่ได้นะ คุณเป็นประธานบริษัท ถ้าป่วยไป แล้วใครจะมาดูแลทุกอย่างแทนล่ะ คุณต้องแข็งแรง สุขภาพดีนะครับ”
“เฮ้อ เบื่อจัง หัวโขนอันนี้ บางทีผมก็อยากเป็นคนธรรมดา ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของผมได้บ้าง
ผมอยากอยู่กับสามีของผม ตอนที่คุณป่วยแบบนี้ ผมไม่อยากจากไปไหนเลย อยากดูแลคุณ เผื่อว่าคุณต้องการอะไร ผมจะได้ช่วยหยิบช่วยทำให้”
--------------------
คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เคลวินบอกว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขา และเขาอยากจะดูแลผมในยามป่วยไข้
มันทำให้ผมนึกถึงชีวิตการแต่งงานขึ้นมาทันที อยากมีใครสักคนที่เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน อยู่เคียงข้างกัน หากเคลวินเป็นผู้หญิง เขาคงจะเป็นคนๆนั้นของผมได้ โดยที่ผมไม่ต้องลังเลใจสักนิด
“ลางานดีไหมน๊า ผมจะได้อยู่ดูแลคุณทั้งวัน”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินประโยคนี้จากปากเขา ประธานเคลวินผู้เอางานเอาการ ผู้ที่ปฏิบัติตัวตามกฏกติกาทุกอย่าง กลับจะมาละเมิดสิ่งที่ตัวเองวางไว้เสียเองเพื่อผม แม้จะรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตัวได้
“ไม่นะครับ อย่าทำอย่างนั้นนะ ผมจะไม่สบายใจเลย หากว่าคุณต้องเสียงานเสียการเพราะผม อย่าลืมสิครับ ว่าเคลวินเป็นเจ้านายนะ หากใครเขารู้เรื่องนี้เข้า คุณจะเสื่อมเสียเอาได้”
“โถ เคนเป็นห่วงผมด้วยหรือครับ น่ารักจริงๆ สุดที่รักของผม”
เคลวินอุทาน พลางจูบที่ปากผมอีกครั้ง คราวนี้กว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากออกก็เนิ่นนานมากกว่าครั้งแรก จนผมแทบหายใจไม่ออก
“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปทำกับข้าวให้คุณทานก่อนนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมหากินแถวนี้ก็ได้ เคลวินรีบไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายนะ”
ท่านประธานเอื้อมมือมาแตะศีรษะผม
“เคนยังตัวร้อนอยู่เลย ลุกไปทำไม่ไหวหรอก อย่าฝืนตัวเองเลย ให้ผมทำเองดีกว่านะ”
“แต่คุณจะไปทำงานไม่ทันนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับที่รัก เดี๋ยวผมไปอาบน้ำที่ทำงานเลยก็ได้ ที่ตึกที่ทำงานมีเพนท์เฮ้าส์ของผมอยู่ชั้นบน จำไม่ได้เหรอครับ ผมสามารถแต่งตัวจากที่นั่นได้เลย ใช้เวลาไม่นานก็ลงมาทำงานได้แล้ว ไม่สายมากหรอก”
จริงสินะ ผมลืมไปสนิทใจ นอกเหนือจากบ้านพักสุดหรูของเขาแล้ว ประธานเคลวินยังมีห้องพักที่ตึกทำงานของตัวเองอีก พี่นนนี่เล่าให้ฟังว่า บางครั้งท่านประธานทำงานดึกๆ ก็จะพักที่นี่ เพื่อสะดวกในการไปกลับ และสามารถเข้างานได้แต่เช้า
“งั้นไม่ต้องทำมากหรอกนะครับ เอาอะไรง่ายๆก็พอนะ คุณจะได้ไม่เสียเวลานะครับ”
ผมบอกเขาด้วยความห่วงใย เคลวินยิ้มกริ่ม จูบผมที่หน้าผากอีกครั้งก่อนที่จะกระวีกระวาดลุกไปทำครัว ผมยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เคลวินทำ จะก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆกับผมได้ถึงเพียงนี้
ในเวลาไม่นานนัก เคลวินก็กลับเข้าห้องมาพร้อมด้วยถ้วยข้าวต้มกุ้งร้อนๆควันฉุย อาหารง่ายๆที่เคลวินเริ่มที่จะทำเป็นแล้ว ถึงแม้ว่าลิ้นผมจะไม่ค่อยรับรสเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอจะบอกได้ว่าเขาทำอร่อยมาก
เคลวินไม่ได้รีบไปทำงานเหมือนเคย แต่กลับนังมองผมทานอาหารที่เขาทำ สายตาที่มองมาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ผมไม่อยากให้เขาเสียใจเลยพยายามทานข้าวต้มจนหมด
--------------------
“เก่งจังครับ ทานหมดเลย เดี๋ยวทานยาหน่อยนะครับ จะได้หาย”
เคลวินยื่นยาและแก้วน้ำให้ผม และรอดูจนกระทั่งเห็นผมทานยาเรียบร้อยแล้ว เขาถึงรับแก้วไปเก็บ จากนั้นก็เดินมาหาผมที่เตียงนอน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมให้
“พักผ่อนเยอะนะครับ ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรนะ เดี๋ยวตอนกลางวัน ผมจะให้คนเอาข้าวมาให้ทาน และช่วยดูแลคุณกว่าผมจะมานะครับ”
“ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ เที่ยงๆบ่ายๆก็น่าจะหายแล้วนะครับ”
อยากให้เขาสบายใจ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวผม ที่จริงเขาไม่ต้องลำบากหาคนมาดูแลผมก็ได้ ผมคงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก
“อย่าคิดมากเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้สึกแย่กว่านี้นะ ที่จริงสามีไม่สบายอย่างนี้ ภรรยาที่ดีไม่ควรทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เกิดคุณป่วยหนักขึ้นมาจะว่าไงล่ะ
อย่าห้ามผมเลยนะครับ ที่ผมจะหาคนมาช่วยดูแลคุณ ไม่อย่างนั้นผมคงทำงานไม่ไหวแน่ เพราะจะเอาแต่คอยห่วงเคนตลอดเวลา หากมีคนอยู่ด้วย เขาจะได้ช่วยทำโน่นทำนี่ให้เคน แล้วคอยดูให้คุณทานยาด้วย”
เมื่อได้ฟังเหตุผลและเห็นหน้าตาวิงวอนของเขาแล้ว ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ พร้อมกับรู้สึกดีกับเคลวินมากขึ้น ความห่วงใยที่เขามีต่อผมเริ่มกัดกร่อนกำแพงหัวใจที่ผมตั้งไว้กันเขาทีละน้อย
“ก็ได้ครับ แต่เคลวินต้องรีบกลับมานะ”
ในความหมายของผมคือ ไม่ต้องการรบกวนคนเฝ้าไข้ที่เขาจะส่งมาดูแล ถ้าเคลวินกลับบ้านเร็ว คนๆนั้นจะได้ไม่ต้องมาดูแลผมนาน แต่เคลวินกลับเข้าใจไปอีกทาง เขายิ้มหวานใส่ตาผม พร่ำถามคาดคั้นเหมือนเด็กที่จะเอาคำตอบจากผู้ใหญ่ให้ได้
“เคนคิดถึงผมหรือครับ อยากให้ผมกลับมาหาไวไวใช่ไหม ทนห่างจากผมไม่ได้สักวินาทีใช่หรือเปล่าครับ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผมใช่ไหม”
“คิดไปได้เรื่อยๆเลยนะครับ เข้าข้างตัวเองก็เป็น”
อดเหน็บเขาไม่ได้ เคลวินทำหน้าทะเล้น เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของผม
“ก็แหม เราเป็นสามีภรรยากันนี่ครับ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น แล้วก็คิดว่าคุณเองก็ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม ใช่ไหมครับ แต่เคนขี้อาย แถมซ้ำยังปากแข็งอีกด้วย คงไม่กล้าบอกความจริงออกมา แต่ไม่เป็นไรนะครับ ผมรอได้นะ”
ท้ายประโยคเขาพูดออดอ้อนเอากับผม หูตาวาววาม ผมชักผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันทีที่เขาพูดจบ หนีหน้าตาทะเล้น และสายตาหวานฉ่ำนั่น แอบยิ้มขำเขา เวลาเคลวินทำท่าอ้อนๆน่ารักดีไม่หยอก ดูดีกว่าตอนทำท่าเคร่งเครียดเยอะเลย
“แหม เคนล่ะก็ ไม่ต้องอายนะครับ ถ้ารักผมก็เปิดใจให้ผมนะ”
เสียงของท่านประธานสุดหล่อยังดังลอดผ้าห่มเข้ามาให้ผมได้ยินอีก
“ไปทำงานได้แล้วคร้าบ”
--------------------
ผมพูดเสียงดังอยู่ในโปงนั่น เขาทำเสียงง๊องแง๊งใส่
“ใจร้าย ไล่กันแล้วเหรอ”
“เปล่าครับ ก็มันสายแล้ว เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ”
ผมลดผ้าห่มลง แล้วพูดเตือนเขาดีๆ
“งั้นขอจูบเป็นกำลังใจหน่อยได้ไหมครับ”
“ผมเป็นหวัดอยู่นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมแข็งแรง ไม่ติดโรคง่ายๆหรอก”
เคลวินยังดื้อดึง ในที่สุดก็ปล้ำจูบผมจนสำเร็จ เขามองผมอย่างอ่อยอิ่งก่อนจะไป จนผมต้องไล่ซ้ำ เขาถึงจะยอมลุกจากเตียงของผม พอได้ยินเสียงรถของเขาแล่นจากไป ผมก็ปิดเปลือกตาลง และหลับไปด้วยฤทธิ์ยา มาตื่นอีกที เมื่อได้ยินเสียงเคาะห้องติดๆกันหลายครั้ง ผมเดินไปเปิดประตู ก็พบผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งถือข้าวของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าห้อง
ทันทีที่เห็นหน้าผม เธอก็แนะนำตัวว่าเธอชื่อ ป้าหมี่ เป็นคนที่เคลวินส่งมาดูแลผมตลอดบ่ายนี้ ผมลอบสังเกตคนตรงหน้า อายุอานามของเธอน่าจะประมาณ 60 ปีเห็นจะได้ แต่ท่าทางยังกระฉับกระเฉง
พอผมอนุญาตให้ป้าหมี่เข้ามาได้ เธอก็กุลีกุจอพาผมไปนอนบนเตียง แล้วบอกว่าจะจัดการทุกอย่างให้ พอผมจะลุกไปช่วยเธอ ป้าหมี่ก็ทำเสียงดุใส่ผมบอกให้ไปนอนไม่ต้องมายุ่งเรื่องในครัว เดี๋ยวเธอจัดการเอง ผมเลยต้องยอมให้เธอลงมือทำตามที่ต้องการ
สักพักหนึ่งขณะที่นอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงกระทะและตะหลิวกระทบกันอยู่ตรงส่วนที่ผมกันเป็นครัวอันน้อยนิดของผม เสียงโทรศัพท์มือถือจากที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้นมา
ผมเหลียวหาต้นเสียง ก็พบมือถือขนาดใหญ่หน้าตาแปลกๆ อยู่ในแท่นชาร์ตแบตตรงปลั๊กไฟใกล้ๆกับเตียงนอนของผม นึกสงสัยว่าเคลวินคงจะรีบร้อนไปทำงานเลยลืมหยิบไป เขาคงหาไม่เจอเลยพยายามโทรเข้าเครื่องตัวเอง
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากแท่นชาร์ต มองหาปุ่มกดรับจนเจอ และกรอกเสียงลงไป เป็นเคลวินจริงๆด้วย เขาส่งเสียงมาอย่างฉุนๆ
“ทำอะไรอยู่ ถึงได้รับช้าล่ะครับ”
“ไปเปิดประตูรับป้าหมี่ครับ”
ตอบเขาไปอย่างใจเย็น รู้ดีว่าที่เขาโมโห เพราะเขาเป็นห่วงผม
“อ้าว เหรอครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าที่คุณไม่รับ เป็นเพราะคุณเป็นลมเป็นแล้งไปเสียอีก ป้าหมี่มาก็ดีแล้ว เขาทำอะไรให้เคนทานหรือยังล่ะครับ”
“กำลังทำอยู่ครับ”
“ถ้างั้นก็โล่งอกไปหน่อย ป้าหมี่ทำอาหารอร่อยนะครับ รับรองได้”
“ทำไมถึงส่งป้าหมี่มาล่ะครับ สงสารแกนะ อายุก็มากแล้ว คุณยังจะให้แกมาดูแลผมอีก”
ผมถามด้วยความสงสัย
--------------------
“นี่อย่าไปพูดเรื่องความแก่ให้แกได้ยินนะ ถูกโกรธเอาไม่รู้ด้วย แกไม่ยอมรับความจริงหรอก อีกอย่างแกแข็งแรงดี ป้าหมี่เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุดครับ แล้วแกก็ดูแลคนดีครับ”
เคลวินไขข้อข้องใจให้ฟัง
“เป็นคนเก่าคนแก่หรือครับ”
“อื้ม เป็นแม่นมของผมน่ะ เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเด็กเลย ถึงผมโตแล้ว ทางบ้านก็ยังจ้างแกอยู่ แกก็คอยดูแลผมครับ แกรักผมมาก ผมก็รักแก ผมเลยส่งแกมาดูคนที่ผมรักมากที่สุดด้วย แกต้องดูแลเคนดีแน่ๆ แต่แกจะชอบดุนะครับ อย่าไปดื้อกับแกนะ”
ผมเต็มตื้นในหัวอก เมื่อฟังสิ่งที่เคลวินพูด นี่เขาห่วงใยผมมากมายถึงเพียงนี้เชียวเหรอ ทำไมต้องมาดีกับผมแบบนี้ด้วย ผมไม่อยากใจอ่อน ผมไม่อยากจะรักเกย์นะ ผมยังอยากจะแต่งงาน อยากมีครอบครัว อยากมีลูก ไม่อยากมีเมียเป็นผู้ชาย แล้วผมก็ไม่อยากเป็นฝ่ายถูกทำด้วย
ข้อสุดท้ายนั้นผมคิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ครั้งแรกที่ผมโดนล่วงเกินโดยรู้ตัว ผมว่าผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอหลายครั้งเข้า ทำไมผมถึงยินยอมพร้อมใจร่วมไม้ร่วมมือกับเขาก็ไม่รู้
ไม่แสดงทีท่าจะขัดขืนเขาบ้างเลย ด้วยเหตุนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้เคลวินเข้าใจผิดคิดว่าผมมีใจให้กับเขา สงสัยต้องเร่งทำความเข้าใจกันใหม่เสียแล้ว
“ครับ เอ้อ เคลวินครับ คุณลืมโทรศัพท์นี่ไว้หรือเปล่า มันอยู่ในห้องนะครับ”
ผมเปลี่ยนเรื่อง โดยการพูดถึงโทรศัพท์ที่เขาลืมทิ้งไว้
“อ๋อ ครับ เอาไว้นั่นก่อนแล้วกัน ผมไม่ได้รีบใช้”
เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวเขาจะเป็นกังวลว่ามันหายไปไหน แต่เขากลับทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญซะงั้น แหมเป็นคนรวยนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง เขาคงจะมีมือถือหลายต่อหลายเครื่องสำหรับการใช้งาน หายไปก็คงไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่
“เคนเอาไว้ใช้เลยก็ได้ครับ”
“พูดอะไรอย่างนั้น ของของคุณ ผมไม่กล้าใช้หรอกครับ เอาเป็นว่าผมเก็บไว้ให้คุณในลิ้นชักตรงหัวเตียงแล้วกันนะครับ คุณกลับมาแล้วก็เปิดเอาไปได้เลย ผมไม่ได้ล็อคกุญแจไว้”
อยู่ๆเขาก็ยกมาให้ผมดื้อๆซะงั้น แต่ผมไม่เอาหรอก แล้วผมก็ไม่ชอบใจด้วยที่เขาไม่รู้คุณค่าของข้าวของที่ซื้อมา นึกอยากจะให้ใครก็ให้ ทำเหมือนว่าเงินไม่มีความหมาย
แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เขาจะต้องมาทุ่มเทอะไรให้ด้วย ดังนั้นผมจึงปฏิเสธเขาไปอย่างนุ่มนวล ท่าทางเขาคงจะไม่พอใจ เพราะผมได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาตามสาย แต่ผมไม่สนหรอก ผมไม่ชอบเอาของๆใคร แม้ว่าเขาจะให้ด้วยจิตเสน่หาก็ตาม
“งั้นก็ได้ครับ แล้วเคนอย่าลืมทานข้าวกับพักผ่อนให้เยอะๆนะ ทานยาด้วยจะได้หายไวๆ เรื่องงานไม่ต้องห่วงนะครับ ผมบอกนนนี่ไว้แล้วว่าคุณป่วย จะขอหยุดสักวันสองวัน เย็นนี้ผมจะรีบกลับมาหาคุณนะครับ”
--------------------
เขาสั่งเสียก่อนจะวางหู ผมเปิดลิ้นชัก และหย่อนมือถือที่ชาร์ตแบตจนเต็มลงไป
จากนั้นก็เดินไปถอดปลั๊กไฟก่อนจะกลับมาซุกตัวอยู่ในเตียงตามเดิม ไม่ถึงสิบนาที เสียงป้าหมี่ก็เจื้อยแจ้วจากในครัวออกมาให้ได้ยิน
“อาหารเสร็จแล้วค่ะ คุณหนู เดี๋ยวป้าเอามาให้ทานที่เตียงนะคะ”
คะ..คุ..คุณ..หนะ หนู เหรอ ผมแอบทวนคำป้าหมี่ออกมา หูผมไม่ฝาดไปแน่ๆ แกเรียกผมอย่างนั้นจริงๆ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
ผมไม่ใช่ลูกคนร่ำรวยอะไร ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ได้มีมากมาย สงสัยป้าหมี่คงจะคิดว่าผมเป็นเพื่อนไฮโซของท่านประธานเคลวินกระมัง โถ ป้าหมี่ ตาคงจะฟาง ไม่งั้นแกคงมองออกว่าสภาพห้องของผมมันกระจอก ซอมซ่อเพียงไหน
“ผมไปช่วยยกนะครับ”
ยังไม่ทันที่จะก้าวลงจากเตียง ป้าหมี่ก็โผล่หน้าเข้ามาหาพลางร้องห้ามเสียงหลง
“อุ้ยไม่ต้องหรอกค่ะ คุณหนู ป่วยอยู่ ไม่มีเรี่ยวมีแรง ป้ายกมาให้เอง”
โดยไม่รอฟังคำทัดทานจากผม แกก็ผลุบหายไปหลังม่าน แล้วก็โผล่มาอีกที ในมือถือถาดใส่อาหารเอามาวางบนโต๊ะพับที่ผมเพิ่งกางออกเมื่อครู่นี้
ผมมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า มีข้าวสวยร้อนๆควันฉุย กับแกงจืดลูกรอกใส่เต้าหู้ไข่กับหมูสับด้วย กลิ่นหอมน่าทาน อีกจานเป็นผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่กุ้งดูน่ากิน มีไข่เจียวแถมมาให้ด้วย ป้าหมี่ทำแต่อาหารจืดๆให้ผมทาน เคลวินคงกำชับป้ามาเป็นอย่างดี ว่าให้ทำอาหารอ่อนๆให้ผม
“ทานด้วยกันไหมครับ”
ผมเอ่ยปากชวนป้าหมี่ให้ร่วมวงด้วย เนื่องจากป้าทำอาหารให้ผมเสียเยอะแยะ แต่มีผมนั่งกินเพียงคนเดียว กินไม่หมด มีของเหลือก็น่าเสียดาย
“ตามสบายเลยค่ะ คุณหนู เดี๋ยวป้าจะไปเก็บกวาดห้องหับให้ค่ะ”
“ป้ารังเกียจผมหรือครับ กลัวจะติดไข้จากผมเหรอ”
แสร้งถามไปอย่างนั้น ที่จริงรู้แล้วล่ะว่า ป้าคงเกรงใจไม่อยากตีเสมอเพื่อนเจ้านาย แต่ผมไม่ใช่สักหน่อย ผมก็เป็นลูกจ้างเขาเหมือนกัน ดังนั้นศักดิ์ศรีของป้าจึงเทียมเท่ากับของผม
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณหนู ป้าทานมาแล้วค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ค่ะ”
“นึกว่าท่านประธานเคลวินห้ามเสียอีก ว่าไม่ให้มาทานกับผม”
“เปล่านะคะ คุณหนูเคลวินท่านใจดีออก เหมือนคุณหนูนี่แหละ ชอบชวนป้าทานข้าวร่วมวงด้วย ถ้าป้าไม่กินก็จะโกรธเอาน่ะค่ะ ขี้งอนจะตาย”
ฟังป้าเล่าถึงเคลวิน ทำให้ผมถึงกับสำลักข้าวที่กินเข้าไป นึกภาพหนุ่มฝรั่งตัวใหญ่ทำท่ากระเง้ากระงอดป้าแก่ๆแล้วอดขำไม่ได้ คงจะดูตลกพิลึก
ตอนที่เขาทำท่างอแงใส่ผม นั่นก็นับว่าแปลกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่กุมอำนาจการบริหารไว้ในมือ มีบริษัทในเครือ และมีลูกน้องมากมาย จะมีช่วงเวลาทำตัวเหมือนเด็กกับเขาด้วย
“งั้นหรือครับ เสียดายจัง ไม่มีเพื่อนเลย ทานคนเดียวมันเหงานะครับ”
--------------------