ตอนที่ 17การตามหาลุค เมอร์ฟี กับจัสติน ฮอฟมันน์ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเพราะทั้งคู่ใช้วิธีการพรางตนแบบครึ่งหนึ่ง จากที่โดยทั่วไปจะใช้การพรางตนแบบสมบูรณ์ในเวลาที่ทำงานสำคัญ ทำให้พ่อมด หรือปีศาจที่เป็นเป้าหมายรู้ตัวก็คือทั้ง 2 คนมายืนอยู่ข้างหน้าแล้ว
แต่คราวนี้ทั้งคู่ต้องการให้พ่อมดและปีศาจที่มีพลังเข้มแข็งในระดับหนึ่งรับรู้ว่าทั้งคู่กำลังเร่งจัดการลงมือในเรื่องราวบางอย่าง ทำให้ต้องบุกไปจัดการปีศาจ ผู้คุมวิญญาณ และพ่อมดอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ปีศาจนกฮูกตาสีฟ้ากำลังตามหาว่าลุคอยู่ที่ไหน จู่ ๆ ก็สามารถรับรู้ถึงไอที่เป็นพลังงานสีขาวของมือปราบวาติกัน แต่เมื่อไล่ตามไปเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรถึงได้เห็นทั้งคู่อยู่ข้างหน้า
นี่เป็นพลังที่แปลก และทำให้รู้สึกสับสนเพราะไม่ว่าจะตอนอยู่ในระยะห่าง 1 กิโลเมตร หรือห่างแค่ 1 เมตร พลังสีขาวที่เป็นความเย็นและสว่างก็ชัดเจนอย่างสม่ำเสมอ
ไอชีวิตของเบสกับข้าวโพดจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ยังมีความเหลื่อมของสี บ่งชี้ของความมีชีวิต
แต่ไอที่เป็นพลังงานของลุคและจัสตินจะมีความคงที่แบบคนดีที่ชวนให้รู้สึกขัดใจ
แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงระยะ 1 เมตรจากทั้งคู่ บลูพบกลุ่มก้อนสีดำที่ไม่สามารถแยกได้ว่าร่างเดิมคืออะไรคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ
ทั้งบลูและเจ้าก้อนสีดำนั่น ไม่มีไอหรือพลังงานใด ๆ เป็นเพียง ‘สิ่งหนึ่ง’ ที่ยังอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง และบลูคิดว่า หากตนเองสามารถรับรู้ถึงกลุ่มก้อนสีดำนั่นได้ ทั้งลุคและจัสตินก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็ทำเป็นไม่รู้
พวกเขากำลังทำอะไรอยู่นะ แต่การตามกันเป็นทอด ๆ แบบนี้มันอันตรายเกินไป บลูยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ หรืออย่างน้อยก็ต้องให้ 2 คนนี้ไปจัดการ
หรือควรไปรอที่ร้านกาแฟ หลบอยู่ที่ห้องชั้นบนรอให้ลุคกลับมา ก็ที่นั่นเป็นบ้านของเขาไม่ใช่หรือ
แต่บลูก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะทั้งจอร์จและแอนนา...เจตน์และแอนยังอยู่ที่นั่น
มีไอมนุษย์อยู่ทั่วไปในร้าน ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่พักอยู่ที่นี่มาตลอด
ดีแล้ว...และเราไม่ควรเข้าไปที่นั่นเพื่อทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตราย
บลูกลับไปที่ห้องพักในคอนโดฯที่ปิดทึบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่ลุคและจัสตินจะตามมาพบ บลูใช้ดวงตาที่สามมองเคลื่อนไหวในอดีต เห็นว่าจัสตินกับสาธุคุณอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่ชื่อฌ็องส์ กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนของลุคเข้ามาวางไว้ที่ห้องด้านนอก และพยายามที่จะเข้าไปในห้องนอนของบลู แต่พวกเขาเข้าไปไม่ได้ เมื่อจัดห้องเสร็จทั้งคู่ก็กลับไป
หนุ่มในชุดสีขาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ประตูก็เปิดออกเอง ภายในห้องที่ถูกผนึกไว้หลายชั้นอย่างแน่นหนา ของสำคัญที่เก็บไว้ยังอยู่ในที่เดิม
แต่ด้วยประสบการณ์หลายร้อยปี ทำให้บลูรู้ว่าวันหนึ่งทั้ง 2 คนจะเข้ามาในห้องนี้ได้ และหากพวกเขาทำได้ คนอื่น ก็จะทำได้เหมือนกัน
“เออ ใช่” บลูเก็บของสำคัญไว้ที่เดิม แล้วออกมาจากห้อง ปิดประตูทั้งปิดผนึกอย่างแน่นหนา ใช้ดวงตาที่สาม มองตามการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 คนภายในห้องนี้ แล้วตามชายชาวเยอรมันออกไปจากห้อง
มันออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าการรอคอยไปเรื่อย ๆ
ลุคและจัสตินเป็นคนดี พยายามดึงพวกพ่อมดแม่มดให้อยู่ห่างจากคู่สามีภรรยาที่ร้านกาแฟ และไปอาละวาดห่างจากบ้านของผกา กับอัจฉรา แต่ในเมื่อบุคคลเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับโอเวน บรรดาสมุนของซอว์นีย์จึงวางดวงวิญญาณไว้ใกล้สถานที่ทั้ง 3 แห่งเพื่อคอยส่งข่าวหากบลูกลับมาที่นี่
แต่ยังมีอีกที่หนึ่ง ที่บลูไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ก็อย่างที่บอก ว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ
จัสตินเป็นผู้พิทักษ์ที่เดินทางไปทั่ว ทั้งร้านขายของเก่า โบสถ์ของสาธุคุณฌ็องส์ และร้านกาแฟของลุค แต่สุดท้ายแล้วเขาต้องกลับไปเซฟโซนของเขาเอง
บลูตามร่องรอยจัสตินอยู่ครึ่งวันจนมาถึงบ้านไม้ 2 ชั้นหลังเล็กที่อยู่นอกเมือง เงาของจัสตินที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันโปร่งใส เข้าไปในเขตรั้วบ้านหลังนี้
ลุคมีที่พักเป็นร้านกาแฟที่อยู่ในเขตเมืองเก่า บ้านของจัสตินหลังนี้ก็เป็นบ้านเก่าภายใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม ที่ต่างกันก็คือร้านกาแฟของลุคมีวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ามอง แต่ในรัศมี 200 เมตรของบ้านหลังนี้ ไม่มีวิญญาณแปลก ๆ แม้แต่ตนเดียว
บลูไม่เห็นว่า การวางเขตป้องกันไว้ 2 ชั้นของจัสตินจะดีกว่าการวางเขตป้องกันแค่ชั้นเดียวของลุคตรงไหน ดูจะระแวดระวังจนน่าสงสัยมากกว่าเดิม และเป็นการเสียพลังงานไปเปล่า ๆ
นกฮูกสีขาวสแกนดิเนเวีย เกาะกิ่งไม้ที่พ้นมาจากรั้วบ้าน แล้วเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้เขตที่จัสตินวางเขตป้องกัน ใช้ปีกแตะที่เขตป้องกัน
...ไม่มีประกายไฟ หรือแรงผลักกระเด็นออกมา แต่รู้สึกได้ถึงความยืดหยุ่นของผนังบาง ๆ ที่กั้นอยู่
“...เฮ้ ฉันอยู่หน้าบ้านนายแล้ว บอกลุคให้มาที่นี่ภายใน...ครึ่งชั่วโมง เพราะถ้านานกว่านี้ พวกที่ตามฉันอยู่อาจมาทัน...”
บลูเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาของบ้านอีกหลัง แฝงตัวอยู่ในมุมมืดที่สุด และให้ความรู้สึกว่าไม่สบายตัวที่สุด ดีที่ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บลูก็สัมผัสถึงการเคลื่อนที่ของลุคที่ใกล้เข้ามา
ตอนที่อยู่ในการต่อสู้ ไอพลังงานของลุคเป็นวาติกันของแท้ แต่ตอนนี้เป็นพลังงานแบบ ‘ลุค เมอร์ฟี’
เสียงของหัวใจที่กำลังเต้นแรงด้วยความร้อนใจ ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเมื่อมาถึงในระยะหนึ่ง บลูยังแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันเข้าไปในบ้าน และเมื่อจัสตินเปิดประตูบ้าน แสงสีขาวพุ่งผ่านมือเข้าไปในบ้านก่อน ทันทีที่ประตูปิดลงอีกครั้งชายหนุ่มในชุดขาว ดวงตาสีฟ้าก้าวออกมาจากมุมมืดที่สุดของบ้าน และพูดขึ้นทันที
“ปีศาจแมงมุม ตัวใหญ่อยู่กับเกรซ”
ทั้งลุคและจัสตินนิ่งเงียบ ขณะที่จัสตินหันไปมองทางอื่น
“พวกนายรู้แล้ว” บลูตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของลุค “นายบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ ให้ฉันไปซ่อนตัว แล้วทำไมนายไม่ช่วยเกรซ ปล่อยให้แมงมุมตัวนั้นมันควบคุมเกรซ”
“เราทำแล้ว” จัสตินบอกขณะที่จับข้อมือของบลูเพื่อให้ปล่อยลุค แต่ลุคกลับส่ายหน้าให้กับจัสติน
ชายชาวเยอรมันปล่อยมือ กลอกตาแล้วเดินไปรินน้ำดื่ม หันหลังให้กับทั้ง 2 คน
“นายทำอะไร แล้วทำไมแมงมุมตัวนั้นมันถึงได้อยู่กับเกรซ”
“เชสมีเครื่องราง” ลุคบอก
“ช่างหัวเชส! ฉันไม่สนใจ! ฉันถามถึงเกรซต่างหาก พวกที่มันต้องการตัวโอเวน มันไม่สนใจน้องของนายหรอก นายไม่เข้าใจหรือไง”
ลุคกอดคนที่กำลังร้อนใจไว้
“ใจเย็น ๆ คิดตามที่ฉันบอกนะ”
เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรง ไอร้อนที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตทำให้บลูไม่ได้ผลักอีกคนออกไป
คน ๆ นี้เลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้เพราะใคร...
“พวกมันควบคุม แต่จะไม่กลืนกิน” ลุคพยายามอธิบาย “พวกมันต้องการตัวประกัน เพื่อให้แน่ใจว่านายจะไม่เผาคาร่าไปก่อนที่มันจะได้สิ่งที่พวกมันต้องการ”
“แต่ฉันอยากให้นายไปช่วยเกรซ”
“เราต้องช่วยเกรซอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเอาคาร่าออกมาด้วย เพราะว่าเกรซกับคาร่าในเวลานี้มีความผูกพันกันมากกว่าที่เราคาดคิด ทั้งต้องไม่ให้พวกมันพบนายด้วย”
“ลุค เมอร์ฟี เพราะนายช้าอย่างนี้ พวกมันถึงได้เข้าถึงตัวเกรซ นายต้องไปช่วยเกรซออกมาก่อน”
การที่บลูยังคงเรียกชื่อเดิมในอดีต คือการปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้การเผาคาร่าในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าเดิม
“ตอนนี้ทั้งสองคนไม่ได้เป็นคาร่ากับเกรซที่แทบจะไม่เคยพูดคุยกัน พวกเธอคือผกากับเบสที่มีความผูกพันระหว่างแม่ลูก การที่พวกมันครอบงำและชักจูงผกาก่อน แล้วส่งผลมาถึงเบสคือคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องที่ฉันให้เครื่องรางคุ้มครองไว้กับข้าวโพดไม่ใช่แค่คุ้มครองข้าวโพดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะว่าข้าวโพดอยู่กับเบส เครื่องรางนั้นจะช่วยคุ้มครองทั้งสองคน”
“ไม่เข้าใจ”
จัสตินกลอกตาหนึ่งรอบให้กับความไม่พยายามทำความเข้าใจอะไรเลยของบลู
“ไม่อยากฟังเรื่องทางฝั่งนี้บ้างหรือไง” จัสตินถาม
“ไม่” บลูตอบทันที “เป้าหมายของฉันไม่ได้ครอบจักรวาลเหมือนพวกนาย ฉันต้องการแค่เผาคาร่า ฟอกซ์เท่านั้น”
“แต่ถ้านายเผาผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้ เบสก็จะกลายเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบ ถูกแมงมุมตัวนั้นกินในทันที” จัสตินเถียง “ทีนี้นายก็ต้องรอกันไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้ กว่าที่คาร่าจะกลับมาเกิดใหม่อีกรอบ เพื่อให้นายตามไปเผาเธอ เล่นเกมตามล่าวนไปวนมาไม่รู้จบ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ก็คือคราวนี้ถูกทำลายไปพร้อมกับน้องของนาย แล้วคาร่าก็จะกลับมาเกิดใหม่ โดยที่นายไม่สามารถเผาเธอได้อีกแล้ว”
“เพราะอะไรนายถึงคิดอย่างนี้” บลูหันไปหาจัสติน
“ก็เพราะลำดับเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไง”
“นั่นแหละ ทำไมนายถึงรู้ว่ามันคิดแบบนี้”
“ให้ตายเหอะ นายนี่มันเกินจะเยียวยาแล้วจริง ๆ” จัสตินรู้สึกอยากหักคอเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เต็มที
ลุคลูบแผ่นหลังบางเพื่อให้บลูใจเย็นลง พูดในสิ่งที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้งเพื่อให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน
การตามไปเผาคาร่าในครั้งนี้แตกต่าง และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียอีกหลายชีวิตไปด้วย บลูเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ถึงได้ไม่ไล่ตามหาคาร่าแล้วเผาเธอเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ยอมที่จะหลบหนี แล้วที่กลับมาก็เพราะเห็นว่ามีแมงมุมสีดำควบคุมเกรซอยู่
เมื่อเล่าเรื่องเดิม ๆ จบลงลุคก็ถาม “นายไปเจอเบสที่ไหน”
“ที่เกาะเล็ก ๆ ชื่ออิน หรือ จิน หรืออะไรสักอย่างคล้าย ๆ แบบนี้ ที่นั่นมีสุสานชาวไอริชอยู่ด้วย” ดวงตาสีฟ้าเหลือบตามองลุค “ฉันอยู่ที่สุสานนั้น”
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ “นั่งลงแล้วเล่าเรื่องเกาะนั้นกันตั้งแต่ต้นดีกว่า” จัสตินบอก การคุยกับคนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้นะ “เสียเวลาคุยกันอีกสักชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ก็ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือการที่พวกมันยังหานายไม่เจอ แต่ทั้งที่นายหนีไปตั้งไกลขนาดนั้น แล้วทำไมถึงได้ไปเจอกันได้”
เมื่ออยากให้เล่า บลูก็เล่า เรื่องราวของบลูในช่วงนานกว่าสองสัปดาห์มานี้ คือการที่ย้ายสถานที่หลบซ่อนแทบจะทุกวัน
“ฉันคิดว่า ฉันคือฝ่ายที่ถูกพวกมันตามล่า แต่เพราะนายย้ำหลายครั้งว่าให้หนี ฉันก็หนี แต่ว่าที่ผ่านมา ฉันไม่เคยต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้มาก่อนเลยนะ แบบที่เข้าไปอยู่ในบ้านร้างได้ยังไม่ทันข้ามคืนฉันก็ต้องรีบหนีออกมาในตอนรุ่งเช้าก็ยังมี มันเป็นการไล่ตามที่เหมือนกับว่าฉันมีสัญญาณบอกตำแหน่งติดอยู่ที่ข้อเท้า จนกระทั่งเมื่อคืนเดือนมืดฉันถึงได้ตามเรือลำหนึ่งออกไปกลางทะเลเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีพ่อมด หรือนายวิญญาณที่ไหนตามไปเจอ ที่เกาะนี้มีหมู่บ้านประมง แต่ตรงพื้นที่ด้านในของเกาะคือหมู่บ้านโบราณ วิญญาณที่นั่นเป็นพวกที่เดินทางมากับเรือ แต่เพราะมีปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่างก็มาปลูกบ้านอยู่ที่นี่แล้วก็ตายไป แต่อยู่ที่นั่นได้แค่ 2 คืนปรากฏว่าเกรซ กับเชสแล้วก็เพื่อนสนิทของเชสน่ะมาที่เกาะ”
“เพื่อนของ...ข้าวโพดน่ะหรือคนไหน”
“ชื่อนทีหรือทีอะไรเนี่ยแหละ”
เมื่ออีก 2 คนพยักหน้า บลูก็เล่าต่อ ว่าเห็นแมงมุมตัวใหญ่อยู่กับเบส ก็รีบออกมา
“มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” บลูสรุป “พวกมันตั้งใจที่จะทำให้ฉันเห็นว่า เกรซอยู่ในกำมือของพวกมันแล้ว”
“พวกมันเคยเห็นนายอยู่กับพวกเรา จากนั้นนายก็หายไป แล้วทางนี้ก็เปิดเกมสู้กับพวกพ่อมดไปทั่ว ยึดเครื่องรางได้เท่ากับทำงานหนึ่งปี พวกมันก็ต้องไปเร่งทางน้องของนายอยู่แล้ว” จัสตินเสียดสีลุคอย่างตรงไปตรงมา
ลุคส่ายหน้าให้กับ 2 คนที่พร้อมจะทะเลาะกันได้ทุกเมื่อ
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว นายก็ยิ่งไม่ควรเดินเข้าไปหา เพื่อให้พวกมันล้อมจับนาย”
“แต่ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะช่วยเกรซ”
“นายจะช่วยเบสและใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวนายเอง” ลุคย้ำ “ไม่ว่านายจะเผาคาร่าอีกสักกี่ครั้ง แต่เธอจะกลับมาใหม่ เกรซก็เหมือนกัน ไม่ว่าชาตินี้เธอจะจากไปด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่เธอจะกลับมาอีก แต่นายไม่เหมือนกัน”
ถ้าบลูถูกทำลาย ก็คือการทำลายโอเวนไปตลอดกาล ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากบลูถูกทำลาย ทั้งเบส และคนอื่น ๆ ก็จะไม่ปลอดภัยไปด้วย
บลูลูบหน้าแรง ๆ “ทำไมจู่ ๆพวกเราถึงได้ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันได้นะ”
“ขอเวลาอีก 3 วันได้ไหม” ลุคพยายามอีกครั้ง “ฉันคิดว่าแมงมุมตัวนั้น น่าจะเป็นปีศาจแมงมุมดำที่ชื่ออารันญ่า”
บลูเม้มริมฝีปากเมื่อพยายามคิดทบทวน
“รู้จักไหม” จัสตินถาม
“กำลังคิดอยู่ นายก็รู้ว่าฉันไม่ผูกมิตรทำความรู้จักกับใคร นอกจากฟังพวกวิญญาณคุยกัน แต่เหมือนจะเคยได้ยินใครพูดถึงชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว นานมาก แล้วก็ไม่ใช่ที่นี่ด้วย น่าจะเป็นแถว...” บลูหลับตานึกทบทวน “สุสาน หิมะ มีต้นสนสูงเสียดฟ้า...สวีเดน”
“ผกา เพิ่งกลับมาจากสวีเดน” ลุคบอก
“ฉันคิดว่า การตามล่าซอว์นีย์อยู่ที่นี่ไม่ถูกต้อง หากนายต้องการกำจัดพวกมันที่ต้นตอ นายต้องกลับไปยุโรป” บลูเสนอขึ้น “ถึงแม้ว่าทุกคนที่เราต้องการปกป้องจะอยู่ที่นี่ รวมถึงคนที่ฉันต้องการจะเผาด้วย แต่ถ้าเงื่อนไขของนายคือการกำจัดซอว์นีย์ให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ”
คนตาสีฟ้าหันไปมองทั้ง 2 คนที่หันไปมองหน้ากัน “ทำไม รีบ ๆ ไปจัดการให้ได้สักทีเหอะ ฉันอยากเผาคาร่าจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่เราไม่รู้ว่าคาร่าอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องแมงมุมดำอารันญ่า ก็ยังเป็นแค่การสันนิษฐาน หากไม่ใช่อารันญ่า เป็นแมงมุมดำตัวอื่นการคุ้มครองที่วางไว้ก็อาจไม่ได้ผล ที่สำคัญคือ หากเป็นอารันญ่าจริง ฉันก็อยากเจอมัน แล้วจัดการมันที่นี่”
แววตาของลุคแข็งกร้าวขึ้นเมื่อกล่าวถึงความตั้งใจ
“แมงมุมดำตัวนี้ เคยทำอะไรนายหรือ”
“อารันญ่า เป็นหนึ่งในสี่ของเฮ้นช์แมน เอ่อ คนสนิทของซอว์นีย์” อารันญ่าเป็นปีศาจแมงมุมดำ การเรียกว่าคนสนิทออกจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว
“โอย อะไรกันเนี่ย ตกลงแล้วอะไรเป็นตัวอะไรกันเนี่ย ข้าม ๆ ไปแล้วไปช่วยเบสเลยไม่ได้หรือไง”
จัสตินกลอกตามองเพดาน ขณะที่ลุคยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อให้บลูใจเย็นลง
“ซอว์นีย์ที่พวกเราเรียกมันว่าพ่อมด มีเฮ้นช์แมนอยู่ 4 คน คืออารันญ่าที่เป็นปีศาจแมงมุมดำ ไวเพอร์ซึ่งเป็นพ่อมดจากแอฟริกาที่ควบคุมพวกงูพิษ ดาร์ทพ่อมดพิษสีน้ำเงิน แล้วก็อูซุสเป็นพ่อมดตัวใหญ่เหมือนหมี”
บลูอ้าปากค้างลืมตัวหันไปรับนมอุ่นจากจัสตินทั้งกล่าวขอบใจ
“ตัวหนึ่งเป็นปีศาจ อีก 3 เป็นพ่อมดที่ถูกเวทย์มนตร์ของตัวเองกลืนกินงั้นหรือ”
“ใช่” ลุคย้ำ “เราพบเจอพวกพ่อมด แม่มด รวมถึงพวกนักเล่นแร่ที่นี่ในจำนวนที่มากจนผิดปกติ เหตุผลเดียวก็คือนาย พวกมันกำลังแข่งกันว่าใครจะพบนายก่อน แล้วการที่อารันญ่าที่เคยอยู่ในยุโรปมาปรากฎตัวที่นี่ทั้งเข้าควบคุมเบสแล้วแบบนี้ ไม่แน่ว่า ไวเพอร์ ดาร์ท แล้วก็อูซุส หรือแม้แต่ซอว์นีย์ก็อาจจะมาที่นี่แล้ว”
บลูนิ่งเงียบขณะที่จิบนมอุ่น
“เอาอย่างนี้ ฉันขอเวลา 3 วัน ตรวจสอบให้แน่ใจ ถ้าเป็นอารันญ่าจริง ๆ ฉันต้องการกำจัดมันก่อน แต่ถ้ามีคนอื่นมาด้วย พวกเราก็อาจต้องดึงพวกมันทั้งหมดกลับไปที่สวีเดน”
“ต้องทำวีซ่าไหม” จัสตินถามขึ้น
“เดี๋ยวนะ วีซ่าอะไร” บลูถาม
“เชงเก้นไง ลุคถือหนังสือเดินทางยูเคอยู่ ของฉันเยอรมัน ไม่ต้องขอวีซ่า”
บลูทำหน้างง ขณะที่ลุคส่ายหน้าก่อนที่จะอธิบาย “พวกเราหายตัวไม่ได้ เวลาจะข้ามแดนก็ต้องทำตามกฎหมาย”
“อะไรกันเนี่ย นอกจากจะมีศัตรูเป็นกองทัพ พวกนายก็ยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ต้องจัดการอีกล้านแปดเรื่อง ตกลงนอกจากฉันจะช่วยเกรซไม่ได้ ฉันยังต้องปล่อยให้คาร่าแก่ตายไปเองด้วยใช่ไหม”
“เอาเป็นว่า ยังไงก็ไปภายในวันสองวันนี้ไม่ได้น่ะแหละ เดี๋ยวให้ฌ็องส์ไปจัดการเรื่องการเดินทางให้” ลุคมีสีหน้าขอโทษ
บลูรู้สึกอยากคุ้มคลั่ง “ทำไมเรื่องเยอะขนาดนี้นะ”
จัสตินกระแทกเสียงในลำคอ แล้วหันไปหาลุค “ไหน ๆก็กลับมาบ้านแล้ว ฉันจะทำอาหารเที่ยง พวกนายกินอาหารก่อนแล้วค่อยไปพัก ค่ำค่อยออกไปใหม่ดีกว่า”
ลุคพยักหน้าแล้ว คว้าเสื้อหนังไปแขวนไว้แล้วหันมาถาม
“ว่าไง อยากไปล้างหน้าล้างตัวก่อนไหม จัสตินทำอาหารไม่นานหรอก แล้วที่นี่ก็เงียบมาก นายน่าจะนอนหลับสนิทไม่ตื่นมาปวดหัว”
บลูหันไปมองจัสติน “แต่ว่า...”
“นายต้องหลบหนีมาตลอดหลายวันไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มีโอกาสได้พักก็ควรจะพักสักหน่อย”
ผู้มีดวงตาสีฟ้าเดินตามลุคขึ้นมาที่ห้องชั้นบนทั้งที่ยังรู้สึกขัดใจ
ห้องนอนที่ลุคกำลังลดแสงสว่างในห้องนี้ให้เหลือน้อยที่สุด มีทั้งหนังสือและสิ่งของหลายอย่าง “พวกนายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ ของถึงได้มากขนาดนี้”
“นานกว่า 1 ปีแล้ว พอครบกำหนดฌ็องส์ก็ไปทำเรื่องขอต่อวีซ่าให้ พวกเราไม่ต้องทำอะไร”
บลูยกมือ “โชคดีชะมัดที่ฉันเป็นปีศาจ ไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้น”
ลุคส่ายหน้าแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตัวก่อน ขณะที่บลูเดินไปรอบห้องแล้วหยุดมองหนังสือปกหนังเดินขอบทองเล่มใหญ่ ตัวหนังสือภาษาอาหรับที่หน้าปกเป็นถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้า
การตามล่าแม่มดกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือ
...พวกซอว์นีย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
และบลูก็ไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนั้น
หนุ่มตัวเล็กหันไปมองสิ่งของที่วางอยู่บนชั้น ส่วนใหญ่คือดาบและอาวุธจำลอง แต่บลูรู้ว่าอาวุธเหล่านี้สามารถใช้งานได้จริง และมันคืออาวุธที่เจ้าของสามารถเรียกใช้จากที่ห่างไกลได้
เพียงแต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าพวก
กระดิ่งแก้วแบบที่มีด้ามจับ ทั้งตัวกระดิ่งจนถึงด้ามจับเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน และมี ‘สีเทาใส’ สีเดียวกับดวงตาชาวเยอรมันคนนั้น...
“...เฮ้ หลับอยู่หรือเปล่า คุยกันหน่อยสิ...”
เด็กผู้ชายตัวเล็กผมสีทอง ดวงตาสีเทาใสปรากฏตัวนั่งอยู่ข้างกระดิ่งแก้ว ชุดที่เด็กชายสวมใส่ยังเป็นชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล
บลูคลี่ยิ้ม เด็กผู้ชายคนนี้คือสาเหตุที่ทำให้จัสตินคุ้มครองบ้านหลังนี้อย่างแน่นหนา
...
ลุคเปิดประตูห้องน้ำออกมา มองเห็นแต่ด้านหลังของบลู
“อาบน้ำ ล้างหน้าสักหน่อยไหม แล้วเมื่อกี้จัสตินขึ้นมาหรือ”
“เปล่า” บลูหันมา
“เหมือนได้ยินนายกำลังคุยกับใคร”
“คุยกับใครล่ะ ฉันกำลังบ่นว่าห้องนี้มันรกมากต่างหาก”
ลุคมองตามคนที่เดินสวนไปเข้าห้องน้ำ แล้วหันไปมองตำแหน่งที่บลูยืนอยู่เมื่อครู่
กระดิ่งแก้วสีเทาใสใบนั้น
...
ในระหว่างมื้ออาหารบลูตั้งคำถามมากมายที่บ่งบอกว่า นกฮูกตาสีฟ้าตัวนี้จดจ่ออยู่แค่การแก้แค้นเป็นอย่างมาก จนแทบจะไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย
“ฉันไม่ได้เป็นนกฮูกที่ไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ฉันรู้จักไอ้พวกเอกสารหรืออะไรที่นายพูดกัน แค่ลืมไปว่าพวกนายต้องใช้มัน”
จัสตินรู้สึกขำเวลาที่เห็นสายตาของลุคเวลาที่มองเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เล่าเรื่อง แต่การที่ต้องอยู่ใกล้กับปีศาจในระยะไม่เกิน 3 เมตรแบบนี้ดูเป็นการทดสอบความอดทนที่มากเกินไปสักหน่อย
“ฉันคิดว่า พวกนายควรขึ้นไปพักข้างบน นอนหลับสักหลายชั่วโมง เพราะเรายังออกไปตอนนี้ไม่ได้”
เมื่อจัสตินบอก บลูก็ลุกขึ้นยืน พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบตัว
“มีอะไร ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“ถ้าออกไปตอนนี้น่ะมีแน่” จัสตินพยักหน้าใส่ลุค “พาเด็กน้อยของนายไปนอนได้แล้ว”
ลุคที่ไม่สามารถหุบยิ้มได้ ลุกขึ้นยืนและเดินนำขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยวนะ” บลูดึงมือลุคไว้ “ฉันไม่อยากนอนในห้องที่นายพาขึ้นไปครั้งแรก”
ลุคกับจัสตินหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าพาขึ้นไปที่ห้องนอนเล็กที่มีเบาะนอนแบบพับกับผ้าห่มวางอยู่ จัสตินตามขึ้นมาด้วยเพื่อขนผ้าห่มมาลดแสงในห้องนี้
ไม่เคยมีใครมาพักในห้องนี้ พวกเครื่องนอนในห้องนี้คือเครื่องนอนของจัสตินที่จะยกลงไปนอนที่ห้องข้างล่าง ในเวลาที่ลุคมาพักที่นี่
บลูยืนมองจัสตินแล้วหันไปมองทางห้องนอนอีกด้านของผนัง จนกระทั่งลุคหันมาถามว่าแสงสลัวระดับนี้พอหรือไม่
“พอแล้ว” บลูบอก แล้วหันไปหาจัสติน “นายไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา” บลูพูดแล้วเม้มริมฝีปากลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อให้จบ “การวางคาถาป้องกัน การทำให้ที่นี่เป็นเรื่องลึกลับมันยิ่งทำให้ที่นี่เป็นจุดสนใจ และทำให้เขาเป็นอันตราย”
จัสตินชะงัก เดินเข้ามาตบไหล่เบา ๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง
“เคยคุยกันเรื่องนี้แล้วใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า กอดไหล่บางพาให้ไปนอนพัก
จัสตินเข้าใจเรื่องอันตรายเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพิ่มการคุ้มครองมากขึ้นไปอีก
สำหรับจัสตินแล้ว กระดิ่งเงินใบนั้นเป็นมากกว่าเครื่องราง
“นี่”
“หืม”
“ใช้คาถากั้นเสียงและอะไรทุกอย่างในห้องนี้ได้ไหม ฉันไม่อยากให้เขาได้ยิน”
ลุคยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วหมุนเป็นวงกลม ทุกสรรพเสียงรอบตัวก็อยู่ห่างไกลออกไป
ชายหนุ่มไม่ได้ตัดห้องนี้ออกจากสภาพแวดล้อมทั้งหมด เพราะยังจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวรอบตัวเหมือนกับบลูที่ต้องเฝ้าระวังว่าจะมีศัตรูไล่ตามเข้ามาหรือไม่ การป้องกันเสียงจึงทำได้แค่ ‘หรี่’ เสียงในห้องนี้ และเสียงจากรอบตัวเท่านั้น
...ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...
บลูยักไหล่ขณะที่เดินไปนอน ส่วนลุคเดินตามมานั่งพิงฝาผนังห้อง เหยียดขา อีกคนก็ขยับตัวมานอนหนุนตัก ขอให้เล่าเรื่องของเฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ให้ฟังอีกครั้ง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่บ้านร้านกาแฟ บลูก็มักจะขอให้ลุคเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง และนั่นเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่บลูจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มีการซักถามและแสดงความเห็นที่น่าสนใจ คราวนี้ก็เหมือนกันที่บลูสรุปว่า
“ทุกคนต่างก็มีคนสำคัญที่ต้องการปกป้อง พวกมันก็เลยพยายามเข้าถึงคนสำคัญของพวกเราให้ได้ แต่สิ่งที่พวกมันไม่ได้เรียนรู้ก็คือ คนสำคัญเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และพยายามมากขึ้นที่จะปกป้องพวกเขา”
คนที่เล่าเรื่องก้มลงมาหาแล้วจูบ
...คนสำคัญที่อยากปกป้อง ทั้งที่เขาไม่ได้ต้องการให้ปกป้อง
มือเล็ก ๆ ตีที่ไหล่หนา “ฉันไม่ได้ให้นายกั้นเสียงเพื่อทำเรื่องนี้นะ”
แต่ลุคหัวเราะเบา ๆ จับให้บลูนอนหนุนหมอน ส่วนตัวเองเลื่อนลงมาคร่อมตัวแล้วจูบ มือใหญ่จับมือเล็กให้มาสัมผัสเหนือหัวใจ
ลุครู้ว่าบลูหลงใหลความมีชีวิต ลมหายใจอุ่นและกล้ามเนื้อหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ
แต่ความคิด ความรู้สึกที่สื่อผ่านดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นต่างหากที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตได้ชัดเจนที่สุด
“ลุค เมอร์ฟี คืนนี้ไปดูที่บ้านของคาร่ากันอีกสักรอบ ฉันรู้ว่ามันอาจเป็นกับดัก แต่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันรออยู่อย่างนี้ไม่ได้จริง ๆ”
“ฉันเคยไปสำรวจบ้านนั้นแล้ว และทำลายพวกเครื่องราง และสิ่งของที่มีวิญญาณติดตามมาด้วยไปหลายชิ้น หลังจากที่ผกาออกจากบ้านไปในคืนที่พวกเราไปที่คลินิกเถื่อน เธอก็ไม่ได้กลับมาอีก ส่วนแม่บ้านที่ชื่อกัลย์เธอถูกปีศาจครอบงำอยู่ ฉันจัดการปีศาจตัวนั้นไปแล้ว ตอนนี้ที่บ้านของผกาไม่มีใครอยู่แล้ว”
บลูขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่ลุคจับให้นอนหนุนแขน
ดวงตาสีฟ้าดูจะไม่พอใจอยู่หน่อย ๆ แต่แล้วก็ยอมตามใจ ลุคที่พอใจท่าทีนี้พลิกตัวตามลงมาจูบหน้าผาก
“บ้านที่ไม่มีคนอยู่ สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อน” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งลุค และบลู จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“ตอนนายเรียกฉันกลับมา ฉันกำลังจะไปสำรวจบ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง ถ้าไม่อยากรออยู่เฉย ๆ คืนนี้พวกเราไปด้วยกันก็ได้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ แล้วพวกเราไปสวีเดนด้วยกัน”
“ถ้าเราไปสวีเดน แล้วแมงมุมตัวนั้นมันจะทำอะไรเกรซไหม”
“คนที่พวกมันต้องการคือนาย ไม่ใช่เกรซหรือคาร่า”
“แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทำร้ายเกรซเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเราไปสวีเดน หรือเพื่องบังคับให้พวกเรากลับมาจากสวีเดน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็ต้องตรวจสอบว่าพวกมันรู้เรื่องที่พวกเราจะไปสวีเดนได้ยังไง”
“เออจริง” บลูขยับตัวกอดเอวหนาไว้ “ในเมื่อฉันยอมตามใจนายเรื่องที่นายจะไปกำจัดซอว์นีย์ก่อนให้ได้ นายก็ต้องรักษาสัญญาเรื่องที่จะช่วยเกรซให้ได้เหมือนกัน”
“แน่นอน”
...
(มีต่อครับ)