OWAZA
เริ่มเรื่อง
ยุโรปยุคกลาง
เมื่อยุคแห่งการไล่ล่าแม่มดมีความรุนแรงในระดับสูงสุด ในปี ค.ศ.1484 ศาสนจักรออกกฎหมายลงโทษผู้ที่ออกนอกรีตและฝักใฝ่ไสยศาสตร์ ทั้งออกหนังสือคู่มือล่าแม่มด รวบรวมวิธีการจับกุม ทรมาน และประหารเหล่าแม่มดทั้งหลาย หลายประเทศในยุโรปยึดถือหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางกำจัดแม่มดอยู่นานกว่า 200 ปี
ในปี ค.ศ.1610 เนเธอร์แลนด์ประกาศยุติการประหารแม่มด เมื่อล่วงเข้าศตวรรษที่ 17 การล่าแม่มดจึงลดความรุนแรงลง แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนผู้ที่ถูกประหารชีวิตเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็มีจำนวนหลายแสนคน เฉพาะในเยอรมนีมีจำนวนมากกว่า 100,000 คน ฝรั่งเศสกับแคว้นสกอตแลนด์มีจำนวนประมาณ 10,000 คน และแคว้นอังกฤษอีกมากกว่า 1,000 คน
ตอนที่ 1
ค.ศ.1597
หมู่บ้านร็อคไซด์ ชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทของเมืองเบ๊ตตี้ สกอตแลนด์
บ้านของครอบครัวไร้ท์ เป็นหนึ่งในบ้านไม่กี่หลังที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตชุมชน เพราะพวกเขามีอาชีพปลูกผัก ทั้งแบ่งขายจากสวน นำไปขายที่หมู่บ้าน และส่งให้กับพ่อค้าในเมือง
ในครอบครัวเล็ก ๆ นี้ ประกอบไปด้วย จอร์จที่เป็นบิดาและแอนนามารดา
โอเวนลูกชายและเกรซลูกสาว
ตอนที่โอเวนอายุได้ 5 ขวบเขาออกไปช่วยงานบิดาในสวน พบลูกนกฮูกตัวหนึ่งอยู่ในพุ่มไม้ ปีกของมันบาดเจ็บจึงนำมาใส่กรงและรักษาจนหายดี แต่เมื่อปล่อยออกมาจากกรงเจ้านกฮูกตัวนี้ก็ไม่ได้บินหนีไปไหน
ในตอนที่เก็บมา จอร์จบอกกับลูกชายว่านกฮูกตัวนี้คือนกฮูกหิมะสแกนดิเนเวีย
ขนสีขาว ปีกกว้าง ดวงตาสีฟ้ากลมโต เงียบขรึม และหากินในเวลากลางวัน
"แสดงว่าพลัดหลงจากครอบครัวน่ะสิ น่าสงสารจริง" แอนนาลูบปีกสีขาวเบา ๆ
"นกฮูกตัวนี้ตาสีฟ้า" โอเวนบอก "ชื่อบลูได้ไหมครับ"
เมื่อพ่อและแม่พยักหน้าเห็นด้วย เกรซซึ่งในตอนนั้นอายุเพียง 3 ขวบก็ถามต่อ
"บลูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ"
"เป็นตัวผู้" จอร์จชี้ที่ปีก "ตัวผู้จะสีขาวล้วนและตัวเล็ก ถ้าตัวเมียจะมีจุดสีน้ำตาล แล้วก็ตัวใหญ่กว่า"
“ถึงตอนนี้บลูจะตัวเล็กแต่บลูก็เป็นนกฮูกที่หล่อที่สุด เก่งที่สุดเข้มแข็งที่สุด" เกรซบอกและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี บลูก็ยังคงเป็นนกฮูกที่หล่อที่สุดในสายตาของเกรซเสมอ
บลูรักครอบครัวนี้มากเช่นกัน ตอนเล็ก ๆ ยังนอนอยู่ในห้องเดียวกับโอเวน หรือไม่ก็เกรซ แต่เมื่อตัวโตขึ้นก็เปลี่ยนออกมาเกาะขอนไม้นอกบ้าน
จอร์จบอกว่า “บลูเป็นนักล่า ก็ต้องเลี้ยงเขาแบบนักล่าเข้าใจไหม”
“ถ้าวันหนึ่ง พ่อหรือแม่ของบลูมารับไปแบบในนิทาน หนูคงคิดถึงบลูมาก” เกรซบอก
“แต่นั่นหมายความว่า บลูได้อยู่กับพ่อแม่ของเขาไงจ๊ะ” แอนนาบอกขณะที่ถักเปียให้ลูกสาว
เกรซพยักหน้า แล้วยื่นเม็ดถั่วให้นกฮูกตาสีฟ้า “เมื่อถึงตอนนั้น บลูก็ต้องคิดถึงฉันเหมือนกันนะ รู้ไหม“
บลูเป็นนกฮูกที่ไม่ชอบอยู่บ้าน มักจะตามจอร์จกับโอเวนออกไปอยู่ที่สวนด้วยเสมอ แต่ไม่เคยตามไปถึงตลาดเวลาที่ 2 คนพ่อลูกเอาผักไปส่ง บลูก็จะกลับมาเกาะขอนไม้อยู่หลังครัวคอยเป็นเพื่อนกับแอนนาและเกรซ
จอร์จอธิบายว่า บลูอาจคิดว่าตนเองมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองสาว ๆ ในระหว่างที่พ่อไม่อยู่ ซึ่งทุกคนก็เชื่ออย่างนั้นจนกระทั่งเช้าวันหนึ่งแอนนาพบซากหนู วางอยู่ที่หน้าประตูบ้าน โดยมีบลูยืนยืดคอท่าทางภูมิใจสุด ๆ อยู่ด้านข้าง
“พ่อจ๊ะ บลูกำลังอวดว่าเขาล่าหนูที่มากินผักในสวนได้ใช่ไหม”
“ก็คงอย่างนั้น”
แอนนาชมเชยนกแสนรู้ “บลู เก่งมากเลยจ้ะ”
หลังจากที่ได้รับคำชม ก็จะมีทั้งซากหนู และงูมาวางไว้ที่หน้าครัวเป็นระยะ
"บลู ขอบใจมากนะ ฉันรู้ว่าเธอเก่งมาก แต่เราไม่กินหนู และก็ไม่กินงูด้วย เธอเก็บไว้กินเองเถอะนะ" แอนนาบอก
บลูเอียงคอมองสาวงาม แล้วบินไปเกาะคบไม้หันหลังให้
"เกิดอะไรขึ้นคะแม่" เกรซได้ยินเสียงแม่พูดก็เลยเดินออกมาดูแล้วก็กลายเป็นหยุดชะงักมองซากหนูที่หน้าครัว "ถึงจะไม่ใช่ตัวแรกที่บลูเอามาฝาก แต่หนูก็ตกใจอยู่ดี"
แอนนาชี้มือบอกลูกสาว "เกรซดูสิ บลูกำลังงอนแม่"
เกรซเดินเลี่ยงซากหนูที่หน้าประตู เดินไปหาบลู
"บลู ขอบใจมากนะ ให้แม่จัดการของขวัญที่เธอเอามาให้ ระหว่างที่เราไปหาพ่อกับโอเวนกันดีไหม"
บลูหันมามองสาวน้อยแล้วบินลงมาเกาะไหล่
เกรซส่งสัญญาณมือให้แม่จัดการเรื่องที่หน้าประตู ขณะที่เธอเดินไปหาพ่อกับพี่ชายในสวน
"พ่อคะ พี่คะ ใกล้เที่ยงแล้วนะ กลับบ้านไปกินมื้อเที่ยงกันดีกว่า"
พ่อเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วเช็ดมือกับชายเสื้อ "ใกล้เที่ยงแล้วพาบลูออกมาทำไมล่ะลูกสาว บลูเป็นนกฮูกหิมะนะ เขาชอบอากาศเย็น"
"บลูกำลังงอนแม่อยู่ค่ะ"
บลูเปลี่ยนไปเกาะไหล่โอเวน ที่กำลังเก็บรวบรวมถังน้ำ
"ทำไมถึงงอนแม่ล่ะ"
"บลูเอาของขวัญมาให้แม่ แต่แม่ไม่รับน่ะ"
3 คนพ่อลูกหัวเราะ
โอเวนแกะเม็ดถั่วให้บลู "ผู้หญิงนี่ช่างไม่รู้ถึงความตั้งใจของผู้ชายอย่างเรา ๆเสียเลย"
บลูส่งเสียงตอบรับเบาก่อนที่จะก้มลงกินถั่วจากมือของโอเวน
"ผู้ชายนี่ช่างเข้าใจกันดีจริงนะ" เกรซค้อนทั้งพี่ชายทั้งบลูที่เข้ากันได้ดีกว่าเธอ
"ก็เพราะพวกผู้หญิงน่าเบื่อไงเนอะ อย่าไปสนใจเลย" โอเวนแกล้งน้องสาว
เกรซแกล้งคืนด้วยการสะบัดผมเปียใส่
“โหย อะไรกัน วิธีการตีคนแบบใหม่หรือไง คันชะมัด”
2 คนพี่น้องเดินไปพลางทะเลาะกันไปพลาง โดยมีพ่อเดินตามหลัง
“จะคันได้ไง ผมหนูน่ะสะอาดกว่ามือของพี่เสียอีก”
“จะสะอาดกว่าได้ไง พี่ล้างมือตลอดนะ”
“อี๋” เกรซชี้มือที่เต็มไปด้วยคราบดิน “แบบนี้น่ะนะ”
“แบบนี้แหละ”
พี่ชายพยายามจะคว้าจับผมเปียของน้องสาว ทำให้เกรซรีบวิ่งหนีไปซ่อนอยู่ข้างหลังของพ่อ พลางตะโกนฟ้อง จากนั้นก็รีบวิ่งนำเข้ามาในบ้านก่อน
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน บลูก็ผละจากไหล่ของโอเวนไปเกาะขอนไม้ที่จอร์จผูกไว้ให้ที่มุมห้อง
เวลาที่เข้ามาอยู่ในบ้านระดับเสียงของ 2 คนพี่น้องก็ลดลงไปด้วย
แม้นกฮูกสีขาว ดวงตาสีฟ้าจะหลับอยู่นิ่ง ๆ แต่ยังคงได้ยินเสียงพูดคุย และการเคลื่อนไหวทุกอย่างภายในบ้าน รอบบ้าน ครอบคลุมไปจนถึงแปลงผัก
โอเวนหันไปถามพ่อ “บลูได้ยินไกลไหมครับพ่อ”
“ก็ต้องไกลอยู่เหมือนกัน เพราะเขาเป็นนักล่า” พ่อบอกขณะที่ชี้ไปที่แม่
“อย่าเชียวนะ บลูยังงอนแม่อยู่” แม่รีบบอก
“ก็จริงนี่ครับ บลูอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้แม่ทั้งที”
แม่ส่งค้อนมาให้สามีกับลูกชาย แล้วตักซุบใส่ถ้วยมาวางไว้ให้ข้างหน้าพร้อมด้วยพายชิ้นใหญ่ “ช่างพูดกันจริงนะ พ่อลูก”
โอเวนหันไปหาน้องสาว “ว่าไงครับเจ้าหญิง ทำไมวันนี้ไม่กินพาย”
เกรซหัวเราะคิกคัก แล้วลุกไปหยิบพาย 2 ชิ้นที่มีขนาดเล็กกว่ามาจากเตาอบ
“หนูมีพายไก่ 2 ชิ้นด้วย”
“อะไรกัน” โอเวนร้องขึ้นมาทันที แต่พอมองเห็นขนาดของพายที่เล็กกว่ากันก็ถาม “อิ่มไหมเนี่ย”
“พี่โอเวน!” เกรซโวยวาย “พี่หยาบคายมาก!”
ในตอนเช้าตรู่โอเวนถือกล่องอาหารไปที่กระท่อมหลังเล็ก ทรุดโทรม ที่แทบไม่เคยมีใครในหมู่บ้านมาที่นี่
“คุณย่าครับ” โอเวนเคาะประตูกระท่อม ก่อนที่จะเดินเข้าไป
กระท่อมหลังนี้ไม่เคยปิดล็อก ช่องหน้าต่างก็ผุพัง เนื่องจากคุณย่ามาร์ธาเจ้าของบ้านมีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว หลังจากที่สามีเสียชีวิตไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อนเธอก็อาศัยอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด
แอนนาเคยเสนอให้จอร์จกับโอเวน 2 พ่อลูกมาช่วยซ่อมบ้านให้ แต่เธอก็ปฏิเสธ บอกว่ามีอายุมากแล้วอีกไม่นานก็คงออกเดินทางไปพบกับสามี จึงขอแค่มีที่พักที่พออยู่ได้เท่านั้น
“คุณย่าครับ ผมเอาอาหารมาให้ครับ”
มีเสียงกุกกักจากในห้องนอน ทำให้โอเวนผ่อนลมหายใจยาว
“ตื่นหรือยังเอ่ย”
เสียงหัวเราะอ่อนล้าดังมาจากในห้องนอน จากนั้นก็เป็นเสียงเปิดประตูออกมา
แม้มาร์ธาจะมีอายุมากและดวงตาก็ฝ้าฟาง แต่หากไม่สนใจเรื่องนั้นเธอจะดูเหมือนคนอายุ 60 เศษเท่านั้น
“ตื่นแล้ว ออกมาล้างหน้าแล้วรอบหนึ่ง พอกลับเข้าไปในห้อง เธอก็มาพอดี”
“จะกลับเข้าไปนอนต่อละสิ”
“เจ้าเด็กไม่น่ารัก รู้ทันจริงเชียว” หญิงชราหันไปทางอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ “อาหารเช้าหรือ บอกว่าไม่ต้องเตรียมมาให้ พวกเธอก็ยังเตรียมมา”
“ถ้าแม่ไม่เตรียมมาให้ แล้วคุณย่าจะกินอาหารเช้าไหมครับ” โอเวนรู้ทัน
“ฉันเกลียดเธอ เจ้าเด็กไม่น่ารัก รวมถึงพ่อกับแม่แล้วก็น้องสาวของเธอด้วย” มาร์ธากล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่เดินลากขาช้า ๆ ไปที่โต๊ะอาหาร
โอเวนจะเข้าไปพยุงแต่หญิงชรายกมือห้าม
“ฉันจะนั่งลง และกินมัน เพราะมันคืออาหารจากครอบครัวที่วุ่นวาย น่ารำคาญ แล้วช่วยเก็บจานอาหารของพวกเธอเมื่อวันก่อนกลับไปด้วย” หญิงชรานั่งลง “แล้วก็อย่ามาที่นี่บ่อยนัก ถึงฉันจะไม่ได้ออกไปพบกับใครที่ไหน แต่ก็พอจะรู้เรื่องการล่าแม่มดนั่น ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวที่ไม่น่ารักต้องเดือดร้อน”
โอเวนเดินไปหยิบจานที่ล้างสะอาด แต่ยังไม่กลับไป
“คุณย่าได้ยินเรื่องล่าแม่มดจากใครหรือครับ”
หญิงชราไม่ตอบ แต่ไล่ให้โอเวนกลับไป “ถ้าเธอไม่กลับไป ฉันก็จะไม่กินอาหารรสชาติไม่เอาไหนพวกนี้”
โอเวนกลอกตา
“ได้ครับ งั้นผมจะเก็บจานกลับไป แล้วบอกแม่ว่า อาหารของแม่อร่อยมาก คุณย่าทานหมดไม่เหลือเลย”
หญิงชราโบกมือไล่ให้โอเวนออกไปก่อน รอจนได้ยินเสียงประตูบ้านปิดลง เธอจึงลงมือกินอาหารนั้น
อีก 2 วันต่อมาจอร์จและโอเวน 2 คนพ่อลูกจะต้องเอาผักไปส่งที่ตลาด ขณะที่แอนนากับเกรซรับหน้าที่เฝ้าบ้านเหมือนเคย
เพราะข่าวเรื่องการไล่ล่าแม่มดที่ใกล้เข้ามาสร้างความกังวลให้กับทุกคนในหมู่บ้าน แม้ว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวส่วนใหญ่จะเป็นหญิงชราที่อยู่บ้านตามลำพัง หรือหญิงม่าย แต่จอร์จก็ยังคงเฝ้าระวังภรรยาและลูกสาว หากไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ยอมให้ทั้งคู่ออกจากบ้านอย่างเด็ดขาด
ลำพังเรื่องการสงสัยผู้ที่เป็นแม่มดนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่จอร์จรู้ดีว่า ยังมีผู้ที่ถูกจับกุมตัวไปอีกหลายคนไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่ส่อเค้าว่าจะเป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นเพราะการขัดผลประโยชน์บางอย่างกับผู้มีอำนาจจึงทำให้ถูกจับกุมตัวไปแล้วตั้งข้อกล่าวหาเป็นแม่มด ถูกทรมานจนต้องยอมรับสารภาพ และสุดท้ายคือการถูกเผาทั้งเป็น
ความหวาดกลัวถูกลงโทษอย่างไม่มีเหตุผลนั้น เป็นความหวาดกลัวที่รุนแรงกว่าการเผชิญหน้ากับแม่มดที่แท้จริงเสียอีก
2 คนพ่อลูกส่งผักเสร็จแล้วและกำลังเข็นรถเปล่าเดินกลับบ้าน รถม้าของเจ้าเมืองแล่นผ่านมา ทำให้ทุกคนบนถนนต้องหยุดให้รถม้าผ่านไปก่อน
ม่านหน้าต่างรถม้าเปิดออกขณะที่รถแล่นผ่าน
หญิงสาวดวงตาสีดำเข้มมอง 2 พ่อลูกจนเหลียวหลัง
“พ่อรู้จักเธอหรือครับ” โอเวนถาม
“คาร่า ฟอกซ์ ภริยาคนใหม่ของเจ้าเมืองไง”
“อ่อ...”
เวลานี้โอเวนอายุ 17 ปีแล้ว รู้จักคนมากมาย ทั้งหมู่บ้านนี้และละแวกใกล้เคียง และเคยได้ยินมาว่าไบรเดน เมอร์ฟี เจ้าเมืองเบ๊ตตี้ มีภริยาลับอยู่หลายคน โอเวนเคยเห็นสาวสวยเหล่านี้จากที่ไกล ๆ
อาจเพราะนี่เป็นเรื่องบันเทิงเพียงเรื่องเดียวในหมู่บ้าน มีตัวละครหลายตัว เรื่องราวซับซ้อน และช่างมีสีสันหลากหลาย แม้ว่าโอเวนจะจำชื่อตัวละครส่วนใหญ่ไม่ได้ และมากกว่าครึ่งหนึ่งก็ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน รวมถึงคาร่า ฟอกซ์คนที่นั่งรถม้าผ่านไปเมื่อครู่นี้ด้วย
เมื่อสักปีก่อนเคยมีข่าวที่ไม่มีการยืนยันว่า ภริยาลับคนหนึ่งของเจ้าเมืองที่มาจากอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นแม่มด ทุกคนในตลาดต่างไต่ถามกันว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ยังไม่ทันจะได้รู้ว่าตกลงเธอชื่อเบลหรือบาร์บาร่ากันแน่ เธอก็ถูกควบคุมตัวไปลงโทษแล้ว
และไม่มีใครได้ข่าวของเธออีกเลย
ส่วนเจนนิเฟอร์ภริยาของเจ้าเมือง คนที่ได้รับการรับรองจากศาสนจักรของเจ้าเมือง เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่ถึงเดือน ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนกลมคนนั้นก็สมรสภริยาใหม่แล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านให้ความสนใจกันมาก ตั้งแต่การที่เธอเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงได้รับการรับรองให้สมรสเร็วนัก
เจนนิเฟอร์ ภริยาผู้ล่วงลับของเจ้าเมืองมีลูกชาย 2 คน คนโตคือลุค อายุ 20 ปีกับเชส อายุ 19 ปี
ตั้งแต่ตอนที่แม่ของพวกเขาป่วยจนถึงพ่อสมรสใหม่ ทั้ง 2 คนไม่ได้อยู่บ้าน
โอเวนเคยเห็นบุตรชายของเจ้าเมืองทั้ง 2 คนมาแล้วหลายครั้ง คือในตอนที่พวกเขายังเด็ก เพราะว่าทั้งคู่ย้ายไปเรียนต่อที่เกาะอังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ นานเป็นปีถึงจะกลับบ้านสักครั้งหนึ่ง
ชั่วชีวิตของโอเวนไม่เคยไปไหนไกลว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมือง
โอเวนกับเกรซเรียกที่นั่นว่าปราสาท ซึ่งทำให้พ่อกับแม่หัวเราะให้กัน และบอกว่าปราสาทที่แท้จริงหลังใหญ่โตกว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองมากนัก ผู้คนมากมายแต่งตัวสวยงาม งานเลี้ยงหรูหราที่จะดำเนินไปข้ามวันข้ามคืน เป็นความร่ำรวยที่มากเกินกว่าชาวสวนผักอย่างเราจะจินตนาการได้
2 วันถัดมาขณะที่โอเวนกำลังถางหญ้าที่ขึ้นรกทางเดินเข้าบ้าน เด็กหนุ่มก็พบกับคาร่า ฟอกซ์คนนั้นอีกครั้ง ในรถม้าที่แล่นผ่านหน้าบ้านไป
แต่วันถัดมา เธอมาที่บ้านตามลำพัง
แม่กระซิบบอกให้ 2 คนพี่น้องออกไปอยู่ในสวนกับพ่อ จากนั้นเธอก็นั่งลงคุยกับคาร่า
“พ่อคะ ภริยาเจ้าเมืองมาหาแม่” สาวน้อยเกรซรีบไปบอกพ่อ
จอร์จสั่งให้ 2 คนพี่น้องช่วยกันรดน้ำผักต่อ และอย่าเพิ่งกลับเข้าบ้านจนกว่าพ่อจะมาเรียก จากนั้นพ่อก็เดินไปที่บ้านหลังเล็กของพวกเขา
บลูเกาะกิ่งไม้มองความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงจากที่ห่างไกล แล้วขยับซ่อนตัวอยู่ภายใต้กิ่งไม้ที่ทับซ้อนกัน
“ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ” เกรซบอก
โอเวนก็คิดอย่างนั้น “พวกเราช่วยกันทำงานเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีผักไปส่ง”
“พี่ไม่อยากรู้หรือ”
“อยากรู้สิ แต่ทั้งพ่อและแม่สั่งเราเหมือนกันแบบนี้ เราก็ควรเชื่อฟัง อีกอย่างพอภริยาเจ้าเมืองกลับไป เราค่อยถามพ่อกับแม่ก็ได้”
“แต่หนูอยากรู้ตอนนี้”
“ถ้าเราไปแอบฟังตอนนี้ แล้วเราจะรู้เรื่องไหมว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร เอาไว้ไปซักถามให้เข้าใจตอนหลังดีกว่า”
เกรซอยากรู้ แต่ก็ยอมคล้อยตามพี่ชาย “หนูว่าภริยาของเจ้าเมืองคนนี้ดูน่ากลัวมาก”
โอเวนรีบหันไปดุน้องสาวพลางเหลียวมองไปรอบตัว “อย่าพูดเสียงดังไป”
“ทำไมล่ะ หนูก็แค่บอกว่าน่ากลัว”
โอเวนดุน้องอีกครั้ง “อย่าพูดเสียงดัง” พี่ชายลดเสียงลงมาเป็นกระซิบ “พี่รู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร แต่เราพูดเรื่องนี้นอกบ้านไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะนี่เป็นเรื่องที่เราไม่มีหลักฐานไง”
น้องสาวทำหน้าตาไม่เข้าใจ โอเวนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงให้น้องสาวฟัง
เรื่องที่เริ่มขึ้นจากการโต้เถียงกันระหว่างผู้หญิง 2 คน คือลูซี่กับมอลลี่ ที่แย่งกันซื้อเครื่องประดับชิ้นเดียวกันในตลาด แต่ในการโต้เถียงกันในครั้งนั้น ทั้งคู่ต่างเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มด และต่างก็ยกเรื่องความแตกต่างจากคนอื่นมาพูดถึง สีผม สีตา ท่าทางในการเดิน ลูซี่บอกว่ามอลลี่เป็นแม่มดที่ดื่มเลือดแมว ขณะที่มอลลี่ก็ว่าลูซี่เลี้ยงภูตผีเป็นผู้รับใช้
“มันเป็นไปไม่ได้”
“ใช่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในครั้งถัดมาที่พี่เอาผักไปส่ง พ่อค้าในตลาดบอกว่าทั้งคู่ถูกจับตัวไปสอบสวน ว่าเป็นแม่มดอย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า”
“ก็ต้องไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่ทะเลาะกัน ก็พูดไปเรื่อย”
“ตอนแรกทั้งคู่ก็ยอมรับว่าพูดไปเรื่อย เจ้าหน้าที่จึงจะลงโทษ ฐานที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด พวกเขาก็เลยยืนยันว่าอีกคนหนึ่งเป็นแม่มดจริง ๆ”
และยังต้องถูกทรมาน กระทั่งยอมรับว่าตนเองเป็นแม่มด สุดท้ายคือถูกควบคุมตัวนำไปประหารด้วยการเผาที่หน้าเรือนจำนั่นเอง
เกรซเคยได้ยินเรื่องการจับกุมคนที่พอจะมีเบาะแสบางอย่างที่ทำให้น่าเชื่อว่าเป็นแม่มดจริง ๆ อย่างหญิงชราที่พักอยู่ตามลำพัง หรือไม่ก็เป็นคนที่ป่วยหนักแล้วจู่ ๆ ก็หายป่วย บางทีก็เป็นคนที่ท้าทายอำนาจของศาสนจักร แต่เรื่องของหญิงสาว 2 คนนี้ออกจะไร้เหตุผลอยู่มาก
“ไม่มีหลักฐานพยานอะไรเลย แค่คำพูดจากการทะเลาะกันก็เชื่อ”
หากเป็นในเขตเมืองใหญ่ผู้พิจารณาความผิดย่อมเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ที่นี่เป็นชนบท อำนาจจึงอยู่ที่เจ้าเมืองและนักบวช ซึ่งเห็นว่าการเอาใจผู้ปกครองจากส่วนกลางสำคัญกว่าชีวิตของชาวบ้าน ยิ่งหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแม่มด พวกเขาก็จะเลือกที่จะสรุปข้อสงสัยให้เร็วที่สุด
“พี่ได้ยินเรื่องการล่าแม่มดทุกครั้งที่เอาของไปส่งที่ตลาด หลายครั้งที่ชาวบ้านรู้ว่าคนที่ถูกจับไปก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนเรา แต่กลับถูกกล่าวหาด้วยสาเหตุที่มาจากการกลั่นแกล้งกัน ผลประโยชน์ แม้แต่ความหึงหวง ถึงต้องบอกเธอว่าอย่าได้พูดเสียงดังไป”
เกรซเป็นน้องสาวที่น่ารัก คือแก้วตาดวงใจของครอบครัว โอเวนที่รู้ข่าวร้ายมากมายข้างนอกจึงไม่อยากเล่าให้น้องสาวฟังเพราะไม่อยากให้หวาดกลัว และรู้สึกระแวง
เกรซเข้าใจ “กลัวว่า ถ้าพูดโดยไม่ระวัง แล้วจะทำให้เรื่องบานปลายแบบเรื่องลูซี่กับมอลลี่ใช่ไหม”
“ใช่” พี่ชายบอก “บางทีพ่อก็กังวลว่า เราปลูกผัก ค้าขายแล้วไปทำให้ใครเสียหายหรือเปล่า เขาอาจเขียนเรื่องร้องเรียนพวกเรากับทางเจ้าเมืองก็ได้”
น้องสาวส่ายหน้า “พวกเราปลูกผัก ขายผัก ส่งทั้งเงินทั้งผักให้เจ้าเมืองอยู่ตลอด หนูว่า เจ้าเมืองเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของพวกเราอยู่บ้าง” เกรซนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “พี่เคยเห็นภริยาเจ้าเมืองคนที่มาบ้านเราวันนี้ไหม”
“เคยเห็นตอนที่เขานั่งอยู่ในรถม้าผ่านไปน่ะ”
น้องสาวดูผิดหวัง “หนูคิดว่าพี่เคยเห็นเขาที่ปราสาทของเจ้าเมือง”
พี่ชายส่ายหน้า น้องสาวก็ชวนคุยต่อ “ลุค กับ เชส เมอร์ฟี ลูกชายของเจ้าเมืองกลับมาบ้างไหม”
โอเวนทำเสียงขึ้นจมูกก่อนตอบ “ถามถึงทำไม พวกเขาไม่กลับมาเมืองเล็ก ๆ แบบนี้หรอก”
สาวน้อยไม่ปิดบังความผิดหวัง “ถึงที่นี่จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เป็นบ้านเกิดของพวกเขานะ”
โอเวนทำหน้าตาล้อเลียนน้องสาว 2 คนพี่น้องคุยกันจนได้ยินเสียงรถม้าของภริยาคนใหม่ของเจ้าเมืองขับออกไปถึงได้ชวนกันกลับเข้าบ้าน
หลายวันถัดมาจอร์จกับโอเวนต้องเอาผักไปส่งที่คฤหาสน์ของเจ้าเมือง และพ่อแยกไปหาพ่อบ้านเพื่อจ่ายเงินค่าเช่าที่ปลูกผัก
เพราะที่ดินทั้งเมืองนี้เป็นของไบรเดน เมอร์ฟี ทุกคนถึงได้กลัวเขา
แต่นั่นมันคนละเรื่องกับลูกชายของเจ้าเมือง
โอเวนนั่งอยู่บนหลังรถส่งผักที่ตอนนี้ว่างเปล่า มองเห็น 2 คนพี่น้องที่ควบม้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารจากระยะไกล จากนั้นพวกทหารก็แยกไปทางคอกม้า แต่ 2 คนพี่น้องกลับควบม้ามาทางนี้
การย้ายจากชนบทไปอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“ไง โอเวน ไม่เจอกันหลายปี นายก็ยังเป็นเด็ก 7 ขวบอยู่เหมือนเดิม” เชสทัก
...ในบางเรื่องนะ เพราะเรื่องปากไม่ดี ก็ยังเหมือนเดิม
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เฮ้ พวกเราอายุมากกว่านายนะ อย่างน้อยก็น่าจะแสดงความเคารพกันบ้าง” เชสพูดยิ้ม ๆ
โอเวนมีสีหน้าเบื่อหน่าย “ไฮ ลุค และเชส เมอร์ฟี ลูกชายเจ้าเมืองเบ๊ตตี้ สบายดีไหม การใช้ชีวิตที่ลอนดอนเป็นอย่างไรบ้าง ฉันหวังว่านายจะสุขสบาย แล้วพวกนายมีธุระอะไรหรือถึงได้กลับมาที่นี่ ที่พวกนายตรงดิ่งมาตรงนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าฉันจอดรถส่งของนี่เกะกะนาย อย่างนั้นฉันจะเลื่อนมันไปทางอื่น...”
“โว้ว โอเวนน้อยของฉัน ใจเย็นหน่อย” ลุคที่มีท่าทีสุขุม จริงจังยังต้องร้องห้าม ขณะที่เชสหัวเราะสนุกสนานที่ถูกโอเวนกวนกลับไป
พี่น้องคู่นี้มันโรคจิต!
“มีอะไร”
เชสหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จนโอเวนอยากขว้างด้วยหัวผักกาดสักหัว ถ้ายังมีเหลืออยู่นะ
“ก็เห็นว่ายังรอจอร์จอยู่ไม่ใช่หรือไง ก็เลยเข้ามาทักทาย”
“ทักแล้วใช่ไหม ไปได้แล้ว”
เชสชี้หน้าทั้งที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าตัวเล็กนี่ยังซ่าเหมือนเดิม”
โอเวนไม่ได้เป็นคนตัวเล็ก ยิ่งเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้าน เขาจัดอยู่ในกลุ่มคนตัวสูงด้วยซ้ำ แต่ 2 คนพี่น้องคู่นี้ต่างหากที่สูงกว่า 6 ฟุตแล้ว
ถึงได้เด่นมาก รู้ว่าเป็นใครทั้งที่อยู่ตั้งไกล
“ไม่คิดว่าเราควรจะผูกมิตรพูดดีต่อกันไว้สักนิดหรือไง” เชสบอก
“นี่ก็ดีแล้วไง”
ลุคพยักหนัก “ยังไงรออยู่ที่นี่ก่อน มีของฝากให้นายกับน้องสาวด้วย แต่อยู่บนห้อง”
“ไม่เอาหรอก เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” โอเวนปฏิเสธทันที
2 คนพี่น้องที่กำลังอารมณ์ดีหยุดชะงัก
“มีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เราไม่อยู่หรือเปล่า” เชสถามขึ้น
โอเวนมอง 2 คนพี่น้อง “ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วไง”
“นายน่ะนะ เป็นผู้ใหญ่” เชสเถียง แต่พอหันไปเห็นว่า จอร์จเดินออกมาจากอาคารของพ่อบ้านก็หันมาบอกกับพี่ชาย
“ไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกัน”
จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปทางคอกม้า
ตัวเองก็มีเรื่องที่เป็นความลับ พูดไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
วันถัดมา 2 คนพี่น้องถือของฝากที่เป็นผ้าตัดชุดกระโปรงสำหรับแอนนา และเกรซมาให้ถึงที่บ้าน ส่วนจอร์จ ได้ยาสูบ 1 กล่อง ขณะที่โอเวนได้สร้อยคอแบบสั้น 1 เส้นพร้อมจี้ห้อยคอที่เป็นนกฮูกทำด้วยเงินแท้
เกรซตื่นเต้นที่เห็นสร้อยเส้นนี้ รีบร้องบอก “นี่ถ้าตัวกลม ๆ กว่านี้ก็จะบอกว่าเป็นบลูแล้วนะ”
ลุคกับเชสสงสัย เกรซก็เลยเปิดหน้าต่างบ้าน เรียกบลูให้มาหา เจ้านกฮูกสแกนดิเนเวียก็บินมาหาเกาะไหล่
“ตัวกลมขึ้นจริง ๆ ด้วย” เชสหัวเราะ
จอร์จพิจารณานกฮูกที่สร้อย “นี่น่าจะเป็นนกฮูกแบบที่อยู่นอกเกาะอังกฤษ พ่อเคยเห็นแต่ในหนังสือ”
“ก็พยายามจะหาที่เหมือนบลูที่สุดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าไม่มี อันนี้ใกล้เคียงที่สุดแล้ว” ลุคอธิบาย
ส่วนเชสพูดคุยกับบลู “กินแต่ถั่วจนตัวอ้วนกลมไปหมดแล้วบลู”
บลูส่งเสียงตอบรับต่ำ ๆ แต่เกรซไม่เห็นด้วย
“ไม่อ้วนสักหน่อย บลูหล่อมาก เก่งมากด้วย บางวันก็จับหนู บางวันก็จับงูมาให้แม่”
แอนนารีบห้าม “โอ้ย เกรซ อย่าเพิ่งชมมาก เดี๋ยวไปจับมาให้แม่อีก”
เชสยังพยายามจะเล่นกับบลู “บลู มาเกาะเราได้ไหม”
“ไม่ได้ บลูเป็นเพื่อนหนูก็ต้องอยู่กับหนูสิ” เกรซหวง
ระหว่างที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจบลู ลุคก็เดินไปหยิบสร้อยคอจากมือของโอเวนแล้วสวมให้
“ทำไมถึงซื้อสร้อยมาให้ฉัน” หนุ่มตัวเล็กถาม
ลุคยิ้ม “เพราะฉันคิดว่าสร้อยนี้เหมาะกับนายมาก” ดวงตาสีเข้มมองมือที่จับจี้รูปนกฮูกขึ้นมาดู “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมื่อวันก่อนนายถึงพูดอย่างนั้นกับฉัน”
โอเวนทำหน้ามุ่ย “นี่ถึงกับต้องตามมาถามถึงบ้านเลยหรือ”
“ถึงไม่มีคำถามนี้ ฉันก็ต้องเอาของฝากมาให้นายที่บ้านอยู่แล้ว”
“โอเค ฉันชอบมัน”
“โอเวน”
โอเวนกลอกตา “ฉันแค่เบื่อ รำคาญที่จะต้องตอบคำถามของนาย”
“อย่างนั้นนายก็เป็นฝ่ายถามฉันสิ ฉันอยากตอบ”
ขณะที่ลุคไม่ได้สนใจความผิดปกติรอบตัว แต่โอเวนสนใจ และหันไปมองทุกคนในบ้านที่หยุดคุยกัน ทั้งหันมามองทางนี้
“ไม่มีคำถาม”
“พี่เกเร” เกรซช่วยบอก
โอเวนรู้สึกขอบใจน้องสาวที่ช่วยพาผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ แต่พอลุคและเชสจะกลับไป ลุคก็ยังกระซิบถามโอเวนอีกครั้ง
“ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับนายใช่ไหม”
“ไม่มีหรอก”
เป็นคำตอบที่อย่าว่าแต่ลุคจะไม่เชื่อเลย โอเวนก็ยังไม่เชื่อคำตอบของตนเองเหมือนกัน
หลังจากที่ 2 คนพี่น้องกลับไปแล้วโอเวนจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้ยังปฏิเสธไม่รับของฝากของพวกเขาอยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับได้รับของฝากมากมาย
เราสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็แค่เคยเห็นพวกเขาที่คฤหาสน์บ้าง ในเมืองบ้าง ที่โบสถ์บ้างในตอนที่ยังเป็นเด็กก่อนที่เขาจะไปเรียนที่ลอนดอน ตอนที่พวกเขากลับมาบ้าน ตอนที่พวกเขามาหาที่บ้าน
เห็นไหมว่าไม่ค่อยได้เจอกัน แล้วก็ไม่สนิทกันด้วย
(มีต่อครับ)