ตอน 11 หงุดหงิด
“แค่อยากรู้รังเกียจกันไหม ขอให้มันอย่าเป็นแบบนั้นเลย
อยากได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคย อยากเจอเธอคนเดิมที่เคยได้เจอในเมื่อวาน
หากพรุ่งนี้ทุกอย่างหมุนไป ฉันนึงจะยืนตรงที่เก่า
อยู่เพื่อบอกเธอ คำที่ค้างใจ ต่อให้มันจะไม่มีวันเป็นจริงเลยก็ตาม
อยากให้รู้ว่ารักเธอ...”
ผมฮัมเพลงนี้ระหว่างอาบน้ำแต่งตัวในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ หลังจากที่รู้สึกว่าเนื้อเพลงมันลอยขึ้นมาในหัวได้ไงไม่รู้ ผมก็เลยเปิดฟังจาก Youtube จากนั้นก็ฟังวนไปวนมาทั้งวัน เพราะผมเป็นคนประเภทชอบเพลงไหนแล้วก็จะฟังซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเบื่อ จากที่เคยฟังเพลงนี้แบบผ่านๆ เมื่อก่อนหน้านี้ มาตอนนี้ร้องได้ไม่ผิดสักคำเลยครับ
เผลอแป้บเดียวก็เป็นวันหยุดอีกแล้ว รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก อาจจะเพราะสัปดาห์ที่ผ่านมางานผมค่อนข้างยุ่งด้วยมั้งครับ จะว่าไปแล้วผมไม่ได้เจอไอ้ปกติมาเกือบอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่วันที่ผมไปกินชาบูกับมันวันนั้น มันก็เงียบหายไป หายไปจากทั้งไลน์ ไอจี แล้วก็ที่ก๊วนแบดที่มันเคยมาตีกับผมและไอ้ปังด้วย ไม่รู้เป็นบ้าอะไรของมัน เดี๋ยวก็โผล่มาเดี๋ยวก็หายไปซะเฉยๆ ทำอะไรไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลยว่าเค้าจะรู้สึกยังไง คิดแล้วมันน่าโมโหชะมัด
นี่ผมนึกถึงมันทีไรเป็นต้องหงุดหงิดใจทุกที ...
“สวัสดีครับแม่” ผมรับสายจากแม่ผมที่โทรมาตอนผมเดินออกจากห้องน้ำพอดี
[ภู หยุดยาวสิ้นเดือนนี้ น้องจะปิ๊กบ้านก่อ]
(ภู ลูกจะกลับบ้านช่วงวันหยุดยาวตอนปลายเดือนไหมลูก) เสียงหวานๆ จากคุณแม่โทรมาถามข่าวคราว หลังจากที่ผมไม่ได้กลับบ้านที่ลำปางมาร่วม 2 เดือน
“ปิ๊กก่ะ น้องกึ๊ดเติงหาแม่ขนาด ไค่อยากหื้อถึงวันหยุดโวยโวย บ่าอยากไปยะก๋านละ ไค่อยากปิ๊กไปหาแม่วันพูกเลย”
(กลับครับแม่ คิดถึงแม่จะแย่อยู่แล้ว นี่อยากจะให้ถึงวันหยุดไวๆ ไม่อยากไปทำงานแล้ว ไปหาแม่พรุ่งนี้เลยได้มั้ยอ่ะครับ)
เจอลูกอ้อนจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแบบนี้ ดูดิ๊ว่าแม่ผมจะตอบว่าไง
[บ่าได้หนะน้อง กว่าจะเข้าไปยะก๋านตี้นี่ได้ น้องจะมาเถลไถลได้จะได ต้องตั้งใจ๋ยะก๋านหื้อเต๋มตี้ หื้อสมกับตี้เปิ้นจ้างเฮาก่ะน้อง]
(ไม่ได้สิลูก กว่าจะเข้าทำงานที่บริษัทนี้ได้ แล้วลูกจะเถลไถลได้ยังไง ต้องตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ให้สมกับที่เค้าจ้างเราสิลูก)
นั่นไง ไม่ต่างจากตอนสมัยเรียน ที่ถ้าผมทำตัวงอแงออดอ้อนขี้เกียจไปโรงเรียนเมื่อไร แม่ผมเป็นต้องพูดจริงจังแบบนี้ตลอด
“น้องล้อเล่นบ่าดาย จะไปโดดงานได้จะได ยะก๋านแหมสองติ๊ดก่อได้หยุดแล้ว แม่รอน้องหน่อยเน่อ ปิ๊กไปจะกอดฮื่อแน่นๆเลย”
(ล้อเล่นคร้าบ ภูจะโดดงานไปได้ยังไง ทำอีกสองสัปดาห์ก็ได้หยุดแล้ว แม่รอภูหน่อยน๊า กลับไปจะกอดให้แน่นเลย)
[ดีละ จะไดมาวันไหนก่อบอกแม่ก่อนเน่อ จะได้แป๋งกับข้าวลำลำไว้กอย]
(ดีแล้วจ้ะลูก ยังไงจะมาถึงวันไหนก็บอกแม่ล่วงหน้าด้วยนะลูก แม่จะได้ทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอ)
“ครับแม่ จะไดน้องไปเซาะอะหยังกิ๋นก่อน แล้วคืนนี้จะโทรหาแหมกำ ฮักแม่เน่อ”
(คร้าบแม่ งั้นเดี๋ยวภูไปหาอะไรกินก่อน แล้วไว้คืนนี้ภูโทรหาใหม่ รักแม่นะครับ)
[จ้า แม่ก่อฮักน้องเน่อ]
(จ้า แม่ก็รักลูก)
ผมวางสายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังเจืออยู่ที่มุมปาก โลกนี้ใครจะน่ารักเท่าแม่ของผมคงไม่มีแล้วล่ะครับ คิดแล้วก็อยากกลับไปเยี่ยมบ้านไวๆ คิดถึงอากาศเย็นสบายกับสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยผักสวนครัวของแม่ จักรยานคันเก่าที่ผมเอาไว้ถีบไปตลาดหน้าปากซอย แล้วก็เจ้าแต๊ หมาบางแก้วที่แม่ผมเลี้ยงไว้ตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนมันค่อนข้างคุ้นเคยกับคน ไม่ดุเหมือนบางแก้วตัวอื่นๆ ตอนผมไม่อยู่แม่ก็น่าจะมีเจ้าแต๊นี่แหละเป็นเพื่อนคลายเหงา
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาข้างหน้าคอนโด จุดมุ่งหมายคือร้านกาแฟร้านเดิม ที่ผมต้องไปแฝงตัวแทบจะทุกวันหยุด วันนี้ผมคิดว่าจะนั่งแช่นานๆ แล้วเย็นๆ ค่อยกลับมาที่ห้อง เลยแต่งตัวแบบสบายๆ ขั้นสุด คือเสื้อยืดย้วยตัวเก่ากับกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ผมที่สระมาก็ยังไม่แห้งเลยครับ แถมตอนนี้ผมหน้าม้าก็เริ่มยาวลงมาปิดคิ้วแล้ว โชคดีนะครับที่ผมเป็นคนผิวหน้าไม่มีสิว เลยอาจจะไม่ได้ดูโทรมมาก
พอเดินเข้ามาในร้านก็ผิดคาดนิดหน่อยครับ วันนี้คนไม่ค่อยเยอะมาก จากที่ทุกวันเสาร์อาทิตย์นั้นจะหาโต๊ะนั่งยากพอสมควร หลังจากที่ผมสั่งกาแฟเสร็จผมก็มองหาโต๊ะที่เหมาะกับการแฝงตัวแบบยาวๆ แล้วผมก็เหลือบไปเห็น...
ไอ้ปกติ...
ไอ้คนที่ทำให้ผมหงุดหงิดใจทุกครั้งที่นึกถึง คนที่อยู่ๆ ก็หายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
มันนั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน กับแมคบุคเครื่องเล็กเสียบสายหูฟังสีขาว มันนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงร้านเหมือนกับว่าไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ผมเลยเลือกที่จะไปนั่งอีกมุมหนึ่ง เพราะคิดว่า ในเมื่อมันเลือกที่จะหายหน้าไปจากผม ก็คงไม่ได้มีเรื่องไรจะต้องคุยกัน จากที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว
ผมวางของลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่มุมอีกด้านหนึ่งของร้าน พร้อมกับหมายเลขออร์เดอร์เพื่อรอพนักงานของทางร้านมาเสริฟกาแฟให้ ระหว่างนั้นผมก็หยิบการ์ตูนที่ถือติดมือขึ้นมาอ่าน แต่ตัวหนังสือต่างๆ ในเล่มที่ผ่านสายตานั้น มันไม่เข้าหัวผมเลยสักตัว เพราะมันเต็มไปด้วยหน้าของไอ้ปกติที่ลอยมาเต็มหัว พร้อมกับคำถามที่ตามมาว่า ทำไมมันถึงหายไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มันทั้งขอไลน์ผม ส่งเพลงให้ผม ตามมาตีแบดกับผม ตามผมไปเดินห้าง แล้วผ่านมาไม่กี่วัน ก็ทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกับผมซะงั้น ผมคิดวนไปวนมาทั้งที่ไม่อยากจะคิด แต่ก็เอาออกจากหัวไม่ได้สักที ไม่น่ามาเจอมันเลยครับ
ไหนว่าจะจีบไม่ใช่เหรอวะ...
หลังจากที่พนักงานมาเสริฟกาแฟให้ ผมก็พยายามโฟกัสกับหนังสือการ์ตูนอีกครั้ง นี่ผมอ่านมาจนถึงเล่มที่ 12 แล้ว เนื้อหากำลังสนุกเลย ผมต้องอินไปกับมันสิครับ
“อ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกันเลยนะครับ” อ่านไปได้สามตอน เสียงหนึ่งก็ทักขึ้น ทำลายสมาธิในการอ่านของผมอีกครั้ง
ผมลดหนังสือการ์ตูนลงให้พ้นจากระดับสายตา เพื่อมองหาที่มาของเสียง ปรากฏว่าเป็นผู้ชายโต๊ะข้างๆ มันกำลังส่งยิ้มให้ผม ฟันสวยๆ ของมันไม่อาจทำให้ผมรู้สึกอยากคุยกับมันได้หรอกครับ ผมเลยตอบไปแบบส่งๆ
“อ่อ ครับผม” แล้วก็ทำท่าจะยกการ์ตูนขึ้นมาอ่านต่อ
“แล้ว...มานั่งคนเดียวเหรอครับ” ตอนนี้ผมเริ่มเดาได้ละครับ ว่าที่มันมาทักผมเนี่ย คงไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผมเคยเจอมาแน่ๆ
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ
“งั้นผมขอนั่งด้วยได้ไหมครับ พอดีเห็นคนมองหาโต๊ะหลายคน แล้วไม่มีโต๊ะว่างเลย ผมก็มาคนเดียว คุณก็มาคนเดียว จะได้แบ่งโต๊ะให้คนอื่นนั่งด้วย ดีไหมครับ” เอาแล้วไง ไม่น่าจะเดาไปทางอื่นได้ ไอ้หมอนี่มามุกขายขนมจีบชัวร์ๆ เหตุการณ์คล้ายกับที่ร้าน KFC เมื่อตอนนั้นเลยครับ แล้วถึงจะบอกว่าผมชินหรือเจอมาตลอดตั้งแต่มัธยม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกดีใจเลยสักนิด รวมถึงครั้งนี้ด้วย
ตอนนี้ผมยังไม่ตอบอะไร แต่ทอดสายตามองไปทั่วๆ ร้าน คนเริ่มเยอะตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่แน่ใจ แต่โต๊ะว่างในร้านไม่มีแล้วจริงๆ ด้วยครับ
“ถ้าไม่ตอบ ถือว่าได้...นะครับ” บ๊ะ ไอ้นี่ก็ตื๊อไม่เลิก แถมยังเอามือรวบรวมข้าวของเตรียมตัวจะลุกมานั่งกับผมทันที นี่ผมอยากมานั่งชิวคนเดียวนะเว้ยเห้ย
แหมะ!! ไอ้หมอนี่ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผมซะแล้ว ท่าทางมันยิ้มร่าเลยตอนนี้
“อ่านไวนะครับ เล่ม 12 แล้วเหรอ ผมเพิ่งอ่านถึงเล่ม 10 เอง เนื้อเรื่องไปถึงไหนแล้วอ่ะครับ เล่าให้ฟังมั่งได้ป่าว” แค่ย้ายมานั่งด้วยผมก็ปวดหัวแล้วครับ นี่ยังจะมาชวนผมคุยเรื่องการ์ตูนที่ผมอ่านอยู่อีก แล้วผมไม่ตอบได้ไหมครับเนี่ย ตอนนี้แก้วกาแฟในมือผมเริ่มจะสั่นด้วยความรำคาญซะแล้วครับ
“ก็สนุกดี ลองอ่านไปเรื่อยๆ ดูแล้วกันครับ” ผมตอบกลับไปแบบส่งๆ พร้อมกับรอยยิ้มแบบเฝือๆ ตั้งใจจะให้อีกฝ่ายรู้ว่า ผมไม่ได้อยากคุยด้วยเท่าไร แค่แชร์โต๊ะกันนี่ก็เต็มที่แล้ว
ลองมานึกดู นี่ผมดูเป็นคนที่ไม่ค่อยน่าเกรงใจหรือเปล่า ใครอยากจะมาคุย ใครอยากจะมานั่งกับผม ก็ทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายไปหมด ถึงจุดประสงค์อยากจะเข้ามาจีบหรืออะไรก็ตาม อันนี้ถึงผมจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจซะทีเดียว แต่อย่างน้อย ถ้าดูท่าทีผมออกว่าผมไม่ได้อยากคุยด้วย ก็น่าจะให้เกียรติผมสักหน่อยไหม เพราะผมเองก็เป็นคนแบบนั้น ถ้ารู้ว่าใครไม่อยากคุย ไม่อยากติดต่อ หรืออยากจะหายไปจากชีวิต ผมก็จะไม่ทำให้เค้าลำบากใจแน่ๆ ...
“เนี่ยๆ ไอ้ตัวร้ายตัวเนี้ย อ่านแล้วโคตรหงุดหงิดเลยนะครับ ฆ่าเท่าไรก็ไม่ตาย อะไรแม่งจะเก่งขนาดนั้น”
โอยยย...ยอมใจเลยครับ ไอ้คนตรงข้ามนี่ชวนผมคุยไม่เลิกจริงๆ ขนาดผมถือหนังสือการ์ตูนปิดหน้าแล้วนะครับ ผมลดหนังสือการ์ตูนลงจากระดับสายตาอีกครั้ง ตอนนี้สายตาผมอาจจะเริ่มแสดงอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“ครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนแล้วกันครับ” แต่ก็คิดได้ว่า ถ้ามันไม่ยอมเลิกคุย ผมแค่เดินหนีก็จบ นั่งต่อไปอารมณ์ชิวของผมวันนี้น่าจะกลายเป็นอารมณ์ไม่ดีแทน
ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะพร้อมกับถือแก้วกาแฟแล้วหันตัวออกมาจากโต๊ะกาแฟอย่างไว คิดในใจว่า ถ้าไม่มีโต๊ะว่างโต๊ะอื่นให้ผมนั่ง ผมก็คงกลับไปนอนอยู่ที่ห้องแทน
ตุ้บบ!! ระหว่างที่หันตัวออกมานั้น ผมชนกับใครคนหนึ่งเข้า แก้วกาแฟในมือผมกระแทกหน้าอกเค้าอย่างจัง จนมันตกลงไปกระจายอยู่บนพื้น เรียกสายตาคนทั่วร้านได้ดีทีเดียวครับ มีเรื่องให้อายอีกแล้วผม
“ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าจากแก้วกาแฟบนพื้นขึ้นมามองคนที่ชนกับผม “ไอ้ปกติ!!”
“ภู” มันเองก็ดูอึ้งไม่แพ้ผม
“เอ่อ โทษที เราไม่ทันมอง เดี๋ยวเราเอากระดาษเช็ดให้” ผมดึงสติกลับมา ตอนนี้ต้องหากระดาษมาเช็ดกางเกงที่เปื้อนกาแฟของผมให้มันก่อน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปล้างที่ห้องน้ำก็ได้” พูดจบแล้วมันก็เดินไปทางห้องน้ำอย่างไว ผมเหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าใบสีขาวของมันเปื้อนคราบกาแฟอยู่หลายจุด คงจะอยากรีบล้างออกแน่ๆ
...เห้ออออ สร้างเรื่องอีกแล้วสิผมเนี่ย คิดแล้วผมเลยเดินตามมันไปที่ห้องน้ำ
พอไปถึงผมก็เห็นไอ้ปกติมันกำลังถอดรองเท้า แล้วเอาน้ำพยายามถูๆ ส่วนที่เปื้อนคราบกาแฟออก แต่ดูแล้วไม่ค่อยจะจางลงไปเท่าไรนัก
“ออกไหมอ่ะ” ผมถามมันด้วยความรู้สึกผิด
“ก็น่าจะออกแหละ มั้ง” มันตอบผมสั้นๆ แต่มือมันยังคงพยายามเช็ดคราบกาแฟต่อไป
“เราเอาไปซักให้ไหมอ่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“เราเป็นคนทำเปื้อน เราอยากรับผิดชอบ”
“บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเช็ดไม่ออกก็เอากลับไปซักที่บ้าน เดี๋ยวก็ออก”
“ปกติ...”
มันหยุดถูรอยเปื้อนที่รองเท้า แล้วหันมามองผม
“เรา...ขอโทษ” ถึงคำนี้จะออกมาจากปากผมยากสักหน่อย แต่ผมก็คิดว่าเวลานี้มันสมควรต้องพูดแล้ว เพราะถ้าเป็นผม แล้วมีคนมาทำรองเท้าเปื้อนแบบนี้ แถมเป็นรองเท้าสีขาวซะด้วย ก็คงต้องไม่พอใจบ้างแหละ
“…” ไอ้ปกติไม่มีคำตอบอะไรกลับมา มันมองมาที่ผมอยู่สักสองวินาทีเห็นจะได้ ก่อนที่มันจะวางรองเท้าลง แล้วใส่ไปทั้งที่รอยเปื้อนยังคงอยู่ จากนั้นมันก็เดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมแม้แต่คำเดียว
“อ้าว ไอ้ปกติ เดี๋ยวก่อนดิ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา ผมเห็นมันก้าวขาฉับๆ เดินกลับเข้าไปในร้าน ตอนนั้นผมเริ่มหัวร้อนขึ้นมานิดๆ แต่ก็ไม่ได้เดินตามมันไป ยังคงยืนงงว่ามันเป็นอะไรของมันกันแน่ นี่ผมก็พูดกับมันดีๆ แล้วนะครับ ทำเปื้อนก็จะเอาไปซักให้ มันก็ไม่ยอม แถมยังเดินหนีผมไปแบบนี้
…………..แม่ง ทำผมหงุดหงิดโคตรๆ เลยครับ!!
“ฮัลโหล ไอ้ปัง มึงอยู่ไหนวะ”
“กูอยู่บ้าน มีไรวะเพื่อน” เสียงเพื่อนสนิทผมรับสายแบบอารมณ์ดี
“วันนี้กูอยากกินเหล้า มึงไปกับกูนะ!!”
…
…
…
มีต่อด้านล่างครับ