PART FHOON
วันศุกร์ตอนเช้า ผมถูกบังคับให้ตื่นแต่เช้าด้วยความเต็มใจทั้งที่ไม่มีสอบแท้ๆ ไปติดบ่วงในห้องเย็นอีกทีก็วันอาทิตย์เลย ผมเดินง่วงๆ ไปที่ห้องน้ำเพื่อแปรงฟันและจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน เพื่อที่จะช่วยขนของและหิ้วไปส่งทีมที่รถ...จังหวัดเลยอยู่ค่อนข้างไกลทำให้คณะทำงานของค่ายอาสาต้องรีบออกกันแต่เช้าตรู่ ทีมเองก็โดนร่างแหไปด้วย เพราะจะให้เอารถมินิสุดสวยของมันไปถึงเลยก็กระไรอยู่ อาจโดนสิบล้อบดเอาได้
ทีมเคยบอกว่าพี่ไกด์เสนอให้นั่งเครื่องบินไปทางเหนือก่อนแล้วค่อยต่อรถไปที่จังหวัดเลยอีกที...แต่ขอโทษ ได้ข่าวว่าจะไปค่ายอาสากัน ไม่บ้าก็บ้าแล้วแหละครับ เปลืองงบด้วย ไหนของที่จะต้องขนไปอีก ลำบากแท้ สุดท้ายข้อเสนอแบบรักสบายของพี่ไกด์ก็ต้องดับไป นั่งรถบัสกันไปครับ แบบฉิ่งฉาบทัวร์ เพราะมันประหยัดงบได้ดีที่สุด
“เตรียมของเสร็จหมดรึยัง” ผมถามขึ้นเมื่อเดินเข้าไปด้อมๆ มองๆ แถวกระเป๋าที่วางสุมรวมกันไว้มุมหนึ่ง กองหมอนและผ้าห่มที่เอาไว้ปูดูหนังนั้นก็ถูกพับเก็บรวมกันไว้เพื่อเผื่อแผ่พื้นที่ให้ของที่จำเป็นอย่างอื่น
“น่าจะครบหมดแล้วแหละ” ทีมบอก แล้วเดินเข้ามาหาผมที่ยังยืนชะโงกดูกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่จำเป็นอื่นๆ “ไม่อยากไปเลย คิดถึง”
“ไปกี่วันเอง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” ผมปลอบแล้วรับอ้อมกอดนั้นมา ก่อนจะลูบหลังทีมเบาๆ ผมเองก็ไม่อยากให้ทีมไป ไม่ใช่เพราะอยากกินข้าวปล่อยแก่นะ แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกใจมันหวิวๆ เหมือนเราจะต้องจากกันนานกว่าสัปดาห์ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียวก็ได้ คงไม่มีอะไรแย่ขนาดนั้น...
“มาจุ๊บที” ทีมบอกแล้วทำปากจู๋ใส่ ผมหัวเราะกับรอยตีนกาที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นตรงหางตาแต่ก็ยอมจูบลงไปเบาๆ พร้อมบอก
“ตีนกาเยอะจัง ตีนกาเยอะจัง กิ๊วๆ” ผมแกล้ง
“เหอะ ใช่สิ พี่มันแก่แล้วนี่ ถึงหนังหน้าจะไม่ฟิตแต่อย่างอื่นฟิตนะจ๊ะเบ่บี๋” ทีมบอกพร้อมแกล้งทำตาเยิ้มใส่ ผมได้แต่หันหน้าหนีแล้วบอกทันควัน
“เร็วๆ เลย เดี๋ยวก็ไปไม่ทันรถหรอก”
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องไปไง” เออ คิดง่ายจริงโว้ยแฟนกูเนี่ย
“ทีม...ไปเร็วๆ สิ” ผมทำเสียงเข้ม ทีมเลยยอมเลิกทำตัวเกาะแกะแล้วหันไปคว้ากระเป๋าเดินทางมาถือไว้อย่างเนือยๆ ผมจึงถามขึ้นอีก “กุญแจรถ มือถือ กระเป๋าตังค์ หมากฝรั่ง แว่นกันแดด...เอาไปหมดรึยัง”
“หมดแล้วคร้าบ แต่ถุงยางไม่ได้เอาไปนะ เมียอยู่กรุงเทพฯ กลับมาใช้ที่กรุงเทพฯ ดีกว่า.. โอ๊ย!” หื่นดีนัก ผมเลยฟาดเข้าเต็มๆ ที่สะบักไหล่จนทีมทำหน้าย่น แล้วหัวเราะแหะๆ เดินออกจากห้องไป
ผมช่วยทีมสะพายกระเป๋ากล้องและกระเป๋าสะพายของใช้จำเป็นอื่นๆ ลงไปที่รถด้วย เห็นว่าจะเอามินิไปทิ้งไว้ที่ตึกคณะแล้วค่อยนั่งฉิ่งฉาบทัวร์ไปจังหวัดเลยพร้อมทุกคน แอบสงสารเจ้ามินิคันงามเหมือนกัน โดนน้ำหนักกระเป๋าเข้าไปถึงกับอ่วมเลย
“ทีม...เบบี๋มันจะไม่ดับกลางทางแน่นะ” ผมถามขึ้นเพราะล้อมันยวบลงไปกว่าเดิมเยอะ แอบกังวลแทนคนขับ
“น่า เบบี๋เป็นหญิงแกร่ง” มันบอกขำๆ แล้วเดินอ้อมจากบริเวณที่นั่งคนขับกลับมาหาผมที่ยืนถอยห่างออกมา ทีมยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะประคองหน้าผมไว้ทั้งสองมือแล้วดีพคิสกันอยู่ครู่หนึ่ง จนผมเริ่มรู้สึกหายใจตามไอ้นักรักนี่ไม่ทันถึงได้ประท้วงออกมา ทีมยิ้มกว้างให้อีกครั้งพลางบอก
“รอพี่นะ เดี๋ยวมา แป๊ปเดียวเองเนอะ ตดยังไม่ทันหายเหม็นเราก็ได้เจอกันอีกแล้ว”
“อืม ขับรถดีๆ นะ” ผมบอกพลางยิ้มให้ ทีมจึงเดินกลับไปยังตำแหน่งคนขับอีกครั้ง ห่านป่าตัวใหญ่หันกลับมามองผมครู่หนึ่งแล้วเข้าไปสตาร์ทรถออกจากบ้านไป ผมยืนมองจนรถมินิคันน้อยลับไปจากรั้วบ้านก็เตรียมจะหันหลังกลับ ทว่าเสียงที่ดังจากด้านหลังก็ทำให้ทุกประสาทในร่างกายผมตื่นตัวด้วยความตกใจ ปลายนิ้วชาวาบและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับได้หยุดหายใจไปแล้ว
“ฝุ่น......เมื่อกี้เรากับทีม...
ทำอะไรกัน!!!!!!”
ผมนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกด้วยอาการตื่นตัวพร้อมที่จะสะดุ้งและร้องไห้ได้ทุกเมื่อ ตัวผมที่ว่าไม่ใหญ่เท่าไหร่แล้วยิ่งหดลดเหลือครึ่งนิ้วเมื่อเจอพายุอารมณ์ของลุงสิน เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องเมื่อครู่ ผมไม่มีข้ออ้างใดๆ จะแก้ตัวได้เลย เพราะคำพูดที่ฟ้องชัดว่าลุงสินเห็นผมกับทีมตั้งแต่ทีแรก น้าอิ่มนั่งนิ่งเม้มปากแน่นอยู่ตรงข้ามผมโดยไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น สำหรับผม..มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้วถ้าน้าอิ่มจะทำเหมือนกับว่าไม่เคยรับรู้เรื่องพรรค์นี้มาก่อน
“ฝุ่นทำบ้าอะไร ทำไม เราแค้นใจอะไรลุงงั้นเรอะ!! ลุงให้ทุกอย่าง ที่ซุกหัวนอน เงิน...ทุกอย่างที่ฝุ่นอยากได้ แล้วทำไมถึงต้องตอบแทนกันด้วยการเอาลูกชายของฉันไป!!!!”
ผมนั่งก้มหน้านิ่ง พยายามกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นลอดออกจากคอ น้ำตาที่เอ่อคลอจนทนไม่ได้เริ่มไหลอาบแก้ม ผมรู้อยู่แก่ใจว่าต้องมีวันนี้...แค่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ก็เท่านั้นเอง...ทำไมต้องเป็นตอนที่ผมยังทำใจไม่ได้ ยังไม่แข็งแรงมากพอ...
“พูดมาสิ!! ฉันทำอะไรผิดต่อเรา ถึงได้ทำแบบนี้กับฉัน!!!” ลุงสินตรงรี่เข้ามากระชากแขนเสื้อผมขึ้น น้าอิ่มผวาเข้ามาเพื่อจะช่วยแต่กลับโดนลุงสินพูดอย่างข่มอารมณ์ “คุณถอยไป เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณเลยอิ่ม”
“ลุงสินดีกับผมมาก...ผม..ผม...” ผมพูดไม่ออก อยากบอกออกไปใจจะขาดว่าผมรักทีม แต่นั่นคงเป็นเหมือนน้ำมันชั้นดีเข้าไปเติมไฟโทสะให้ลุงสินยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
แม่เคยบอกว่าผมเป็นตัวซวย อยู่ที่ไหนก็รังแต่จะให้เขาแตกแยก ผมไม่เคยรับรู้มันจนกระทั่งวันนี้...แม่พูดถูก ผมมันตัวซวยของแท้
“ผมขอโทษ” ผมไม่รู้ว่าคำอธิบายไหนถึงจะดีมากพอที่จะตอบคำถามของลุงสิน มันยากยิ่งกว่าการตอบคำถามในห้องสอบ จึงได้แต่เงยหน้าแล้วพูดขอโทษออกไปด้วยเสียงที่สั่นระริก ผมไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงเรื่องถึงจะดีขึ้น ลุงสินกัดฟันดังกรอดอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะชายตามองผมราวกับเห็นสิ่งน่ารังเกียจ
“ลุงจะให้เราเลือก...เลิกยุ่งกับทีมซะ หรือไม่ก็กลับอเมริกาไป” น้ำตาผมไหลรินราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพราะใจความในประโยคนั้น...ไม่มีทางไหนเลยที่ผมจะไม่เจ็บ...น้าอิ่มรีบลุกจากฝั่งตรงข้ามมากอดผมไว้หลวมๆ บอกลุงสินเสียงสั่น
“อย่าให้ฝุ่นกลับอเมริกาเลยค่ะ..ได้โปรด อิ่มขอร้อง” เสียงน้าอิ่มสั่นราวกับคนจวนเจียนจะร้องไห้
“แล้วจะให้ผมทำยังไง! คุณก็รู้ว่าเด็กคนนี้ชอบผู้ชาย และเขากำลังทำลายอนาคตลูกชายของผม!!” ลุงสินตวาดเสียงดัง ผมก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าเบาๆ...ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำแบบนั้น ผมไม่เคยคิดทำร้ายทีมอย่างที่ลุงสินกล่าวหาเลย... “ทีมควรจะได้รักและแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน แล้วอยู่กันไปจนแก่เฒ่า..ไม่ใช่เด็กผู้ชายกะโปโลแบบนี้!!”
“คุณคะ คุณพูดเกินไปนะ!” น้าอิ่มขึ้นเสียงบ้าง ผมจุกกับประโยคนั้นของลุงสิน เขาพูดถูกเรื่องอนาคตของทีม แฟนของผมควรจะได้รักและแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ มีลูกน่ารัก สร้างครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ใช่มาหยุดทุกอย่างไว้กับตัวซวยอย่างผม...
เรื่องนั้นผมรู้ดีมาตลอด..แต่จะให้ทำยังไง ผมรักทีม ผมเคยชินกับการมีมืออุ่นๆ คอยจับกระชับเอาไว้ จนไม่สามารถเดิน และไม่ล้มลงโดยปราศจากมือคู่นั้นคอยพยุง...
“น้าอิ่ม..อึก..พอเถอะครับ” ผมพึมพำบอกออกไปอย่างนั้น ลุงสินหันกลับมามองที่ผมอย่างโกรธเคือง ไม่แปลกเลยที่ลุงจะโมโหมากขนาดนี้ เขาเลี้ยงลูกชายมาเพื่อให้รักกับผู้หญิงดีๆ ไม่ใช่นอกคอกมารักผู้ชายด้วยกัน
และเรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้...
“ผม...ขอของแลก อึก เปลี่ยนได้มั้ยครับ” น้ำตาผมไหลไม่หยุด หัวใจยิ่งเจ็บจนคล้ายว่ามันจะหยุดเต้นในนาทีถัดไปเมื่อรับรู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้ายังต้องอยู่ใกล้ๆ กับทีมแบบนี้ผมมั่นใจว่าจะไม่มีวันตัดใจได้ ดังนั้น....เราก็ควรต้องแยกจากกัน
“ว่ามา” ลุงสินบอกเสียงเข้ม ผมรู้สึกได้ว่าไหล่ตัวเองกำลังสั่นเพราะแรงสะอื้น ผมเจ็บ ผมกลัว ผมไม่แข็งแรงมากพอจะอยู่โดยไม่มีทีม ก่อนหน้านี้หัวใจผมด้านชาไม่เคยรู้จักความรัก ผมจึงอยู่ได้เรื่อยมาโดยไม่ต้องการมัน
แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป หัวใจของผมได้เสพติดความสุขที่หอมหวานนั้นจนไม่อาจถอนตัวได้โดยไม่มีบาดแผล ทั้งที่เป็นแบบนั้นพระเจ้ายังกลับจะกระชากเอารักคืนกลับไป...ใจร้ายนัก
“ผมขอ..ห้องพักสักห้อง..ฮึก..แค่นั้น”
ผมถึงไม่เคยเชื่อในเรื่องของความรักที่สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ...
“ย่อมได้”
เพราะมันไม่มีจริง...มันทุกข์ทรมานจนใกล้เคียงกับความตายตอนเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองเพื่อเก็บของและบอกลาความทรงจำที่แสนดี ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นมุมที่เราเคยใช้ชีวิตร่วมกัน ได้มีความสุขร่วมกัน...ผมใช้เวลาไม่นานสำหรับการกวาดทุกอย่างลงในกระเป๋าเดินทาง รูปคู่ตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกันคราวนั้นยังอยู่ในกรอบไม้เล็กๆ ที่หัวเตียง ทีมยิ้มตาหยีให้กล้องในขณะที่ผมยังอ้าปากหวอด้วยความตกใจ..
ความสุขมันเป็นอดีตไปแล้ว...
ผมโยนมันลงกระเป๋าเดินทางด้วยหัวใจที่ปวดร้าว กีต้าร์ตัวเก่าที่ทีมเคยเล่นและร้องเพลงให้ฟัง ยังคงนอนนิ่งอยู่ข้างผนังในห้องนอน ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมามองด้วยสายตาที่พร่าเลือน ก่อนจะเดินผ่านประตูเชื่อมเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อทะลุไปยังห้องนอนของทีม แล้ววางมันที่ริมผนังตำแหน่งเดียวกับที่มันเคยอยู่ในห้องของผม
กลิ่นโคโลญจน์ของทีมยังกรุ่นอยู่ในห้องราวกับคนที่ผมรักไม่ได้หายไปไหน..ใช่ ทีมไมได้หายไป แต่ผมต่างหากที่กำลังจะหายไป
ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานเพื่อหยิบกระดาษโน้ตออกมาเขียนข้อความลาทิ้งเอาไว้ แหวนเงินวงเล็กที่ทีมให้ตอนเราเริ่มเป็นแฟนกันถูกผมถอดออกช้าๆ ด้วยใจที่แหลกสลาย ผมวางมันลงพร้อมกับจดหมายลานั่น...เหนือโต๊ะทำงานของทีมมีรูปของเราสองคนติดเอาไว้อยู่ ผมเข้ามาทีไรก็ไม่เคยสังเกตสักที แต่วันนี้ถึงได้เห็นว่าเป็นรูปผมนอนหลับอยู่บนเตียง และทีมเท้าแขนอยู่เหนือตัว..
มันทุกข์ทรมานจนใกล้เคียงกับความตายตอนเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองเพื่อเก็บของและบอกลาความทรงจำที่แสนดี ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นมุมที่เราเคยใช้ชีวิตร่วมกัน ได้มีความสุขร่วมกัน...ผมใช้เวลาไม่นานสำหรับการกวาดทุกอย่างลงในกระเป๋าเดินทาง รูปคู่ตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกันคราวนั้นยังอยู่ในกรอบไม้เล็กๆ ที่หัวเตียง ทีมยิ้มตาหยีให้กล้องในขณะที่ผมยังอ้าปากหวอด้วยความตกใจ..
ความสุขมันเป็นอดีตไปแล้ว...
ผมโยนมันลงกระเป๋าเดินทางด้วยหัวใจที่ปวดร้าว กีต้าร์ตัวเก่าที่ทีมเคยเล่นและร้องเพลงให้ฟัง ยังคงนอนนิ่งอยู่ข้างผนังในห้องนอน ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมามองด้วยสายตาที่พร่าเลือน ก่อนจะเดินผ่านประตูเชื่อมเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อทะลุไปยังห้องนอนของทีม แล้ววางมันที่ริมผนังตำแหน่งเดียวกับที่มันเคยอยู่ในห้องของผม
กลิ่นโคโลญจน์ของทีมยังกรุ่นอยู่ในห้องราวกับคนที่ผมรักไม่ได้หายไปไหน..ใช่ ทีมไม่ได้หายไป แต่ผมต่างหากที่กำลังจะหายไปจากกรอบความทรงจำของทุกคน
ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานเพื่อหยิบกระดาษโน้ตออกมาเขียนข้อความลาทิ้งเอาไว้ แหวนเงินวงเล็กที่ทีมให้ตอนเราเริ่มเป็นแฟนกันถูกผมถอดออกช้าๆ ด้วยใจที่แหลกสลาย ผมวางมันลงพร้อมกับจดหมายลานั่น...เหนือโต๊ะทำงานของทีมมีรูปของเราสองคนติดเอาไว้อยู่ ผมเข้ามาทีไรก็ไม่เคยสังเกตสักที แต่วันนี้ถึงได้เห็นว่าเป็นรูปผมนอนหลับอยู่บนเตียง และทีมเท้าแขนอยู่เหนือตัว..
น้ำตาผมไหลไม่หยุดกับภาพความทรงจำเก่าๆ ที่ย้อนกลับมา มุมใต้โทรทัศน์นั้น เราเคยนั่งดูหนังด้วยกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า บางครั้งก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไป ทีมที่มีรอยยิ้มจางๆ มักจะกระตุ้นให้ผมเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนกลายเป็นคนชอบพูดไปโดยไม่รู้ตัว ทีมเปลี่ยนผมให้เป็นคนที่ดีขึ้น รู้จักเปิดรับคนอื่นมากขึ้น และทำให้ผมต้องการจะมีใครสักคนเดินเคียงข้าง
แต่ในวันนี้ผมกลับต้องเสียคนข้างกายไปด้วยการเลือกของตัวเอง..
ผมตัดใจกลั้นน้ำตาแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อรูดซิปปิดกระเป๋าด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ผมเคยคิดว่าถ้าต้องเสียความรักครั้งนี้ไปก็อาจทำให้หัวใจผมหยุดเต้น สมองเลิกสั่งการให้หายใจเอาตัวรอด แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่ความคิดของเด็กโง่คนนึง เพราะสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ตาย ยังหายใจได้เป็นปกติ แค่ไร้จิตวิญญาณดวงเดิมก็เท่านั้น..
ห้องใหม่ที่ลุงสินเตรียมไว้ให้นั้นเป็นคอนโดสูง ค่อนข้างหรูแห่งหนึ่งในกลางกรุงเทพฯ ลุงสินขับรถมาส่งผมถึงที่ด้วยตัวเอง ตลอดทางเขาทิ้งให้ในรถเต็มไปด้วยความเงียบ แต่ผมก็ไม่ได้อึดอัดมากมายนัก ความเจ็บปวดยังทำร้ายผมจนชาไปทั้งอก ทันทีที่ถึงที่หมายลุงสินก็บอกเสียงห้วนๆ ว่าให้ลงไปจากรถ
ผมต้องทำหน้าชาเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนของลุงสินที่เป็นเจ้าของโครงการคอนโดหรูแห่งนี้ ทั้งที่ในใจร่ำร้องอยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ให้เวลาผมเลียแผลให้ตัวเองสักพักก็ยังดี
“
อย่าโกรธลุงเลยนะ สิ่งที่เรากับทีมกำลังทำมันคือสิ่งไม่ดี...มันเป็นบาปเข้าใจมั้ย” ลุงสินพูดขึ้น เมื่อวางกระเป๋าสัมภาระใบเล็กของผมลงบนพื้นพรมในห้องใหม่ เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดยังไม่ได้แกะพลาสติกด้วยซ้ำ ที่ได้มาเร็วคงเป็นเพราะว่าลุงเป็นเพื่อนกับเจ้าของที่นี่ ทั้งยังมีส่วนร่วมในการออกแบบอีกด้วย
“ผมเข้าใจครับ...พ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีทั้งนั้น” ผมพึมพำเสียงอู้อี้ “ผมไม่อยากดึงทีมเข้ามาร่วมบาปที่ผมกำลังทำเหมือนกัน...ผมไม่ควรทำให้คนที่มีพระคุณต่อผมต้องเสียใจ”
“เข้าใจแบบนั้นก็ดีต่อตัวเรานั่นแหละ” ลุงสินบอกทิ้งท้าย แล้วออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูปิดลง ร่างกายผมก็เหมือนกับตุ๊กตาเชิดที่ถูกตัดด้าย ทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ราวกับคนบ้า ใจผมแหลกสลายไปตั้งแต่รถออกพ้นประตูบ้าน ผมทิ้งทีมเอาไว้เบื้องหลังและหวังว่าคนที่ผมรักที่สุดจะได้เจอสิ่งที่ดีให้สมกับที่ผมต้องเจ็บเจียนตายแบบนี้เช่นกัน
ในเมื่อเราต้องจากกัน ใจจริงผมอยากจะบอกลาทีมด้วยปากของตัวเอง แต่การกระทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น และผมก็ไม่ต้องการให้ทีมมีปัญหาอะไรกับครอบครัวเพราะคนนอกอย่างผม...
ถึงการจากกันในครั้งนี้ ผมจะเจ็บร้าวจนอยากหยุดลมหายใจและตายไปซะ แต่นั่น...ก็เป็นได้แค่ความคิด ความจริงที่ผมต้องเผชิญคือตัวเองยังหายใจและหัวใจผม...ก็ยังเต้นด้วยความเจ็บปวด...อยู่ทุกนาที
อ่านต่อได้ใน ตอนที่ 19 part team
eiizes’s talk
สวัสดีค่า หายไปนานมาก 5555
เตรียมไฟล์ เตรียมนั่นเตรียมนี่เนอะ สงกรานต์ที่ผ่านมาเป็นยังไงกันบ้างคะ เที่ยวกันสนุกมั้ย
เราไม่ได้ไปไหนเลย ฮ่าๆ เห็นแดดแล้วขอซุกตัวอยู่ในมุมมืดดีกว่า ออกไปเล่นน้ำ จากที่ดำอยู่แล้ว กลายเป็นตอตะโกแน่ๆ
ตอนนี้ก็ดราม่าแล้วเนอะ สงสารน้องฝุ่น เอิ้กกก
คิดเห็นยังไง อย่าลืมคอมเม้นท์กันบ้างนะคะ หนังสือยังเปิดให้จองอยู่น้า~~~ รับของได้ประมาณอาทิตย์ที่สองของเดือนพค. นะคะ แต่ถ้านัดรับก็อาจจะเร็วกว่านิดหน่อย(ถ้าช้าก็ช้าที่คุณไปรษณีย์แหละค่ะ 555)
ขอบคุณที่อ่านมาจนบรรทัดนี้จ้า
eiizes