ภาคที่ 0.5 After Credit is not End Credit
ปาณัสม์เปิดประตูเข้ามานั่งทางด้านหลังในรถยนต์หรูอย่างรวดเร็ว เขาเสียเวลาไปมากแล้วถ้ายังออกสายไปกว่านี้คงจะถึงออฟฟิซประมาณสิบโมงเป็นแน่ ช่วงเช้าเขามีประชุมบอร์ดผู้บริหาร ชายหนุ่มไม่อยากให้ผู้ใหญ่หลายท่านต้องรอ
“เมื่อคืนค้างที่ออฟฟิซอีกแล้วเหรอครับคุณปาล” ลุงชมเอ่ยถามแม้ว่าอายุของคนถามจะไม่น้อยแล้วแต่ร่างกายยังคล่องแคล่วอยู่ มือที่เริ่มเหี่ยวเปลี่ยนเกียร์แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที
“ครับ กว่าจะสรุปตัวเลขกับรายงานต่างๆ เสร็จ ก็ตีห้าแน่ะ ผมเลยให้ชัดกลับไปพักก่อน สายๆ ค่อยตามเข้ามา” ปาณัสม์เอื้อเฟื้อใจดีกับคนในบ้านเสมอ ยิ่งกับลูกชายลุงชมหรือชัดเจนที่เติบโตมาด้วยกันแล้ว ยิ่งมีน้ำใจมากขึ้นไปอีก
“ถึงว่า...เจ้าชัดให้ลุงออกมารับคุณปาลแต่เช้า พักผ่อนน้อยแบบนี้ระวังร่างกายจะไม่ไหวเอานะครับ” ลุงชมบอกด้วยความเป็นห่วง เขาเห็นเจ้านายคนนี้ตั้งแต่เกิดกระทั่งเติบใหญ่ อย่างไรก็รักและห่วงเหมือนลูกหลานอีกคน
“ผมยังไหวน่า แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกลุงชม” ชายหนุ่มตอบขณะดันกรอบแว่นให้สูงขึ้น
“คุณเทมส์ไม่บ่นเอาแย่หรือครับ” ลุงชมถามถึงอีกคน
“เทมส์? บ่น? บ่นอะไรครับ” ปาณัสม์เงยหน้าจากมือถือมาสบตากับลุงชมผ่านทางกระจกหลังด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็คุณปาลห่วงแต่งานไม่ค่อยมีเวลาให้ ระวังเธอจะน้อยใจนะครับ” ลุงชมพูดพลางกลั้วหัวเราะ
“ไม่งอนหรอกครับ คบกันมาตั้งกี่ปีแล้วถ้าเรื่องแค่นี้ยังแยกแยะไม่ได้ก็น่าเบื่อเกินไปนะครับลุง” ปาณัสม์ตอบลุงชมอย่างเหนื่อยหน่าย
“แหม้ แต่เมื่อวานเป็นวันวาเลนไทน์ไม่ใช่หรือครับคุณปาลอย่างน้อยก็น่าจะพาเธอไปข้างนอก”
“จริงด้วย ผมลืมสนิทเลย” ในใจชายหนุ่มกลับหวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาจะออกมาจากห้อง
‘ดอกกุหลาบดอกนั้น ฉันทัชตั้งใจจะให้เขาหรือเปล่า’
“วันนี้ก็พาไปทานข้าวเสียหน่อยสิครับ เปิดหูเปิดตาบ้าง คุณเทมส์เธอคงดีใจเธอชอบไปเจอผู้คนไม่ใช่หรือครับ” ปาณัสม์โคลงหัวไปกับคำแนะนำของลุงชม
ฉันทัชคบกับเขานานเป็นสิบปี นานจนกระทั่งคนรอบข้างต่างพากันรู้นิสัยเจ้าตัวกันหมด
“ผมจะลองเก็บไปคิดดู ขอบคุณนะครับลุงชม”
ถึงจะบอกแบบนั้น แต่สุดท้ายปาณัสม์ก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท
“ได้ยินจากเจ้าชัดว่าแกเพิ่งออกจากออฟฟิซตอนตีห้า ค้างที่บริษัทอีกแล้วเหรอ มันเปลืองไฟรู้ไหม” ศรารัณหรือปอนด์ พี่ชายของปาณัสม์ที่อายุมากกว่าสี่ปีแซวขึ้นจากหัวโต๊ะประชุมเมื่อปาณัสม์นั่งลงทางด้านซ้ายมือของเขา
“พูดเหมือนลุงชมเป๊ะ ไอ้ชัดมันบอกครบทุกคนเลยมั้ง” ปาณัสม์พูด น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้พูดจริงจังอะไรนัก นอกจากแซวเล่นในหมู่คนสนิท
“ใช่หรือเปล่า” พี่ชายหรี่ตาลงพลางถามซ้ำเพราะยังไม่ได้คำตอบ
“อืม”
“พักบ้างนะเว้ย ไม่อยากให้เทมส์เป็นม่าย” ศรารัณเตือนน้องชายด้วยความหวังดีหรือแท้จริงแล้วห่วงฉันทัชหรือเปล่าก็ไม่รู้แน่
“อีกคนแล้ว” ปาณัสม์มุ่ยหน้า เช้านี้ใครๆ ก็ต่างพูดถึงฉันทัช
“อะไรอีกคนแล้ว”
“เมื่อเช้าลุงชมก็พูดแบบนี้”
“เหรอ บังเอิญจริงๆ” ศรารัณหัวเราะที่ใจตรงกันกับลุงชม
“เทมส์สบายดี ไม่ทุกข์ร้อนอะไรหรอกพี่ วันๆ ทำแต่หน้าเดิม จนผมไม่รู้แล้วว่าเทมส์คิดอะไรในใจ”
“ก็แกบ้างานเกินไป งานน่ะรักมันได้ แต่ยังไงครอบครัวก็สำคัญกว่า” พี่ชายตบบ่าน้องชาย
“ผมอยากให้บริษัทเราเติบโตกว่านี้”
“แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ” ศรารัณเลิกคิ้วพลางถามน้องชาย
“มันยังไปได้อีก พี่ก็รู้”
“พี่รู้ แต่ถ้าบริษัทเติบโตยิ่งใหญ่ แต่ข้างกายแกกลับไม่มีใครเลย จะโอเคใช่ไหม อยากได้แบบนั้นหรือไง”
ปาณัสม์ไม่ตอบ เขาเปิดแฟ้มรายงาน กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าการประชุมก็จะเริ่มขึ้น
“อย่าทำงานหนักเหมือนป๊าเลย ไม่เห็นเหรอว่าแม่น่าสงสารแค่ไหน ที่พูดน่ะไม่ได้อยากให้เครียด แต่อยากให้คิดนะไอ้น้องชาย”
“ครับ” ปาณัสม์ตัดบทด้วยคำๆ เดียวและศรารัณรู้ตัวว่าเขาควรจะพอเพียงเท่านี้
“เอ้อ..เกือบลืม” แต่ไม่ทันไรศรารัณก็พูดขึ้นมาอีก
“อะไรอีกพี่ปอนด์” น้องชายเริ่มหงุดหงิดเพราะเขาอ่านกระดาษตรงหน้าไม่รู้เรื่อง
“แม่บอกให้แกพาเทมส์ไปที่บ้านบ้าง แม่คิดถึง”
“ครับ”
“อ้อ...อีกอย่างหนึ่ง” ศรารัณยังไม่หมดเรื่องที่จะพูด
“พี่ปอนด์!” ปาณัสม์หน้าหงิก มองพี่ชายด้วยสายตาไม่พอใจผ่านแว่น
“น้องปัณณ์บอกว่าคิดถึงอาปาลกับอาจันทร์ม๊ากมาก” พี่ชายทำเสียงเลียนแบบลูกสาวออกมาลากเสียงคำว่ามากออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยนสร้างรอยยิ้มให้ผู้เป็นอาไม่น้อย
“วันนี้พี่ไปรับน้องปัณณ์เองหรือเปล่า” ศรารัณพยักหน้าตอบว่าใช่
“เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปรับน้องปัณณ์กับพี่ด้วย” ปาณัสม์บอก เขารู้สึกอารมณ์ดี สีหน้าผ่อนคลายทันทีที่ได้ยินชื่อหลานสาว น้องปัณณ์หรือเด็กหญิงศราลักษณ์วัยเจ็ดขวบ
“แล้วเทมส์ล่ะ?” ผู้เป็นพี่ชายถามถึงอีกคน
“วันหลังเถอะ เริ่มประชุมแล้ว” ปาณัสม์ตัดบทอีกครั้งเพราะตอนนี้ผู้เข้าร่วมประชุมมากันครบแล้ว แซนด์วิชที่คุณเกศสิรีเตรียมไว้ให้ เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้แกะมันออกมากินเพราะพี่ปอนด์คนเดียว มัวแต่ชวนคุย
‘รู้อย่างนี้กินข้าวที่บ้านมาก่อนก็ดี’
.
.
จวนเที่ยงการประชุมจึงสิ้นสุดลง ปาณัสม์หิวไส้แทบขาด ชัดเจนที่ถูกไล่กลับไปเมื่อเช้าก็มาถึงที่ประชุมตามหลังเขาไม่นาน เด็กนี่ดื้อจริงๆ บอกให้นอนพักผ่อนก่อนตอนบ่ายค่อยตามมายังไม่ยอมฟังกันอีก ถึงจะบอกว่าเด็กแต่ชัดเจนอายุน้อยกว่าเขาแค่สามปีเท่านั้นเอง
“คุณปอนด์กับคุณปาลอยากไปกินข้าวที่ไหนหรือเปล่าครับ” ชัดเจนถามขึ้นหลังจากเดินออกมาจากห้องประชุม
“อยากกินสุกี้ตรงร้านนั้นอะ นั่งรถผ่านมาหลายวันยังไม่ได้ไปลองสักที” ศรารัณพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนคนได้ของเล่นใหม่
“ไปกินที่ห้องดีกว่า มันเสียเวลาพี่ปอนด์” ปาณัสม์ขัดพี่ชาย
“ไม่เอา ไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ปาลไปกินเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ ชัดด้วย คุณสิด้วยนะครับ ไปกันเยอะๆ” พูดถึงเรื่องงานแล้วศรารัณค่อนข้างเคร่งขรึม เด็ดขาดไม่แพ้น้องชาย หากหลุดโหมดผู้บริหารเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีภรรยาและลูกสาวที่น่ารัก
“พี่ปอนด์ ผมบอกว่ามันเสียเวลา”
“ไปเถอะครับคุณปาล ไม่นานเท่าไหร่หรอกน่า ทานอาหารดีๆ บ้าง เมื่อเช้ายังไม่ได้กินอะไรมาไม่ใช่เหรอ” ชัดเจนช่างสังเกต เรื่องนี้ปาณัสม์รู้ดี
“สิขอสนับสนุนคุณชัดอีกเสียงค่ะ” เกศสิรียกมือสนับสนุนเสียงข้างชัดเจน
“สามต่อหนึ่ง แกแพ้แล้วปาล”
“เออ ก็ได้ กินเร็วๆ นะ” ปาณัสม์บ่น ชายหนุ่มทำหน้ายุ่งที่ถูกขัดใจ เช้านี้เขาเข้าประชุม งานที่ค้างยังไม่ได้แตะเลย
ถึงจะหน้ามุ่ยแค่ไหน แต่ร้านสุกี้ที่ศรารัณอยากลองทานนั้นก็รสชาติดี จนปาณัสม์เริ่มผ่อนคลาย เมื่อมีอาหารตกถึงท้อง อารมณ์ก็พลอยดีตามไปด้วย จังหวะที่เขาคีบเกี๊ยวกุ้งเข้าปากใจก็นึกถึงอีกคนที่อยู่คอนโด
‘จะแปลงานเพลิน จนลืมกินข้าวหรือเปล่า’
เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความไปหาคนที่คิดถึงคงไม่ยากเท่าไหร่แต่ปาณัสม์กลับไม่รู้สึกอยากทำ โตๆ กันแล้วคงจะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
“เหม่ออะไร กินต่อสิเดี๋ยวหมดนะเว้ย” ศรารัณพูดทำลายภวังค์น้องชาย
“เอ้า แว่นขึ้นฝ้าหมดแล้ว ถอดเก็บก่อนไหมล่ะเจ้าปาล” พี่ชายกระทุ้งศอกใส่แขนปาณัสม์ ทำให้ตะเกียบในมือร่วงลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง น้องชายหันไปมองพี่ชายด้วยสายตาดุก่อนที่ชัดเจนจะแก้ปัญหานี้โดยการเรียกพนักงานมาแล้วขอตะเกียบคู่ใหม่
ปาณัสม์ถอดแว่นออกมาเช็ดฝ้าให้หมดก่อนจะพับเก็บวางไว้บนโต๊ะ
“อย่าลืมเตือนให้หยิบแว่นกลับด้วยล่ะ” ชายหนุ่มบอกพี่ชาย
“เออ ไม่ลืมหรอกน่า” ศรารัณรับปาก
“เอ๋ ถอดแว่นแล้วบอสจะมองเห็นหรือคะ” เกศสิรีสงสัย ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายังไม่เคยเห็นปาณัสม์ถอดแว่น
“เห็นสิ นี่กี่นิ้ว น้องปาล” ศรารัณตอบแทนพลางชูนิ้วถามน้องชาย
“เล่นเป็นเด็ก” ปาณัสม์ปัดมือพี่ชายทิ้ง
“ก็คนมีลูก ไม่ทำตัวเด็กตามลูกแล้วจะให้ทำตามใคร” ศรารัณเถียง
“น้องปัณณ์ทำน่ะน่ารัก แต่พี่น่ะ...” ปาณัสม์ไม่พูดต่อ ให้พี่ชายเติมคำลงในช่องว่างเอาเอง
“ไม่เล่นด้วยก็ได้” ศรารัณบ่นเล็กน้อยก่อนแล้วหันไปบอกเกศสิรี
“บอสของคุณสิมองเห็นครับ ถ้าจะสั้นก็คงสั้นแค่ห้าหรือสิบเองมั้ง”
“เพิ่งรู้เลยนะคะ แล้วบอสใส่แว่นทำไมคะ”
“ผมไม่ก็รู้มันเหมือนกัน” ศรารัณบอก
“แว่นกรองแสง เวลาอยู่หน้าคอมฯ จะได้ถนอมสายตา” ปาณัสม์ตอบให้หญิงสาวคลายความสงสัย
“บอสไม่ใส่แว่นดูแปลกตาดีค่ะ”
“แปลกยังไง” ชายหนุ่มถาม
“ไม่รู้สิคะ ไม่ชินตาล่ะมั้ง” เกศสิรีไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ร้านนี้สิเดินผ่านหลายครั้ง กลิ่นหอมเตะจมูกมากแต่ไม่เคยเข้ามาเลย”
“ทำไมล่ะครับ” ศรารัณถามหญิงสาว
“ทานสุกี้ต้องทานกันหลายๆ คนสิคะถึงจะอร่อย” เธอตอบพลางยิ้มหวาน
“จริงด้วยครับ ผมชอบบรรยากาศที่คนในครอบครัวล้อมวงกินสุกี้กัน อร่อยมาก” ศรารัณคนรักครอบครัวบอกอย่างมีความสุข
“คุณปอนด์นี่เป็นแฟมิลี่แมนสุดๆ เลยนะคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บอสของสิจะเป็นแฟมิลี่แมนกับเขาบ้าง” เกศสิรีเอ่ยชมคนพี่แล้วเอ่ยแซวปาณัสม์
“คนบ้างานอย่างปาล คงยากหน่อยครับ” ศรารัณนินทาน้องชายระยะเผาขน
“แฮ่ม” ปาณัสม์ส่งเสียงบอกพี่ชายให้รู้ว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้
“คุณปอนด์พูดถูกแล้วครับ ยังไงคุณปอนด์บอกคุณปาลบ้างสิครับให้พักผ่อนเยอะๆ หน่อย ผมจะได้พักบ้าง” ชัดเจนขอร้องเจ้านายอีกคน
“ไอ้ชัด!” ปาณัสม์ดุน้องชายต่างสายเลือด นี่ทุกคนกำลังรวมหัวกันบ่นเขาใช่ไหม
“พี่ก็อยากช่วยนะชัด แต่ดูมันสิดุอย่างกับหมา” ศรารัณบุ้ยหน้าไปทางคนที่พูดถึง
“...” ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าข้างปาณัสม์จริงๆ ทุกคนส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“กลับไปจะตัดเงินเดือนให้หมด” ชายหนุ่มขู่
“โหดจริงจริ๊ง ตัดเงินเดือนพี่ชายคนนี้ด้วยไหม” ศรารัณยังคงแซวน้องชายต่อไป
“ของพี่ปอนด์ ผมคงทำไม่ได้หรอก แต่ผมจะไปบอกน้องปัณณ์ว่าพ่อปอนด์แกล้งอาปาล” ปาณัสม์งัดไม้ตายออกมาใช้กับพี่ชายด้วยสีหน้าเป็นต่อ
“อย่านะปาล อย่าทำอย่างนั้นพี่ไม่แกล้งแล้ว อย่าบอกน้องปัณณ์นะพี่กลัวแล้ว” ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ปาณัสม์ก็รู้ไส้รู้พุงพี่ชายเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกลัวน้องปัณณ์โกรธตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด
เขาถือไพ่เหนือกว่าเพราะน้องปัณณ์รักอาปาลมาก ใครทำให้อาปาลกับอาจันทร์เสียใจน้องปัณณ์จะโกรธทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อปอนด์
“ขอโทษนะ ผมคงช่วยคุณสองคนไม่ได้เพราะตัวผมเองกำลังตกที่นั่งลำบาก” ศรารัณทำเสียงเศร้าแสดงละคร สบตากับชัดเจนและเกศสิรีแล้วเอ่ยขอโทษ
“ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้บอสก็เลี้ยงพวกเราก่อนตัดเงินเดือนนะคะ” หญิงสาวยิ้มแย้มบอกอีกฝ่าย ไร้ความกลัว
“เตรียมใจกันไว้ด้วยล่ะ” ปาณัสม์พูดแกมขู่ไปอย่างนั้นเอง ทุกคนต่างพากันรู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะทำจริง แต่อย่างไรมื้อนี้เขาก็เป็นคนจ่ายอย่างที่เกศสิรีพูด
“เป็นบุญของไอ้ปอนด์ ที่น้องปาล อุตส่าห์เลี้ยง” พี่ชายลูบพุงที่ยังไม่ค่อยมีนั้นเบาๆ สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ ส่วนชัดเจนและเกศสิรีนั้นยกมือไหว้พากันขอบคุณ
.
.
ในช่วงบ่ายปาณัสม์กระดกกาแฟดำไปอีกสองแก้วถ้วน เกศสิรีทำหน้าแหยเมื่อเห็นบอสยกน้ำดำลงคอรวดเดียวโดยไม่เกรงใจความร้อนของน้ำที่ผ่านคอไปเลยแม้แต่น้อย ดีที่เธอเรียนรู้มาแล้วกาแฟต้องชงมาไม่ร้อนจนเกินไปพร้อมที่จะดื่มได้เลยทันทีเนื่องจากปาณัสม์ไม่ชอบเสียเวลารอ
เธอเบ้หน้าตอนขออนุญาตเก็บแก้วกาแฟเปล่าพลางถามว่าอีกฝ่ายจะรับอีกหรือไม่ ปาณัสม์เงยหน้าจากงานมาตอบปฏิเสธจึงเห็นสีหน้าของเลขาสาว
“ทำหน้าแบบนี้ เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ สิแค่สงสัยว่าบอสไม่ขมบ้างเหรอคะ”
“อะไรขม”
“กาแฟน่ะสิคะ มีแต่ผงกาแฟล้วนๆ ถ้าเป็นสิคงดื่มไม่ได้แน่นอน”
“เมื่อก่อนผมก็ไม่ดื่มขนาดนี้หรอกแต่มันเพิ่มระดับเอง อ่อนกว่านี้ไม่ได้ผลร่างกายมันดื้อด้าน”
“อ้อ...ค่ะ ถ้างั้นสิขอตัวนะคะ”
“อืม เดี๋ยวบ่ายสามผมจะออกไปข้างนอกไม่กลับเข้ามาแล้ว”
“รับทราบค่ะ” เกศสิรีรับคำแล้วเดินออกจากห้องไป
ปาณัสม์เห็นแก้วกาแฟเปล่ายังวางอยู่ที่เดิม เกศสิรีไม่ได้หยิบออกไปหรือนี่? แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวนึกขึ้นได้คงเข้ามาเก็บเองหรือไม่ก็เป็นแม่บ้าน เขามองแก้วกาแฟที่เลอะคราบดำตรงขอบแก้วแล้วนึกถึงอีกคน
…
“ดูสิ กาแฟดำ ขมปี๋ ปาลดื่มเข้าไปได้ยังไง” ฉันทัชทำหน้าเหยเกไม่ต่างกับเกศสิรีเมื่อสักครู่
“จันทร์ไม่ดื่มกาแฟแบบไหนก็ดื่มไม่ได้อยู่แล้ว”
“ถึงไม่ดื่มแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยดื่มนี่นา จันทร์เคยกินมาหมดแล้ว ลาเต้ มอคค่า อะไรเทือกนี้น่ะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง”
“...” ปาณัสม์มองอีกฝ่ายนิ่ง
“ยิ้มแบบนั้นทำไม” ฉันทัชร้อนตัวกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“ยิ้มไม่ได้หรือไง”
“หน้าจันทร์มีอะไร แบบนี้ไม่น่าไว้ใจ” ฉันทัชระแวง ยกมือจับหน้าตัวเอง
“จันทร์ทำหน้าแบบนี้แล้วน่ารักดี ปาลเลยมอง ไม่ได้หรือไง”
ปาณัสม์ยังจำหน้าเหวอของฉันทัชได้ดี เขาหัวเราะขำอีกฝ่าย สุดท้ายอดทนไม่ไหวเลยต้องดึงฉันทัชเข้ามาจูบด้วย
ความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ถูกผลักออกแทบจะทันที เขาตกใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายรังเกียจ แต่พอเห็นสีหน้าฉันทัชก็พอเข้าใจ
“มันขมอะ” ฉันทัชอ้อมแอ้มตอบ
…
ปาณัสม์สลัดศีรษะแรงๆ ทีหนึ่งเพื่อดึงสติกลับมาที่งานตรงหน้าเขาไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ กลัวว่าจะอดไปรับน้องปัณณ์กับพี่ชาย
.
.
“คุณพ่อปอนด์ขา” เด็กหญิงในชุดนักเรียนหน้าตาสดใส ดวงตากลมโต แก้มแดง ผมดกดำที่ถักเปียสองข้าง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทันทีที่เห็นบิดาเดินเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนประถม
เด็กหญิงศราลักษณ์กระโดดกอดเอวพ่อจนกระโปรงบานเกือบเปิดออก ผู้เป็นบิดารีบตะครุบชายกระโปรงนั้นได้ทัน
“ระวังหน่อยสิลูก กระโปรงเกือบเปิดแล้ว” ศรารัณบอกบุตรสาว
“คราวหน้าหนูจะระวังค่ะ” น้องปัณณ์รีบรับคำไร้การโต้เถียง
“วันนี้พ่อไม่ได้มารับหนูคนเดียวนะ”
“เอ๋? ใครคะ อย่าบอกนะคะ...อาจันทร์.. อาจันทร์ใช่ไหมคะพ่อ” เด็กหญิงรีบรัวเท้าด้วยความตื่นเต้น ดวงตาสุกใสเป็นประกาย
“โห เราอุตส่าห์มาหา แต่เด็กแถวนี้กลับคิดถึงแต่อาจันทร์คนเดียว อาปาลน้อยใจนะเนี่ยกลับบ้านไปร้องไห้ดีกว่า” ชายหนุ่มเดินตามมาทีหลังจึงได้ยินเสียงหลานสาวพอดี เขาย่อตัวลง ทำเสียงที่แสดงออกมาว่าเสียใจนักหนากับหลานสาว
“ไม่น้อยใจนะคะอาปาล” น้องปัณณ์ผละจากเอวของบิดาเปลี่ยนเป้าหมายเป็นร่างของอาปาลทันที เด็กหญิงยกมือลูบศีรษะอาปาล อย่างที่บิดาหรือมารดาของเธอทำเวลาที่เสียใจ
“ปกติอาปาลจะมากับอาจันทร์นี่นา หนูเลยคิดว่าถ้าอาจันทร์มาอาปาลก็ต้องมาแน่นอน” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบพยายามปลอบใจผู้เป็นอา ดึงแว่นออกมาจากใบหน้าของอาหนุ่มแล้วหอมแก้ม
“อาไม่น้อยใจหนูแล้วค่ะ ว่าไงคะ คิดถึงอาปาลไหม”
“คิดถึงค่ะ คิดถึงม๊ากมาก” เด็กหญิงทำเสียงเหมือนกับบิดาตอนที่บอกเขาในห้องประชุมไม่ผิดเพี้ยน
“อาก็คิดถึงหนูม๊ากมาก”
“แล้วอาจันทร์ไม่มาเหรอคะ” น้องปัณณ์ชะโงกมองข้ามไหล่คุณอาออกไปทางประตูโรงเรียน พลางมองซ้ายมองขวาแต่ไม่เจอร่างคนที่พูดถึง
“ไม่มาค่ะ อาจันทร์อยู่บ้าน”
“อาปาลใจร้ายไม่พาอาจันทร์มาด้วย”
“ไว้วันหลังอาปาลจะพาอาจันทร์ไปหาดีไหมคะ”
“ดีค่ะ พามาหาหนูพรุ่งนี้เลยนะคะ”
“อาไม่รับปากนะคะ” ปาณัสม์ไม่เคยโกหกหลานหรือให้ความหวัง ถ้าเขาไม่แน่ใจเขาจะไม่รับปากเด็ดขาดและ ศราลักษณ์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี
“หนูจะรอค่ะ”
“คนเก่งของอา” ปาณัสม์ลูบศีรษะหลานสาวด้วยความเอ็นดู ไม่หลงเด็กน้อยคนนี้แล้วจะให้เขาไปหลงหลานสาวบ้านไหน
“กลับบ้านกันเถอะ” ศรารัณบอกทั้งคู่ ปาณัสม์ลุกขึ้นยืนไม่ลืมที่จะอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาด้วยทำให้ตอนนี้ทั้งสามคนอยู่ในระดับความสูงสายตาเดียวกัน
“แวะกินไอติมด้วยนะคะพ่อปอนด์” เด็กหญิงกำลังออดอ้อน ศรารัณอยากจะใจอ่อนทว่าวันนี้ชลพิกา ภรรยาของเขากำชับมานักหนาว่าให้รีบกลับบ้าน
“วันหลังนะคะ วันนี้คุณแม่ให้รีบกลับบ้านค่ะ” เด็กหญิงหน้าเศร้านิดหนึ่งเมื่อได้ฟังคำตอบแต่เธอก็พยักหน้าเข้าใจ
“เก่งมากค่ะ” ศรารัณเอ่ยชมบุตรสาวพลางเอื้อมไปรับร่างของลูกสาวมาอุ้มเอง
“แล้วแกจะไปที่บ้านด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะเดี๋ยวไปกับไอ้ชัดต่อ”
“กลับคอนโด?”
“เปล่า” ชายหนุ่มยิ้มอย่ามีเลศนัย
ศรารัณรับฟังแล้วส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงอีกคนออกมาต่อหน้าบุตรสาวเพราะเด็กมักจะจับความรู้สึกได้ค่อนข้างไว
เขาจึงเลี่ยงไปว่า “รีบกลับบ้านด้วยล่ะ”
“ครับ” ปาณัสม์บอกแล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มหลานสาว
“ขอแว่นอาคืนด้วยค่ะ อาไปก่อนนะคะ”
“บ๊ายบายค่ะ มาหาหนูอีกนะคะอาปาล” ศราลักษณ์โบกมือจนแทบหักกระทั่งผู้เป็นอาหายไปจากบริเวณโรงเรียน หญิงสาวจึงหันไปกอดคอคุณพ่อ
“กลับบ้านไปหาคุณแม่กันค่ะ”
แล้วใครเล่า จะไม่รักเด็กคนนี้
.
.
“กลับบ้านเลยไหมครับคุณปาล” ชัดเจนถามเมื่อปาณัสม์ขึ้นมานั่งในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว
“ยัง เพิ่งหัววันเอง”
“เมื่อคืนคุณปาลไม่ได้นอน กลับไปพักดีกว่าไหมครับ” ชัดเจนบอกด้วยความเป็นห่วง
“ซัดกาแฟไปสองแก้วตอนนี้ดีดเลย ตาสว่างโคตรๆ หรือนายง่วง? จะกลับไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันขับรถกลับเอง” ปาณัสม์ทำเสียงสดชื่นราวกับได้นอนมาทั้งคืน โดยไม่ลืมนึกถึงอีกฝ่าย
“เปล่าครับ ผมได้นอนพักมาบ้างแล้ว แต่ผมว่าคุณปาลควรจะพัก” ชัดเจนหันกลับมาพูดกับเจ้านาย
“พักก็ได้” ปาณัสม์ยกมือยอมแพ้ก่อนจะลงจากรถแล้วมานั่งเบาะหน้าข้างคนขับแทน
“มานั่งตรงนี้ทำไมครับ” ชัดเจนขมวดคิ้วถาม
“นี่ไง นอน” ชายหนุ่มยิ้มขณะปรับเบาะเอนจนสุด
“ผมหมายถึงไปนอนที่คอนโดต่างหาก” ชัดเจนส่ายหน้ากับพี่ชายร่วมบ้าน พอพูดประโยคถัดมาชัดเจนกลับลดเสียงลงด้วยความเกรงใจ “คุณเทมส์จะได้ไม่เป็นห่วง”
“เขาไม่ห่วงกูหรอก” ปาณัสม์ตอบพลางหลับตาลงตัดบทไม่อยากคุยต่อ ชัดเจนอยากจะถามต่อว่าคุณปาลรู้ได้อย่างไรว่าคุณเทมส์ไม่ห่วง
“เดี๋ยวผมขับไปหาที่จอดดีๆ แล้วค่อยพักนะครับ” ปาณัสม์เลือกไม่ตอบ ชัดเจนเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงขับรถออกไป
==============================
คุยกันเล็กน้อยค่ะ
เรื่องนี้เป็นโรแมนติกดราม่า (มั้ง?) ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
โทนของเรื่องจะเป็นสีเทาหม่นทั้งเรื่องไหม? --- ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นค่ะ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขมอยากเล่าถึงความสัมพันธ์ที่รักกันหลังจากตอนจบเวลาที่เราดูละครหรือดูหนัง
หลายคู่ไม่ได้แฮปปี้ ไม่ได้มีความสุขเหมือนรักกันใหม่ๆ อย่างเช่นคู่นี้ค่ะ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักกัน
บางครั้งที่เรามองคนข้างกายแล้วคิดว่า เราจะไปต่อหรือหยุดนั่นแหละค่ะ คือจุดเริ่มต้นของความคิดและ
จะเป็นสิ่งที่ผลส่งผลการกระทำในวันข้างหน้า
ทั้งที่อยากแต่งเรื่องแนวนี้ แต่ยอมรับว่าตอนแต่งกลับหดหู่เลย
และหวังว่าจะสื่อความรู้สึกและอารมณ์ของตัวละครให้คนอ่านทุกท่านได้เข้าใจ
HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า
ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ
Twitter และ
Facebook