Chapter 10 : “คุณถามผม...”
(( อรุณสวัสดิ์ครับ ))
“อรุณสวัสดิ์”
ผมตอบด้วยเสียงปลอดโปร่งหลังออกมาคุยโทรศัพท์ที่นอกระเบียง วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติเป็นพิเศษ พอได้รับอากาศสดชื่นจึงชวนให้จิตใจเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก
(( เสียงคุณดูสดใสจังเลย มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเหรอครับ ))
“เมื่อคืนฉันไม่ฝันล่ะคาร์เรย์” ผมพูดกึ่งอวด “แถมยังหลับสนิทถึงเช้าเลยด้วย”
(( ดีแล้ว )) คาร์เรย์ตอบกลับอย่างโล่งใจ (( คุณคงไม่รู้ว่าทุกคืนที่อยู่ที่นี่ผมเป็นห่วงคุณจนนอนไม่หลับ กลัวว่าคุณจะตื่นมาตอนกลางคืน กลัวว่าคุณโทรมาแล้วผมจะไม่ได้ยินเสียง...แต่ฟังแบบนี้ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ ))
“คาร์เรย์...” ผมครางในลำคอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ความรักของเขาก็ทำให้ผมอบอุ่นหัวใจเสมอ
(( ถึงจะน่าโมโห แต่กลับไปคงต้องขอบคุณหมอนั่นสักหน่อย ))
“หมอนั่น? เลียมน่ะเหรอ?” ผมถามสงสัย เมื่อหันไปมองผ่านประตูกระจกที่กั้นระหว่างระเบียงและห้องนอน ก็พบว่าไอ้เด็กเวรที่กำลังจัดเตียง แถมยังก้มหน้าก้มตากวาดห้องเป็นการชดเชยที่ทำลายข้าวของในห้องครัว ทำตามคำสั่งผมแบบไม่อิดออดสักนิด
จริงสิ...เมื่อวานไอ้เด็กเวรนี่กระตือรือร้นเกินเหตุ ตอนไปเล่นบาสก็ท่ามากจนผมทนไม่ไหวต้องวิ่งไล่ตาม ไม่งั้นคงไม่เหนื่อยขนาดนั้น และเลียมก็คงไม่เจ็บตัวขนาดนั้นด้วย แถมยังเอาแต่ใจ บังคับจะเล่นครอสเวิร์ดกับผมจนกว่าจะเต็มกระดานให้ได้ บอกว่าเป็นความฝันตั้งแต่ตอนเด็กๆ บ้างล่ะ อยากทดสอบความรู้กับผมบ้างล่ะ ในฐานะคนที่แก่กว่า ผมก็ย่อมไม่ยอมแพ้กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็อยู่ในท่านอนถูกห่มผ้าอย่างดีเหมือนเมื่อวันก่อนไม่มีผิด
ทั้งหมดนั่น...เลียมจงใจงั้นเหรอ!?
ผมเพิ่งฉุกใจคิดเอาตอนนี้นี่เอง ความจริงทั้งหมดมันช่างง่ายดาย ในเมื่อไอ้เด็กเวรแสดงให้เห็นมาตลอด แต่เพราะผมยังคงปิดกั้นใจตัวเอง มองอีกฝ่ายแค่เพื่อน จึงไม่คิดประติดประต่อให้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่พอคาร์เรย์ทักขึ้นมา ก็รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้น...
หวังดีกับผมมากแค่ไหน
ราวรู้ว่าถูกจ้อง เลียมจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม เอาไม้กวาดทำท่าขี่เหมือนพ่อมดในนิยายพลางทำหน้าตลกๆ จนผมเผลอยิ้มออกมา
(( ที่รัก? ))
“ไม่มีอะไร แค่ขำเลียมนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบคาร์เรย์ ก่อนจะหันออกไปนอกระเบียงเหมือนเดิม “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่นอกใจนายหรอกน่า ถึงเลียมจะทำเพื่อฉันมากมาย แต่คนที่ทำให้ฉันเชื่อว่ารักมีแค่นายคนเดียว...คาร์เรย์”
เพราะอีกฝ่ายก็ทำเพื่อผมมากมายเช่นกัน
มากกว่าเลียมหลายร้อยเท่าซะด้วยซ้ำ!
“กลับมาเร็วๆ ล่ะ”
(( ครับ ที่รัก ))
ปลายสายถูกตัดไป ผมมองโทรศัพท์ในมือ รู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าเสียงของคาร์เรย์ดูเย็นชากว่าปกติเล็กน้อย
อยากจะลองโทรไปพิสูจน์อีกครั้ง แต่ไอ้เด็กเวรที่พอเห็นผมวางสายก็เปิดประตูกระจกเสนอหน้าเข้ามาก็ทำให้ต้องปัดความคิดนั้นทิ้ง เพราะมันว่าจะลองทำอาหารเช้าอีกสักรอบเป็นการแก้มือ...แล้วคิดว่าผมจะยอมให้มันพังครัวอีกรึไง ฝันไปเถอะ!
‘น่าเบื่อ...น่าเบื่อจังเลย’
‘ทำอะไรให้พี่สนุกหน่อยสิ โอกาสสุดท้ายแล้วนะเจย์เดน’
ผมสะดุ้งเฮือก ทำเอาไอ้เด็กเวรที่นั่งกินป็อปคอร์นอยู่ข้างๆ พลอยสะดุ้งไปด้วย แม้จะนั่งโซฟาตัวเดียวกันแต่ผมกับเลียมแบ่งกันนั่งคนละมุม ไม่ให้มาเบียด มาซบ มากอดเด็ดขาด เพราะเมื่อวานออกกำลังกายซะเหนื่อยจนแอบปวดกล้ามเนื้อน้อยๆ วันนี้มันเลยเสนอให้ดูหนัง เพราะมันมีเรื่องเด็ดๆ จากใต้ดินมาอวด
ซึ่งผมคงจะสุนทรีย์กว่านี้...หากไม่ติดว่าเรื่องนั้นเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตซึ่งเที่ยวจับคนที่ถูกใจมาขังแล้วทรมานด้วยวิธีต่างๆ สมกับเป็นหนังใต้ดินล่ะครับ เลือดสาด ไร้เหตุผล ไม่มีการย้อนความถึงอดีตที่ควรรองรับถึงการกระทำ มีแค่การทรมาน ความสะใจ และความบ้าคลั่งเท่านั้น
“ไม่นึกว่าคุณจะกลัวอะไรแบบนี้นะเนี่ย”
ไอ้เด็กเวรชะโงกหน้ามองผมอย่างแปลกใจ คงเพราะไม่ว่าจะดูหนังกี่เรื่องผมก็มักจะทำหน้าเบื่อ มันถึงยอมลงทุนไปซื้อแผ่นใต้ดินมากะให้ผมมีอารมณ์ร่วมซะบ้าง
ผมไม่ตอบ แต่กดปิดอย่างทนดูต่อไม่ไหว จากอารมณ์ดีๆ เมื่อเช้าหายวับ เพราะคำพูดในหนังนั้นช่างคล้ายกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนไม่มีผิด
“ผมขอโทษ...”
“ช่างเถอะ” ผมไม่ยอมรับคำนั้น ทั้งที่คนพูดเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันผิดตรงไหน ไอ้เด็กเวรเลิกลั่ก หน้าเสียไปวูบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นสีหน้าจริงจังพลางเดินไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าออกมา
มันส่งให้ผม ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ดูลังเลผิดกับนิสัยกล้าได้กล้าเสียโดยสิ้นเชิง มันทำให้ผมนึกได้ว่าเมื่อวานมันก็ทำแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ปล่อยไป ซึ่งครั้งนี้...มันไม่ยักปล่อยผ่านไปเหมือนเดิม
ผมมองแฟ้มในมือ สังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“เจย์เดน...”
ไอ้เด็กเวรบีบมือผมแน่น
“ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่อยากให้คุณลองอ่านดู...”
ผมว่าพลางปล่อยมือผม แล้วนั่งนิ่งแบบนั้นเหมือนคนตาย
ผมเปิดแฟ้มเชื่องช้า รู้สึกมือสั่นน้อยๆ ก่อนใจจะตกไปถึงตาตุ่มเมื่อพบว่าเอกสารในนั้นคือภาพการตายของเพื่อนรักพ่อ ศพนั้นดำเป็นตอตะโก อยู่ในท่าถูกจับมัดไขว้หลัง และเมื่อพลิกไปหน้าถัดไปเรื่อยๆ...ก็พบกับศพของคนคุ้นตาในสาเหตุที่แตกต่างกันไป คนนี้...คนที่เคยตั้งข้อหาพยายามทำร้ายร่างกายกับผม เขาถูกโจรแทงยับยี่สิบแผล ตายก่อนที่รถพยาบาลจะไปถึงซะอีก ส่วนตัวโจรนั้นจับไม่ได้เพราะก่อเหตุตอนกลางคืน ทำทีเป็นขับรถชนแล้วโทรเรียกประกัน แต่เมื่อผู้ตายเดินลงมาก็ฆ่าทิ้งแล้วชิงทรัพย์ ก่อนจะขับรถหนีไปทันที
อ่า...อีกคนก็เหมือนกัน คนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของผม เป็นอีกหนึ่งที่อ้างว่าเป็นพยานตอนที่ผมพยายามฆ่า ทั้งที่เป็นคนจัดฉากให้ผมเจอกับผู้บัญชาการและเกือบถูกปล้ำ หมอนี่ตายสบายหน่อย เพราะสายเบรกถูกตัด ขับรถเซตกข้างทาง อัดกับบ้านหลังหนึ่งเสียชีวิตคาที่
แล้วยังคนอื่นๆ อีกเกือบสิบราย จริงอยู่ว่าผมพอรู้ว่าพวกเขาตายยังไง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพถ่ายชัดๆ
ผมปิดแฟ้ม วางบนตัก ก่อนจะตั้งสติพลางเงยหน้าสบตากับเลียม
“คาร์เรย์เป็นฆาตกร...คุณเข้าใจผมมั้ย เขาเป็นฆาตกร...ฆาตกร ‘ตัวจริง’”
เป็นครั้งแรกที่เลียมยอมเรียกชื่อคนรักของผม
...มิน่าล่ะถึงให้ผมดูหนังเรื่องนั้น เพราะในตอนจบ ฆาตกรได้จับตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่หลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ และเขาเองก็รักผู้หญิงคนนั้นมาก จึงจับเธอขังและทรมานอย่างยาวนานเป็นพิเศษ และนั่นทำให้ผมทนดูไม่ได้จนกดปิดไป
เลียมคงไม่คิดว่าคาร์เรย์จะทำกับผมแบบนั้นหรอกนะ
“นายไปสืบมาได้ยังไง” ผมถามเสียงเรียบ จ้องตากับเลียม ขณะที่ไอ้เด็กเวรทำหน้าประหลาดใจที่ไม่เห็นผมตกใจสักนิดเดียว
“นี่คุณ...อย่าบอกนะว่า...”
“ตอบคำถามฉัน” ผมเอ่ยแทรก “นายไปสืบมาได้ยังไง บอกมาตามตรง เลียม”
ไอ้เด็กเวรอ้าปากพะงาบหลายครั้ง มองผมด้วยดวงตาวูบไหว เสี้ยวหนึ่งผมเห็นมันคล้ายจะสติหลุดไปซะด้วยซ้ำ ก่อนเลียมจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ตบหน้าตัวเองแรงๆ แล้วหันมาสบตากับผมอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
“เพราะคุณละเมอออกมา...” เลียมตอบ “วันที่คุณหมดสติและเข้าโรงพยาบาล...คืนแรกที่คุณฝันร้าย คุณละเมอออกมาดังลั่น ละเมอถึงชื่อของคนหลายคน อีกทั้งยังร้องไห้หนัก”
กลายเป็นผมซะเองที่หลุบตาต่ำ คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเผอเรอได้ถึงขนาดนี้
ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยพูดชื่อใครคนไหนออกมา หรือต่อให้ป่วยหนักแค่ไหน ก็ไม่ควรที่จะพูดชื่อได้ครบขนาดนั้น!
บางที...ตอนที่ผมกลัวขึ้นสมองเพราะอดีต ความรู้สึกส่วนลึกในใจกับการตายของพวกเขาคงปรากฏออกมาในยามที่ผมอ่อนแอ...
ความรู้สึกที่ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นมาตลอด
“ตอนนั้นผมก็จดจำชื่อพวกนั้นไว้ในใจแล้ว...พอกลับไปตรวจสอบ ก็พบว่าคนพวกนี้ตายทั้งหมด ตายในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างมากซะด้วย แถมยังเชื่อมโยงไปยังคนอื่นๆ อีกเล็กน้อย รวมแล้วนับสิบราย” เลียมว่าพลางหยิบมือถือออกมาเพื่อเปิดแผนที่ให้ผมดู “เจย์เดน...ระยะเวลาการตายของพวกเขาทั้งหมดไล่จากเมืองใหญ่มาถึงที่เมืองนี้...”
ไอ้เด็กเวรลากนิ้ว ชี้ไปยังแต่ละจุดประกอบการอธิบาย ใช่...คนที่ตายคนแรกอยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด ขณะเดียวกัน คนที่ตายคนสุดท้ายก็อยู่ใกล้ตัวผมมากที่สุด
เพื่อนรักของพ่อ...เขาอยู่เมืองถัดจากผมไปนี่เอง มันคงน่าขำ เพราะท้ายที่สุดผมก็ถูกย้ายมาจนใกล้เพียงแค่นี้
“ผมไม่อยากจะคิด...แต่ก็ต้องคิด ดวงตาของคาร์เรย์นั้นคือดวงตาของฆาตกร ฉะนั้นเมื่อลองสืบลึกถึงตารางการเดินทาง ผมก็พบว่ามันตรงกันพอดี”
เลียมเดินไปหยิบเอกสารส่งให้ผมอีกฉบับ นั่นคือภาพกล้องวงจรปิดที่เห็นรถของคาร์เรย์ขับผ่านตัวเมืองตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไอ้เด็กเวรรู้เลขทะเบียนอยู่แล้ว เมื่อรู้เวลาการตายของเหยื่อแต่ละคน จึงสามารถระบุข้อมูลเพื่อจำกัดขอบเขตในการหากล้องวงจรปิดได้ง่ายๆ
“ไม่มีใครคาดคิด เพราะเขาไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง ไม่แม้แต่จะรู้จัก อีกทั้งยังมีหน้าที่การงานใหญ่โต แม้จะอยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น ก็ไม่มีใครกล้าจับเขาเป็นผู้ต้องสงสัย...”
ยิ่งอธิบายเสียงเลียมก็ยิ่งนิ่งขึ้น ต่างกับตัวผมที่แทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แต่จากที่คุณละเมอออกมาวันนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะคนพวกนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคุณแน่ๆ”
แต่ต่อให้เลียมพยายามสืบแทบตายแค่ไหน ก็ไม่มีวันรู้ถึงสิ่งที่พวกนั้นทำกับผมได้หรอก
เพราะทุกคนอย่างล้วนเป็นความลับ มีเพียงตัวผมเท่านั้นที่รู้เห็นทั้งหมด ส่วนคาร์เรย์นั้นเพียงใช้ข้อสันนิษฐาน เขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพวกนั้นทำกับผมอย่างไรบ้าง เขาแค่...
เขาแค่ ‘กำจัด’ อดีตของผมทั้งหมด!
ผมเคยถามคาร์เรย์ครั้งหนึ่ง ว่าในเมื่อเขาเพิ่งได้ยินความจริงจากปากผมในวันที่พบกัน แล้วทำไมจึงตัดสินโทษตายให้คนเหล่านั้นอย่างแม่นยำได้ ตอนนั้น...คนรักเพียงยิ้มอ่อนโยน จูบขมับผมแผ่วเบา ก่อนสารภาพว่าทุกครั้งที่ผมถูกโยกย้าย เขาตามสืบทั้งหมดว่ามีใครเกี่ยวข้อง จากนั้นจึงตัดสินโทษโดยไม่ลังเล
ถึงได้มีผู้เคราะห์ร้ายมากมายขนาดนี้
สามในสิบจากในนั้น เป็นแค่เพื่อนร่วมงานธรรมดาที่มีส่วนรู้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ถูกฆ่าทิ้งด้วยเหตุผลที่หากรู้เข้าคงกระอักเลือดออกมา แน่นอนว่าผมรู้สึกผิด แต่ก็ยังจำได้ดีว่าแม้คนเหล่านั้นจะไม่เคยคิดร้ายกับผม แต่ก็ไม่แม้แต่จะช่วยเหลือผมเช่นกัน พวกเขาทำราวกับสิ่งที่ผมโดนนั้นสมควรอยู่แล้ว ฉะนั้นผมจึงถือว่าการที่เขาโดนลูกหลงไปเช่นนี้ ก็นับเป็นสิ่งสมควรที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน
อ่า...ทั้งหมดเพราะคนทำคือคาร์เรย์
“คุณรู้...ใช่มั้ย คุณรู้แต่แรกว่าเขาคือฆาตกร แต่ก็ยังคบกับเขาเนี่ยนะ!”
หลังความเงียบครอบงำเป็นเวลานาน เลียมที่เปิดเผยหลักฐานทุกอย่างก็ตะโกนออกมาอย่างอดไม่ไหว
ผมเคยคิดว่าที่ไอ้เด็กเวรทำตัวนิ่งเมื่อเจอหน้าคาร์เรย์เป็นเพราะเกรงใจและหวาดกลัว แต่ไม่ใช่เลย...เลียมเพียงสังเกตนิ่งๆ เพื่อตลบหลังต่างหาก ตอนนั้นเขาคงรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่รอจังหวะที่จะบอกผม ให้ผมได้รู้ความจริง และให้ผมปฏิเสธตัวตนของคาร์เรย์
คนรักของผมคือฆาตกร!
แต่ว่า...
“คาร์เรย์ฆ่าเพื่อฉัน” ในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอ แม้ว่าจะมันแหบแห้ง เพราะถูกความจริงมากมายทับถมจนแทบสู้หน้าเลียมไม่ไหว เขาเป็นตำรวจ...เขาย่อมรู้ว่าข้อหาฆ่าคนโดยวางแผนนั้นร้ายแรงแค่ไหน และหากอีกฝ่ายยืนยันที่จะจับคาร์เรย์...
ผมคงไม่อยู่เฉยๆ แน่นอน!
“ถ้านายจะใช้หลักฐานเหล่านี้เพื่อจับตัวเขา ก็จับฉันซะเถอะ เพราะต้นเหตุที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อฉันทั้งนั้น” ผมเงยหน้าสบตาไอ้เด็กเวรอย่างแน่วแน่ “เพราะเขารักฉัน รักมากเกินไป รักจนทำได้ทุกอย่าง ถึงได้ลงมือแบบนี้...เขายอมเป็นฆาตกรเพื่อลบอดีตของฉัน เขายอมถูกกล่าวหาเพื่อให้ฉันมีความสุข เลียม...นายเคยถามไม่ใช่หรือว่าทำไมฉันถึงยอมคบกับคาร์เรย์ ทั้งหมดเพราะเหตุผลนี้ไง!”
ผมหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อด้วยความร้าวรานจากหัวใจ
“มีใครทำเพื่อฉันได้ขนาดนี้อีกมั้ย! จะมีใครรักฉันได้มากเท่านี้อีกมั้ย! ต่อให้เป็นนาย...นายจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเป็นฆาตกรเพื่อฉันมั้ยเลียม!!”
ใช่ว่าจะไม่รู้สึก แต่เพราะความจริงที่คาร์เรย์ทำเพื่อผม ทำให้ไม่อาจปฏิเสธตัวตนของเขา!
พลันดวงตาถือดีของไอ้เด็กเวรวูบไหว แค่เห็นผมก็รู้แล้วว่าเขาทำแบบนั้นไม่ได้
“เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงปฏิเสธนาย” ผมยิ้มขื่น รู้ดีอยู่แล้วว่าคำรักและการกระทำทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความใคร่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อวัดกันจริงๆ จะมีใครบ้างที่รักถึงขั้นทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง
ความรักเพียงแค่นั้น...ผมไม่ต้องการ
อดีตสอนให้ผมเลิกตั้งความหวัง เลิกฝันถึงชีวิตแสนหวาน ไม่ว่าจะเคยมีความทรงจำร่วมกันมากแค่ไหน ท้ายที่สุดก็สามารถเหี้ยมโหดได้อย่างที่สุด ไม่ว่าจะเคยพร่ำบอกว่ารักแสนรัก แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นคนที่ใจร้ายกับผมยิ่งกว่าใคร
นี่หรือความรัก?
พอกันที!
แต่ถ้า...เป็นคาร์เรย์ล่ะก็...
คนรักที่สมบูรณ์แบบ ผมเลิกวาดฝันนานแสนนานเหลือเกิน ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น และไม่ต้องการใครอื่นอีก แต่เมื่อเจอคาร์เรย์ ผมก็เปลี่ยนไป เพราะเขาได้มอบความรักให้ได้ยิ่งกว่าที่เคยคิด มอบความจริงใจให้ผมยิ่งกว่าที่เคยได้รับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทะลักล้นจนผมแทบสำลัก แต่กระนั้นก็มีความสุขเหลือเกิน
บางทีความรักแท้จริงที่ผมโหยหามาตลอด คงเป็นเช่นนี้
รัก...จนแทบคลั่ง!
“เจย์เดน” พลันเสียงสั่นเครือเรียกสติผมให้กลับคืนสู่ความจริง ไม่รู้ว่าเลียมเห็นสีหน้าผมแบบไหนกันแน่ เขาถึงจับมือทั้งสองผมแน่น พร้อมกับน้ำใสหยดหนึ่งพาดผ่านใบหน้านั้นอย่างเงียบเชียบ
เขา...ร้องไห้
“เจย์เดน...คุณเจออะไรมากันแน่ถึงได้ต้องการความรักที่บิดเบี้ยวขนาดนั้น” เลียมเอียงหน้าซบกับฝ่ามือข้างหนึ่งของผม จับอีกข้างแน่นไม่ปล่อย “คุณไม่เชื่อในความรักที่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วใช่มั้ย คุณไม่เชื่อในตัวผมเลยใช่มั้ย”
“...ใช่”
ผมตอบ แม้จะเห็นเลียมร้องไห้เงียบๆ ตรงหน้า ผมก็ไม่รู้สึกสงสารแม้แต่นิดเดียว
“ผมรักคุณ”
เลียมสารภาพรักอย่างเป็นทางการครั้งแรก
“ผมรักคุณ...แม้จะพูดคำนี้อีกกี่ครั้ง คุณก็ไม่เชื่อในความรักของผมใช่มั้ย”
“...ใช่” ผมตอบอีกครั้ง วูบหนึ่งในใจรู้สึกผิดอย่างประหลาด แต่นั่นก็แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น เลียมไม่เคยทำให้ผมเชื่อ เพราะเขามอบความรักให้ผมเช่นกับที่ผมเคยได้รับมาก่อน ความรักที่หักหลังได้อย่างง่ายดาย...ความรักที่แสนเปราะบาง
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เลียมรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาทำมาเพื่อผมทั้งหมดมีแต่ความว่างเปล่า
ไม่ต่างกับน้ำซึมบ่อทราย
“ที่รัก...”
“อย่าเรียกแบบนั้น” ผมดึงมือออก แต่เลียมก็ยังเอื้อมจับไม่ปล่อย เขาไม่ได้เอาหน้าซบอีกแล้ว น้ำตาเองก็หยุดไหล ราวกับว่าเมื่อครู่เป็นการอกหักครั้งแรกทั้งที่ผมปฏิเสธเขามาเนิ่นนาน
เลียมกุมมือผมนิ่งๆ ไม่แม้แต่จะเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าตัวเอง
“เจย์เดน” ไอ้เด็กเวรแก้คำเรียกใหม่ แต่น้ำเสียงยามเอ่ยนั้นไม่ต่างกับตอนที่เขาเรียกผมว่าที่รัก “ผมรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อ แต่ผมก็อยากพูด เพราะผมยังตัดใจจากคุณไม่ได้”
ผมนั่งนิ่งให้เขาทำตามใจชอบ นึกอยากรู้ว่าทั้งที่ไร้ซึ่งความหวังถึงขนาดนี้ เขายังจะพูดอะไรออกมาได้อีก
“คุณถามผม...ว่าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเป็นฆาตกรเพื่อคุณมั้ย”
เลียมจ้องหน้าผมแทบไม่กะพริบ
“ผมตอบคุณเลยว่า ‘ไม่’”
ผมเผลอยิ้มออกมา ว่าแล้วไม่มีผิด คนอย่างเลียม หากทำแบบนั้นได้ก็คงไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป
น่าแปลกที่ในใจรู้สึกเจ็บจี๊ดจนต้องเก็บสีหน้าไว้
คงเพราะผมยังแอบหวัง...หวังว่าอาจจะมีเลียมอีกสักคนที่รักผมได้มากขนาดนั้น
แม้รู้ดีว่าไม่มีทาง
“ฉันรู้อยู่แล้ว” ผมหลุบตาเล็กน้อย พยายามเก็บซ่อนความในใจ
“คุณยังฟังไม่จบ” เลียมกำมือผมแน่น บังคับให้เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “แม้ผมจะเป็นฆาตกรเพื่อคุณไม่ได้ แต่เจย์เดน โปรดจำคำของผมให้ดี...
ผมตายเพื่อคุณได้...ที่รัก”--------------------
ใจอ่อนกับเลียมบ้างมั้ยคะ QAQ!!
ที่แน่ๆ คือตอนแต่งนี่จอ่อนยวบไปทางเลียมมาก สงสารเลียม แต่ก็สงสารเจย์เดน ในตอนนี้อธิบายเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมเจย์เดนถึงเลือกคาร์เรย์ และไม่หวั่นไหวกับเลียมเลย ฮือออ ขอย้ำอีกครั้งงง เจย์เดนไม่เอามาซบอกป้า แค่กๆ..มาซบอกทางนี้ก็ได้นะลูกก ฮืออ เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนเต็มใจรับ
ปล.ตอนหน้าพ่อหนุ่มฆาตกรกลับมาของจริงล่ะค่ะ มาพร้อมกับ...อุ๊บ!!
ปลล.ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆ ค่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจมาก ดีใจที่ร่วมเชียร์หนุ่มฆาตกร คาร์เรย์แฟนคลับเยอะกว่าที่คิดมาก