บทที่ ๒๓ (ครึ่งแรก)“แน่ใจนะชายปราณที่จะไม่ไปกับแม่ด้วยน่ะ”
คุณหญิงช่อทิพย์เอ่ยถามขึ้นในช่วงเช้าตรู่ วันนี้เธอกับลูกอีกสองคนจะเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ โดยมีชายปุณเป็นคนขับรถส่วนตัวให้ เนื่องจากร้านเสื้อของหญิงรตีเสร็จแล้ว และจะเปิดไม่กี่วันข้างหน้าจึงต้องเอารถของสาวเจ้าขับขึ้นไปให้เพื่อจะได้มีรถยนต์ใช้ได้สะดวกๆ
“แน่ใจครับ ผมติดสอนเลื่อนไม่ได้ไว้ถ้าผมสอนเสร็จจะรีบตามขึ้นไปอย่างแน่นอนครับ”
คุณชายปราณยืนยันพร้อมยิ้มหวาน มารดาที่ใจห่วงลูกชายเพราะใจมันคอยพะวงว่าลูกรักอยู่วังคนเดียวจึงห่วงไปหมด ต่อให้มีคนรับใช้อยู่เต็มวังก็ตามแต่ก็ไม่วางใจเท่าลูกอยู่ในสายตาอยู่ดี
“ยังไงก็ให้หมออนันต์เขามาอยู่เป็นเพื่อนนะลูก อยู่วังคนเดียวแม่เป็นห่วง”
“คุณหญิงแม่ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ รายนั้นเขามาเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นยังไงก็ต้องมา พี่ชายกลางได้คนดูแลดีขนาดนี้คุณหญิงแม่วางใจได้เลย” หญิงรตีจีบปากจีบคอพูดจึงโดนพี่ชายตีไหล่ให้เบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ ชอบแซวพี่ ตัวเองหนีไปอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวระวังจะคิดถึงบ้านร้องไห้ขี้มูกโป่ง” ชายปราณเอ่ยแซวกลับบ้างทำเอาหญิงรตีถึงกับยู่ปาก
“นั่นสิคะ หญิงก็กลัวตัวเองเหงาเหมือนกัน”
“มาๆ น้องพี่อย่าได้กลัวไป เดี๋ยวถ้าพี่ว่างจะพาคุณหญิงแม่ไปเยี่ยมบ่อยๆ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก” ชายปุณกอดน้องสาวคนเล็กแล้วลูบหัวปลอบเมื่อบรรยากาศพาโศกเศร้าเกินไปแล้ว
พี่น้องทั้งสามกอดลากันก่อนจะหันมากอดล้อมมารดาเอาไว้ ไปครั้งนี้คุณหญิงช่อทิพย์กะว่าจะไปอยู่จนกว่าลูกสาวจะเปิดร้านเลย ส่วนชายปุณจะอยู่เพียงแค่สองสามวันและกลับมาก่อน แล้วค่อยขึ้นไปอีกทีพร้อมชายปราณตอนใกล้วันเปิดร้านอีกที
รถยนต์ยุโรปมีสัมภาระเสื้อผ้าของคนทั้งสามจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือหญิงรตีบอกว่าค่อยฝากให้ชายปราณเอาไปให้ตอนจะไป เมื่อตรวจของเสร็จสรรพว่าครบทุกอย่างแล้วคนทั้งสามก็ขึ้นรถโดยมีคุณหญิงช่อทิพย์นั่งข้างหลัง
การเดินทางที่กินเวลาหลายชั่วโมงแต่พวกเขาไม่หวั่น เพราะคิดจะจอดแวะตามรายทางอยู่แล้วด้วย ถือโอกาสเที่ยวไปด้วยในตัวเพราะไหนๆ ชายปุณว่างทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้ม นี่ถึงขนาดลางานไว้ล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ
หลังจากส่งคนทั้งสามออกจากรั้ววังปริพัตรแล้ว ชายปราณก็เดินขึ้นห้องมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปสอน วันนี้เขามีสอนลูกศิษย์ที่อยู่เรียนกันมาได้ราวเกือบปี พัฒนาการทางฝีมือการเล่นเปียโนถึงขั้นประกวดได้แล้ว เขาพยายามผลักดันให้นักเรียนของตัวเองเข้าประกวดอยู่เหมือนกันจึงได้ลงชื่อสมัครไปให้ลูกศิษย์เรียบร้อย ตอนนี้เลยเป็นช่วงซ้อมหนักที่เขาอยากจะทุ่มเทให้กับลูกศิษย์ให้เต็มที่
“อ้าว! คุณอนันต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
เมื่อเห็นแขกประจำของวังยืนคุยอยู่กับสาวใช้ที่โถงทางเดิน ชายปราณในชุดพร้อมออกไปสอนเอ่ยถาม ในมือของอีกฝ่ายมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมถืออยู่ด้วย
“เพิ่งมาเลยครับ คุณชายกำลังจะออกไปสอนใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะ”
อนันต์เดินเข้ามาใกล้ หันมองซ้ายแลขวาไม่เห็นแม่บ้านอยู่ตรงนี้จึงขโมยหอมแก้มนิ่มอย่างรวดเร็ว จึงโดนคนตัวเล็กตีเข้าให้พร้อมตาสวยที่เบิกโตด้วยความตกใจ
“แล้วนี่คุณหญิงช่อทิพย์ออกเดินทางแล้วเหรอครับ”
เขารู้จากคุณชายปุณเรื่องการเดินทางไปส่งน้องสาวที่กรุงเทพฯ แล้ว เพราะฝ่ายนั้นฝากฝังให้ดูแลน้องชายตอนที่ตนเองไม่อยู่วังด้วย
“ไปตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นดีเลยครับ แล้วนี่คุณอนันต์มาหาผมแต่เช้ามีอะไรรึเปล่า คงไม่ได้จะมารับผมอย่างเดียวหรอกใช่ไหมครับ” ชายปราณเอ่ยถามคนรักอย่างรู้ทัน
“ก็แวะเอาเสื้อผ้ามาเก็บครับ เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนใครบางคนที่ตอนนี้ต้องอยู่วังคนเดียว” อนันต์แซวกลับทำเอาชายปราณถึงกับยิ้มขำ
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คุณชายปราณต้องอยู่วังปริพัตรเพียงคนเดียว แต่เขากลับไม่เหงาเลยเพราะมีอนันต์อยู่ด้วย ตื่นเช้าไปทำงานตอนเย็นก็มีคุณหมอไปรับที่สอนเปียโน เรียกได้ว่าสบายเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กับครอบครัวเสียอีก
“ผมอยากกินเป็ดย่าง เราแวะทานเป็ดย่างแล้วค่อยกลับวังกันดีไหมครับ”
ชายปราณเอ่ยถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถในเย็นวันหนึ่ง อนันต์ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีเช่นเดิมหันมายิ้มให้กับคนที่ช่างสรรหาเมนูที่อยากกิน เขาตอบตกลงก่อนจะคว้ามือนิ่มมาหอม ในลำคอก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามวิทยุที่กำลังเปิดเพลงไปด้วย
ตอนนี้ไอ้หาญมีความสุขจนแทบล้นอก ในทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอคุณปราณนอนอยู่ข้างๆ มันคือเรื่องที่ไอ้หาญฝันไว้มาตลอด แม้โชคชะตาจะขัดขวางในชาติก่อน แต่ชาตินี้กลับได้ทุกอย่างสมการรอคอย
พวกเขาแวะทานมื้อเย็นกันที่ภัตตาคารร้านในเมือง เป็ดย่างจานใหญ่ถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมอาหารเมนูอื่นๆ ที่สั่งพ่วงไปด้วย อนันต์แอบเซอร์ไพรส์ชายปราณด้วยดอกกุหลาบที่แอบไปซื้อมาตอนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ คุณชายอมยิ้มเขินจนหูแดงเถือก เขินจนไม่รู้จะเอาสายตามองไปที่ไหนดีเพราะคนที่นั่งตรงข้ามกันมองตนเสียหวานหยด
“ผมรักคุณ รักมาตลอด และไม่เคยคิดจะเลิกรักเลย”
คำสารภาพจากใจของไอ้บ่าวซื่อสั่นหัวใจดวงน้อยของคนฟัง มือเรียวรับดอกไม้หอมมาดม กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มบางก่อนจะจูบลงบนกลีบดอกสีแดงสวย ไอ้มั่นที่แอบยืนมองคนทั้งคู่เพราะอยากให้เวลาสวีตหวานยืนปาดน้ำตา มันดีใจเหลือเกินที่เพื่อนรักมีความสุขแบบนี้
“ผมขอโทษที่เคยทิ้งคุณไป ผมเห็นแก่ตัวจริงๆ ขอโทษนะครับ”
“มันคือเรื่องอดีต ลืมมันไปเถอะครับ”
อนันต์จับมือเรียวขึ้นมาประทับจูบเบาๆ เขาไม่อยากให้คุณชายปราณต้องมาคิดมาก เพราะทุกครั้งที่พูดถึงอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะจำเรื่องราวได้ทั้งหมด
คนทั้งสองอยู่ทานอาหารมื้อพิเศษที่ภัตตาคารอาหารจีนจนเสร็จก็เดินทางกลับวังปริพัตร แม่บ้านออกมาต้อนรับส่วนคนขับรถก็ขับรถอนันต์ไปจอดที่โรงจอดเหมือนอย่างเคย เพราะสองวันที่ผ่านมาอนันต์อยู่ที่นี่ตลอดราวกับเป็นเจ้าของวังอีกคนไปแล้ว
อนันต์ปล่อยให้คุณชายปราณไปอาบน้ำแต่งตัวชำระคราบเหงื่อไคลต่างๆ ให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองนั้นออกมานั่งรับลมอยู่ที่ระเบียงกับไอ้มั่น ไอ้เกลอรักที่ตามติดไปด้วยทุกที่เพียงแต่จะปรากฏกายขึ้นเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เจ้าตัวต้องการเท่านั้น
“กูเห็นมึงมีความสุขเช่นนี้แล้วก็หายห่วง แล้วนี่มึงรู้สึกมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่วะ”
“เหมือนเดิมว่ะ กูไม่ได้รู้สึกว่าตัวกูจะแตกต่างจากตอนที่เป็นไอ้หาญก่อนหน้านี้”
อนันต์ตอบด้วยเสียงเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะเนื่องจากตนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขารู้สึกแค่ว่าตัวเองมีความสุขมากแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนคำสาปมันจะหมดฤทธิ์เมื่อไหร่ก็ปล่อยให้เวลามันดำเนินไป
“มึงคิดไหมว่าถ้ามึงกับคุณปราณอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ไม่มีลูกหลานสืบสกุลจะเป็นเช่นไร”
“ก็ไม่เป็นอะไร กูขอแค่กูมีคุณปราณแค่นี้ก็พอแล้ว ไอ้มั่น...หากชีวิตนี้กูไม่ได้คู่กับคุณปราณ มึงคงแยกกูกับซากศพไม่ออกแน่ๆ สภาพกูตอนนั้นคงเหมือนผีที่ยังมีกายหยาบเพียงแต่ไร้วิญญาณแล้ว พูดเลยนะ...กูไม่อยากอยู่รอเขาอีกต่อไปแม้แต่เสี้ยวนาทีเดียวเลย”
“หึ! ก็ไม่ต้องรอแล้วนี่อย่างไรเล่า กูกับมึงกำลังจะหลุดพ้นแล้ว ว่าแต่...ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่ากูจะได้ไปเกิดใหม่แล้วสิวะ อ่ะ! กูจะขอกับยมบาลว่าให้เกิดเป็นลูกเจ้าคนนายคนสักครั้งล่ะโว้ย คราวนี้แหละไอ้มั่นจะได้ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ ไม่ต้องเดินเท้าเปล่าให้ตีนแตก”
เสียงหัวเราะของสองเพื่อนรักประสานกัน หนึ่งมนุษย์ที่ไม่รู้วันจุดจบของตัวเองกับอีกหนึ่งวิญญาณที่ตามติดกันมาเพราะคำสาบานที่ให้ไว้
“ขำอะไรกันครับ เสียงดังไปถึงข้างในเลย”
ชายปราณเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กในมือที่กำลังซับผมของตนอยู่ เพราะไปทานอาหารข้างนอกมากลิ่นอาหารจึงติดผมจนทนไม่ไหว ต้องสระผมตอนกลางคืนและเช็ดให้แห้งก่อนนอน
“บ่าวคิดว่าถ้าได้ไปเกิดจะไปขอกับยมบาลว่าให้ส่งไปเกิดเป็นลูกคนรวยขอรับ คุณปราณเห็นด้วยไหมขอรับ”
“ผมว่าคงได้นะเพราะมั่นทำความดีช่วยผมกับคุณอนันต์ไว้เยอะเลย ผมจะสวดมนต์อธิษฐานให้มั่นทุกคืนดีไหม ชาติหน้ามั่นจะได้เกิดมามีฐานะสมใจไง” ชายปราณบอกพลางยิ้มกว้าง ก่อนหน้าหวานจะเปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดสงสัย
“แต่มั่นจะรีบไปไหนเราเพิ่งได้เจอกันเอง ผมคิดว่าเราจะต้องไปพร้อมกันเสียอีก”
สองเกลอลอบมองหน้ากันก่อนจะไอ้มั่นจะทรุดกายลงนั่งหมอบบนพื้น ปล่อยให้คุณปราณนั่งบนเก้าอี้แทนที่ที่มันเคยนั่ง สองมือของไอ้ทาสซื่อสัตย์แตะที่ปลายเท้าของเจ้านายไว้ ไอ้มั่นเงยหน้าขึ้นมายิ้มทั้งน้ำตา เพราะถ้อยคำถามที่คุณปราณเอ่ยเมื่อครู่ยิ่งตอกย้ำว่ามันคิดไม่ผิดที่ได้ตามรับใช้คนผู้นี้
“ชีวิตของคุณปราณกับไอ้หาญคงต้องเป็นไปดั่งเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่บ่าวหาใช่มนุษย์ไม่ หากถึงเวลาบ่าวก็คงต้องไปขอรับ”
ชายปราณมองคนที่หมอบอยู่แทบเท้าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขาจับต้องตัวของมั่นไม่ได้อย่างต้องการเพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงวิญญาณ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ที่อีกฝ่ายมีให้เสมอมา
“เรื่องนั้นไว้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ ตอนนี้เราต้องตักตวงความสุขที่หายไปกลับมา ลุกขึ้นๆ มันหมดยุคหมอบกราบกันแล้ว ขึ้นมานั่งด้วยกันบนเก้าอี้นี่แหละ” คุณชายปราณบอกก่อนจะตบบนเก้าอี้เบาๆ เขาไม่อยากพูดเรื่องอะไรพวกนี้ให้เสียบรรยากาศ ไหนๆ ก็เพิ่งจะได้มีความสุขร่วมกันก็ขอตักตวงสักหน่อยเถอะ
“เอ้อ! จริงสิ คุณอนันต์จำบ้านเรือนไทยของผมได้ใช่ไหมครับ คุณวาดให้หน่อยได้ไหม ผมอยากได้มาแขวนไว้ที่นี่ เอาใหญ่ๆ เลยนะครับ”
“คุณชายลองวาดเองไหมครับ ไหนๆ ผมก็สอนให้แล้ว”
“ถ้าผมวาดเองเกรงว่าจะโดนคุณหญิงแม่สั่งให้แม่สายเอารูปไปเผาน่ะสิครับ คุณอนันต์วาดให้น่ะดีแล้ว” ชายปราณหันไปใช้สายตาออดอ้อนคนที่นั่งข้างกัน ไอ้มั่นที่เห็นดังนั้นจะรีบหายตัวออกไปจากห้อง เพราะไอ้เกลอจะได้มีเวลากับยอดดวงใจของมันเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
::::::::::::
วันรุ่งขึ้นอนันต์ต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ส่วนชายปราณมีสอนช่วงสายๆ วันนี้จึงไม่มีสารถีขับรถไปรับไปส่งเหมือนเช่นเคย เจ้าแดงรถคันโปรดถูกนำมาใช้ เขาขับไปบ้านของลูกศิษย์ใช้เวลาสอนราวสองชั่วโมงก็ขับรถไปบ้านเพื่อนที่อยู่แถวในเมืองต่อ มีร้านขนมเปิดใหม่จึงแวะนั่งชิมของหวานสักพัก แต่ไปๆ มาๆ ดันติดลมจนเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายคล้อย
“คุณชายปราณคะ มีโทรศัพท์ถึงคุณชายค่ะ เป็นข่าวของคุณท่านทั้งสาม"
แม่สายหัวหน้าแม่บ้านพูดเสียงสั่น เธอรอเจ้านายของตนเองอยู่แล้วรีบกุลีกุจอออกมาบอกเมื่อเจ้าแดงจอดลง ชายปราณลงจากรถด้วยสีหน้าฉงนสงสัยเพราะสีหน้าแม่สายดูไม่ดีนัก
“มีอะไรเหรอ พี่ชายใหญ่จะกลับวันพรุ่งนี้นี่ หรือจะโทรมาเลื่อนวันกลับ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่...” เสียงแม่สายหยุดไปก่อนน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วเอ่อคลอและไหลลงอาบแก้ม
“เกิดอะไรขึ้นแม่สาย มีอะไร” ชายปราณเร่งคำตอบเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ หลุดเสียงสะอื้น ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นแม่สายร้องไห้แบบนี้เลย ครั้งนี้มันคงเรื่องร้ายแรงจริงๆ จนทำเขาใจคอไม่ดีไปด้วย
“ฮึก...ทางโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ โทรมาบอกว่า...อึก...ฮืออ...คุณ...คุณท่านทั้งสามเสียชีวิต...เพราะ...เพราะอุบัติเหตุค่ะคุณชาย”
ราวฟ้าผ่าลงที่ตัวจนชาไปทั้งร่าง คำว่าโลกถล่มลงตรงหน้าเขาเข้าใจในวันนี้นี่เอง
--##--##--##--##--##--##--
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องนอนในเวลาใกล้เที่ยงคืน ชายหนุ่มที่กำลังจะล้มตัวลงนอนหันไปมองที่ประตูก่อนจะเดินไปเปิด และเห็นหนุ่มเมืองกรุงยืนกอดหมอนหนุนอยู่หน้าห้องในชุดนอน
“มีอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ...ขอผมนอนด้วยได้ไหม”
ณิชเอ่ยถามออกไปน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เพราะตั้งแต่เจอคุณยายคนนั้นเขาก็ใจไม่สู้ดีเลย อยากอยู่ใกล้จีรัชญ์ตลอดเวลา ใจหนึ่งนั้นกลัวคำทำนายของคุณยายจะเป็นจริง อีกใจก็อยากทำให้จีรัชญ์วางในใจตัวเขาเสียที
จีรัชญ์ต้องเป็นคู่แท้ของเขา ต่อให้ไม่ใช่จริงๆ เขาก็จะทำให้เป็นให้ได้ ในเมื่อปักใจรักและรู้สึกดีด้วยมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องผ่านพ้นอุปสรรคไปให้ได้
ชายหนุ่มเจ้าของห้องมองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาประเมินราวอาจารย์มองลูกศิษย์ สายตาจับผิดหรี่มองว่าณิชจะมาไม้ไหน ตอนแรกที่เห็นเงียบๆ นิ่งๆ ไปหลังจากกลับจากซื้อของก็คิดว่าอีกฝ่ายคงเครียดเรื่องงาน แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าณิชคิดอะไรอยู่ หรือเจ้าโชคชะตาจะอยากเล่นตลกอะไรกับเขาอีก
“ห้องผมมันร้อนน่ะ ผมนอนไม่หลับเลย” ณิชรีบพูดต่อเมื่อเห็นว่าจีรัชญ์ยังไม่ตอบตกลงง่ายๆ อีกทั้งไม่ยอมเปิดทางให้เขาเข้าไปในห้องด้วย
“พัดลมเสียเหรอ ให้ผมไปดูให้ไหม”
“ไม่ๆ คือ...ผมแค่...ผม...”
รู้สึกปากหนักขึ้นมาดื้อๆ ยิ่งสายตาของจีรัชญ์ที่มองมามันยิ่งทำให้เขารู้สึกตัวเองเล็กลงจนเหมือนเด็ก เด็กที่กำลังขอร้องผู้ใหญ่ให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ
“เข้ามาสิครับ”
จีรัชญ์ยอมให้ณิชเข้ามาในที่สุด เขาสงสารในสายตาเว้าวอนคู่นั้นที่มองมา ไม่รู้ไปหัดเรียนการช้อนสายตามองมาจากไหน จึงทำให้ใจที่แข็งดั่งหินผาอ่อนยวบไปหมดได้
ณิชเดินเข้าห้องกอดหมอนที่เอามาด้วยไว้แนบอก เขาตรงไปยังเตียงนอนสี่เสาแล้วกระโดดขึ้นเตียงเลือกฝั่งนอนทันที จีรัชญ์ลอบถอนหายใจกับท่าทางคล้ายเด็กน้อยนั้น ก่อนจะปิดไฟอีกครั้งแล้วขึ้นไปนอนข้างกัน
เมื่อทุกอย่างมืดและสงบลงจนรู้สึกว่าจีรัชญ์หลับไปแล้ว ณิชก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาคนที่นอนข้างกัน จากที่นอนชิดเกือบติดริมเตียงเขาขยับเข้าไปใกล้จนรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างใหญ่ เขาซุกหน้าเข้าไปใกล้กับแขนอีกฝ่าย พาดแขนกอดร่างคนที่หลับไปแล้วไว้จากนั้นก็ทิ้งความฟุ้งซ่านที่มีในหัว เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มสงบลง
“คุณมันดื้อ”
เสียงทุ้มของคนที่ทำทีว่าหลับไปแล้วดังขึ้นเบาๆ เขาหันมองคนที่นอนกอดตนอยู่ จีรัชญ์ไม่ได้ยกแขนณิชออกแต่อย่างใด อากาศห้องของณิชอาจจะร้อนจนเจ้าตัวนอนไม่ได้ แต่ห้องเขากลับหนาวจนต้องกอดก่ายกันจนฟ้าสาง
โปรดติดตามส่วนต่อไป