ตอนที่ ๒๓
วันใหม่ . . . ชีวิตใหม่
ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถ ทำให้กระจกมีฝ้าขาว คนที่นั่งเอาหน้าพิงกระจกมองลอดออกไปตามรายทางอย่างแปลกตา สองข้างทางล้วนมีต้นไม้แปลก ๆ ที่เขาไม่คุ้นตา
ต้นอะไรก็ไม่รู้ปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ แต่ทำไมมันไร้ใบหว่า มันคล้ายไม้ทิ้งใบพร้อมกัน หรือว่ามันตายยกสวนกันแน่นะ บอยมันมีคำถามกับตัวเอง เมื่อรถแล่นผ่านสวนยางพาราที่กำลังผลัดใบ
เมื่อวานมันมาถึงกรุงเทพฯ ตอนเช้า มันเข้าไปพักที่บ้านญาติ ก่อนที่จะมาขนส่งสายใต้ที่อยู่แถวปิ่นเกล้า บอยมันไม่ชอบเลยกับสถานีขนส่งที่ดูเล็ก เมื่อมันไปเทียบกับสถานีขนส่งหมอชิต รู้แบบนี้มันนั่งรถไฟต่อไปดีกว่า
แต่พี่ต้นนะสิ . . .
. . . พี่ต้นบอกมันว่า
ที่อำเภอเมืองสุราษฏร์ธานีไม่มีสถานีรถไฟ เพราะสถานีรถไฟสุราษฏร์ธานีนั้นตั้งอยู่ที่อำเภอพุนพิน ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ ที่บอยต้องไปใช้ทุน รถทัวร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบอย
ที่จริงรถควรจะมาถึงตั้งแต่รุ่งสางเสียด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าตอนที่รถวิ่งมาถึงทับสะแก ยางรถยนต์เกิดระเบิดไปเส้นนึง บอยมันจึงเสียเวลาไปร่วมสองชั่วโมง ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ามันมาถึงรุ่งสางมันจะหารถไปยังสถานที่นั้นได้อย่างไรกัน การมาถึงเช้าทำให้บอยมีเวลาที่จะเดินทางเข้าไปรายงานตัวได้ง่ายขึ้นกระมัง
บอยมันเดินทางไกล กว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตรเห็นจะได้
จากจังหวัดที่โอบล้อมด้วยขุนเขา บัดนี้มันมายืนงงเหมือนกะเหรี่ยงตกดอยอยู่ที่จังหวัดริมทะเลแห่งหนึ่งในภาคใต้ เสียงรถสองแถวตะโกนโหวกเหวกเรียกคนให้ต่อรถเพื่อจะเข้าไปในเมือง ขนส่งของที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาราว ๔ กม.
บอยมันชินกับการอยู่ในจังหวัดใหญ่ แบบเชียงใหม่ มันจึงมองที่นี่ด้วยสายตาที่แปลกออกไป ขนส่งมันไม่ใหญ่แบบเชียงใหม่อาเขต แล้วรถราที่จะต่อเข้าในเมืองมันไม่มากเหมือนที่เชียงใหม่
“ไปไหนน้อง เข้าเมืองหม้าย”
คนหน้าตาดุ ๆ ชี้หน้ามัน แล้วพูดกับมันด้วยภาษาท้องถิ่น สำเนียงดุ ๆ ห้วน ๆ บอยมันไม่กล้าตอบ มันฟังไม่รู้เรื่อง มันได้แต่ ก้มหน้าหงุด
เวรเอ้ย!
บอยเฝ้าโทษตัวเอง ห่าบอยเอ้ย ทำไม ไม่เลือกเอาทุนที่มันดีกว่านี้ว่ะ มาเลือกห่าไรที่นี่ มันหงุดหงิดพาลโทษตัวเอง
“ไอ้ไหรบ่าวนี้ ถามไหรก็ไม่แหลง”
ชายคนเดิมพูดอะไรกับมันอีก มันไม่เข้าใจ มันอยากร้องให้ออกมาด้วยซ้ำ เวรกรรมจริง ๆ บอยเอ้ย มันจะไปยังไง จะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดีหว่า
“ไงไอ้เสือ นึกว่าไม่รอแล้วนี่”
บอยเงยหน้ามองคนที่ทักทายมัน
บอยยิ้มตาหยี . . .
. . . พี่ต้นนั่นเอง
มาช้ากว่ามันเสียอีก มันแทบจะกระโดดกอดเลยด้วยซ้ำไป มันดีใจอย่างที่สุด มันนึกไม่ออกเลย ถ้าพี่ต้นไม่มารับมัน มันจะไปยังไงต่อดีหว่า เช้า ๆ แบบนี้ กับสถานีขนส่งเล็ก ๆ มันไม่ชินเลยให้ตายดิ
“ของมีแค่นี้เองเหรอ” พี่ต้นชี้ไปที่สัมภาระของมัน
“ครับพี่ มารายงานตัวก่อนนะพี่ แล้วค่อยขึ้นไปขนของที่เพชรบูรณ์อีกรอบ ผมกลัวแทบตายพี่ นึกว่าจะไม่มารับซะแล้ว” มันบอก พลางลุกตาม พี่ต้นที่หยิบของของมันหิ้วแล้วเดินไปที่รถ
“เอา ก็เอ็งบอก รถยางแตกเสียเวลาราวสองชั่วโมงไง เลยไม่อยากตื่นมาเช้า เป็นไงบ้างมาสุราษฏร์เที่ยวนี้ถึงสุราษฏร์เสียทีคราวที่แล้วไปเกาะเต่าลงทางชุมพรไม่ได้เข้าเมือง” พี่ต้นยิ้มให้มัน ก่อนเปิดกระโปรงหลังเอาของมันไว้ แล้วไปประจำที่คนขับ
“ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวสาย ๆ พี่จะพาเข้าไปที่ทำงานของเอ็ง พี่หยุดได้แค่สองวัน ต้องขึ้นไปทำงานกรุงเทพฯ อีก . . .” คนมารับหันมายิ้มอีกรอบ
“. . . สองวันนี้ จะพาให้รู้จักสุราษฏร์ฯ ให้ทั่วก่อน เวลามาอยู่จริงจะได้ไม่หลง แต่เมืองมันเล็กจิ้ดเดียวเอง ไม่กี่วันมาอยู่ก็ชินไปเองแหละ”
บอยมันเข้าไปนั่งข้างคนขับ มันควรขอบคุณพี่ต้น อย่างน้อยพอพี่ต้นรู้ว่ามันต้องมาใช้ทุนที่สุราษฏร์ฯ พี่ต้นก็บอกกับมันเลย ว่าลงมาวันไหนให้บอกมาล่วงหน้า จะมาพาตะรอนในเมือง ในความโดดเดี่ยวเดียวดาย มันยังพอมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง
“บอบคุณนะพี่ต้น อุตส่าห์ลางาน” มันบอก บอยมันเกรงใจจริง ๆ
“โอ้ย เรื่องเล็กว่ะ หาเรื่องหยุดอยู่แล้วด้วย นี่ถนนเส้นนี้ เขาเรียกถนนสุราษฏร์ฯ – พุนพิน นะ จำไว้ล่ะเลี้ยวขวาไปพุนพิน ซ้ายเข้าเมือง มันเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปกรุงเทพฯ ได้” พี่ต้นบอกเมื่อ ออกมายังถนนใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าเมือง
บอยมันพยักหน้ารับ มันมองสองข้างทาง มันเริ่มเห็นรถราเริ่มมาก เพราะวันจันทร์ เช้า ๆ คนเริ่มออกมาทำงานกระมัง
“นี่ ตรงไปทางโลตัสนั่นเป็นถนนเลี่ยงเมือง คล้าย ๆ ซุปเปอร์ไฮเวย์ที่เชียงใหม่แหละ แต่ที่นี่ถนนเล็กกว่า สุราษฏร์ฯ เป็นจังหวัดที่เพิ่งเจริญมั้ง เพราะสมัยก่อนความเจริญทางภาคใต้ตอนบนไปกระจุกตัวอยู่ที่นครศรีธรรมราช แต่ตอนนี้สุราษฏร์ฯ เริ่มแทรงหน้าแล้วล่ะ ส่วนเส้นที่เราไปนี่ เป็นถนนเข้าเมือง ซ้ายมือนั่นโรงแรมไดมอนด์เพิ่งมาเปิดได้มั้ยนาน”
บอยมองตามพี่ต้นที่ชี้ไปที่อาคารแท่งสี่เหลี่ยมสูง ๆ ที่ริมถนน มันเริ่มจดจำกับสิ่งที่พี่ต้นบอก อย่างน้อยมันยังต้องใช้ทุนที่นี่อีกนาน มันต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่ให้เร็วที่สุด พี่ต้นขับมาเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ อาจเพราะอยากให้มันคุ้นกับสถานที่ ตามที่พี่ต้นบอกก็เป็นได้
“นี่โรงพยาบาลสุราษฏร์ฯ เล็ก ๆ ไม่ใหญ่เหมือนที่เชียงใหม่หรอก ส่วนขวามือนั่น โรงเรียนพาณิชย์กับวิทยาลัยตาปี เดี๋ยวพอเราข้ามสะพานก็จะถึงโรงแรมวังใต้ทางซ้ายมือนะ เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ของจังหวัดมั้ง” บอยมองเมื่อพี่ต้นขับรถข้ามสะพาน ทางริมแม่น้ำมั้ง ทางซ้ายของมันมีโรงแรมที่ค่อนข้างเก่าตั้งอยู่
“แล้วแม่น้ำนี้ล่ะครับแม่น้ำอะไร” บอยมันถาม
ต้นหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ใช่แม่น้ำ นี่เขาเรียกคลองมะขามเตี้ย อยากเห็นแม่น้ำเหรอ เดี๋ยวพาไปดู”
“หัวเราะทำไมพี่ คลองอะไร ทำไมใหญ่จัง”
“คลองจริง ๆ คลองนี้จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำตาปี ตรงข้างหน้านี้แหละ แยกนี้เรียกแยกวัดโพธิ์นะ ถ้าเราเลี้ยวขวาไปในลึก ออกทางเยื้อง ๆ แมคโคร แต่ถนนแคบมาก ส่วนตรงไปนี่เป็นถนนสายหลัก ชื่อถนนชนเกษม เป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการหลายที่ เลี้ยวซ้ายดีกว่านะ อยากเห็นแม่น้ำไม่ใช่หรือ”
พี่ต้นหักพวงมาลัยมาทางซ้าย แล้วบอยมันก็เห็น แม่น้ำสายใหญ่ ที่ขนานไปกับถนน ไกล ๆ ของสายตามันมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ
มันแปลกใจ . . .
. . . ทำไมฝั่งที่มันอยู่เจริญด้วยอาคารพาณิขย์ต่าง ๆ มากมาย
ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว แล้วยังมีสวนสุขภาพที่กลางแม่น้ำอีกด้วย เกาะอะไรหว่า ใหญ่ทีเดียว ดูร่มรื่น มันเคยชินกับจังหวัดที่โอบล้อมด้วยขุนเขา แต่ตอนนี้มันมาอยู่ในจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำแล้วล่ะ
“เกาะตรงนั้น เกาะอะไรเหรอ พี่” บอยมันชี้ไปที่เกาะกลางแม่น้ำ
“เกาะลำพู ไว้จะพาข้ามไปนะ ฝั่งขวานี่ตำรวจน้ำ แล้วก็สถานีตำรวจ ส่วนที่เห็นเป็นศาลาเรือนไทยนั่นนะ ศาลหลักเมือง เพิ่งสร้างไม่กี่ปีเอง สมัยก่อนที่ศาลหลักเมืองนี่ยังเป็นสนามศรีสุราษฏร์อยู่เลย” พี่ต้นอธิบายบอยมันไปเรื่อย ๆ
บอยยกมือไหว้ไปที่ศาลหลักเมือง
บอยคงเหมือนคนไทยทั่วไปกระมัง เพราะอย่างน้อย สิ่งยึดเหนี่ยวที่หลาย ๆ คนยึดถือไว้สืบมาจากความเชื่อทั้งทางศาสนา และความเชื่อที่สืบต่อกันมาทั้งนั้น บอยมันก็เหมือนคนไทยคนอื่น ๆ ที่พร้อมจะยกมือไหว้ไปยังสถานที่ที่คนทั่วไปเคารพบูชา
“แยกหน้าเราตรงไปไม่ได้นะ มันเป็นวันเวย์ ต้องเลี้ยวซ้ายกับขวาเท่านั้น ตรงที่คนเยอะ ๆ นะตลาดสด เหมือนกาดหลวงที่เชียงใหม่ไง เราเลี้ยวซ้ายดีกว่านะเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ” พี่ต้นบอก พลางเลี้ยวไปทางซ้าย
แถวนี้ล้วนแต่มีพ่อค้าแม่ค้าขายของเต็มไปหมดเลย สมกับที่พี่ต้นบอกว่าเป็นตลาดสดจริง ๆ เมื่อพี่ต้นเลี้ยวมาทางถนนเลียบแม่น้ำบอยมันมองผ่านไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ อาคารไม้เก่า ๆ ที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารมั้งเพราะป้ายมันบอกชวนชิม เต็มไปหมด ส่วนฝั่งที่พี่ต้นขับ มันก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายตลาด เพราะถนนเส้นนี้ มีทั้งรถเร่ที่มาจอดขายผักผลไม้มากมายทั้งเส้นทางเลยทีเดียว
บอยตื่นตาตื่นใจกับวิถีชีวิตผู้คนที่แปลกตาไป . . .
มันมองไปในแม่น้ำ มีเรือหางยาวลำเล็ก ๆ มั้งจอดเรียงรายกันแน่นไปหมด บางลำวิ่งหัวเชิดเสียงดังไปอีกฝั่งของแม่น้ำ แล้วลับหายไปตามคลองเล็ก ๆ
“นั่นนะท่าเรือเกาะ สมัยก่อนคนที่จะไปสมุย พะงัน ต้องมาขึ้นเรือที่นี่ทั้งนั้น เรืออกห้าทุ่มกว่าจะไปถึงเกาะก็เช้า แต่เดี๋ยวนี้เหรอสะดวก เฟอรรี่วิ่งกันทั้งวัน ท่าเรือเกาะเลยกลายเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าเสียส่วนมากนะ”
บอยมองตามพี่ต้นบอก เรือลำใหญ่ ๆ ที่ดัดแปลงมาจากเรือหาปลาจอดเรียงรายอยู่สามสี่สำ คนงานกำลังง่วนกับงานของตัวเอง มีทั้งลังพลาสติกหลากสี ถังแก๊สขนาดต่าง ๆ ที่คนงานละเลียงขึ้นมาจากเรือ ถัดจากท่าเรือ บอยเห็นอาคารหลังเล็ก ๆ มันอ่านป้ายที่อาคาร
“ห้องสมุดประชาชน”
บอยมันตื่นตา ตื่นใจกับสถานที่แปลกใหม่ จนมันลืมไปเลยว่า เมื่อสองวันก่อน มันเพิ่งเสียน้ำตามาหมาด ๆ ที่นี่อาจทำให้บอยเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ฟ้าที่เมืองริมทะเลสวยจริง ๆ มันเป็นสีฟ้าอ่อน
บอยมันเริ่มวาดภาพ . . .
. . . ชีวิตใหม่ของบอยจะเริ่มต้นอีกครั้ง ที่นี่บอยจะมีชีวิตอีกแบบ อย่างที่บอยไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตมั้ง เพราะสถานะของบอยในที่นี่คือ คนที่พร้อมจะทำงาน
มันหมดสภาพนักศึกษาแล้วล่ะ ต่อจากนี้มันจะเป็นผู้ให้ มันต้องโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนบทเรียนที่บอยมันได้เรียนรู้และผ่านมาได้
มันจะไม่ลืมนัท . . .
. . . เพราะมันรู้ นัทคือส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตที่บอยเคยเจอ มันจะไม่ลืม และไม่มีวันลืมได้เลยตลอดชีวิต
บอยมันแปลกตา มันตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ของมัน พี่ต้นขับรถพามันออกมาทางอำเภอนาสาร ผ่านเขาลูก ๆ เล็ก ๆ ที่พี่ต้นบอกมันว่า
“เขาท่าเพชร”
เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสุราษฏร์ฯ แล้วพี่ต้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนสายใหม่ ที่จะมุ่งไปสู่สถานที่ทำงานของมัน บอยมันชินกับการเรียนในมหาวิทยาลัยใหญ่ติดอันดับของประเทศ มันชินกับเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอย่าง เชียงใหม่
แต่ . . .
. . . ที่นี่
เป็นเพียงแค่เมืองขนาดกลาง องค์กรที่บอยทำงานยังเป็นเพียงองค์กรขนาดเล็กเท่านั้นเอง
อาคารหลังใหญ่สีขาวหลังคาสีน้ำเงินเข้ม ที่สร้างเป็นจั่วลดหลั่นกันลงมา สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสมัยใหม่ กับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นดูแปลกตาในสายตาของบอยที่เป็นคนทางเหนือ
แต่ . . .
. . . อาคารหลังใหญ่นี้กลับดูเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฉากหลังเขียวขจีของเขาลูกย่อม ๆ ใกล้ตัวเมือง บอยมันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยบรรยากาศที่นี่ก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป บอยมันชินกับมหาวิทยาลัยที่มีเขาด้านหลังมาหกปี
หกปีก่อนนั้นมันอยู่ในฐานะนักศึกษา
ต่อจากนี้มันอยู่ในอีสถานะหนึ่ง ตอนนี้บอยไม่ใช่นักศึกษาแล้วล่ะ แต่บอยคือทรัพยากรของชาติที่สมบูรณ์ที่พร้อมจะทำงานแล้วกระมัง
บอยมันลงจากรถ พี่ต้นพยักหน้าให้มัน ก่อนจะออกรถกลับไป มันต้องรายงานตัว และไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด พี่ต้นบอกมันเสร็จธุระของมันให้โทรบอก จะกลับมารับ บอยกะเวลาที่พี่ต้นขับรถมาจากในเมืองไม่เกิน ๑๕ นาที
มันสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนที่จะเดินเข้าไปในอาคารหลังนั้น มันพร้อมแล้วล่ะที่จะเดินไปในเส้นทางใหม่ของชีวิต เส้นทางที่มันขีดเองตั้งแต่วันที่มันตัดสินใจขอทุนเรียนต่อบอยรู้มันต้องมาใช้ทุนในองค์กรเล็ก ๆ ที่นี่
กว่ามันจะทำอะไรต่อมิอะไรเสร็จก็บ่ายแก่ ๆ . . .
ที่นี่มีหอพักสำหรับบอยด้วยแฮะ บอยค่อนข้างโชคดีเพราะหลังจากที่รายงานตัวเรียบร้อยแล้ว มันก็ได้ห้องพักเลย มันยิ้มแย้มแจ่มใสกับแม่บ้านที่พามันไปดูห้องพัก ห้องยังใหม่มั้ง เพราะที่นี่เปิดมาไม่นานแหละ และมีไม่กี่หน่วยงานในองค์กรของมัน แต่ที่บอยชอบที่สุดเห็นจะเป็นบรรยากาศของที่นี่ ที่บอยรู้สึกเหมือนว่าไม่แตกต่างจากรั้วลูกช้างที่บอยจากมา บอยชอบภูเขา
เพราะบอยเกิดท่ามกลางแนวทิวเขาที่รายล้อมโอบอ้อมมันอยู่ แล้วมันยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ริมเขาอีกตั้งหกปี ตอนนี้มันจบ มันต้องทำงานตามที่ได้ร่ำเรียนมา มันยังมาอยู่กับภูเขาอีก มันแปลกชีวิตมันคงแยกจากภูเขาไม่ได้แน่ ๆ มันคิดถึงเชียงใหม่จับใจเมื่อมองไปยังภูเขาทีไร
บอยยังอาลัยในสถานที่เก่าอย่างมิลืมเลือน . . .
. . . หรือยังอาวรณ์ถึงคนที่โน่นกันแน่
มันจะลืมได้อย่างไรกัน
ที่นั่น . . .
. . . มีอะไรให้บอยได้จดจำเยอะเลยทีเดียว
บอยมันเดินดูรอบ ๆ องค์กร ที่เหมือนบริษัทเล็ก ๆ มันไม่ได้ใหญ่เท่าเฌองดอย แต่ที่นี่มันอยู่ตีนเขาเหมือนกัน มันคิดดูแล้วเห็นทีต้องเอามอเตอร์ไซด์มาใช้ เพราะเวลาที่ออกไปในเมืองจะลำบากมากทีเดียว ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกเกือบเดือนที่มันจะเริ่มทำงาน มันต้องกลับไปบ้าน เอาเจ้ามอเตอร์ไซด์ทะเบียนเชียงใหม่มาวิ่งในเมืองหอยใหญ่ให้ได้
มันไม่ซื้อใหม่หรอก . . .
. . . เปลือง
สำหรับบอยแล้ว
. . . เงินมีค่าทุกสตางค์ ไม่ใช่ทุกบาท
เสียงโทรศัพท์บอยดัง โทรศัพท์มันยังรุ่นเก่าอยู่เลย เครื่องนี้แม่ซื้อให้มันตอนมันเรียนปริญญาโท ราคาหลายเงินอยู่แหละ แต่มันยังใช้การได้ดี มันยังไม่เปลี่ยนหรอก จะใช้มันไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละ เงินเดือน เดือนแรก บอยจะให้แม่ทุกบาททุกสตางค์เลย อย่างน้อยมันยังมีเงินเก็บอีกเล็กน้อย สำหรับใช้ไปได้อีกหลายเดือน แม่คงภูมิใจ ที่เห็นมันได้ทำงานเสียที
บอยตั้งใจ . . .
. . . มันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่
ต่อไปนี้บอยจะรักตัวเอง บอยจะรักแม่ให้มาก บอยรู้แม่ลำบากเพื่อมันมามาก มันรู้แหละ แม่รักมัน ในขณะที่มันไปรักใครก็ไม่รู้ แต่หลังจากนี้มันจะรักแม่ให้มากขึ้น
“ครับแม่ ถึงแล้วครับ” บอยพูดไปยิ้มไป
แม่โทรมา ห่วงมันมั้ง นอกจากพี่ต้นแล้ว คนแรกที่โทรหาบอยเมื่อบอยเหยียบผืนดินที่นี่คือ . . .
. . . แม่
แม่พูดอะไรอีกมากมาย สอนเหมือนมันเป็นเด็ก เป็นลูกเล็ก ๆ ของแม่ ในสายตาของแม่มันยังไม่โตหรอก แม่เห็นมันเป็นเด็กอยู่เสมอ มันไม่ได้เจอแม่นานแค่ไหนแล้วนะ มันคิดถึงแม่จัง มันอยากกอดแม่ หอมแก้มแม่ ใครจะว่ามันลูกแหง่มันไม่สนหรอก
มันรู้แค่ นี่แม่ของมันมันอยากกอดอยากหอมได้ทุกเวลา ไม่เหมือนคนอื่นหรอกมันได้แค่หลงรูปจูบเงาเท่านั้น
หลงรูปจูบเงา . . .
. . . ดูเอาเหอะ
แม้แต่เวลาที่มันคิดถึงแม่ คนนั้นยังมาป่วนในหัวใจมันเล่นอีกจนได้
มันยิ้ม . . .
. . . ช่างมันเหอะ
ไกลกันตั้งพันกว่ากิโลเมตร ยังไงเสีย มันก็คงดีขึ้นกว่าเดิม ดีกว่าที่มันอยู่ใกล้ ๆ นัทด้วยซ้ำไปมั้ง ตอนนี้มันไกลทั้งตัว ไกลทั้งใจแล้วล่ะ มันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะเดินไปนั่งรอพี่ต้น
เสียงเรียเข้ามาอีก บอยดูเบอร์แล้วยิ้ม มันกดรับทันที
“หวัดดีครับ”
“บอย เป็นไงบ้างที่ทำงานของบอยลำบากมั้ย” เสียงดินทักทายมา ดินมันห่วงมั้ง น้ำเสียงมันบอก
“ก็ดี ไม่ใหญ่มากนะดิน พี่ต้นพามา ดินจำพี่ต้นได้มั้ยดิน พี่ต้นที่เรียนที่ตีนดอยไง บ้านแกอยู่ที่นี่ดิน” บอยเล่าไปพลางนั่งมองไปตามถนนรอคนที่กำลังพูดถึง
“จำได้บอย จำได้ บอยอยู่ได้แน่นะ” ดินยังไม่วายห่วง
“ได้สิดิน มาใช้ทุนเขานะ อยู่ไม่ได้ก็ต้องได้แหละดิน ที่นี่เมืองไม่ใหญ่แบบเชียงใหม่หรอก ออกจะเล็กกว่าเชียงรายอีกมั้ง แต่ที่ทำงานของบอย ติดภูเขาด้วยดิน เหมือนที่มอชอแหละ แต่ที่นี่เขาลูกเล็กไม่ใหญ่มากดิน ไว้ดินว่างดินลงมาเที่ยวนะ” บอยมันรู้
มันแพ้ดินแล้วล่ะ . . .
. . . ดินดีกับมันเหลือเกิน
มันหลงไปเองที่คิดคว้าดาว . . .
. . . ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าดาวนั้นไกลเหลือเกิน
มันหลงกับแสงของดาว โดยไม่ก้มหน้าลงมองดิน
ดินที่มันเหยียบ ที่มันย่ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้ามันรักดินได้ก็คงจะดี แต่มันรักดินได้แค่เพื่อนเท่านั้น แม้ตอนนี้มันจะไม่มีใคร แต่ดินก็ไม่อาจแทรกเข้ามาในหัวใจของมันได้ เพราะดินก็เป็นดิน ไม่อาจเข้ามาแทนที่หัวใจได้เลย
หัวใจของบอยมันไม่เอาใครเข้ามาซ้ำรอยคนนั้นโดยเด็ดขาด
ถ้ามันไม่มีใครในชีวิตนี้ก็ช่างหัวมัน แต่มันจะไม่ยอมให้ใครมาเบียดพื้นที่ในหัวใจของมันที่มีให้นัทเด็ดขาด
“ดินจะไปนะบอย ดินจะไปหาบอย แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอกบอย ถ้าบอยมีอะไร โทรหาดินนะบอย ดินจะกลับกรุงเทพฯ แล้วล่ะไว้ดินกลับถึงกรุงเทพฯ จะโทรหาบอยใหม่นะ ดูแลตัวเองนะบอย” น้ำเสียงดินเหมือนไม่อยากจะวางสายด้วยซ้ำไป
“อืม ไว้บอยเข้าที่เข้าทางจะโทรหาดินนะ เพื่อนรัก” บอยมันเน้นตรงคำพูดสุดท้าย
สิ่งที่บอยมีให้ดินคือ . . .
. . . “เพื่อน”
มันต้องพูดกันเอาไว้ อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ดินคิดว่ามันหันมามองดิน ตราบใดที่มันยังไม่เปิดหัวใจ ใครก็เข้ามาไม่ได้ มันไม่อยากให้ดินเจ็บเพราะมันอีก บอยรู้ การรักเขาข้างเดียวมันเจ็บปวดเช่นไร มันไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับใคร
รถพี่ต้นเลี้ยวเข้ามาแล้ว บอยดีใจอย่างน้อยมันก็ยังมีคนที่รักมันหลงเหลืออยู่บ้าง มันไม่ได้โชคร้ายไปทั้งหมดหรอก มันโง่เองที่หลงคิดว่าโลกนี้มีแต่นัท แต่ตอนนี้บอยรู้แล้ว โลกนี้กว้างกว่าที่มันเคยเจอ มันมีมิตรที่ดีหลายคนเชียวล่ะ มันควรรักษามิตรที่มันมีเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่มันจะทำได้
ส่วนนัท . . .
. . . นัทคือคนที่มันรัก
อย่างไรเสียมันคงจะลืมนัทไม่ได้หรอก เพราะหัวใจมันหลอมเป็นเนื้อเดียวกับคนชื่อนัทแล้วกระมัง
“เป็นไง รายงานตัวเรียบร้อยแล้วเหรอติดขัดมั่งมั้ย” พี่ต้นถามด้วยความห่วงใย เมื่อมันขึ้นมานั่งบนรถ
“เรียบร้อยดีพี่ มีที่พักให้ด้วย ย้ายเข้ามาอยู่ได้เลยนะครับ แต่ผมคงต้องอาสัยพี่ไปก่อนคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยย้ายเข้ามาดีกว่านะพี่” มันหันไปยิ้มกับคนขับ
“ได้ ๆ จะย้ายวันไหนก็ได้ เพราะพี่อยู่อีกแค่สองวันเอง วันพุธต้องขึ้นกรุงทพฯ แล้วล่ะ ทำงานต่อ”
พี่ต้นบอก . . .
. . . บอยมันนึกเศร้า เดี๋ยวมันก็ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วล่ะสิ มันยังไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลย แต่ช่างเหอะ มันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาหกปีแล้ว จะสนทำไมว่าจะมีใครที่มันรู้จักหรือไม่รู้จักเหลืออยู่ในแผ่นดินที่มันยืนอยู่อีก
“จำได้มั้ยนี่สี่แยกอะไร” พี่ต้นถาม เมื่อรถมาจอดรอสัญญาณไฟ
บอยมันนึก มันแอบเปิดสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่มันจดเอาไว้
“สี่แยกบางใหญ่ใช่มั้ยพี่ ตรงไปก็เข้าเมือง ส่วนถนนเส้นที่ตัดกันนั่นเป็นถนนเลี่ยงเมืองเลี้ยวซ้ายไปกรุงเทพฯ แล้วขวาไปนครศรีธรรมราช หรือจะเข้ามเมืองอีกก็ได้ แล้วก็มีค่ายวิภาวดีรังสิต สุสานคนจีน ห้างบิ้กซี” บอยมันยิ้ม มันจดไว้ไม่น่าพลาด
พี่ต้นยิ้ม ก่อนจะออกตัวเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
“เก่งนี่ รู้จักถนนหลักหลายเส้นแล้วด้วย แบบนี้รับรอง อีกไม่นานปิดตาเดินได้ทั่วเมืองแน่”
“อ้าวพี่ ก็ผมจดไว้นี่ไง แต่เหมือนที่พี่บอกแหละ ที่นี่เมืองเล็ก ผมจำแค่ถนนสายหลักที่พี่พามาเมื่อเช้า มันทอดยาวจากเหนือจดใต้ กับถนนเส้นนี้ รู้สึกว่ามันจะขนานกับถนนสายหลักในเมืองนะพี่”
“ใช่แล้ว เพราะมันคือถนนเลี่ยงเมืองนี่หว่า แล้วถนนสายหลักในเมืองก็ขนานไปกับแม่น้ำตาปีอีก เพราะฉะนั้นใครขับรถในสุราษฏร์ฯ แล้วหลงนี่ เชยระเบิดเลยว่ามั้ย”
“ใช่ครับพี่ . . .” บอยยืดอก
“. . . เออ พี่ต้น แล้วตรงไปนี่ไปที่ไหนเหรอครับ” บอยถามอีก เมื่อต้นมาหยุดรถรอสัญญาณไฟที่สี่แยกอีกครั้ง
“นี่เขาเรียกสี่แยกบางกุ้ง ตรงไปก็เป็นปากน้ำตาปี มีถนนอีกสายก็สายเดียกับที่เรือที่จะไปเกาะสมุยจอดอยู่ไง ที่ผ่านมาเมื่อเช้านะ จำได้มั้ย” ต้นอธิบายพลางหันไปมอง
บอยพยักหน้ารับ
“ส่วนเลี้ยวซ้ายก็เข้าเมือง ทางขวานี่ไปไหนรู้มั้ย” พี่ต้นแสร้งถาม
“นครศรีธรรมราชไงพี่ ป้ายออกโตขนาดนั้น” บอยมันชี้ไปที่ป้ายบอกทาง
“เออ จริงแฮะ ไม่น่าถามเลยตู เดี๋ยวจะพาไปกินอาหารทะเล ชอบกินอะไรเหรอเรานะ” พี่ต้นหันมาถาม
“ปูครับพี่ ปูทะเล ปูม้ากินได้หมดเลยพี่ ยิ่งกรรเชียงนึ่งมะนาวนะพี่ อร่อยสุด” มันชักหิวขึ้นมาทันทีเมื่อพี่ต้นพูดถึงของกิน
ก็มันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลยนี่หว่า
พี่ต้นขับรถออกมานอกเมือง มันมองสองข้างทาง ที่ล้วนไปด้วยสวนยางพาราที่กำลังผลัดใบ
“พี่ แล้วที่นี่มันแล้งขนาดต้นไม้ตายยกสวนเลยเหรอ มีแต่ยืนต้นตายเต็มไปหมด” มันชี้ไปสองข้างทาง
“อะไรนะ ไหน”
“นั่นไง”
พี่ต้นหัวเราะชอบใจใหญ่ ขันมันแหละ พลางเหลือบมามองมันด้วยสายตาเอ็นดู
“ไม่ใช่ นี่นะพืชเศรษฐกิจของภาคใต้เลยนะ ยางพาราไง รู้จักมั้ย พอหมดฤดูฝนย่างเข้าฤดูร้อนยางพาราจะผลัดใบจนร่วงโกร๋นแบบที่บอยเห็นนั่นแหละ แล้วพอไม่นาน มันก็จะมีใบอ่อนออกมาเหมือนเดิม ช่วงยางผลัดใบนี้ชาวสวนเขาจะไม่ตัดยางกันหรอก” พี่ต้นอธิบาย
“ตัดยาง อะไรเหรอพี่”
“เออลืมไป พูดยากวุ้ย คนละภาคนี่ ตัดยางคือกรีดยาง ชาวสวนถือว่าช่วงยางผลัดใบนี่เขาไม่กรีดกัน ให้ต้นยางได้พัก จนกว่าจะมีใบใหม่นั่นแหละถึงจะกรีดยางอีกครั้งนึงที่นี้เข้าใจยัง”
บอยพยักหน้ารับ . . .
. . . มันได้ความรู้ใหม่ ๆ มันไม่รู้นี่หว่า ชีวิตมันเดินทางไกลสุดก็ครั้งนี้ละมั่ง คราวก่อนมันมาแค่ชุมพรเอง แล้วข้ามไปเกาะเต่า แต่คราวนี้มันมาไกลเหลือเกิน สิ่งที่มันไม่รู้ มันก็ต้องถาม ถามพี่ต้นไว้ก่อนแหละดี ดีกว่าคอยถามคนอื่น ๆ เพราะเขาอาจจะมองว่ามันเปิ่นก็เป็นได้ ก็ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแต่ละภาคเหมือนกันที่ไหนเล่า
ที่นี่ไม่มีเขามากมายเหมือนเมืองเหนือที่มันเรียนจบมา
อากาศแม้จะอบอ้าวกว่า แต่มีลมพัดมาตลอดเวลาแหละ บอยหลับตานึกถึงแผนที่ประเทศไทย จังหวัดทางใต้ดีตรงที่มีลมมรสุมจากสองฝั่งทะเลพัดมาตลอดเวลา ทำให้ไม่ร้อน
พี่ต้นเลี่ยงมาทางซ้ายมืออีกครั้ง เมื่อมาถึงสามแยกใหญ่ บอยมองป้ายบอกข้างทาง มันอ่านเสียงเบา ๆ
“กาญจนดิษฐ์”