Episode 12
( แกงรัญจวนของฉัน ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม )
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลวงภาคินเสร็จราชการที่ราชสำนักช้า กว่าจะยุติการปรึกษาหารือได้ เวลาก็ล่วงเลยมาเสียจนมืดค่ำ สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ขุนนางหนุ่มยิ่งนัก เพราะเขาต้องประทะคารมกับขุนนางอาวุโสหลายต่อหลายท่านที่ไม่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่เขาเสนอขึ้นว่า ควรให้ประชาชนทุกชนชั้นได้มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องสิทธิในการเข้ารับราชการ การได้รับเบี้ยเลี้ยง การศึกษา และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แล้วก็ต้องปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปประธรรมมากกว่านี้ เพื่อให้ในหลาย ๆ ประเทศเขาได้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งอาจจะสามารถใช้กำลังมวลชนจากหลาย ๆ ประเทศทั่วทุกมุมโลกขับไล่พวกล่า
อาณานิคมได้ แต่พวกขุนนางอาวุโสทั้งหลายกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และยังอยากให้นำระบบการปกครองแบบทาสกลับมาใช้เหมือนเดิม โดยถอดตำแหน่งทางราชการของพวกชนชั้นผลิตทายาทออก แล้วให้ไปเป็นข้ารับใช้ของชนชั้นผู้นำเหมือนเมื่ออดีตที่ผ่านมา ส่วนชนชั้นสามัญก็ให้ไปเป็นแค่แรงงานกับเกษตรกรอย่างเช่นเดิม ไม่อนุญาตให้เด็กที่เกิดมาเป็นชนชั้นผลิตทายาทเรียนหนังสือ แม้จะเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงก็ตามแต่ เพื่อจะได้เป็นไปตามที่พวกฝรั่งเศสเขาส่งสาสน์ถึงพระองค์ จะได้ไม่ต้องสู้รบปรบมือให้วุ่นวาย
ขุนนางหนุ่มพยายามเสนอแนวคิดออกไปเท่าไร ขุนนางอาวุโสเหล่านั้นก็ขัดคอเขาตลอด ซึ่งก็มีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่หลวงภาคินได้เสนอขึ้น ส่วนมากจะเป็นคนหัวสมัยใหม่เหมือนกันกับชายหนุ่ม ก็มันสมัยไหนแล้ว บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำไมคนยังไม่เจริญขึ้นตามอีกเสียล่ะ มันหมดสมัยที่จะกดขี้ข่มเหงกันแล้ว ทุกคนควรมีอิสระในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง และมีสิทธิที่จะปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนด้วย เพราะทุกคนก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เหมือนกัน
หนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดของหลวงภาคินก็คือหลวงเทพ สหายคนสนิทของเขา ซึ่งมาราชการที่พระนครเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และได้เข้าร่วมในการปรึกษาหารือในครั้งนี้
หลวงเทพเองก็มีความคิดเหมือนกันกับหลวงภาคิน เรื่องอยากให้ประชาชนทุกคนได้รับความเท่าเทียมกัน แต่เขาไม่มีความกล้าบ้าบิ่นพอที่จะนำมาเสนอขึ้นยังห้องปรึกษาหารือที่เต็มไปด้วยขุนนางแก่หงำหงึก ที่มีความคิดโบราณ ๆ ตามอายุที่โบราณ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เขาขี้เกียจที่จะต้องโต้แย้งกับคนพวกนี้ และมันอาจจะมีผลต่อตำแหน่งทางราชการของเขาด้วย เขาจึงอยู่เงียบ ๆ ไป แต่พอเห็นหลวงภาคินมีความกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ เขาก็อดที่จะสนับสนุนขึ้นมาไม่ได้ เอาสิ! ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
สองสหายเดินออกมาจากราชสำนักพร้อมกัน แล้วก็เดินตรงไปยังรถของตนเองที่จอดรออยู่พร้อมกับคนรับใช้ ซึ่งรถของขุนนางทั้งสองจอดอยู่ใกล้ ๆ กัน จึงเดินมาทางเดียวกัน
“ หลวงภาคิน ท่านจะกลับเรือนเลยรึ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
หลวงภาคินที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อได้ยินผู้เป็นสหายเอ่ยถามก็หันกลับไปมอง
“ ฉันว่าจะแวะไปที่เรือนแม่เอมิลีเสียก่อนน่ะ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอไปด้วยสิ ไม่ได้พบหล่อนเสียนาน ถือโอกาสแวะไปทักทายเสียหน่อยแล้วกัน ” ว่าพลางฉีกยิ้มออกมา
“...” ไม่ได้พูดอะไร แค่รู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“ ว่าอย่างไรคุณหลวง? ” ถามย้ำออกไปอีกครั้ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
“ ก็แล้วแต่หลวงเทพเถอะ เรือนก็เรือนแม่เอมิลีเขา ไม่ใช่เรือนฉันเสียหน่อย ถ้าหลวงเทพอยากไป ก็ไปเสียเถอะ ไม่เห็นต้องถามฉัน ” ว่าจบก็ก้าวขึ้นรถของตนเองไปในทันที
“ ออกรถ ” ออกปากสั่ง
“ ขอรับ ”
หลวงเทพที่ยืนมองรถของสหายคนสนิทเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าราชสำนัก ตนเองก็ก้าวขึ้นรถบ้าง แล้วจึงสั่งให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถ เคลื่อนรถออกทันที โดยมีจุดมุ่งหมายคือเรือนของเอมิลี
รถคันสีเหลืองซีดแล่นเข้ามาจอดยังหน้าเรือนพระราชทาน ทันทีที่รถจอดสนิท เมื่อคนรับใช้คนสนิทวิ่งมาเปิดประตูรถฝั่งเจ้านายให้ หลวงภาคินก็ก้าวลงจากรถทันที แล้วร่างสูงก็ก้าวขึ้นเรือนไป พอขึ้นมาบนเรือนก็ไม่เห็นใครอีกตามเคย ขุนนางหนุ่มจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปยังห้องรับแขกเองอย่างคุ้นเคย พอเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก ก็เห็น
อาเธอร์ลิสนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก ซึ่งมันก็คือที่ที่เขาเคยนั่งประจำทุกครั้งที่มาที่เรือนหลังนี้
“ นั่นเอ็งเขียนอะไรอยู่? ” ถามพลางชะโงกหน้ามองจากด้านหลัง
อาเธอร์ลิสเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังก็หันกลับไปมองยังต้นเสียงในทันทีทันใด
“ คุณหลวง! ” เรียกออกไปด้วยความตกใจ
“ อะไรของเอ็ง! ทำท่าทางอย่างกับเห็นผี! ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางเดินมานั่งยังฝั่งตรงข้าม
“ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ! ชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าว! ” ว่าพลางจ้องเขม็ง
ด้วยความที่อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินเริ่มสนิทสนมกันขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว การพูดคุยกันจึงไม่ได้ดูห่างเหินเหมือนช่วงแรก ๆ
“ ทุกวันนี้กล้าว่าฉันแล้วรึ? ” แสร้งพูดไปอย่างนั้น
“ ผมไม่ได้ว่าคุณหลวงนะครับ ก็ท่าน....” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นก่อน
“ ช่างเถอะ! ขี้เกียจเถียงกับเอ็งแล้ว ” ว่าพลางทำสีหน้าไม่ยี่หรา
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันหิว ” พูดออกมาอย่างนั้นเสียดื้อ ๆ
“ ครับ? ” ขานกลับไปด้วยความงุนงง
“ ก็บอกว่าหิวอย่างไรเล่า! ไปทำอะไรให้กินหน่อย! ” พูดเอาแต่ใจออกมา
“ ให้ผมทำหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ ถ้าไม่ใช่เอ็ง จะแมวที่ไหนเล่า! ” ว่าออกไปแบบนั้น
“ แมวหรือครับ? ” งงหนักกว่าเดิมอีก
“ ให้ตายเถอะเอ็ง...” ว่าพลางยกมือกุมขมับให้กับความซื่อบื้อของอีกฝ่าย
“ อะไรนะครับ? ท่านอยากรับประทานแมวหรือให้แมวทำอาหารให้ท่านนะครับ? ผมไม่เข้าใจ ” ว่าออกไปแบบนั้น เพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดจริง ๆ
ทีนี้สองมือหนาที่กุมขมับอยู่ ถึงกับเปลี่ยนมาลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาเลยทีเดียว
“ เอ็งจะบ้าหรืออย่างไร แมวมันกินได้เสียที่ไหนกัน แล้วแมวตัวไหนมันทำอาหารเป็นกันเล่า! ฉันแค่เปรียบเปรย ” ว่าอธิบายออกไปอย่างนั้น
“ เปรียบเปรยหรือครับ? ”
“ เออ ” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
“ อ๋อ ผมเข้าใจแล้วครับ ” ว่าพลางยิ้มอย่างเก้อ ๆ เขิน ๆ ให้คนตรงหน้า
“ เข้าใจแล้วก็ดี รีบไปทำอาหารมาให้ฉันกิน ” ว่าสั่งออกไป
“ คุณหลวงอยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? ถ้าผมพอทำได้ ผมจะลองทำให้ท่านรับประทาน ” ถามออกไปพลางส่งยิ้มให้
“ นี่เอ็งจะเอาฉันเป็นหนูลองยารึ? ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ใช่นะครับ! ” รีบโพล่งออกไปทันที
“ อือ ถ้าเช่นนั้นก็ทำอันที่เองทำเป็นเถอะ ฉันกินได้ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“เข้าใจแล้วครับ ” ตอบกลับไปพลางจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ อ้าว! เข้าใจแล้วก็ไปทำมาสิ! มัวนั่งทำหน้าตาซื่อบื้ออยู่ได้ ฉันหิวจนจะกินเอ็งแทนข้าวได้แล้วนะ! ” แสร้งขู่ออกไป
“ คะ...ครับ จะไปทำมาให้เดี๋ยวนี้ล่ะครับ! ”
อาเธอร์ลิสเก็บเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะรับแขกมาเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วถือเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของเอมิลีก่อนจะตรงเข้าห้องครัวไป เพื่อไปทำอาหารให้กับขุนนางผู้ชอบออกคำสั่งได้รับประทานตามความปรารถนา
เด็กหนุ่มลงมือทำอาหารอย่างประณีต ลงมือแกะสลักผักที่ใช้ประกอบอาหารเอง ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน ทำไปยิ้มไป เนื่องจากเวลาที่
อาเธอร์ลิสได้เข้าครัวทำอาหารแบบชาวสยาม เขาจะมีความสุขทุกครั้ง เพราะจะทำให้นึกถึงตอนที่เขาได้เข้าครัวกับมารดาตอนเด็ก ๆ พอนึกย้อนกลับไปก็อดที่จะยิ้มออกมาเสียไม่ได้ แอนนาสอนเขาเสมอว่าเวลาทำอาหารต้องทำออกมาด้วยหัวใจที่อยากจะให้คนที่ได้รับประทานอาหารของเราอร่อยและอิ่มเอมไปกับอาหารที่เราได้ปรุงขึ้นเพื่อเขา เมื่อคนที่รับประทานอาหารของเรารู้สึกชอบในรสชาติที่เราทำ มันจะทำให้คนทำอาหารมีความสุขมากกว่าเป็นไหน ๆ
เมื่ออาเธอร์ลิสหายเข้าห้องครัวไปได้สักพัก หลวงภาคินจึงเดินมาดูว่าเด็กหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่ จะทำอาหารแบบไหนให้เขากินกันแน่ ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
คนตัวสูงแอบอยู่หลังบานประตูทางเข้าของห้องครัว พลางชะโงกมองคนที่กำลังทำอาหารอย่างมีความสุข มือเล็ก ๆ ที่กำลังหั่นผัก ความหอมของอาหารที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากหม้อแกง รอยยิ้มหวาน ๆ ที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าสวย ดูแล้วมันช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน
“ มีเมียทำกับข้าวเก่ง มันก็ดีไม่น้อย...” เผลอหลุดปากออกมา
อาเธอร์ลิสได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากทางด้านหน้าของห้องครัวเลยหันไปมอง
“ คุณหลวง! มาทำอะไรตรงนี้ครับ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ฉิบหาย! ถึงกับสบถในใจ แต่ก็แสร้งทำหน้านิ่งเฉยไว้
“ เอ่อ ฉันหิวน้ำน่ะ! ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
“ ตายจริง! ผมลืมเอาน้ำไปให้คุณหลวงสินะครับ! ผมต้องขอโทษท่านด้วยที่เสียมารยาท รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมนำไปให้ที่ห้องรับแขก ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางยื่นมือไปเพื่อจะหยิบขันสีเงินสำหรับใส่น้ำ
“ ไม่ต้องหรอก! เอ็งทำกับข้าวให้เสร็จเสียเถอะ! ค่อยเอามาพร้อมอาหาร ฉันไม่ได้กระหายขนาดนั้น ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ แต่...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
“ เอาตามนั้นล่ะ ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินกลับไปยังห้องรับแขก
อาเธอร์ลิสได้แต่ยืนงงกับการกระทำของขุนนางหนุ่ม แต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอก จึงตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารต่อให้เสร็จ เพื่อจะได้นำไปตั้งโต๊ะให้กับขุนนางผู้เอาแต่ใจคนนั้นได้รับประทาน
ไม่นานเกินรอ อาหารมากมายก็ถูกยกมาจัดเรียงบนโต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก ที่มีหลวงภาคินนั่งรออยู่ อาเธอร์ลิสลองเอาข้าวเหนียวมาหุงดู เผื่อมันจะเข้ากับอาหารที่เขาทำวันนี้มากกว่าการนึ่งแบบข้าวเหนียว เพราะคนสยามทั่วไปแล้ว ไม่ค่อยรับประทานข้าวสวยกัน ข้าวมื้อแรกที่ตกถึงท้องของเขาตอนที่เขามาถึงสยามก็คือข้าวเหนียวกับแกงส้มดอกแคที่เรือนของหลวงภาคิน แต่พอมาอยู่กับเอมิลีก็ได้ลองกินข้าวสวย เพราะเนื่องจากเอมิลีได้เข้าไปถวายงานในพระราชวังค่อนข้างบ่อย จึงได้ลองกินในแบบของชาววัง หล่อนลองซื้อข้าวเจ้ามาติดเรือนไว้ด้วย และอาเธอร์ลิสก็ค่อนข้างชอบข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียวเสียอีก เพราะมันกินง่าย แต่เนื่องจากเขานำมาหุงบ่อยจนมันหมด เลยไม่ได้หุงขึ้นโต๊ะในวันนี้ เลยลองเอาข้าวเหนียวมาหุงด้วยกรรมวิธีแบบข้าวเจ้าดู
พอจัดวางอาหารในตำแหน่งที่เหมาะสมเสร็จ เด็กหนุ่มก็ตักข้าวเหนียวที่สวมรอยเป็นข้าวสวยในหม้อดินใส่จานให้หลวงภาคิน
“ ข้าวสวยหรอกรึ? ” ว่าออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงครับ! ” ว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ
“ หึ? ” อุทานออกมาเป็นเชิงถาม
“ ที่จริงแล้ว... มันคือข้าวเหนียวครับ แต่ผมลองเอามาหุงแบบข้าวเจ้าดู ” พูดออกไปแบบนั้น
“ แล้วทำไมเอ็งไม่เอาข้าวเจ้ามาหุงเสียเลยล่ะ! มันจะไม่ทำง่ายกว่ากันรึ? ” ว่าออกไปในเชิงคำถาม
“ ที่จริงผมก็อยากทำแบบนั้นครับ แต่มันหมด พี่เอมีน่าจะซื้อมาตอนกลับมาจากพระนครวันนี้ครับ ”
“ อือ ” ขานรับกลับเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
“ หรือว่าคุณหลวงไม่ชอบหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปนึ่งแบบเป็นข้าวเหนียวมาให้นะครับ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น เพราะเห็นอีกฝ่ายตอบออกมาเพียงสั้น ๆ
“ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ชอบเสียหน่อย เอ็งนี่ชอบคิดเอง
เออเอง! ” เอ็ดออกไปอย่างนั้น
“ ขอโทษครับ ” เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ พอ ๆ ฉันหิวมากแล้ว ขืนรอเอ็งไปนึ่งข้าวมาใหม่ ฉันคงต้องกินเอ็งแทนข้าวจริง ๆ นั่นล่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางตักแกงรัญจวนตรงหน้าเข้าปาก
“...” นั่งดูเงียบ ๆ
หลวงภาคินเห็นอาเธอร์ลิสนั่งนิ่งอยู่ จึงวางช้อนลงบนจานข้าวของตนเอง
“ อ้าว! เอ็งจะนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ทำไม! ตักข้าวสิ! ” บอกออกไป
“ ผมหรือครับ? ” ถามออกไปพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตนเอง
“ เออ! ก็เอ็งนั่นล่ะ! ทำมามากมายอย่างกับคนทั้งตระกูลมาขนาดนี้ ฉันจะกินคนเดียวหมดรึ! ” เอ่ยเปรียบเทียบออกมา
“...” ยังนิ่งเงียบอยู่
“ นิ่งอยู่ทำไม? เร็วสิ! ตักข้าวแล้วมานั่งกินซะ! ” ในที่สุดก็ออกปากสั่ง
“ คะ...ครับ! ” รีบลุกไปเอาจานมาตักข้าวให้ตนเองตามคำสั่งของคนเผด็จการ
อาเธอร์ลิสรีบเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตนพร้อมกับจานข้าวที่เพิ่งไปตักมาสด ๆ ร้อน ๆ พลันมองไปยังคนที่กำลังเจริญอาหาร
“ คุณหลวงชอบแกงรัญจวนหรือครับ? ” ถามออกไปพลางส่งยิ้มหวานให้
“ อือ ” ว่าพลางไม่มองหน้าคนถาม
“ ดีใจจัง... ที่ผมทำสิ่งที่คุณหลวงชอบได้ ” ยิ้มจนตาหยี
“...” ไม่ได้พูดอะไร
ก็รอยยิ้มของอาเธอร์ลิสน่ะ มีผลต่อความรู้สึกของหลวงภาคินไปเสียทุกครั้งเลยล่ะสิ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว รู้เพียงว่าทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั่น มันทำให้ขุนนางหนุ่มผ่อนคลายได้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องเครียด ๆ มามากมายก็ตามแต่
“ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ”
เมื่อได้ยินเสียงปริศนาที่ดังมาจากทางประตูก็ทำให้อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินต้องหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน ซึ่งก็พบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดราชการ ใบหน้าคมเข้ม มีหนวดเคราเล็กน้อย รูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้หลวงภาคินเลย ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังจะเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก
“ หลวงเทพ! ”
อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปเสียงดัง
“...” ไม่ได้พูดอะไร
หลวงภาคินได้แต่นิ่งเงียบมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
“ อือ! ฉันเอง ดีใจที่พ่ออลิสจำได้ ”
หลวงเทพพูดเสร็จก็เดินมาหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ อาเธอร์ลิส ทำเอาหลวงภาคินจ้องคนมาใหม่ตาเขม็ง แต่สหายคนสนิทกลับไม่รู้ตัวว่าตนกำลังถูกสายอาฆาตจ้องเขม็งอยู่
“ โห! อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย มากมายขนาดนี้ พ่ออลิสทำเองหรือ? ” ถามออกไปพลางหันไปมองคนข้าง ๆ
“ คะ...ครับ! ” ตอบกลับไปด้วยความเก้อเขิน
“ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ” เอ่ยออกมาอย่างนั้นพลางยิ้มให้คนข้าง ๆ
“ ดะ...ได้ครับ ขอผมไปเอาจานสักครู่ ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางรีบลุกแล้วเดินไปยังห้องครัว
อะไรของผู้ชายคนนี้ เอาแต่พูดฉอด ๆ อยู่ได้ ที่นั่งอยู่ไม่ได้มีเพียงอาเธอร์ลิสคนเดียวเสียหน่อย เอาแต่สนใจแค่คนเดียว สหายนั่งหัวโด่อยู่ทนโท่ไม่ยักจะทักสักคำ หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
“ ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าก็สวย แถมยังทำกับข้าวเก่งอีก จะหาที่ไหนได้อีก...” ว่าพลางเหม่อยิ้ม มองไปยังประตูที่คนตัวเล็กเดินออกไป
อะแฮ่ม! หลวงภาคินแกล้งกระแอมออกมา เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่เหม่อมองตามหลังอาเธอร์ลิสไป
“ ฉันก็อยู่นี่ทั้งคนนะ! หลวงเทพ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
คนที่เอาแต่เหม่อลอยเมื่อครู่ พอได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก็หลุดออกจากภวังค์ทันที พลางหันมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ขออภัย! เพลินไปเสียหน่อย ” ว่าพลางยกมือเกาหัวแก้เขิน
“ ให้มันน้อย ๆ หน่อยความเจ้าชู้น่ะ! หลวงเทพ! ” ว่าพลางจ้องอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
“ ฉันไม่ได้จะทำเจ้าชู้ใส่เสียหน่อย ” ว่าออกไปพลางย่นคิ้วเข้าหากัน
“....” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันสนใจอลิสจริง ๆ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ฉันก็เห็นหลวงเทพพูดแบบนี้เสียทุกที ”
“ โธ่! คุณหลวง! แต่ครั้งนี้กระผมจริงจังนะขอรับ! ” ว่าพลางทำสีหน้าจริงจัง
“...” ไม่พูดอะไร
อาเธอร์ลิสที่หายเข้าไปในห้องครัวได้สักระยะ ก็กลับออกมาพร้อมกับจานใบใหญ่หนึ่งใบ ขุนนางหนุ่มทั้งสองคนจึงหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น
“ โห! จานใหญ่ขนาดนั้น ฉันคงอิ่มไปยังปีหน้าเลยกระมัง! ” พูดแซวออกไปพลางยิ้มระรื่น
“ ขอโทษด้วยครับ ขนาดปกติผมนำมาใช้หมดแล้ว ” พูดพลางตักข้าวใส่จานใบใหญ่
“ ฉันแซวเล่นน่ะ! อย่าขอโทษขอโพยเลย ” ว่าพลางยิ้มให้คนที่กำลังตักข้าวใส่จานอยู่
“ ได้แล้วครับ! ข้าวของท่าน ” ว่าพลางวางจานข้าวลงตรงหน้าคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงบ้าง
พอได้ข้าว หลวงเทพก็ตักแกงฟักเข้าปากก่อนหนึ่งคำ ก่อนจะลองตักมาราดบนข้าวบ้าง
“ อือหือ...อร่อยมาก ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ เพิ่งรู้ว่าพ่ออลิสทำอาหารอร่อยขนาดนี้ ” ว่าพลางหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
“ ชมเกินไปแล้วครับ ” ตอบกลับไปด้วยสีหน้าประหม่า
“ จริง ๆ ไม่เกินไป ” พูดแล้วก็ยิ้มให้คนตัวเล็กอีก
“...” ไม่ได้พูดอะไร
“ คราวหน้าลองไปทำที่เรือนฉันบ้างสิ! คุณแม่ฉันต้องชอบรสมือพ่ออลิสแน่ ๆ ” พูดออกไปอย่างนั้น
แคก แคก แคก! “ คุณหลวง! ”
อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นหลวงภาคิน สำลักอาหารจนไอออกมา จึงรีบวิ่งไปหาผ้าเช็ดปากมาให้อีกฝ่าย พลางยกขันน้ำยื่นให้ขุนนางหนุ่มดื่ม
“ คุณหลวงไหวไหมครับ?! ” ถามออกไปพลางสีหน้ากังวล
“ อือ ฉันไม่เป็นอะไร กลับไปนั่งที่เถอะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ แต่ว่าคุณหลวง...” พูดยังไม่ทันจบก็ต้องชะงัก
“ ฉันบอกให้ไปนั่งที่อย่างไรเล่า! ” สั่งออกมาจนได้
“ ครับ ” ขานรับอย่างหงอย ๆ
หลวงเทพที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นบ้าง
“ หลวงภาคินนี่ก็กระไร คนเขาอุตส่าห์หวังดี ใจร้ายไปนะ ”
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลวงภาคินเองก็รู้ว่าเขาพูดจารุนแรงกับอาเธอร์ลิสเกินไป ก็จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ปากมันไปไวเอง
ไม่ใช่ว่าหลวงภาคินไม่รู้จักสหายของเขาดี ถึงขุนนางคนนี้จะเจ้าชู้ขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยพาใครขึ้นเรือน ยิ่งพาไปพบคุณหญิงทิพย์ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับเชิญชวนให้อาเธอร์ลิสไปที่เรือนเช่นนี้ อาจจะไม่ได้แค่หยอกเล่นเหมือนที่ผ่านมาก็เป็นได้ ยิ่งคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
“ นี่! พ่ออลิสอายุเท่าไรแล้วหรือ? ” ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายกลับมานั่งข้าง ๆ
“ ย่าง 18 ปีนี้ครับ ” ตอบกลับไป
“ โห! ยังเด็กอยู่เลย แต่เก่งงานบ้านงานเรือนขนาดนี้ หรือว่าถูกส่งไปเรียนในวัง? ”
“ เปล่าครับ พี่เอมีสอนผมทำครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ อย่างนี้นี่เอง ” พูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
“ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกอลิสว่า...น้อง...แทน...พ่อ....แล้วกัน ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ คะ...คุณหลวง! ” อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ นะ? จะดีมากถ้าน้องเลิกเรียกฉันว่า...หลวงเทพกับคุณหลวงเสียที...” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางยิ้ม
“ ถ้าอย่างนั้นจะต้องเรียกอะไรหรือครับ? ” ถามพลางทำหน้างุนงง
“ พี่เทพอย่างไรล่ะ! ” ว่าออกไปอีกทั้งส่งยิ้มให้คนที่นั่งข้าง ๆ
“ คงจะไม่ได้หรอกครับ! ” ปฏิเสธไป
“ อ้าว! ทำไมล่ะ!? ” ว่าด้วยสีหน้าตกใจ
“ ผมอยากเรียกแบบเดิมจะสบายใจกว่าครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
ถอนหายใจยาวเฮือกออกมา “ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจน้องก็แล้วกัน ” พูดอย่างยอมจำนน
หลวงภาคินเริ่มไม่พอใจกับการรุกหนักของสหายคนสนิทที่กำลังจะเกี้ยวพาราสีคู่แห่งโชคชะตาของตน มือแกร่งจับช้อนสับข้าวในจานจนจะเละเป็นผงได้อยู่แล้วเชียว พลางสายตาก็มองคนทั้งคู่อย่างไม่วางตา
อาเธอร์ลิสสังเกตเห็นหลวงภาคินไม่ตักข้าวเข้าปาก ซ้ำยังเอาช้อนสับข้าวที่เม็ดละเอียดจนจะกลายเป็นผุยผงได้อยู่แล้ว ก็รู้สึกแปลกใจ
“ อาหารไม่อร่อยหรือครับ? ” ถามออกไปพลางทำหน้าหงอย
“ ก็เปล่านี่! ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้น
ได้ยินอาเธอร์ลิสถามมาเช่นนั้นจึงเลิกจ้องมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนทั้งคู่ แล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
“...”
อาเธอร์ลิสไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะอีกฝ่ายก็หันกลับไปรับประทานอาหารต่อเช่นเดิมแล้ว
“ โห! นี่น้องทำแกงรัญจวนเป็นด้วยรึ? ”
หลวงเทพที่เงียบมาเสียนานก็โพล่งออกไปบ้าง เมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับแกงรัญจวนที่ถูกจัดวางไว้ยังตำแหน่งตรงหน้าของหลวงภาคิน
“ ก็พอได้ครับ แต่คงสู้คนอื่น ๆ ทำไม่ได้หรอกครับ ” ตอบออกไปอย่างถ่อมตัว
“ ไม่หรอก! พี่ว่าต้องอร่อยกว่าของคนอื่นทำเป็นแน่ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ พี่ขอลองชิมได้ไหม? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ กะ...ก็ได้อยู่หรอกครับ! ” ว่าพลางเหล่ไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ถ้าอย่างนั้น จะชิมแล้วนะ! ” ว่าพลางยกช้อนเตรียมจะไปตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่เห็นหลวงเทพจะเอาช้อนมาตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของตน หลวงภาคินก็ขยับชามที่มีแกงรัญจวนหนีมือขี้ขโมยนั้นในทันใด
“ หลวงภาคิน! นั่นท่านทำอะไร?! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันจะชิมแกงรัญจวนชามนั้น! เอามาวางไว้ที่เดิมหน่อย ฉันตักไม่ถึง ” บอกอีกฝ่ายไป
“ ของฉัน ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ หา? ว่ากระไรนะ? ” ถามกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ แกงรัญจวนชามนี้เป็นของฉัน ฉันกินได้คนเดียว ห้ามใครมายุ่มย่าม! ” โพล่งออกไปอย่างนั้นพลางจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“...” พูดไม่ออก
อาเธอร์ลิสที่นั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารก็ถึงกับอึ้งกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าหลวงภาคินจะชอบแกงรัญจวนมากขนาดนี้ หวงแม้กระทั่งกับสหายของตนเอง แต่ก็เข้าใจล่ะนะว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรเอาแต่ใจอยู่แล้ว คงไม่มีใครกล้าไปขัดใจเขาได้หรอก นอกเสียจากคุณหญิงเพ็ญผู้เป็นมารดาของเขา ซึ่งก็เอาแต่ใจเหมือนกัน ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้วล่ะ
“ แหม! คุณหลวง ฉันแค่จะชิมนิดหน่อยเอง! ทำเป็นหวงไปได้! ”
หลวงเทพหลังจากที่เงียบอึ้งไปก็พูดขึ้นเชิงแซว ๆ ออกมาอย่างนั้น
“ อือ ฉันหวง ” ตอบออกไปเสียงเรียบ
“ ขอรับ ๆ ฉันไม่ชิมแล้วก็ได้ ” ว่าอย่างยอมจำนน
“ อือ ดี! ” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
“ แกงฟักก็อร่อยเหมือนกันเนาะอลิส? ” ว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ คะ...ครับ! ”
อาเธอร์ลิสหันไปมองหลวงภาคินที่นั่งหน้านิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จาอะไร ก็ได้แต่คิดว่าตนไปทำอะไรขัดใจอีกฝ่ายอีกหรือเปล่า หรือจะเป็นเพราะไม่พอใจที่ตนอนุญาตให้หลวงเทพชิมแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็อาจเป็นได้ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
หลวงภาคินเห็นสายตาของอาเธอร์ลิสที่มองมาทางเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ คงจะคิดว่าขุนนางหนุ่มกำลังโกรธอะไรอยู่เป็นแน่ ไม่ผิดหรอก ที่โกรธน่ะ มันสหายหน้ามึนคนนั้นต่างหากล่ะ ทำตัวยุ่มย่ามตั้งแต่เข้ามาแล้ว ส่วนไอ้เด็กนี่ก็ซื่อบื้ออยู่ได้ และมิหนำซ้ำยังอนุญาตให้ขุนนางคนนั้นมายุ่งกับแกงรัญจวนอีก
กล้าดีอย่างไรที่ให้คนอื่นมาแตะต้องของ ๆ ฉัน! แกงรัญจวนของฉัน ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม! รู้เอาไว้ซะ! ไอ้คนหัวทึ่ม! มาต่อแล้วงับบบ คุณหลวงคนปากไม่ตรงกับใจ
พูดคุย+ทวงนิยาย+จองหนังสือกันได้ที่ เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama