สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ  (อ่าน 97055 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
«ตอบ #240 เมื่อ29-08-2017 09:33:44 »

หาใหม่เถิดท่าเทพี พรากคนรักกันเค้าว่าบาปนาา

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
«ตอบ #241 เมื่อ29-08-2017 13:01:04 »

สนุกดีค่ะ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
«ตอบ #242 เมื่อ30-08-2017 09:48:27 »

ชลันธร นางร้ายจ้ะ 55555 ออดอ้อนภัสดามาก




นานๆที่จะมีโมเม้นแบยนี้นะคะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
«ตอบ #243 เมื่อ30-08-2017 09:50:39 »

หาใหม่เถิดท่าเทพี พรากคนรักกันเค้าว่าบาปนาา


ชอบท่านนภนต์มาก...แต่จะพรากไหม ไม่บอก

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
«ตอบ #244 เมื่อ30-08-2017 09:51:37 »

สนุกดีค่ะ รอติดตามนะคะ



ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
«ตอบ #245 เมื่อ30-08-2017 19:05:39 »

สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 24








คำกล่าวที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้เพลิงไฟใหญ่...แต่หากไฟน้อยก็ย่อมแพ้กระแสน้ำที่ถาโถม  ดั่งเช่นรพีพงศ์ที่ไร้เรี่ยวแรง ซ้ำยังจมลงไปในน้ำตกด้านล่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่างเข้าใกล้สู่ปากประตูแห่งยมโลก จะรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น…รอเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลงไป เมื่อนั้นรพีพงศ์จะมีชีวิตอยู่เพียงในความทรงจำของนาคินทร์เท่านั้น

…‘ความหนาวเหน็บที่บาดผิวหนังข้า... ความเย็นชาที่รวดแล่นในกายที่ข้าได้รับ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือว่าข้าจะต้องทิ้งชีวิตลงใต้ผืนน้ำนี้’…

‘ตูม!!’

เปลือกตาที่กำลังจะปิดซ่อนดวงตาคมก็เปิดออกอีกครั้ง เสียงกระจายของน้ำหนักตกลงน้ำไม่ไกลจากร่างรพีพงศ์นั้นช่วยเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยให้กลับเข้าร่าง ฟองอากาศกระจายทั่วบริเวณก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มขนาดใหญ่กำลังแหวกว่ายเข้ามาหา

‘ท่านรพีพงศ์ข้ามาช่วยท่านแล้ว…’ น้ำเสียงหวานใสถ่ายทอดคำพูดผ่านจิตให้รพีพงศ์ได้รับฟัง

นาคินทร์ในร่างของมนุษย์ครึ่งนาคได้ใช้หางเกี่ยวพันกายใหญ่ม้วนเข้าหา สองแขนโอบกอดรพีพงศ์จนแนบชิด ใบหน้างามโน้มเข้าหาตามด้วยประกบริมฝีปากถ่ายทอดพลังให้สุริยะบุตรสามารถหายใจในน้ำได้ พลันรัศมีสีเขียวตั้งแชกระจายจนทั่วทั้งยังช่วยโอบร่างของทั้งสองให้ลอยขึ้นไปสู่เหนือผิวน้ำ

“อ่า…”

นาคินทร์ผละริมฝีปากออกแล้วกวาดสายตามองหาฝั่งไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับวิหกตัวน้อยที่เทียวบินเข้าออกตรงม่านน้ำตก …‘ไม่ผิดแน่ หลังม่านน้ำตกจักต้องมีถ้ำอยู่เป็นแน่ น่าจะเข้าไปแอบหลบซ่อนพระอังคารได้’…ไม่รอช้านาคินทร์ก็ว่ายน้ำพยุงพารพีพงศ์ไปยังถ้ำ

“ท่านรพีพงศ์อดทนสักนิดนะ” นาคินทร์เอ่ย ไม่รู้ว่าคนฟังจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม นาคน้อยกลายร่างคืนสภาพเป็นมนุษย์พยุงร่างกำยำฝ่าม่านน้ำตกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำอย่างทุลักทุเล

เมื่อย่างกรายเข้ามาภายในถ้ำ ร่างบางได้พาเทพหนุ่มที่สลบไสลให้นอนพักลงบนพื้นหินแสนเย็นเฉียบ แต่ก็ยังมิอาจสู้ไอเย็นที่แผ่ออกจากผิวกายของรพีพงศ์ได้ นาคินทร์มิรู้หนทางจะทำเช่นไรที่จักให้รพีพงศ์หายหนาว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนหินหาได้มีเศษไม้พอจะทำฟืนก่อไฟได้ สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้นั่นคือปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มของรพีพงศ์ออกไปให้พ้นเสียก่อน หากปล่อยไว้นานน่าจะเป็นผลร้ายต่อกายสุริยะบุตรมากกว่า แม้นาคน้อยจักเขินอายอยู่บ้างกับการกระทำของตน หากแต่คิดว่านี่เป็นวิธีเดียวที่ตนนึกออกและช่วยรพีพงศ์เอาไว้

“หนาว…หนาวเหลือเกิน” เสียงครวญหลงละเมอ รพีพงศ์ละเมอออกมาอย่างมิได้สติ ยามนี้นาคินทร์สงสารรพีพงศ์จับใจ มือเรียวลูบไล้ประคองใบหน้าที่ขาวซีด… ‘ข้าจักทำเช่นไรให้ท่านคลายหนาวได้เล่า อันตัวข้ามีแต่ขอให้ท่านคอยกอดยามหลับนอนอยู่เสมอ’...

“จริงสิ…” นาคินทร์นึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนกายเปลือยเปล่าเช่นกัน

“แม้กายข้าจะไม่อบอุ่นแต่ข้าจะกอดท่านไว้…ท่านรพีพงศ์” นาคางามเหยียดกายนอนเคียงข้างรพีพงศ์ แขนเรียวก่ายกอดอีกฝ่ายไว้ ไม่นานนาคินทร์ก็หลับตามรพีพงศ์ไปด้วยความเหนื่อยล้า

. . .

ลมหายใจอุ่นที่รดรินตรงแผงอกกว้างทำให้รพีพงศ์ที่ฟื้นขึ้นมาพบเจอ แม้คราแรกจักตกใจที่ตื่นมาพบว่าตนและนาคินทร์ตกอยู่ในสภาพล่อแหลม แต่พอได้เห็นอาภรณ์ที่พาดพึ่งอยู่ตรงโขดหิน รพีพงศ์จึงเดาได้ทันทีว่านาคินทร์นั้นหวังดีกับตน ก็พอที่จะทำแย้มสรวลออกมาได้…‘มิใช่เพียงหายหนาว แรงข้านั้นก็ฟื้นกำลังขึ้นมา’… ด้วยรพีพงศ์อ่อนแรงจากการสัมผัสน้ำเป็นเวลานานวิธีแก้ไขนั้นก็หาได้ยากเย็นไม่เพียงแค่ให้ความอบอุ่นและทำให้กายของรพีพงศ์แห้งแค่นั้นก็เพียงพอ

“อื้อ…” นาคินทร์กลายเป็นฝ่ายหนาวแทน ร่างอรชรเบียดกายเข้าหาจนรพีพงศ์สัมผัสได้ถึงเนื้อนิ่มที่แนบชิดจนบัดนี้ บุตรแห่งพระอาทิตย์หายใจไม่ทั่วท้องเสียแล้ว

“เจ้าคงหนาวมากสิท่า” รพีพงศ์ร่ายมนต์เสกภูษาผืนใหญ่ห่มกายนาคินทร์และตนเองไว้จากนั้นก็ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่นาคินทร์ดังที่เคยได้ทำ

“ทะ…ท่านรพีพงศ์…ฟื้นแล้วหรือ” แรงกอดเมื่อครู่ของรพีพงศ์ปลุกนาคินทร์ให้ตื่นขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นนาคน้อยแสนน่ารักยังลุกนั่งแล้วเลิกผ้าห่มตามด้วยใช้มือลูบคลำร่างกายของรพีพงศ์อย่างลืมตัว

“ท่านรพีพงศ์ กายท่านไม่เย็นแล้วแสดงว่าอาการดีขึ้นแล้วเหลือเพียงแต่…” นาคินทร์หยุดสายตามองยังแผลของรพีพงศ์ที่สัตว์พาหนะของพระอังคารฝากไว้ ...‘เป็นเพราะข้าแท้ๆ ท่านจึงบาดเจ็บเช่นนี้’…

“โอ๊ย!!!” รพีพงศ์ที่ปล่อยให้นาคินทร์สำรวจร่างกายก็ร้องโอดโอยขึ้นมาเมื่อมือเรียวสัมผัสเข้าตรงปากแผลอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ตนอุตส่าห์สะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บเพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่พอมีอะไรมากระทบแผล รพีพงศ์ก็มิอาจปกปิดความรู้สึกเจ็บปวดได้

“ท่านรพีพงศ์!!!...ฮึก…ฮือ..” สุดจะกลืนกลั้นสะอื้น นาคินทร์ร้องไห้ออกมาทันที รพีพงศ์ไม่อยากให้นาคินทร์นั้นรู้สึกผิดใดๆ จึงได้ลุกนั่งแล้วดึงนาคินทร์เข้ามาสวมกอดไว้ทันที

“ข้ามิเป็นอันใดแล้ว บาดแผลเพียงแค่นี้หาปลิดชีวิตข้าได้ไม่...เจ้าอย่าได้กรรแสงหรือเป็นกังวลอันใดเลย…นาคินทร์” น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบากระซิบกระซาบข้างหู พระหัตถ์พลางลูบแผ่นหลังขาวเพื่อปลอบประโลม

“ข้ากลัว…ฮือ..กลัวว่าท่านจักเป็นอันใดไป…ฮึก…ฮือ” นาคินทร์เอ่ย รพีพงศ์ดันกายนาคินทร์ออกเล็กน้อยแล้วเชยหน้าสวยให้เงยขึ้นมาสบตาตน

“เจ้ามิได้ปรารถนาให้ข้าตายหรอกหรือ” รพีพงศ์ถามทั้งที่รู้คำตอบจากท่าทีของนาคินทร์อยู่แล้วก็ตามและเป็นไปตามที่คิดไว้นาคินทร์พยักหน้าเป็นคำตอบ

“หากข้าตาย เจ้าจักหลุดพ้นจากการเป็นเชลย อันที่จริงตอนข้าจมน้ำเจ้าก็มิต้องช่วยข้า ปล่อยให้ข้าตายก็ได้ เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าไว้”

“ไม่...ข้า…ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย หากท่านสิ้นชีพไปใครไหนเล่าจะปกป้องดูแลเชลยอย่างข้า ข้ายอมเป็นเชลยของท่านตลอดชีวิตเสียดีกว่า เห็นท่านเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา...” นาคินทร์เอ่ย ทุกถ้อยคำล้วนออกมาจากใจ…‘หากท่านตายมันก็เหมือนใจข้าที่เป็นดั่งขอบฟ้าไร้ซึ่งแสงดวงตะวันสว่างกลางใจ  ข้ามิยอมให้คนที่ข้าคิดมอบหัวใจต้องสิ้นชีพดอก’… ถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นคำตอบที่ทำให้รพีพงซ์รู้สึกดีดุจดั่งได้โอสถทิพย์มารักษากายใจ

“ถ้าเจ้าหมายที่จะเป็นเชลยของข้า เจ้าจะไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะเป็นของๆ เจ้าอีก…เจ้าจักไร้ซึ่งอิสรภาพ แม้กายเจ้า...เจ้าก็จะมิได้เป็นเจ้าของ...” รพีพงศ์เอ่ย แม้นประโยคที่ได้สดับฟังจะเหมือนคำขู่ แต่สุรเสียงที่ใช้กลับทำให้นาคินทร์รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

นาคินทร์พยักหน้ารับ ว่าตนยินยอมถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการจองจำกักขังใจ  รพีพงศ์ยิ้มกว้างแล้วโอบเอวคอดให้ขยับมานั่งใกล้

(ต่อ)​
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2017 19:09:06 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
«ตอบ #246 เมื่อ30-08-2017 19:07:24 »



“เจ้ารู้หรือไม่...เกศานี้ก็เป็นของข้าเช่นกัน” รพีพงศ์ลูบเส้นผมดำขลับของนาคินทร์ ความละมุนของรพีพงศ์ส่งผลให้เจ้าของเส้นผมใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ยิ่งพอได้นั่งใกล้ก็กลัวเหลือเกินว่ารพีพงศ์จะได้ยินเสียงเต้นรัวของหัวใจตน

“แก้มนี้ก็เป็นของข้า” หัตถาที่ลูบเกศาเลื่อนลงมาลูบปรางค์ขาวนิ่ม นิ้วโป้งคอยเกลี่ยคราบน้ำตาแผ่วเบาจากการร้องไห้เมื่อก่อนหน้านี้ นาคินทร์เบือนหน้าเล็กน้อยไม่อยากให้รพีพงศ์เห็นใบหน้ายามขวยเขินของตน…แต่มีหรือจะเบือนหนีได้ไกลกลับถูกรพีพงศ์ชิงหอมแก้มขาวนี้เสียก่อน... ‘ท่านคิดจะแกล้งข้าให้กระดากอายหรือไร หารู้หรือไม่เล่าว่าข้านี้ทำตัวไม่ถูกแล้ว’...

“และริมฝีปากนี้เป็นของข้าเช่นกัน” รพีพงศ์ลากนิ้วโป้งมาแตะที่ริมฝีปากแดงสด หากสายตานั้นมิได้จ้องสนใจริมฝีปากแม้แต่น้อย นาคินทร์เห็นเงาในตาคมก็เห็นเงาสะท้อนใบหน้าของตน

“อื้อ..” เพราะมัวหลงเสน่ห์นัยน์ตารพีพงศ์จนไม่ทันระวังตัว ริมฝีปากนิ่มได้ถูกผู้อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเข้าครอบครองแถมยังมอบรสจูบแสนหวานให้นาคินทร์ได้เคลิบเคลิ้มโอนอ่อนจูบตอบกลับอย่างไม่ช้าที

“อืม…” รพีพงศ์ครางเบาๆในลำคออย่างพอใจแล้วจึงถอนจูบ ครานี้รพีพงศ์กลับมาจ้องใบหน้างามของเชลยอีกครั้ง

แสงจันทราที่สาดส่องมาผ่านม่านน้ำตกแม้จะให้ความสว่างไสวไม่มากแต่ก็พอจะทำให้รพีพงศ์เห็นสีหน้าขัดเขินของนาคินทร์ได้ มันช่างน่าใคร่ยิ่งนัก

“นาคินทร์ทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า…จักกลายเป็นของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” รพีพงศ์เอ่ยเสียงพร่า แม้จะพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่กำลังปลุกปั่นกลางกายขยายตัว จนผืนผ้าห่มมิอาจปกปิดความต้องการนี้ได้ ซ้ำยังขึ้นรูปรอยจนนาคินทร์มองได้อย่างเห็นชัด  แต่รพีพงศ์ก็มิได้ล่วงเกินอะไรนาคินทร์เพิ่มเติมไปมากกว่าการโอบกอดและจูบหอม

…‘ข้าดีใจเหลือเกินที่ท่านรักษาสัตย์ที่มีให้กับข้า ทั้งยังเจ็บตัวเพื่อข้าอีก ’…   กลับกลายเป็นว่านาคินทร์นั้นเป็นฝ่ายโอบคอรพีพงศ์ให้โน้มลงมาแล้วมอบจุมพิตที่เป็นรางวัล บุตรแห่งสุริยเทพเดิมทีนั้นสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ทำอันใดนาคินทร์ไปมากกว่าจูบดั่งที่เคยให้คำสัตย์ หากเพลานี้เหยื่อเป็นฝ่ายเยื้องย่างเข้าปากราชสีห์เสียเองแล้วไซร้คงยากที่จะพ้นคมเขี้ยวที่หมายเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ มือหนาสัมผัสกายนาคินทร์แล้วเปลี่ยนท่าให้นาคน้อยนั่งคร่อมตักตนเองไว้

“อ๊ะ!...ท่านรพีพงศ์!! ข้าไม่เล่นด้วยนะ” นาคินทร์ละริมฝีปากออกเมื่อถูกรพีพงศ์จัดให้อยู่ในท่าทางชวนล่อแหลม พอจะลุกออกกลับถูกกอดแน่นจนร่างกายแนบชิดไปทุกสัดส่วน

“แล้วใครบอกว่าข้าเล่น เจ้าจูบข้าทำให้ข้าเกิดกำหนัด เจ้าต้องรับผิดชอบข้าด้วย”

“ข้าเพียงจะให้รางวัลท่านเพียงเท่านั้นเอง ข้าขอโทษที่ข้าไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้ท่านเกิดกำหนัดนี้” นาคินทร์เองรับความผิดเสียดื้อๆ ยิ่งทำให้รพีพงศ์ชอบใจ

“รางวัลแค่จูบไม่เพียงพอดอกนะ สำหรับข้ามันต้องมากกว่านี้” รพีพงศ์เผยอยิ้มร้ายแล้วเริ่มรวบรัดนาคินทร์ให้เป็นเชลยของตนเพียงผู้เดียวอย่างสมบูรณ์แบบ

“ฮื้อ…อ่ะ…ท่านรพีพงศ์” เสียงครางหวานเปล่งออกมายามที่จมูกโด่งฝังเข้าตรงซอกคอสูดดมกลิ่นกายหอม ไหนจะริมฝีปากที่คอยสร้างรอยไปพร้อมกัน

นาคินทร์หาได้รู้ตัวเลยว่ายิ่งตนส่งเสียงร้องครวญครางออกมามากเท่าใด รพีพงศ์ก็ยิ่งคึกคะนองต้องกำหนัดตัณหามากเท่านั้น มือข้างหนึ่งลูบไล้เอว มืออีกข้างคอยนวดคลึงแผ่นอกขาวจนแดงเป็นรอยมือ

“เจ้าต้องการข้าใช่หรือไม่นาคินทร์  ดูเหมือนเจ้าจะมีอารมณ์ร่วมกับข้าแล้ว ตอบมาสินาคินทร์ตอบมา...” รพีพงศ์แกล้งพูดแค้นเอาคำตอบให้ร่างบางอาย แล้วก้มหน้าลงเปลี่ยนเป้าหมายมาดูดชิมยอดอกสีสวยที่แข็งขันสู้มือเมื่อก่อนหน้านี้  จนเกิดเสียงครวญครางมิขาดสาย… ‘ท่านรพีพงศ์ท่านพูดถูก ข้านั้นมีอารมณ์...‘อารมณ์รัก’...ท่านเสียแล้ว’…

ใจชายฮึกเหิมด้วยกำหนัด ทำให้รพีพงศ์ลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลไปเสียสิ้น เมื่อมิอาจห้ามรพีพงศ์ให้หยุดการกระทำนี้ได้... ไม่สิ...นาคินทร์มิได้ห้ามปราม เพราะใจนั้นอยากให้รพีพงศ์สัมผัสและจับต้องตนจะแย่ จึงปล่อยกายให้หัวใจนำพา เริ่มด้วยแอ่นอกเข้าหา ท่อนล่างก็ขยับเบียดสะโพกเข้าถูกับแก่นกายไปมาผ่านภูษาที่แทรกกั้น ก่อนจะดึงภูษาแสนรุ่มร่ามให้ออกไปแล้วจับแก่นกายตนและรพีพงศ์เอาไว้ในมือเดียว

“อ่า..อ่ะ..อ่า….” มือนิ่มขยับรูดรั้งอย่างช้าๆ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามปลายลิ้นที่คอยตวัดรัวยอดอก

“อ่า..า…ดีเหลือเกิน” นาคินทร์ร้องบอกมือก็เร่งขยับจนมีน้ำสีใสปริ่มออกมาเปรอะเปื้อนมือ นาคินทร์จึงหยุดปลุกปั่นจนรพีพงศ์ที่ค้างคาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่านาคินทร์กำลังลากลิ้นเลียน้ำสีใสตามนิ้วมือทั้งห้าพร้อมมองหน้ารพีพงศ์ไปด้วย

‘เป็นเพียงเชลย…คิดจะยั่วยวนข้าให้ลุ่มหลงไปถึงไหน…คืนนี้เห็นทีข้าจักต้องทำโทษ เชลยอย่างเจ้าหนักๆ เสียแล้ว’

คิดได้ดังนั้นรพีพงศ์ดันกายนาคินทร์ให้นอนราบ พิศเพ่งกายงามที่เคยสัมผัสด้วยกำลังเมื่อกาลก่อน เหตุใดเล่ากายนาคน้อยถึงช่างยั่วยวนชวนให้ลุ่มหลงในกามเช่นนี้ ยิ่งต้องแสงจันทร์แม้เพียงน้อยนิดก็ยังงดงามเสียจนรพีพงศ์แทบอดทนไม่ไหว

“ข้ายินดีที่จักเป็นเชลยของท่านไปตลอดกาล” นาคินทร์เองรู้ว่าคนบนร่างคิดเช่นไรจึงใช้นิ้วเรียวลูบไล้สันกราม ทั้งใช้คำพูดเป็นการเชิญชวนให้รพีพงศ์เร่งตีตราตน

“ถึงเจ้าไม่ยินดี หากข้านี้จักทำให้เจ้าเป็น...เชลยของข้า...อยู่ดี” รพีพงศ์จับขาเรียวให้แยกออกแล้วลูบไล้ไปตามขาอ่อนลงมาถึงบั้นท้ายนิ่ม ลูบวนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับใช้ สายตาจ้องมองใบหน้าเหยเกแสนเย้าอารมณ์ของคนใต้ร่างไปด้วย ยิ่งตอนที่ตนแกล้งนวดเค้นให้ปลายนิ้วสัมผัสช่องทางรัก กายนาคินทร์นั้นสั่นระริกด้วยปลายเท้าจิกกับพื้นหินสร้างความสุขใจให้กับรพีพงศ์ยิ่งนัก

“ทะ..ท่านรพีพงศ์…อย่าแกล้งข้า” นาคินทร์ร้องขอแต่ไม่เป็นผล รพีพงศ์ละมือข้างหนึ่งที่ขย้ำเนื้อนวลมาใช้เพียงนิ้วลูบวนตามรอยจีบสีสด

“อึก..อ๊า….” เพียงนิ้วเดียวที่ชำแรกเข้าไป นาคินทร์กลับรู้สึกอึดอัดปนหน่วง…แต่ดีเหลือเกิน ดีเสียจนปั่นป่วนวาบหวิวอยู่ในช่องท้อง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการร่วมรัก แต่สำหรับนาคินทร์นั้นห่างหายเรื่องแบบนี้มาได้สักพัก พอได้กลับมาถูกเร้าสัมผัสอีกครา ก็เหมือนตนได้รับประสบการณ์ที่เร้าร้อนนี้อีกครั้ง

“อ่ะ..อ่า…อ่า…” นาคินทร์ครวญครางยามรพีพงศ์ขยับนิ้วเข้าออกเนิบนาบ ไหนจะเพิ่มนิ้วหมุนวนในช่องทางให้พร้อมที่จะรองรับความใหญ่โตที่มีมากกว่านิ้วมือหลายเท่านี่อีก รพีพงศ์ไม่ต้องการใช้ความรุนแรงกับนาคินทร์ดั่งที่ตนเคยได้ทำเมื่อครั้งก่อน เทพหนุ่มจึงตั้งอกตั้งใจค่อยๆ มอบความสุขเสียจนนาคินทร์ดิ้นพล่าน

“อื้อ..ท่านรพีพงศ์…ข้า…อึก.อ่า..” เอ่ยมาเพียงเท่านี้ ผู้ถูกเรียกขานรู้ทันทีว่านาคน้อยต้องการอันใด ยิ่งผนังภายในบีบรัดนิ้วก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่คิด รพีพงศ์จึงดึงนิ้วออกโดยพลันทำให้สะโพกแน่นยกลอยขึ้นมาตามนิ้วไปด้วย เพราะเห็นว่าถึงกาลอันสมควรแล้วจึงจับแก่นกายร้อนจ่อที่ปากทาง หากมิได้เสือกแทรกเข้าไปภายในเนื้อนุ่ม รพีพงศ์กลับทำเพียงถูไถไปตามร่องบั้นท้ายเท่านั้น

“อื้อ..ท่านใจร้าย..อ่า.ใจร้าย…” นาคินทร์ตัดพ้อเพราะโดนแกล้ง รพีพงศ์ส่ายหน้าให้กับความกระเง่ากระงอดที่ดูแล้วรู้สึกเอ็นดูจนอยากจะแกล้งหนักๆ

“นาคินทร์กอดข้าสิแล้วข้าจะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ” รพีพงศ์เอ่ยกระซิบข้างใบหูนิ่มเสียงแหบพร่า ช่างน่าขันนักแกล้งเขาแต่ตนนั้นทรมานเสียได้ นาคินทร์รีบทำตามไม่คิดขัดใจ รีบลุกขึ้นเอนหลังไว้กับผนังถ้ำแล้วใช้แขนทั้งสองข้างกอดร่างสูงแน่น เมื่อนาคินทร์กอดรพีพงศ์แล้ว บุตรแห่งทินกรก็ใช้แขนทั้งสองค้ำยันผนังถ้ำเป็นการกักตัวนาคินไว้ ตามด้วยแทรกแท่งร้อนเข้าไปในกายบางทีละนิดเพื่อที่นาคินทร์จะได้ไม่เจ็บมาก

“อ่า.า…นาคินทร์..เจ้าเจ็บหรือไม่เล่า”

“อ่ะ.…อ่า...ท่าน..ท่านรพีพงศ์..ข้าเจ็บเพียงเล็กน้อยท่านอย่ากังวลเลย”

…‘แม้จักเจ็บกว่านี้ข้านั้นก็เป็นสุข ในเมื่อความเจ็บนี้มันเป็นเครื่องยืนยันว่าข้านั้นเป็นของท่าน’…

พอผสานกายเข้าไปจนสุดแล้วรพีพงศ์รอให้ร่างกายของนาคินทร์นั้นปรับตัวให้คุ้นชินก่อน จึงเริ่มขยับโยก ให้แก่นกายใหญ่เสียดสีกับเนื้อภายแสนร้อนผ่าวกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวรพีพงศ์ยิ่งพลุ่งพล่าน พอๆ กับหยาดเหงื่อที่ผุดพรายอาบร่างทั้งสองไม่ต่างจากหยดน้ำ

‘จุ๊บ..จุ๊บ’ ร่างสูงโน้มสร้างรอยราคีตีตราตามเนินไหล่และเนินอกราวกับต้องการให้ใครที่มาเห็นจักได้รู้ว่านาคินทร์เป็นของตนเพียงผู้เดียว ด้านนาคินทร์เองไม่ยอมให้รพีพงศ์ทิ้งร่องรอยเพียงฝ่ายเดียว ตนนั้นได้ฝากรอยข่วนไปทั่วทั้งแผ่นอกกว้างเป็นทางยาวเช่นกัน

“อ่า...อ่ะ..อ่า…อ๊ะ..” นาคินทร์ครางกระเส่าร่างกายสั่นโยกไปตามแรงกระแทก

“อืม..ม…ข้างในเจ้าบีบรัดข้าเสียจริง” กล่าวชมคนงามที่บีบรัดแกนกายอย่างต่อเนื่องจนรพีพงศ์อยากปลดปล่อยเสียเดี๋ยวนั้น

“ระ…แรงอีกได้หรือไม่..อื้อ..”

ไม่ว่านาคินทร์ขอร้องสิ่งใด ทุกครารพีพงศ์มักจะแกล้งให้ขัดใจ แต่เห็นทีเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเดียวที่เทพหนุ่มละเว้น ไว้ ในเมื่อคนงามขอให้ทำรักแรงๆ มีหรือจะไม่สนองให้ รพีพงศ์กระแทกกระทั้นแก่นกายหนักหน่วงเสียลืมความเจ็บจากแผลช่วงเอวของตนเสียสนิท

“อือ...นาคินทร์”

“ท่านรพีพงศ์ตรงนั้น..อ่า..ตรงนั้น..อื้อ..ลึก..ลึกไปแล้ว”

“อ่า…เรียกข้าว่าท่านพี่สิ..อืม...นาคินทร์เรียกข้าว่า...ท่านพี่” ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้รพีพงศ์อยากฟังคนงามเอ่ยเรียกตนด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“ท่านพี่รพีพงศ์…อ่า…ท่านพี่..อ่ะ..ท่านพี่รพีพงศ์” นับว่าคุ้มที่เอ่ยขอ เสียงหวานเรียกตนว่าพี่ทำให้รพีพงศ์มีแรงฮึดโหมไฟราคะผ่านการขยับแก่นกายเข้าออกจนนาคินทร์สุขล้นกับสิ่งที่รพีพงศ์มอบให้

“พี่รพีพงศ์…ข้าจะไม่ไหวแล้ว..อื้อ..”

“อดทนอีกนิด..อ่า…ไม่นานแล้ว…อ่า”

“อ๊า!!”

สิ้นเสียงครางแสนสัปดลของนาคินทร์ หยาดน้ำสีขาวขุ่นถูกปลดปล่อยเปรอะเปื้อนหน้าท้องราบของตนพร้อมกับรพีพงศ์ที่มอบไฟรักเข้าไปในกายจนนาคินทร์รู้สึกร้อนวาบมากกว่าอุ่น 

“พอหรือยัง...นาคินทร์...” รพีพงศ์เอ่ยถาม

“พอแล้ว...ข้าเหนื่อย...”  นาคินทร์ตอบไปอย่างแผ่วเบาเพราะ ศึกสวาทเมื่อครู่นั้นทำเอาเรี่ยวแรงหดหาย ทำเอาดวงตาจะปิดเสียให้ได้

แต่...เมื่อได้ใคร่แล้วมีหรือครั้งเดียวจะเพียงพอ ไฟแรงกำหนัดเทพหนุ่มนั้นเหมือนโคถึกที่กำลังคึกลุกโชน

“ข้าขออีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่...” นาคินทร์มิทันจะได้ตอบอะไร รพีพงศ์ก็เริ่มปลุกเร้าให้นาคเชลยในมีอารมณ์ร่วมกับตนอีกครั้ง นำพาให้จิตดำดิ่งสู่ห่วงกามตัณหา ดั่งภาพเมื่อครู่ที่ฉายซ้ำย้อนไปมาวนเวียน จะพลัดเปลี่ยนไปบ้างก็ช่วงที่นาคินทร์ขึ้นไปอยู่ด้านบนแล้วนั่งทับกลางกายรพีพงศ์ขึ้นลงอย่างเอาแต่ใจ

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หยาดน้ำรักทั้งสองถูกปลดปล่อย จนเวลาล่วงเลยจนจะเข้าใกล้สู่เวลาเช้ามืด ร่างกายมาถึงขีดจำกัดทั้งคู่จึงหยุดการสังวาสนี้ลง รพีพงศ์จรดริมฝีปากจูบกลางหน้าผากและดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะหอมแก้มขาวนิ่มเป็นการประทับรอยขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะถอนกายออก จากนั้นก็ตระกองกอดนาคินทร์ที่หอบกระเส่าไว้ให้นอนลงหนุนแขนก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

นาคาแสนงามมิสามารถนอนหลับได้เสียแล้วด้วยความสุขที่ล้นใจ ยามหลับตาคราใดภาพที่ถูกสุริยะบุตรลงโทษด้วยรักมักจะฉายแวบเข้ามา นาคินทร์มองใบหน้ายามหลับของผู้ที่ตระกองกอดแล้วจุมพิตที่ปลายคางอย่างหลงใหล

‘ฟิ้ว..’ เสียงลมพัดผ่านผิวขาวให้หนาวเหน็บ หากพระพายนั้นไม่ได้ส่งสายลมมาทางม่านน้ำตกแต่เป็นด้านในถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปอีก นาคินทร์ขมวดคิ้วสงสัยว่าสายลมนี้ผ่านพัดเข้ามาได้อย่างไร  นึกอยากจักเข้าไปสำรวจในคูหา

นาคินทร์ลุกออกจากรพีพงศ์อย่างระวังเพราะเกรงว่าจะทำให้เทวาหนุ่มต้องตื่น ทั้งไม่ลืมหยิบผ้าห่มคลุมกายให้รพีพงศ์ ส่วนตนนั้นเดินเปลือยเปล่าทนหนาวเข้าไปด้านใน

ศุกลจากจันทราสาดส่องลงผ่านช่องว่างขนาดใหญ่ของเพดานถ้ำ แสงนวลกระทบหินงอก หินย้อย ทั่วบริเวณช่างสวยงามมิต่างจากวิมานเทพยาดา ณ คูหาแห่งนี้

ร่างอรชรตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น …‘ลมเมื่อครู่คงมาจากที่นี่’… เมื่อคลี่คลายข้อข้องใจได้แล้ว นาคินทร์ก็นั่งลงบนแท่นศิลาแล้วเงยหน้ามองความงดงามบนท้องนภาผ่านช่องลมนั้น ด้วยว่าท้องฟ้าแห่งโลกหิมพานต์นั้นอยู่ใกล้กว่าโลกมนุษย์  หมู่ดวงดาวทั้งหลายจึงสวยงามกว่ามาก นาคน้อยนึกถึงวัยเยาว์ที่ตนเคยหนีมารดาว่ายโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ เพียงเพราะอยากจะดูพระจันทร์รวมถึงหมู่ดาราจนถูกมารดาดุเสียบ่อยครั้ง นึกแล้วนาคินทร์นั้นอดยิ้มและคิดถึงมารดาเสียมิได้

‘ฟอด’ นาคินทร์มัวนั่งเหม่อลอยถูกหอมแก้มฟอดใหญ่ พอจะขยับกายหันไปดูก็ถูกกอดจากด้านหลังทั้งห่มผ้าคลุมกายไว้มิดชิด

“ท่านรพีพงศ์…”

“ใช่ข้าเอง…เจ้าไปไหนไยไม่บอกข้า รู้หรือไม่ข้าควานกอดเจ้าไม่เจอจนคิดว่าเจ้าได้ข้าแล้วทิ้งข้า หนีข้าไปเสียอีก” รพีพงศ์เอ่ยน้ำเสียงจริงจังขัดกับถ้อยคำที่ลั่นวาจาออกมา

“ท่านพูดอันใด ไม่อายบ้างหรือ…ใครกันว่าข้านั้นได้ท่าน มีแต่…ท่านที่ได้ข้า...” นาคินทร์ตอบไปด้วยหน้าแดงก่ำ

“เจ้าต่างหากที่ไม่อาย มานั่งเปลือยกายเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่าแถมเจ้ายังยิ้มอีก เจ้ากำลังคิดถึงผู้ใดบอกข้ามา”

“ข้าเพียงสำรวจถ้ำแล้วที่ข้าเปลือยกายเพราะข้านั้นอยากให้ท่านได้ห่มผ้าและที่ข้ายิ้มเพราะข้านึกถึงตอนข้านั้นยังเด็กเพียงเท่านั้น” นาคินทร์ตอบ ในใจคิดว่าถ้าตนไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป รพีพงศ์นั้นกำลังหวงตนอยู่

“ข้าคิดว่าเจ้าคิดถึงใครเสียอีก… เจ้าห้ามคิดถึงใครอื่นที่มิใช่ข้า…นี่คือคำสั่ง” รพีพงศ์เอ่ยคำสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแถมประโยคที่พูดนั้นราวใช้เอ่ยกับคนรัก … ‘เจ้าเป็นของข้าเต็มตัวแล้วรู้หรือไม่นาคินทร์…’

“ข้า..ข้ารู้แล้ว” นาคินทร์ตอบพร้อมก้มหน้างุดซุกอกรพีพงศ์ไม่ออกห่าง นาคินทร์รู้สึกดียิ่งนักอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เสียจริง 

“ดีมาก รู้แล้วก็จำไว้ด้วยเล่าว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเป็นของข้าเช่นนี้อีก” ช่างเป็นคำขู่ที่ฟังดูหื่นกามจนนาคินทร์รู้สึกหมั่นไส้ นาคน้อยเพียงได้แต่คิดมิได้พูดออกไป ... ‘ท่านเป็นใครน่ะหรือ...ท่านก็เป็นผัวข้าน่ะสิ...แล้วข้าก็เป็นเมียท่าน’... แต่สิ่งที่พูดออกไปนั้นคือ...

“ท่านนั้นช่างหมกมุ่นเสียจริง…นี่แหนะ” นาคินทร์แสร้งดุแล้วตีรพีพงศ์เบาๆ แต่กลับไปโดนแผลเสียของรพีพงศ์เสียได้

“โอ๊ย!! แผลข้า” รพีพงศ์แสร้งทำทีร้องอย่างโอดโอย

“สมน้ำหน้าท่านอยากพูดจาเรื่องลามกทำไมเล่า อีกอย่างข้าตีท่านเบามือหาได้ลงแรงไม่ไยจึงร้องโอดโอย ทีท่านออกแรง...เอ่อ..”

“ออกแรงอันใดเล่าไยเจ้าไม่พูดให้จบประโยค แล้วเรื่องลามกน่ะเราทั้งสองก็ทำมันกันทั้งคืนมิใช่หรือ...” รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์ต้องการพูดอะไรต่อแต่ที่เงียบคงเพราะเขินอาย

“ไม่รู้ล่ะข้าจักไม่พูดกับท่านแล้ว” นาคินทร์แกล้งทำเป็นงอนกลบเกลื่อนความเขินอาย

“โธ่เอ๋ย…เชลยของข้าโกรธเคืองข้าเสียแล้ว  เออ...จริงสิ ข้านั้นลืมไปเสียสนิท สงสัยนักว่าสายฟ้าที่ฟาดมาระหว่างข้ากับกระบือของพระอังคารในตอนนั้นเป็นของผู้ใด นาคินทร์เจ้าพอจะรู้หรือไม่” รพีพงศ์นึกขึ้นได้ว่านอกจากตนจะรอดตายเพราะนาคินทร์ช่วยไว้แล้วนั้น ยังมีอสุนีบาตที่ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือใครจงใจถึงได้ผ่าเปรี้ยงลงมาได้ทันเวลาพอดี

“ข้าเองมิรู้หรอกว่าผู้นั้นเป็นใคร แต่ข้าได้ยินพระอังคารเรียกเอ่ยนามนั้นว่า...พระราหู...ออกมา” นาคินทร์ตอบ

“อะไรนะ พระราหูกระนั้นหรือ...” นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับรพีพงศ์ ที่พระราหูออกโรงมาช่วยตนให้พ้นภัยจากพระอังคาร ด้วยวงศาทินกรไม่ถูกกับพระราหูเนื่องด้วยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหลายต่อหลายครา หากได้พานพบประสบพักตร์เมื่อใดพระราหูจักต้องกลืนกินพระอาทิตย์อยู่เสมอ

“มีอันใดหรือท่านรพีพงศ์ เหตุใดถึงหน้านิ่วคิ้วขมวด” นาคินทร์เอ่ยถามหลังสังเกตสีหน้าของรพีพงศ์ที่เหมือนมีปัญหากลัดกลุ้มคิดไม่ตกอยู่ภายในใจ

“เจ้ากับพระราหูนั้นเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่” รพีพงศ์ไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายถามแทน

“ข้าเคยได้ยินนามเทพผู้มีชื่อนี้มาบ้าง  ด้วยว่าเป็นที่เกลียดชังและเกรงกลัวของเหล่ามนุษย์โลก แต่ข้าก็ไม่เคยได้พบพานหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวนั้น...” นาคินทร์ตอบน้ำเสียงจริงจัง แม้จะงวยงงว่าเหตุใดรพีพงศ์จึงถามตน

“อืม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การครั้งนี้เทพพระราหูช่วยพวกเราไว้ เช่นนั้นข้ากับเจ้าเป็นหนี้บุญคุณเทพพระราหูเสียแล้วที่ทำให้ข้ากับเจ้ารอดมาได้ ถ้ามีโอกาสข้าสัญญาว่าจะตอบแทนพระราหูที่ช่วยเหลือเราสองไว้” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์พยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้รพีพงศ์ก็เลือกที่จะเปลี่ยนความคิดหาเหตุผลเป็นหาโอกาสตอบแทนคุณเทพพระราหูเสียดีกว่า...

“เสร็จการเรื่องของชลันธรแล้ว เจ้าคิดจะทำการอันใดต่อหรือไม่...” รพีพงศ์เบี่ยงพูดเรื่องใหม่เพราะไม่อยากให้คนในอ้อมแขนคิดมาก 

“ข้าไม่มีที่ไปอีกแล้ว...จักลงน้ำกลับไปหาท่านแม่ก็มิได้...ข้านั้นไร้จุดหมาย...ก็คงจะแล้วแต่ท่านรพีพงศ์...”  นาคินทร์เสียงอ่อนลงเพราะไม่รู้จุดหมายในชีวิตจริงๆ  ในเมื่อกายใจนั้นมอบไว้ให้รพีพงศ์ก็สุดแท้แต่เทพหนุ่ม

“หากแล้วแต่ข้า...เจ้าจะต้องกลับไปอยู่ที่วิมานพระอาทิตย์กับข้า...”  รพีพงศ์เอ่ย

“นาคชั้นต่ำเช่นข้ามิสมควรจะอยู่ในวิมานเทพ...ข้าคงไม่มีที่ยืนสำหรับที่แห่งนั้น”  นาคินทร์รู้กฎเกณฑ์สวรรค์ดีว่าตนนั้นต่ำศักดิ์นัก มิสมควรอยู่ร่วมด้วยเหล่าเทวาชั้นสูงบนสวรรค์

“ข้าจะทำให้เจ้าได้อยู่ที่นั้น... โปรดเชื่อใจข้า นาคินทร์...” รพีพงศ์ให้คำสัตย์ไว้แต่มิรู้ว่านาคินทร์จะเชื่อใจตนหรือไม่

“ตกลง...ข้าเชื่อใจท่าน...”  รพีพงศ์หอมแก้มขาวอีกคราเมื่อได้คำตอบที่ต้องใจ นาคินทร์ตอบตกลงเพราะเชื่อใจ  แต่ก็มิรู้ว่าตนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นได้ด้วยเหตุใด  แต่เมื่อเลือกที่จะเชื่อใจรพีพงศ์แล้ว นาคินทร์ก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเหตุการณ์ข้างหน้ารพีพงศ์จะทำเช่นไร 

“หอมอีกแล้ว...” นาคินทร์เอ่ยเพราะเทวาหนุ่มนั้นล่วงเกิน

“ก็บอกไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าแก้มขาวนี้เป็นของข้าไม่ใช่ของเจ้า...ไยข้าจะหอมมิได้...”  รพีพงศ์ย้ำเตือนในสิ่งที่นาคินทร์เลือกอีกครา 

“แล้วท่านหากจะกลับไปวิมานพระอาทิตย์แล้ว...ท่านคิดจะทำการอันใดต่อ...”  นาคินทร์ที่กำลังเขินในสิ่งที่รพีพงส์ย้ำเตือน จึงสร้างเปลี่ยนเรื่องสนทนาแล้วถามกลับ

“ข้าก็คงจะกลับวิมานรอรับตำแหน่งพระอาทิตย์องค์ต่อไป เพราะว่าพระบิดาใกล้จะหมดวาระแล้ว...แต่ก่อนหน้านั้น คงจะเหาะเหินเที่ยวเล่นไปเรื่อย...แล้วเจ้าอยากจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนบ้างหรือ...” รพีพงศ์ถามกลับ

“จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้ไปที่ไหนมากนักหรอก แต่มีสถานที่หนึ่งที่ข้าเคยได้ยินมาว่ามันเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก...” รพีพงศ์รอฟังคำตอบจากนาคินทร์อย่างใจจดใจจ่อ 

“ทางช้างเผือก  ใช่แล้ว...ข้าอยากไปทางช้างเผือกสักครั้ง”  นาคินทร์นึกได้จึงตอบออกมา

“ทางช้างเผือกนะหรือ ข้าไปจนเบื่อแล้ว…”  เสียงเทพหนุ่มฟังดูแล้วเหมือนเบื่อหน่ายจริงๆ 

“แต่ข้าไม่เคยไป ตั้งแต่เกิดมาข้าอยู่แต่ใต้มหาสมุทร ได้ฟังนาคชั้นสูงเล่าให้ฟังว่าทางช้างเผือกงดงามมาก ราวถูกสร้างมาด้วยไข่มุกรวมถึงอัญมณีมีค่ามหาศาล ข้าได้ฟังแล้วข้าจึงอยากไปให้ได้สักครั้ง แต่ฤทธิ์เดชของข้าเองก็มิมากพอที่จักขึ้นไปเหยียบย่างบนสวรรค์หรือว่าไปทางช้างเผือกได้ จึงทำได้เพียงมองดูหมู่ดาวจากบนพื้นปฐพีนี้แทน” นาคินทร์เศร้าสลดจนรับรู้ได้ผ่านน้ำเสียง

“ก็ได้...ข้าจักพาเจ้าไปทางช้างเผือก เพียงเจ้าเรียกข้าว่า...ท่านพี่...และขอร้องข้าอีกรอบ”  รพีพงศ์ยื่นข้อเสนอ นาคินทร์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าไยถึงให้เรียกเช่นนี้

“ท่านพี่ หรือ...” นาคินทร์สงสัย เพราะคำนี้มันเป็นคำที่คนรักมาจะใช้เรียกกัน เหมือนที่ชลันธรเรียกท่านนภนต์ว่าท่านพี่  และเหมือนกับตอนที่....

“ใช่ ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่มากกว่า...เหมือนตอนที่เรากำลัง...”  เทพหนุ่มลูบไล้ปรางงามก่อนจะอดใจมิไหวหอมแก้มขาวนี้อีกครา...

“ไม่ดีกว่า ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่  ข้าชอบจะเรียกท่านว่า ท่านรพีพงศ์ มากกว่า...” นาคินทร์ปฏิเสธไปถึงแม้ว่ารพีพงศ์อยากให้เรียก ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนักและเข้าใจว่ารพีพงศ์นั้นคิดเช่นไร แต่นึกขึ้นได้ว่า คำนี้กนธีก็เคยให้เรียกเช่นกัน... ซึ่งมันทำให้นึกถึงช่วงเวลานั้น...ที่นาคินทร์ถูกขับไล่จากวิมานพระสมุทร 

“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า...” รพีพงศ์มิได้บังคับอันใดต่อ เพียงหอมเส้มผมกลางกระหม่อมของนาคินทร์...นาคน้อยยังแปลกใจว่านี่นั้นมิใช่นิสัยของรพีพงศ์ที่ส่วนมากกับตนแล้วก็จะมักเอาแต่ใจตัวเองเสมอ ไยถึงยอมตามใจตนง่ายๆ เช่นนี้  ริมฝีปากบางกลับมีรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา…‘น่ารักเสียจริงเชลยของข้า’…รพีพงศ์คิดเช่นนั้นเมื่อได้เห็น

“เอาเป็นว่า…ข้าจะพาเจ้าไปทางช้างเผือกแต่หลังจากช่วยเหลือเทพนภนต์และชลันธรให้สำเร็จเสร็จสิ้นภารกิจเสียก่อน เจ้าจะรอได้ไหม...” รพีพงศ์กลัวว่าจะนาคินทร์จะเลิกล้มความคิดจึง ยอมตกลงที่จะพาไปโดยนาคินทร์มิได้อ้อนอย่างที่หวัง...

“ข้าจะรอ…นานแค่ไหนข้าจะรอ…ให้ท่านพาข้าไปทางช้างเผือก...” หลังจากนาคินทร์เอ่ยเสียงอ่อนลงทุกอย่างก็เงียบสงบ พอรพีพงศ์ก้มดูก็พบว่านาคินทร์ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

...‘รอข้าหน่อยนะนาคินทร์…รอให้ข้ามีความมั่นใจกว่านี้อีกสักหน่อย เมื่อถึงวันที่เราสองได้ไปเยือนทางช้างเผือกด้วยกัน ข้าสัญญาว่าข้าจะบอกความในใจของข้า...กับเจ้า…และเมื่อข้าได้ตำแหน่งพระอาทิตย์แล้วข้าจะมอบที่ยืนที่สูงที่สุดในวิมานพระอาทิตย์กับเจ้า...นาคินทร์’…



















.........................................................

บอกให้รอก็จะเฝ้ารอ...

รอเธอไปอย่างนี้...

รอจนรู้สึกดีที่จะตอบรัก



ในที่สุดเราก็ได้กู้ภัยใต้น้ำชั้นเยี่ยมเข้าไปช่วยรพีพงศ์นะคะ กู้ภัยก็ไม่ใช่ใคร นาคินทร์ผู้นี้นี่เอง!!!!

พอช่วยขึ้นมาทำให้ฟื้นรพีพงศ์ก็นิสัยไม่ดีค่ะ ไม่สำนึกบุญคุณแทนที่จะปล่อยเชลย รพีพงศ์กลับตีตราจองจำเชลย ทั้งสร้างรอยสัก ตรึงกายฝังร่าง คือแกเจ็บเอวอยู่หรือเปล่า? ควายพาหนะขวิดเข้าที่เอวยังจะมีอารมณ์ลงโทษเชลยอีก โว๊ะ!!! ไม่ได้ทำอะไรสร้างสรรค์แบบนภนต์กับชลันธรที่ตีดาบเลยค่ะ55555 แต่ที่น่าตีคือหนูคินทร์ยินยอมนี่สิ (กรีดร้อง)

เอาล่ะค่ะหลังจากที่ฟังไรท์พร่ำเพ้อ หวังว่าจะชื่นชอบนะคะ Nc สองตอนติด ไม่รู้ว่าจะเบื่อไหม

สุดท้ายต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาเป็นกำลังใจนะคะ ดีใจมากที่ได้อ่านคอมเม้น ได้รู้ว่าคนอ่านคิดเห็นเป็นเช่นไร รักนะคะ




ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
«ตอบ #247 เมื่อ30-08-2017 20:17:26 »

ชอบค่าาา nc 2ตอนติด เลิฟๆ   :m25: :m25: :m25:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
«ตอบ #248 เมื่อ31-08-2017 08:25:54 »

เห็นคำว่าทางช้างเผือกแล้วนึกถึงอังสุมาลินกับโกโบริ (หัวเราะ)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #249 เมื่อ02-09-2017 09:31:48 »



สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 25













ความสุขสมของสองคู่รักอบอวลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนป่า ผิดกับสวรรค์ชั้นฟ้าในเวลานี้ ณ สภาเทวาที่ใช้สำหรับชุมนุมกันของเหล่าทวยเทพชั้นสูง บัดนี้กลับปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดท่ามกลางความเงียบสงัด... เมื่อเจ้าของบัลลังก์ทองผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดในไตรภพกำลังมองคาดโทษยักษ์เทพครึ่งนาคาอย่างพระราหู

“พระองค์เรียกข้ามาเข้าเฝ้า  มิทราบว่ามีเหตุหรือมีเทวประสงค์อันใดหรือ…” พระราหูเอ่ยถาม ในคราแรกพระราหูคิดว่ามีการชุมนุมกันแต่พอเคลื่อนกายข้ามผ่านธรณีประตูจำหลักเข้ามาด้านในท้องพระโรงแล้วกลับมีเพียงพระผู้สร้างเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

“เราคิดว่าที่เรียกท่านมาพบในวันนี้...ท่านจะรู้ตัวแล้วเสียอีกว่าทำอะไรไว้...เอาเป็นว่าที่เราเรียกท่านมานั้นก็เพราะ...เรื่องท่านเข้าไปวุ่นวายในป่ากันติทัต อันหาใช่เรื่องสมควรไม่...” พระพริษฐ์เอ่ย

“พระองค์ว่ามิใช่เรื่องสมควรกระนั้นหรือ... หากแต่ข้านั้นคิดว่ามันสมควรยิ่งนักที่ได้ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ทั้งสองให้รอดพ้นจากพระอังคารที่กำลังเข้าใจผิด...และข้าเองก็ใจกว้างเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อย เคียดแค้นเรื่องเก่าๆ กับเทวาเหล่าพระอาทิตย์อีกด้วย”

“เรารู้…แต่ท่านคิดหรือว่าทำเช่นนี้แล้วพระอาทิตย์จะมาขอบน้ำใจท่าน ลืมเรื่องบาดหมางครั้งเก่าก่อน ทั้งเรานั้นมิอยากให้ท่านเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีกเพราะทุกสิ่งเป็นไปตามโชคชะตากำหนดแล้ว” พระผู้สร้างเอ่ยเสียงเรียบ

“ข้ามิได้หวังคำขอบน้ำใจจอมปลอมเหล่านั้น...พระองค์เองทรงควบคุมกงล้อแห่งโชคชะตารู้ทุกสิ่งมิใช่หรือ ไยยังทรงวางเฉยเช่นนี้เล่า” ความไม่พอใจของพระราหูถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียง ร่างสูงนั้นสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแต่ก็จำต้องเก็บอาการ...‘นี่หรือมหาเทพผู้ทรงธรรม เหตุใดท่านถึงขวางมิให้เราทำดี ถึงนาคินทร์จะไม่ใช่ลูกแต่ก็เหมือนลูก...พ่อจะช่วยลูกมันผิดด้วยหรือ...’…

“ใช่…เรารู้ทุกสิ่งและรู้ด้วยว่าเพลานี้ท่านมิได้พอใจเรา...แต่ท่านอย่าลืมว่าเรื่องบางเรื่องเรามิอาจเข้าแทรกแซงได้เพราะว่ามันมิใช่เรื่องของเรา…ท่านเข้าใจสิ่งเราพูดหรือไม่” พระผู้สร้างพยายามพูดห้ามปรามมิให้พระราหูเข้ายุ่งเกี่ยว...ด้วยว่าหากพระราหูยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากจะลงทัณฑ์พระราหูเห็นว่าจะมิเป็นการดี...จึงหมายเจรจาก่อน ด้วยสิ่งที่พระราหูทำนั้นจะว่าไปหากลงทัณฑ์อาจจะถูกเหล่าเทวาติเตียนได้ ซ้ำหากสหายสนิทของพระราหูล่วงรู้เข้า พระผู้สร้างก็มิแน่ใจว่าตนจะสามารถรับมือเทพผู้ที่มิมีใครอยากพบอยากเอ่ยชื่อนี้ได้หรือไม่...

…‘มิใช่เรื่องของเรากระนั้นหรือ…ฮึ!...แต่...จริงสิ’…

“ข้านั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนักที่ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองเสียก่อน ข้านั้นขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ข้าด้วยเถิด...”  พระราหูยอมอ่อนลงอย่างผิดคาด เพราะคิดได้ว่าหากตนไม่ยุ่งเรื่องนี้ ก็ยังมีอีกคนที่สามารถยุ่งได้และพระผู้สร้างก็มิสามารถจะห้ามปรามได้ ถึงแม้จะดูเสี่ยงไปหน่อย

“หากท่านเข้าใจในสิ่งที่เราได้เอ่ยไปแล้ว เราจักขอให้ท่านจดคำพูดของเราในวันนี้ไปทบทวนให้ดี...”  พระผู้สร้างตรัสส่งท้ายโดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าพระราหูกำลังคิดจะทำการอันใด

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระราหูจะมายังวิมานหงสบาท  วิมานที่ขึ้นชื่อว่ามิมีผู้ใดอยากเหยียบย่างเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย ผู้เป็นเจ้าของได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ถูกสาป ไม่มีใครอยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อและพบเจอ เพราะหากใกล้ใครเข้าแล้วจักทำให้โชคร้ายมาสถิตยังผู้นั้น ทว่าร้ายแรงมากขนาดไหนก็มิอาจจะทำร้ายพระราหูผู้เป็นสหายรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวได้

“พระราหู ท่านอย่าเพิ่งเข้าไปในวิมานในเพลานี้เลย” ทวารบาลผู้เฝ้าบันไดเข้าสู่ประตูวิมานเอ่ยห้าม

“เหตุใดข้าจักเข้าไปมิได้ ในเมื่อข้าสามารถเข้าออกในวิมานแห่งนายเจ้าได้ทุกเวลา”

“ข้าได้รับคำสั่งมิให้ผู้ใดเข้าไปวิมาน ข้าจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด” ทวารบาลผู้นั้นเอ่ยความจำเป็นกับเทพอสูรผู้เป็นใหญ่ตรงหน้า พระราหูเห็นว่าทวารบาลผู้นี้คงมิอยากถูกทำโทษ จึงมิได้กล่าวอันใดต่อแต่กลับย่างก้าวขึ้นบันไดจนชิดริมประตู

“พระราหูท่านอย่าเข้าไป ข้าน้อยขอร้องล่ะ” เสียงเลิกลั่กจากทวารบาลชั้นผู้น้อยร้องห้าม

“อย่าห่วงเลย ข้ามิทำให้เจ้าเดือดร้อนดอก” พระราหูยิ้มสรวลก่อนจะร้องตะโกนออกไป

“พระเสาร์!!!!...ข้าพระราหูสหายของท่านต้องการจะเข้าพบ มิทราบว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปในวิมานได้หรือไม่”

“โปรดรอสักครู่เถิด...เดี๋ยวข้าจักเปิดประตูให้” เสียงตะโกนจากด้านในดังพอจะให้พระราหูและทวารบาลได้ยินคำตอบ ไม่นานประตูวิมานนั้นก็เปิดออกพร้อมให้พระราหูเข้าไปด้านใน

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าบัดเดี๋ยวนี้ข้าจะเข้าจะออกวิมานท่านตามอำเภอใจมิได้เสียแล้ว…หรือว่าท่านซ่อนใครไว้ในวิมานนี้หรือ...” พระราหูพูดหยอกเย้าเทพกายกำยำผู้มีรัศมีสีม่วงอ่อนเอ่ยออกมา พัตราที่เคยหล่อเหลาซึ่งยามนี้ดุดันมีหน้ากากเงินประดับอัญมณีไพลินปิดไว้ครึ่งใบหน้า ก่อนจะประทับลงบนแท่นรัตนาสีนิลฝั่งตรงข้าม

“ข้าจะซ่อนใครไว้ได้เล่า ท่านก็รู้นอกจากท่านก็มิมีผู้ใดอยากจะคบหาสมาคมกับข้า” พระเสาร์เอ่ย ด้วยเป็นที่เกรงขามของเหล่าทวยเทพทั้งปวง เพราะพระเสาร์มีดวงเนตรข้างหนึ่งต้องคำสาป หากได้มองใครจะทำให้ผู้นั้นประสบพบเจอแต่ความฉิบหายไม่รู้สิ้น นั่นเป็นสาเหตุที่พระเสาร์อยู่โดดเดี่ยว ไม่เข้าร่วมชุมนุมสภาเทพเว้นแต่พระผู้สร้างจักระบุให้พบ

“นั่นสิ ไม่มีใครนอกจากข้ารวมถึงมุตตา...ที่สามารถต้านพลังมืดที่แผ่ออกมาจากกายท่านได้ อ่อ...ข้าเกือบลืมไปพวกทหารก้านบัวที่ท่านปลุกเสกนั่นด้วยที่เข้าใกล้ท่านได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ท่านพระราหู…ไยท่านถึงได้เอ่ยชื่อนี้...” เห็นที่ว่าวันนี้พระราหูมิได้มาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยเล่นตามปกติเฉกเช่นทุกครั้งเสียแล้ว ยิ่งได้เอ่ยนามหญิง ผู้เคยเป็นที่รักของพระเสาร์แล้วด้วย…เรื่องที่พระราหูมาพบในวันนี้คงสำคัญมิใช่น้อย  พระเสาร์เอ่ยเสียงเรียบ นานเท่าใดแล้วที่ตนไม่ได้ยินชื่อของนาคีอันเป็นยอดดวงใจที่หายไปจากอ้อมกอด

“พระเสาร์…ท่านยังจำมุตตาได้”

“ข้าจำได้มิลืมเลือน สตรีผู้เป็นนาค ผู้ที่ข้ามีใจให้เพียงผู้เดียวและทำให้ข้าเจ็บช้ำได้ดอก” พระเสาร์กัดฟันกรอดยามที่นึกถึงใบหน้าที่งดงามในอดีตของนาคีผู้เดียวที่กุมและทำลายดวงใจของพระเสาร์

“มิใช่เพียงท่านเท่านั้นที่เจ็บช้ำแม้แต่ข้าหรือมุตตาเอง พวกเราต่างเจ็บปวดกับความรักไม่ต่างกัน” พอคิดถึงพระราหูนั้นคิดขึ้นมาได้ว่ารักสามเศร้าครั้งนี้มิได้ส่งผลดีต่อใครเลย ทั้งตน พระเสาร์และมุตตา

“...หึ...มุตตาหรือเจ็บ...มีแต่ข้าเท่านั้นที่เจ็บ...เจ็บที่ถูกเมียทิ้งหายไปที่ใดก็ไม่รู้...แล้วท่านมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย...” พอสดับฟังพระเสาร์นั้นนึกสงสัยจึงได้ถามออกไป

“แต่เรื่องที่ข้ามาพบท่านในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งท่านและมุตตา” สิ้นเสียงทุ้มพระราหูมองไปยังผู้ที่ได้สดับรับฟังที่มีท่าทีเปลี่ยนไป

“ท่านว่าอะไรนะ...เกี่ยวข้องกับมุตตา... หรือว่าท่านรู้ว่า มุตตาอยู่ที่ไหน...หากเป็นเช่นนั้น...ก็รีบบอกข้ามาเถิด...”  ใจชายไม่ว่าเทพหรือมนุษย์ก็ร้อนรุมหากกระสันใคร่รู้ว่าคนรักหนึ่งเดียวในใจตนนั้นอยู่ที่ไหน แม้ว่าหญิงสาวอันเป็นที่รักจะทำให้ตนเองเจ็บจนเข็ดหลาบ

“ข้ามิรู้หรอกว่ามุตตาไปอยู่ที่ใด แต่เมื่อครู่ข้าไปเข้าเฝ้าพระผู้สร้างมา ซึ่งพระองค์ได้ตรัสกำชับข้าห้ามเข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของนาคตนหนึ่งที่ชื่อว่านาคินทร์...”

“แล้ว...นาคนาคินทร์ เป็นใครกัน ... จะว่าด้วยเหตุนาคตนนี้น่ะ หรือที่ทำให้ท่านต้องมาพบข้า...”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ก็เพราะว่านาคินทร์คือลูกของมุตตา และตอนนี้นาคินทร์กำลังเดือดร้อน อยู่เส้นทางที่กำลังตรงไปเขาจิรันดร...ซึ่งข้าเองก็ยังมิรู้ตัวการว่าผู้ใดกันที่จ้องทำร้ายนาคินทร์...” พระราหูเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ตาคมดุมองสีหน้าของอีกฝ่ายที่ชะงักเมื่อได้ยินก่อนจะปรับให้นิ่งเป็นปกติเช่นเดิม

“ลูกของนางเดือดร้อนแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า” พระเสาร์ถามต่อ

“ท่านคิดว่ามุตตาจะมีลูกกับใครได้อีกเล่า...ในเมื่อนางรักท่านเพียงผู้เดียว”

“ท่านจะบอกว่านาคที่ชื่อนาคินทร์ลูกของมุตตาที่ท่านพูดถึงเป็นลูกข้ากระนั้นหรือ” พระเสาร์ถาม พระราหูพยักหน้าเป็นคำตอบ…‘มุตตาข้าขอโทษ ที่ต้องบอกพระเสาร์เรื่องลูก’...

“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรเล่าว่านั่นเป็นลูกข้า น่าตลกสิ้นดี อีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไรว่ามุตตามีบุตร ในเมื่อนางได้หายตัวไปหลายร้อยปีแล้ว” พอเห็นว่าพระราหูนิ่งเงียบพระเสาร์จึงพูดต่อ ทั้งพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติถึงแม้ว่าในใจจะร้อนรุ่มเมื่อได้ใกล้ความจริงที่คืบคลานเข้ามา

“ข้าเป็นคนช่วยนางหนีหายไปจากท่านเอง...”

“อะไรนะพระราหู !!!! นี่ท่าน…ช่วยให้นางหนีไปจากข้า...” พระเสาร์ขึ้นเสียงใส่พระราหู …‘สหายที่ข้าไว้ใจกลับกลายเป็นคนที่พาเมียข้าหนี’…

“สะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้สักครู่ ได้โปรดฟังข้าก่อนเถิด...ฟังเรื่องราวของนาตินทร์และมุตตาก่อน ท่านอาจไม่เชื่อว่ามุตตานั้นมีลูกกับท่าน แต่ข้าขอยืนยันว่านาคที่นามว่านาคินทร์ที่ข้าพูดถึงนี้เป็นบุตรชายที่เกิดแต่ท่านจริงๆ”

“ถ้าเยี่ยงนั้นเหตุใดนางจำต้องหนี เหตุใดนางถึงมินำบุตรมาหาข้า ข้ารักนางมากขนาดไหนท่านก็รู้ดีมิใช่หรือพระราหู ยิ่งนางมีบุตรให้กับข้า ข้าย่อมยินดีและพานางมาอยู่ที่วิมานของข้า”

“สาเหตุที่นางหนีท่านข้ามิรู้ดอก ข้ารู้เพียงว่าข้าสัญญาไว้กับนาง มิให้ท่านได้รู้เรื่องของนางและลูก หากเพลานี้ข้าจำต้องตระบัดสัตย์ผิดสัญญา ด้วยใจข้าห่วงหลานและมิอาจช่วยเหลือได้ดั่งเก่า ข้าจึงต้องมาบอกให้ท่านที่เป็นพ่อรับรู้…” พระราหูเดินเข้าหาพลางเอื้อนเอ่ย หัตถาวางลงไปที่ไหล่กว้างของสหายที่คล้ายจะทั้งโกรธทั้งเกลียดระคนเสียใจอยู่ในแววตา

“แล้วตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ที่ข้าตามหามุตตา ท่านแสร้งไม่รู้ แสร้งหาไม่เจอกระนั้นหรือ ข้ากลายเป็นไอ้โง่ กลายเป็นผู้ไร้รักตกอยู่ในโศกาท่านยังทนดูได้ เสียแรงที่ข้าคิดว่าท่านจักเป็นสหายที่ดี ฮึ! ข้าจักหาเชื่ออันใดท่านได้อีกเล่าพระราหู…คำพูดของท่าน เรื่องที่ท่านบอกข้าในวันนี้…จักให้ข้าเชื่อใจท่านได้อีกหรือ !!!” พระเสาร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าจิตใจแข็งมิต่างจากหินผา ยามนี้หินผาได้ถูกน้ำแห่งความสับสนกัดกร่อนเสียจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนปัดป้องมือหนาที่จับไหล่ตนออกรวมถึงเบี่ยงกายไม่ให้พระราหูเข้ามาใกล้

“พระเสาร์…คราแรกข้าก็จะบอกท่านอยู่ดอก แต่มุตตามิยอมให้ข้าบอก ข้าจึงทำได้เพียงคอยตามดูแลนางและลูกของท่านอยู่ห่างๆ จนกระทั้งข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่าหิมพานต์ พอข้ากลับไปพบนางอีกครั้ง นางกลับหนีไปอยู่ที่อื่น...เสียแล้ว ” พระราหูกล่าวความจริง ไม่มีปิดบังแต่นั่นมิสามารถเรียกความเชื่อใจจากพระเสาร์ให้กลับคืนมาได้อีก

“ข้าขอร้อง…ให้ท่านออกไปก่อนพระราหู  ข้าขอร้องให้ท่านออกไปอย่างไรเล่า!!! หรือจะอยู่รอให้ข้าใช้เนตรสังหารกับสหายรักอย่างท่านให้เผาไหม้กลายเป็นจุน”  พระเสาร์ตะเพิดไล่พระราหูหลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวที่ตนอยากรู้มาตลอดเกือบทั้งชีวิต สุรเสียงกังวานดังก้องส่งผลให้วิมานสั่นไหว แรงสะเทือนบ่งบอกอารมณ์โมโหโกรธาของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี ทั้งที่ใจนั้นอยากจะลงมือทำร้ายดังที่ลั่นวาจาออกไปยิ่งนัก ความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นตีรวนปั่นป่วนจิตเสียจนแทบครองสติไว้ไม่ไหว พระเสาร์จึงทำได้เพียงคาดโทษเอาไว้เท่านั้น พระราหูนั้นเห็นว่าขืนดื้อรั้นอยู่ต่อคงไม่เป็นผลดี เพลานี้พระเสาร์มิต่างจากพยัคฆาร้ายพร้อมฆ่าทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ดีไม่ดีความสัมผัสแสนบอบบางอย่างมิตรภาพอาจจะพังทลาย

“ข้าคงทำท่านมิพอใจอยู่มากโข หากท่านโกรธเคืองข้า ข้ายินดีรับไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ข้าเพียงขอให้ท่านช่วยนาคินทร์ผู้เป็นบุตรแต่ท่านด้วยเถิด…เมื่อผู้ที่ให้กำเนิดนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเทพที่ผู้ใดก็ยกย่องว่าแกร่งที่สุดในจักรวาลนี้  ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ท่านก็จะมีแต่เสื่อมเสียกว่าที่เป็นอยู่...” พระราหูทิ้งท้าย ถ้อยคำที่ส่งมอบให้แฝงความรู้สึกผิดปนขอโทษและหวังว่าพระเสาร์ผู้เป็นสหายนั้นจักรับรู้ได้ ก่อนจะเคลื่อนกายออกจากวิมานกลับไป ปล่อยให้พระเสาร์คิดทบทวนเรื่องราวรวมถึงความรู้สึกเพียงผู้เดียว

…‘เจ็บใดเล่าจะเจ็บเท่ากับใจข้า ทั้งเมีย ทั้งเพื่อนล้วนมีความลับชวนปิดบัง…นึกน้อยใจยิ่งนัก ตัวพี่นั้นอยู่ในฐานะใดไยเจ้าจึงจากพี่หอบลูกไปไม่หวนคืน’…

พระศนิทรุดกายลงนั่งบนพื้นแก้วสีนิล หัตถาลูบพักตราเข้มก่อนจะถอนหายใจแรงออกมา ความคิดในยามนี้ตีกันจนยุ่งเหยิงมิรู้จักทำเช่นไร ทั้งรัก ทั้งโกรธเคือง ทั้งนึกถึงเรื่องราวในอดีต…

ในกาลก่อนพระเสาร์ผู้ทรงฤทธิ์รวมถึงพระราหูผู้เป็นสหายได้แปลงกายเป็นพญาภุชงค์แหวกว่ายสายนทีในห้วงมหาสมุทรด่ำดิ่งลงไปลึกจนถึงพื้นทราย พญานาคร่างแปลงต่างชื่นชมความสวยงามของเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่รวมถึงสัตว์น้ำต่างๆ ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะนั้นเองทั้งสองก็เห็นพญานาคเกล็ดสีดำบ่งบอกวรรณะได้ดีว่าอยู่เป็นอันดับสุดท้ายในสายสกุลนาคาที่กำลังว่ายน้ำเข้าไปในถ้ำหินที่ล้อมไปด้วยกัลปังหา

‘พระราหู…เราจักเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น ท่านรอที่นี่เถิด’ มิรู้สิ่งใดดลใจให้พระเสาร์อยากตืดจามนาคเกล็ดนิลต้นนั้นเข้าไป จึงได้ส่งกระแสจิตถึงพระราหู

‘ข้าเองคิดจักเข้าไปเช่นกัน’ พระราหูเองก็มีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับพระเสาร์

เมื่อความคิดและความต้องการตรงกัน พระเสาร์และพระราหูในร่างนาคาจึงว่ายเข้าไปในคูหาตรงหน้า

“...นี่พวกท่านเป็นใครกัน...อย่าเข้ามาในถ้ำของข้านะ...ออกไปบัดเดี๋ยวนี้” นาคกายสีปีกกาที่เทวาทั้งสองได้พาลพบก่อนหน้านี้ กลายเป็นหญิงสาวผมยาวสยายเงาขลับ ใบหน้าแสนงดงาม ดวงตาหวานหยดย้อย ฉวีผ่องเงาดั่งไข่มุก มิมีเค้าจะเป็นนาคชั้นต่ำเลยสักนิด ร่างอรชรห่มผ้านุ่งสีครามเข้ม นาคสาวผู้นี้เป็นที่ต้องตาแก่พระเสาร์และพระราหู

“ข้าทั้งสองจักขอเยี่ยมชมสักหน่อยมิได้หรอกหรือ...” พระเสาร์แปลงกายกลับคืนเป็นเทพ สวมอาภรณ์และทรงรัตนชาติสีนิลดังเก่า พระราหูเองก็กลายร่างกลายเป็นเทพอสุราเช่นเดียวกัน

“มิได้!!...นี่เป็นที่ของข้า ข้าไม่อนุญาต” นาคีสาวปฏิเสธแม้ในใจจะกลัวบุรุษทั้งสอง คนหนึ่งองอาจน่าเกรงขาม คนหนึ่งก็เป็นอสุราเขี้ยวแหลม พระเสาร์เองมองตาอีกฝ่ายก็รู้ว่าคิดอะไรจึงได้เอ่ยเชื่อมความสัมพันธ์ ด้วยถูกใจที่มีหญิงสาวกล้าขัดใจตน

“เจ้าอย่ากลัวข้าเลย ข้าพระเสาร์และสหายของข้าพระราหู เราเพียงมาท่องเที่ยวใต้มหาสมุทรเพียงเท่านั้น” พระเสาร์แนะนำตนและสหาย ทั้งสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะตกใจมิใช่น้อย

“จะบอกว่าเป็นเทพแล้วท่านจักรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของข้าได้กระนั้นหรือ” ถึงจะกลัวอย่างไรเสีย นาคสาวนั้นก็มิยินยอมให้ใครมารังแกแสดงอำนาจบาตรใหญ่ง่ายๆและมุตตาเองเกลียดผู้ที่มีนิสัยเยี่ยงนี้ยิ่งนัก

“เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้ว ข้ากับพระเสาร์เพียงอยากท่องเที่ยวไม่คิดจะรังแกใครดอก อีกทั้งอยากจะทำความรู้จักกับเจ้าเท่านั้น” พระราหูรีบแก้ต่างไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิด แม้ในใจจะวิตกว่าอาจไม่ได้ผล ด้วยเสียงเล่าลือเกี่ยวกับตนกับพระเสาร์ล้วนเป็นด้านไม่ดีทั้งนั้น

“ข้าเป็นเพียงนาคชั้นต่ำ มิคู่ควรให้ท่านรู้จักดอก  ว่าแต่ท่านทั้งสอง ไม่ได้ตามมาฆ่าข้า ทำร้ายข้า…ใช่หรือไม่” นางนาคีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พอเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมาดี

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าช่างตลกเสียจริง ข้าไม่มีเหตุผลจักทำร้ายเจ้าดอก หรือว่าเมื่อครู่เจ้าหนีใครมา  หากเป็นเช่นนั้นก็ขออย่าได้กังวลเลย หากข้าทั้งสองอยู่ที่นี่ต่อให้พระสมุทรจะฆ่าเจ้า ก็หาทำการเยี่ยงนั้นได้ไม่ ...นาคน้อย สงบสติอารมณ์เสียก่อนเถิด...” พระเสาร์สรวลออกมาดังลั่นนึกชอบใจหญิงสาวตรงหน้าเสียแล้ว

“แต่ข้ามิได้ชื่อนาคน้อยนะ!!! อีกทั้งข้าเป็นสาวแล้วมิใช่เด็ก” นาคสาวพูดเสียงดังใส่ไม่พอใจ มิใช่เพราะถูกหัวเราะเยาะแต่ที่ไม่พอใจก็เพราะถูกเรียกว่านาคน้อยดั่งเด็กเล็ก

“เยี่ยงนั้นจะให้พวกเราเรียกเจ้าว่าอันใด” พระราหูถาม เมื่อได้โอกาสทำความรู้จักมากขึ้น

“ข้าชื่อ...มุตตา”

“มุตตาอย่างนั้นหรือ พวกข้ายินดีที่ได้รู้จักเจ้า” พระราหูเอ่อยออกมาอย่างเป็นมิตรช่างผิดแผกกับการกระทำยามอยู่บนสรวงสวรรค์ที่คลับคล้ายคลับคราเป็นอันธพานเสียให้ได้

หลังจากที่ความรู้จักกับนาคสาวแล้ว ทั้งสามได้แปลงกายเป็นนาคว่ายน้ำชื่นชม ความงดงามใต้ท้องทะเล โดยมีมุตตาเป็นผู้นำทาง  เมื่อจนหนำใจพระเสาร์และพระราหูจึงล่ำลานางนาคมุตตา พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนอีก

“ดูท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ผิดสังเกต มีอะไรรึ” ในระหว่างที่เทพทั้งสองได้เหาะเหินกลับสู่ฟากฟ้า พระราหูได้เอ่ยทักสหายรัก พระเสาร์ผู้หน้าเกรงขามแสนดุดันไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์มักจะมีเพียงหน้าเดียวนั่นคือ ความเรียบเฉยแต่ยามนี้กลับยิ้มกว้างเสียจนพระราหูคิดว่านี่ใช่สหายคนเดิมหรือมีผู้ใดแปลงกายมา

“ข้ามีความสุขเสียจริง…ข้าคงจะมีรักแรกพบเสียแล้วกระมัง” พระเสาร์เอ่ยพลางนึกถึงใบหน้างดงามของมุตตาจนมิได้สังเกตสีหน้าของพระราหูที่สลดลงเพียงเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“นี่ท่านอย่าบอกนะว่า…”

“ข้าคงตกหลุมรักมุตตา เสียแล้วพระราหู” พระเสาร์บอกกับพระราหูโดยมิรู้ว่าเทพอสุรานี้ได้หลงรักมุตตาเช่นกัน

“มุตตาเป็นหญิงที่ดี ข้านั้นคิดว่าหากท่านได้ครองรักกับนางท่านจักต้องมีความสุข หากมองข้ามเรื่องชาติกำเนิดและความเหมาะสมไปแล้ว ท่านก็คือผู้โชคดีที่ได้นางมาเคียงข้างกาย...” พระราหูยอมตัดใจโดยง่ายด้วยอยากให้พระเสาร์มีความสุขเสียบ้าง ด้วยเหล่าเทพหรือใครต่างเกรงกลัวแม้สบตาก็ยังไม่กล้าจนพระเสาร์จำปลีกวิเวก ส่วนตนนั้นยังดีที่มีมิตรสหายเป็นเหล่าอสุราอยู่บ้าง…พระเสาร์ไม่มีใครและหากมุตตาจักทำให้พระเสาร์มิต้องอยู่เพียงผู้เดียว พระราหูนั้นยินดีที่จักเป็นฝ่ายเสียสละความรักของตนเอง

พระเสาร์ใช้เวลาว่างแปลงกายเป็นนาคลงสู่มหานทีเพื่อไปเกี้ยวมุตตา แม้ในทีแรกมุตตาจะรักษาระยะห่างด้วยตนเป็นนาคตระกูลต่ำมิสมควรจะรักเทพผู้เป็นใหญ่ หากพระเสาร์ยังพยายามเอาชนะใจทุกทางจนสุดท้าย ความรักของพระเสาร์เป็นที่ประจักษ์แก่นาคสาว มุตตาจึงยินยอมถวายตัวถวายใจตกเป็นของเทวากายรัศมีสีม่วงอ่อน

“มุตตาพี่รักเจ้าเหลือเกิน…หากอีกไม่นานพี่จำต้องไปปราบมารแลอสูรร้าย ไว้พี่ปราบมันเรียบร้อยแล้ว พี่จักพาเจ้าไปอยู่ที่วิมานกับพี่ เจ้าจะเป็นชายาหนึ่งเดียวของพี่ เราจะมีลูกด้วยกันที่นั่น...ข้าอยากมีลูกกับเจ้าหลายๆ คน ลูกของเราต้องน่ารักเป็นแน่แท้...” พระเสาร์เอ่ยคำหวานแสนเพ้อฝัน แลแขนแกร่งตระกองกอดคนรักไว้แนบอก

“แต่ข้า…เป็นเพียงนาคไร้สกุล ไร้ศักดิ์ มิเหมาะสมกับท่านพี่…มิเหมาะสมเลยสักนิดที่เทียบเคียงจะเป็นชายาคู่บารมีพระเสาร์ได้...” มุตตาเอ่ย น้ำเสียงรวมถึงแววตานั้นเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน  ถึงพระเสาร์จะเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่นาคสาวนี้กลัวว่าชาติกำเนิดของตนนั้นตนจักทำให้พระเสาร์เสื่อมเสียพระเกียรติ

“เจ้าอย่าได้กังวลเลย แม้พี่เป็นเทพแต่มิมีผู้ใดสนใจพี่ ซ้ำต่างหวาดกลัวพี่ทั้งนั้น ขนาดพระผู้สร้างเองยังยำเกรง ด้วยพี่นี้มีพลังหายนะสถิตอยู่ พี่ปกป้องเจ้าได้ ในจักรวาลนี้หามีใครหน้าไหนที่จะหาญกล้าต่อกรหรือเป็นศัตรูกับพระเสาร์ พี่เป็นที่น่ากลัวขนาดนี้...พี่เสียอีกที่เกรงว่าเจ้าจะรังเกียจ”

“ไม่!!...ท่านพี่ ข้ามิเคยนึกรังเกียจท่านพี่เลยแม่แต่น้อย…ถึงใครจะว่าพี่ดุร้ายน่ากลัวเช่นไร แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยเห็นและไม่เคยได้รับในสิ่งที่ข้าได้รับ ไม่ได้เคยรู้ในสิ่งที่ข้าได้รู้...ว่าเนื้อแท้แล้วพี่นั้นเป็นเช่นไร...เป็นโชคดีเสียอีกที่ข้าได้มีท่านในวันนี้...ข้ารักท่านพี่...” คำว่ารักจากมุตตาทำให้พระเสาร์ตื้นตันใจ จนอดไม่ได้ที่จะมอบรางวัลเป็นจุมพิตที่แก้มนิ่มทั้งสองข้าง

“พี่ก็รักเจ้ามุตตา เมื่อเราทั้งสองรักกัน ก็อย่าได้หากำแพงใจมากั้นกางอันใดที่จะให้เราสองมิได้อยู่ร่วมกันเลย มุตตาชายาของพี่...เจ้าช่วยรอพี่ที่ถ้ำแห่งนี้ด้วยเถิด คราใดที่พี่มิต้องปราบมารกรำศึก เราสองนั้นจักอยู่เคียงคู่ ร่วมเรียงเคียงหมอนใบเดียวกัน...ตลอดไป...”

“ข้าจะรอ...รอท่านพี่กลับมารับข้า”

(ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
« ตอบ #249 เมื่อ: 02-09-2017 09:31:48 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #250 เมื่อ02-09-2017 09:32:25 »

สำหรับพระเสาร์ในเพลานี้ คำสัญญาที่ว่าจักรอเป็นเพียงลมปากที่หญิงสาวไว้ใช้หลอกลวงตน หลังจากที่พระเสาร์รับชัยชนะในการปราบอสูรร้าย พระเสาร์ได้รีบกลับมา ณ ถ้ำใต้ท้องสมุทรอันเป็นรังรัก หากเมื่อกลับมาถึงมุตตากลับหายไป พระเสาร์จึงออกตามหาไปทั่วแต่กลับไร้วี่แววนอกจากคำซุบซิบจากปลาเล็กปลาน้อยบริเวณถ้ำที่ว่ามุตตาได้หนีไปกับนาคตนอื่น พระเสาร์โศกเศร้าเสียใจกลับกลายเป็นเทพผู้โมโหร้ายน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม และนับแต่นั้นเป็นต้นมาพระเสาร์ก็มิเคยมีใจรักผู้ใดอีกเลย…

อัสสุชลคลอในเนตรคมเล็กน้อย บ่งบอกถึงความเศร้า แม้จิตใจจะแกร่งดั่งหินผาเช่นไรแต่เรื่องเก่าที่เคยทำให้เจ็บปวดกลับมาสะกิดใจความเจ็บปวดก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อพระเสาร์เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนหวานปนขม หวานดั่งผลไม้สุกในสวนขวัญ ขมดั่งโอสถพิษที่ได้ดื่มแล้วเจียนตายวายชีวี

…‘ข้าขอยืนยันว่านาคินทร์ที่ข้าพูดถึงนี้เป็นบุตรชายของท่านจริงๆ’… ประโยคของพระราหูเอ่ย ยังก็ดังก้องกังวานภายในใจ...

“อ้าก!!!!!!!!....ข้าต้องทำอย่างไร!!!! ข้าจักเชื่อใจใครได้อีก!!!!”

‘โครม!!! เคร้ง!!!!’ เสียงข้าวของเครื่องปั้นมากมายกระจัดกระจายหล่นแตกด้วยห้วงอารมณ์โมโหนั้นสุดกลั้น พระเสาร์ซึ่งได้ขาดสติมิอาจควบคุมอารมณ์ตนได้จึงได้ลงความรู้สึกทั้งหมดไปยังข้าวของจนแตกกระจายเสียหายรวมไปถึงลืมไปเสียว่ายังมีใครอยู่ในวิมาน

“พี่เสาร์ !!! พี่เสาร์โปรดหยุดเถิด !!! พุธบอกให้หยุดอย่างไรเล่า...” พระพุธที่มาเยี่ยมเยือนยังวิมาน หากก่อนหน้าต้องแอบซ่อนกายเนื่องจากพระเสาร์มิอยากให้พระราหูได้พบเจอกับพระพุธผู้เป็นดั่งแฝดคนละฝา

พระพุธเข้าสวมกอดร่างสูงจากด้านหลัง ปากก็พร่ำห้ามให้พระเสาร์หยุดกระทำที่ไร้ด้วยสติ...มินานพระเสาร์ก็สงบอารมณ์ลงได้ ด้วยเทวาทรงคชสารผู้นี้ที่เหล่าเทพาล้วนเกรงใจด้วยมหาบุญญาบารมีที่มากล้น แม้แต่พระอาทิตย์ผู้เป็นใหญ่ยังอ่อนกำลังยามเข้าใกล้ ที่สำคัญพระพุธเพียงผู้เดียวที่ทำให้พระเสาร์เทพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแพ้พ่ายในทุกด้าน ดั่งคำกล่าที่ว่าไม่ว่าหินผาหรือเหล็กหนาที่แข็งแกร่ง ถึงอย่างไรก็มีจุดอ่อน ดั่งเช่นจุดอ่อนของพระเสาร์ก็คือพระพุธ  รวมถึงในตอนนี้ที่พระเสาร์โมโหพลังของพระพุธช่วยบรรเทาให้อีกฝ่ายสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์

“เจ้าพุธ นี่เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ...” พระเสาร์สูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนจักถาม เทวาเนตรสีมรกตที่กอดกายตนไว้

“พี่เสาร์บอกพุธเองมิใช่หรือ...ว่าให้รอก่อนแล้วจักกลับเล่นสกากับพุธด้วยกัน...เช่นนั้นแล้วพุธจักกลับไปได้อย่างไร...ต่อให้พี่เสาร์สนทนาด้วยพระราหูจนถึงวันพรุ่ง...พุธก็มิหนีหน้ากลับก่อนดอกจะนอนค้างอ้างแรมที่วิมานของพี่นี่แหละ...” พระพุธเอ่ย ทั้งที่อุตส่าห์ออกจากไพรีมาเยี่ยมเยือนกลับต้องมาได้ยินเรื่องที่ไม่ควรรู้เกี่ยวกับพระเสาร์

“ข้ามิอยากเล่นแล้ว หมดอารมณ์...ข้าเหนื่อย…” พระเสาร์พูดเสียงอ่อน หัตถาใหญ่จับแขนเรียวที่กอดรัดตนออกแล้วหันไปมองเทวาหน้างามที่มองหน้าตนเช่นเดียวกัน

“พุธรู้ว่าพี่เสาร์เหนื่อย แต่หาก...ว่าพี่กลุ้มใจนักอยากร้องไห้เสียบ้าง...ก็จงร้องออกมาเถิด อย่าได้เก็บความรู้สึกเลย…ไหล่พุธนี้พร้อมรองรับแบ่งเบาทุกเรื่องของพี่...” นิ้วโป้งขาวเกลี่ยน้ำเม็ดใสที่หางตาผู้ที่ตนเรียกพี่ พร้อมมอบรอยยิ้มบางแสนอบอุ่น พระพุธไม่รู้จักปลอบพระเสาร์อย่างไรดี จึงคิดว่าการได้ปลดปล่อยความทุกข์ผ่านน้ำตาน่าจะเป็นการดีที่สุด

“ข้าไม่ใช่คนที่จะมาร้องไห้เหมือนสตรี และข้าก็ไม่มีความรู้สึกใดที่จักทำให้ข้าเสียใจ...”

…‘คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันเย็นค่ำ แค่บอกว่าเสียใจคงไม่ทำให้คนดื้อรั้นอย่างท่านต้องตายดอก’ พระพุธได้แต่คิดในใจ เทวาคนงามหมั่นไส้ผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่เสาร์จักบอกว่าดวงตาของพี่ต้องฝุ่นสินะ” พระพุธประชดอีกฝ่ายด้วยความอ่อนใจ

“อืม” พระเสาร์ผู้ปากแข็งเอ่ยรับส่งไป มิให้พระพุธเซ้าซี้

“เอาเถิด พุธมิได้รู้เรื่องราวทั้งหมด รู้เพียงที่พระราหูกับพี่เสาร์นั้นสนทนากัน แต่พุธอยากบอกกับพี่เสาร์ว่าพี่ควรไต่ตรองให้ดี พี่เสาร์ของพุธเป็นคนเก่งเหนือใครอยู่แล้ว ขนาดพระผู้สร้างยังมิกล้าลงทัณฑ์พี่ พี่คงมิดูถูกตนเองว่าโง่พอจะคว้าหญิงใจร้ายมาทำเมียใช่หรือไม่…อีกทั้งพระราหูสหายของพี่คงมิได้ตั้งใจมีความลับด้วยดอก มันจักต้องมีเรื่องจำเป็นบางประการเป็นแน่แท้ พุธว่าพี่ควรคิดให้ดีกับเรื่องที่พระราหูมาบอกกับท่านในวันนี้...” พระพุธพูดเตือนสติ วาทศิลป์อันเป็นเลิศถูกนำมาใช้เกลี้ยกล่อมพระเสาร์ พลางโอบกอดกายแกร่งให้รู้สึกถึงความห่วงใยที่พระพุธมีให้ แต่ก็ถูกพระเสาร์ผู้แข็งกระด้างผละกายมิยอมให้โอบกอด

“เจ้าพุธ...เจ้านี่มันพูดมากน่ารำคาญเสียจริง อย่าคิดทำเป็นอวดรู้มาสอนข้าเลยเจ้าเด็กน้อย...ข้าว่าเจ้าออกไปจากวิมานข้าก่อน ก่อนที่ข้าจักโมโหเจ้าไปด้วยอีกคน” พระเสาร์ไล่พระพุธที่บังอาจสอนตนทั้งที่อายุขัยน้อยกว่าอยู่มากโข

“พี่เสาร์...พุธไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมพี่เสาร์ชอบเห็นพุธเป็นเด็กตลอดเวลา ข้าเองก็เคยมีเมียถึงเพลานี้เราสองต้องจากกันตลอดกาล พุธจึงเข้าใจความเจ็บปวดจากพิษรักของพี่เสาร์ แล้วอีกอย่างพี่กล้าโมโหพุธจริงๆ หรือ...” เทพกายบางเข้าสวมกอดกายแกร่งรัศมีม่วงครามอีกครา...คางเรียวเข้าเกยหัวไหล่หนาก่อนที่จะกระชิบประโยคหลังอย่างแผ่วเบา

“นี่เจ้า...” ไม่ว่าพระพุธเอ่ยท้าทายให้ชวนโมโหอย่างไร พระเสาร์ก็มิเคยจะกล้าทำอะไรพระพุธสักครา ด้วยผู้กล่าวท้านั้นน่าจับมาตีบั้นท้ายเสียมากกว่าที่จะมาโมโห...แต่เทพผู้แข็งกระด้างมีหรือจะยอมเสียศักดิ์ง่ายๆ  ถึงดวงเนตรที่แข็งกร้าวที่มิมีผู้ใดกล้าสบนั้นจะจ้องพักตรางามเขม็ง

“ไหนมาบอกมาสิ...ว่าพี่...กล้า...กล้าที่จะโมโหพุธ...” พระพุธยังท้าทายไม่หยุด ทำทีแย้มสรวลอย่างอารมณ์ดีให้ผู้ที่เรียกว่าพี่นั้นยอมศิโรราบ

“เจ้าพุธ...เจ้ามัน...” รู้ทั้งรู้ว่า ตนนั้นแพ้ทางด้วยคำอ้อนแสนอ่อนหวาน พระพุธจะเป็นเช่นนี้ก็เฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้น...‘เจ็บใจยิ่งนักที่ข้ามิอาจทำอันใดเจ้าน้องผู้นี้ได้…หากใครล่วงรู้ว่าเจ้าพุธกำราบข้าด้วยวิธีนี้ เห็นทีพระเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นต้องอับอายไปทั้งสามโลก’…

“พุธไปก็ได้…พี่เสาร์เองอย่าใช้ความคิดตัดสินเรื่องราว พุธอยากให้พี่เสาร์ใช้ความรัก...ตัดสินมากกว่า... แล้วพี่เสาร์ไม่อยากเห็นหน้าลูกหรือ พุธอยากเห็นเขาเหลือเกินไม่รู้ว่าจะหล่อเหลาเหมือนพ่อหรืองดงามเหมือนแม่...พี่ก็คิดให้ดีๆ แล้ววันพรุ่งพุธก็จะมาหาพี่อีก...อ่อ…พุธลืมบอกไป…สวรรค์เราไม่มีฝุ่นดอกนะ”  ด้วยมิได้อยากจะหยามศักดิ์ผู้พี่ให้จำยอม เพราะรู้ว่าเสียอย่างไรพระเสาร์ก็มิกล้าแม้แต่จะคิดโมโหตนจริงๆ เมื่อแกล้งเย้าพระเสาร์จนสมใจ พระพุธจึงยอมล่าถอยเดินออกจากวิมานไป 

‘นาคินทร์นี่เจ้า...เป็นลูกของข้าจริงๆ หรือ...”















.............................................

ชาติกำเนิดของหนูคินไม่ใช่เล่นๆเลยนะคะ ทุกคนคงจะหายสงสัยกันว่าเอ๊ะ! ทำไมพระราหูถึงมาช่วยกันนะ ตอนนี้ถือว่าเฉลยปมกัน หวังว่าทุกคนจะสนุกกับตอนนี้นะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาคอมเมนต์กันนะคะ ติชมกันได้ค่ะแต่ให้อยู่ในเนื้อหานิยายในขอบเขตนะคะ ไม่เอาคำหยาบที่ไม่เกี่ยวข้องนะคะ



//ท่านยุ่งรู้นะคะว่าพออ่านจบทุกคนคิดอะไรกัน...หยุดจิ้นเลยค่ะ 5555555

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #251 เมื่อ02-09-2017 11:51:02 »

เริ่มเห็นเค้าลางความดราม่ามาแต่ไกล นาคินทร์รักรพีพงศ์ ราหูไม่ถูกกับพระอาทิตย์ อุปสรรคเยอะมากมาย  :katai1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #252 เมื่อ02-09-2017 11:51:58 »

โธ่ ก็ท่าน ๆ ขยันมีโมเม้นท์แบบนี้จะให้หยุดจิ้นยังไงไหว ฮา

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #253 เมื่อ02-09-2017 19:48:49 »

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #254 เมื่อ06-09-2017 03:52:38 »

ชอบมากเลยค่ะ.เวลาที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระประจำวันต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย..พอนึกแบบที่เคยได้ยิน..วันนี้ไม่ถูกกับวันนี้..วันนี้เป็นมิตรกันละมันอินมาก .. o13 o13 o13

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #255 เมื่อ06-09-2017 23:42:36 »

รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #256 เมื่อ07-09-2017 14:31:24 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #257 เมื่อ07-09-2017 15:29:16 »

ก็มันน่าจิ้นขนาดนี้จะอดใจไหวได้ไงคะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #258 เมื่อ07-09-2017 20:31:54 »



ต้องตามต่อขอรับ

รอต่อขอรับ


ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #259 เมื่อ08-09-2017 02:36:43 »

 :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
« ตอบ #259 เมื่อ: 08-09-2017 02:36:43 »





ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
«ตอบ #260 เมื่อ08-09-2017 20:15:19 »

เป็นลูกพระเสาร์ ก็น่าจะมีศักดิ์พอจะเป็นชายาพระอาทิตย์ได้นะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #261 เมื่อ11-09-2017 22:06:41 »

​​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 26












…‘โอกาส’…คำๆ นี้เป็นคำที่เราได้ยินอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะได้ยินแล้วหลายคนก็ได้รับโอกาสมามากน้อยแตกต่างกันไป การที่ได้รับโอกาสในแต่ละครั้งก็มีคนที่คว้ามันเพื่อทำบางสิ่งให้บรรลุเป้าหมายแต่บางคนได้รับมันมากลับปล่อยให้หลุดมือ เพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจก็สามารถทำให้เราได้รับหรือเสียโอกาสไปเพราะเวลาและโอกาสไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้

“เจ้าพุธ…หยุดก่อน!!!” พระเสาร์ที่ในคราแรกมิได้ติดจะสนใจนาคินทร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเลยสักนิด หากหัวใจความเป็นพ่อที่อยู่เบื้องลึกของจิตใจ สัญชาตญาณบางอย่างกลับทำให้พระเสาร์เปลี่ยนความคิดแล้วร้องเรียกพระพุธที่กำลังจะก้าวผ่านพ้นออกจากวิมาน

“โอ๊ย!!! พี่เสาร์…พุธเจ็บนะ” พระพุธที่จะออกจากวิมานกลับถูกหัตถาใหญ่กร้านยื้อยุดฉุดแขนตนจนเสียการทรงตัวเซถลาชนกับแผงอกแกร่งของพระศนิ

“พี่...ขอโทษ” พระเสาร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มือก็ลูบหน้าผากเนียนที่แดงระเรื่อดุจกลีบดอกมณฑาป่าด้วยแรงปะทะเมื่อครู่

“อย่ามารั้งพุธแล้วลูบหน้าผากเยี่ยงนี้...ไหนพี่เสาร์บอกพุธมาสิ...ว่ารั้งพุธไว้ด้วยเหตุใด...หรือว่า...เปลี่ยนใจอยากจะเล่นสกากับพุธแล้ว” พระพุธเอ่ยถามน้ำเสียงกระเง้ากระงอด ดวงตาสวยมองดุไปที่อีกฝ่าย ท่าทางแบบนี้มีพระพุธเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำได้

“ข้าอยากเห็น..ละ..ลูก…เอ่อ..นาคินทร์ อยากดูว่าหน้าตาเขาจะเป็นเช่นไร...” พระเสาร์เอ่ย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระพุธนั้นสามารถสร้างมิติมายาให้เห็นบุคคลหรือสถานที่ที่เรานั้นต้องการจะเห็นได้ เทวารัศมีกายสีมรกตพอได้ยินเกิดความปิติไม่น้อยที่พระเสาร์ยอมใจเย็นลงบ้าง แต่พระเสาร์ยังคงเป็นพระเสาร์ความปากแข็งวางมาดยังคงมีอยู่ จนพระพุธอยากจะหยิกริมฝีปากของเทพหน้านิ่งตรงหน้าแรงๆ ให้หายแข็งสักที

“ก็พอจะมีเหตุผล ดังนั้นพุธจะให้พี่ได้เห็นลูกของพี่ เพราะพุธเองก็อยากเห็นหน้าหลานเช่นเดียวกัน” พระพุธยิ้มแป้น

“ช้าอยู่ไยเล่าเจ้าก็รีบสร้างมิติมายาให้ข้าได้เห็นใบหน้านาคินทร์เสียที...” พระเสาร์เร่งพระพุธที่มัวแต่ยิ้ม ไม่ยอมลงมือทำเสียที

“พี่เสาร์ก็ปล่อยแขนพุธก่อนเสียสิ จับแขนพุธไม่ปล่อยเยี่ยงนี้แล้วพุธจะช่วยพี่เสาร์อย่างไรได้เล่า’ พระพุธเอ่ย พระเสาร์จึงก้มหน้าลงพบว่าตนยังจับแขนเรียวอยู่จึงรีบปล่อย

เมื่อเป็นอิสระแล้วพระพุธจึงยกมือเรียวขึ้นพนม ริมฝีปากสวยขยับเล็กน้อยเพื่อร่ายมนตราก่อนจะยื่นมือออกมาด้านหน้าหนึ่งข้าง แสงสีเขียวตองอ่อนวูบวาบในฝ่ามือก่อนจะหายไปแลปรากฏห่อผ้าแพรสีเขียวที่ภายในมีผอบเถ้ากระดูกพญาคชสารเผือกผู้มีพระคุณของพระพุธดุจดั่งพระมารดา

“แม่ช้างจ๋า…ลูกช้างขอให้แม่ช่วยลูกได้มองเห็นนาคินทร์ผู้เป็นลูกพี่เสาร์ด้วยเถิด”

ผงกระดูกสีขาวค่อยๆ ลอยละล่องขึ้นก่อตัวหมุนวนไม่ต่างจากพายุขนาดเล็ก แล้วลอยออกจากผอบบนฝ่ามือบางลงไปยังพื้นรัตนา ก่อตัวขึ้นมาให้ทั้งสองได้เห็นเป็นรูปร่างที่หมายจะใคร่ชม แลปรากฏกายบางที่มีเส้นผมดำยาวสลวยกำลังนอนอยู่เคียงข้างเทวาบุรุษหนึ่งในถ้ำ โดยที่ทั้งสองนั้นไร้อาภรณ์ใดๆ นุ่งห่ม

‘นาคินทร์…’

‘นาคินทร์…ตื่นเถิด...’

รพีพงศ์ที่ตื่นขึ้นมาได้มองใบหน้านาคาที่นอนหนุนแขนตน ท่าทางที่ไร้กังวลบ่งบอกว่านาคินทร์มีความสุขกับการนอนมากขนาดไหน หากเวลาในตอนนี้ใกล้ยามตะวันอยู่กลางเศียรเสียแล้วจึงจำใจต้องปลุกกายบางให้ตื่น แต่เรียกเท่าไหร่นาคินทร์กลับไม่ยอมตื่นอีกทั้งยังขยับเขามาแนบใบหน้าชิดอกแกร่ง แขนเรียวเข้ากอดก่ายตนมิยอมปล่อย

“นาคินทร์ถ้าไม่ตื่นข้าจะพรมจูบปลุกเจ้าไปทั่วร่าง...” รพีพงศ์โน้มกระซิบจนริมฝีปากแทบจะติดใบหูนิ่มของนาคที่กำลังหลับและสิ่งที่เอ่ยมานั้นร่างสูงมิได้ขู่ วรรณะเทวัญชั้นสูงมีหรือจะโป้ปดพอกล่าวจบริมฝีปากร้อนผ่าวเริ่มจรดประทับจุมพิตไล่ตั้งแต่หลังใบหูลงมายังซอกคอระหง

‘อื้อ…อ่ะ..ท่านระ..รพีพงศ์หยุดเถิด’ นาคินทร์กระสับกระส่ายร่างกายบิดเร้าไปมา การถูกปลุกที่มาพร้อมกับความเสียวซ่านนี้ทำให้นาคินทร์ตาสว่าง

“ขะ…ข้าตื่นแล้ว…”

นาคินทร์ลุกขึ้นนั่งปากก็ร้องออกมาเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แผงอกขาวแต่งแต้มไปด้วยรอยสีกลับกุหลาบกระเพื่อมขึ้นลงแรงตามจังหวะลมหายใจรวมถึงจังหวะของก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่เต้นแรงแทบทะลุออกมา…‘นี่เราฝันไปหรือนี่ น่าอายเสียจริงที่ฝันลามกขนาดนี้’... มือบางจับแก้มตัวเองที่บัดนี้ร้อนผ่าวไม่ต่างจากเหล็กที่โดดไฟเผา

“เป็นอันใดหรือถึงได้จับแก้มตัวเอง ทั้งเจ้ายังร้องออกมาเสียงดังอีก” เสียงร้องเมื่อครู่ทำให้ร่างสูงข้างกายนาคินทร์ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ดวงเนตรคมมองนาคน้อยอย่างสงสัย

“พอดีข้านั้นฝันร้ายแล้วก็มีตัวอะไรไม่รู้มากัดแก้มข้า” นาคินทร์แก้ตัวด้วยข้ออ้างที่แม้แต่นาคที่ยังเดียงสานั้นยังรู้เลยว่าประโยคที่เอื้อนเอ่ยออกมาหาใช่ความจริงเลยสักนิด

“ไหนให้ข้าดูแก้มเจ้าเสียหน่อย” ดูเหมือนรพีพงศ์ไม่ได้ระแคะระคายในคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มือหนาจับมือนิ่มให้ออกจากแก้ม สายตาจับจ้องรอยแดงระเรื่อก่อนจะยิ้มมุมปาก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้

“ข้าขอชมให้ชัดๆ สักนิด”

“โอ๊ย!!” นาคินทร์ร้องออกมา มือก็จับแก้มตนตามสัญชาตญาณทันที

“ท่านรพีพงศ์มากัดแก้มทำไมเล่า ข้าเจ็บนะ!!!” นาคินทร์โวยวาย แม้ฟันคมจะขบกัดตนไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดเช่นเดียวกับมดตัวจ้อยกัด

“เจ้าโกหกข้า…แท้ที่จริงหาได้มีตัวอะไรกัดเจ้าไม่ แต่เจ้าร้องละเมอออกมาเสียงดัง แก้มทั้งสองยังแดงปลั่งดั่งผลมะเดื่อสุก ข้าว่าเจ้าต้องฝันลามกถึงข้าเป็นแน่....” รพีพงศ์เอ่ย แม้คำพูดจะหยอกเย้าแกล้งให้นาคน้อยอายแต่หารู้ไม่ว่า…

…‘ท่านเข้ามาในความฝันของข้าหรือไร ถึงได้รู้ว่าข้าฝันถึงท่าน…คนบ้า!!!’…

“หามิได้...ใครเล่าจะฝันว่าท่านจูบเพื่อปลุก..อ๊ะ!” คำปฏิเสธกลายเป็นข้อผูกมัดให้จำเลยจำนนต่อหลักฐาน

“นี่เจ้าเก็บข้าไปฝันเยี่ยงนี้หรือ…เจ้านาคน้อยลามก”

“ข้าไม่ได้ลามกนะ!!” นาคินทร์รีบปฏิเสธ …‘อยากจะร้องไห้แล้วกระโดดน้ำหนีอายเสียจริงที่ดันหลุดปากพูดถึงความฝันไป’…

“ไม่ลามกหรือ เอ๊ะ!...ข้าว่าข้าทำความฝันของเจ้าให้เป็นจริงดีหรือไม่เล่า” ไม่พูดเปล่าสุริยะบุตรรวบกอดเอวคอดไว้แน่นตามด้วยหอมแก้มซ้ายขวาจากนั้นจึงจัดการประทับรอยจูบตามซอกคอ

“อื้อ…ท่านรพีพงศ์!!!”

‘ตูม!!’ นาคินทร์ผลักรพีพงศ์ให้ออกห่างแต่เทพหนุ่มกลับตกจากแท่นศิลาที่ยามนี้โดนมีน้ำไหลเข้าล้อมรอบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิสามารถรู้ได้ รพีพงศ์ลุกขึ้นมาจากศิลามือกุมแผลบริเวณเอวของตนไว้ใบหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเนื่องจากแผลนั้นสัมผัสกับน้ำ

“ท่านรพีพงศ์ ข้าขอโทษ” นาคน้อยก้าวขาลงจากแท่นศิลาเพื่อดูอาการของคนที่ตนเพิ่งผลักไปเมื่อครู่

“ข้ามิเป็นไรมากนักเจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย…สิ่งที่น่าสนใจในเพลานี้คือน้ำที่กำลังไหลเข้ามาท่วมในถ้ำนี่ต่างหากเล่า ดีแค่ไหนที่เราสองนอนบนแท่นศิลาขืนนอนตรงปากทางถ้ำมีหวังข้าได้จมน้ำตายกันพอดี…” รพีพงศ์เอ่ย เนตรคมกวาดมองภายในคูหาที่มีสายชลหลั่งไหลเข้ามาท่วมทั่วบริเวณ แม้ยามนี้จะท่วมประมาณเข่าแต่รพีพงศ์หาได้วางใจเพราะบางทีระดับน้ำอาจจะขึ้นสูงมากกว่าตอนไหนก็ได้

“เห็นทีผ้าผลัดอาภรณ์ของเราทั้งสองคงลอยไปกับสายน้ำเสียแล้ว” นาคินทร์นึกขึ้นได้เพราะเห็นร่างเปลือยเปล่าของรพีพงศ์ส่วนตนยังดีที่มีผ้าห่มผืนบางปกปิดกายไว้

“เจ้ามองร่างเปลือยข้าจึงนึกได้ใช่หรือไม่…ลามกเสียจริงเชลยข้า...”

“ใช่…พอใจหรือยัง ข้ามองท่านข้าเลยนึกขึ้นได้ แต่ว่าท่านก็มองข้าตลอดเหมือนกันมิใช่หรือ...ถือว่าหายกันไป...” นาคินทร์หมดทางแก้ตัวเพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไป รพีพงศ์คงคิดว่าตนเป็นคนสัปดนไปเสียแล้ว

“ยอมรับมาก็ดี…ข้าจักเสกอาภรณ์ให้เจ้าและข้า” รพีพงศ์พนมมือขึ้นท่องคาถา พลันอาภรณ์เครื่องแต่งกายก็ปรากฏบนกายของทั้งสอง นาคินทร์ก้มมองสำรวจกายก็รู้สึกพอใจที่ตนไม่เปล่าเปลือยอีกต่อไป

“ไปกันเถิด” รพีพงศ์พูดต่อพร้อมจับข้อมือเล็กให้เดินมากับตน

“ไปไหนเล่า ปากถ้ำอยู่ทางนี้” นาคินทร์ร้องท้วงเมื่อเห็นว่ารพีพงศ์กำลังเดินไปอีกทาง

“มากับข้าเถิด เจ้าเห็นช่องคูหาตรงนั้นหรือไม่ สายน้ำที่เข้ามามันไหลไปทางนั้น แสดงว่าต้องมีช่องทางออกไปด้านนอกอยู่ปลายทางน้ำ” รพีพงศ์ตอบข้อสงสัย นาคินทร์จึงเดินตามเทพหนุ่มแต่โดยดี

“มืดเสียจริง” นาคินทร์เอ่ย พอเข้ามาด้านในคูหา ณ ที่แห่งนี้ไร้แสงพระอาทิตย์ส่องถึงได้

‘ฟึบ’ พลันเกิดแสงสว่างเป็นเปลวไฟออกมาจากตรงปลายดัชนีของรพีพงศ์ช่วยส่องแสงให้นาคินทร์ได้มองเห็น

“สว่างขึ้นมาหรือไม่...”  รพีพงศ์ถาม

“สว่างขึ้นมาสักนิด… เอ๊ะ! แต่นั้น....ท่านรพีพงศ์ท่านดูตรงนั้นสิ เหมือนมีภาพเขียนอยู่ด้วย...” นาคินทร์ชี้ไปยังผนังถ้ำด้านหนึ่งที่มีภาพลายเส้นสีฟ้าครามวาดเป็นลวดลายเอาไว้

รพีพงศ์เดินเข้าไปใกล้ พอพิจารณาภาพเขียนนี้แล้ว ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแผนที่ไปยังสถานที่ใดสักแห่ง ….’หรือว่านี่เป็นเส้นทางลัดไปยังวิมานเทพกาลเวลา’…  ช่างโชคดีเสียจริงอย่างน้อยตนก็พอจะได้ตามนภนต์และชลันธรได้ทันท่วงที หวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยเช่นเดียวกับตนและนาคินทร์

“...นี่คือแผนที่...และข้าว่าแผนที่นี้น่าจะเป็นทางลัดเชื่อมต่อไปยังวิมานของเทพกาลเวลาได้...สายน้ำเองก็ไหลไปทางนั้นเสียด้วย ข้าว่าเราตรงไปทางนั้นแต่กันเถิด...” รพีพงศ์บอกกับนาคินทร์ แล้วก็เดินทางต่อไปด้วยกัน

“พอได้กลับมาอยู่ในถ้ำที่มืดมิดแบบนี้...ข้าก็อดที่จะให้นึกถึงท่านแม่ของข้าไม่ได้เลย ” พอเดินทางได้สักพัก นาคินทร์กล่าวถึงมารดาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เพลานี้แม่ของตนนั้นจักเป็นเช่นไร จักสุขสบายดีไหมดั่งคำที่กนธีเคยให้สัญญาว่าจักให้ทหารคอยส่งอาหารมาดูแลเนื่องจากมุตตาผู้เป็นแม่นั้นมิต้องการออกจากถ้ำ

“ท่านแม่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ จะว่าไปข้าก็ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรของเจ้าเลย” รพีพงศ์เอ่ย เทพหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตนมิเคยรู้เรื่องภูมิหลังของนาคที่อยู่ข้างกายเลยแม้แต่น้อย

“ข้ากับท่านแม่ของข้าอาศัยอยู่ในถ้ำระหว่างรอยต่อใต้มหาสมุทรสองนทีเพียงสองแม่ลูก หามีใครอื่นอีกไม่”

“ข้าเคยได้ยินว่าส่วนรอยต่อคั่นกลางระหว่างมหาสมุทรในโลกมนุษย์และมหานทีสีทันดร ที่นั่นทั้งมืดทั้งหนาวกว่ามหาสมุทรโดยทั่วไปเสียอีก เหตุใดแม่และเจ้าถึงอยู่ที่นั่นเล่า” รพีพงศ์เกิดข้อสงสัยด้วยใคร่รู้มาว่ามหาสมุทรสองนทีนี้มิค่อยมีสิ่งมีชีวิตมากมาย หากมีก็มีเพียงพวกสัตว์น้ำประหลาดที่ไม่มีพวกพ้อง หากเทียบกับโลกมนุษย์แล้วที่นี่อาจะเป็นดั่งเป็นสถานสงเคราะห์หรือถิ่นทุรกันดาน

“ท่านแม่ของข้าบอกว่าต้องการอยู่อย่างสงบ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของท่านข้ามิได้โสภาเท่าใดนัก ท่านจึงไม่อยากจะพบเจอใคร ผิดกับข้าที่แอบหนีเที่ยวเล่นจนบ่อยครั้งข้ากลับถ้ำมา ท่านแม่ของข้าจะถือซากปะการังเล็กๆ ตีก้นข้า” นาคินทร์เล่าเรื่องราวสีหน้ามีความสุข

“แสดงว่าเจ้านั้นแสนซนมิใช่น้อย” รพีพงศ์ใช้มือที่ว่างลูบผมดำขลับอย่างเอ็นดู สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือทำให้นาคินทร์รู้สึกเคอะเขินมิใช่น้อย…‘ท่านทำให้ใจของข้าเต้นแรงอีกแล้ว…ท่านรพีพงศ์’

‘ซ่า….’

สายน้ำไหลจากที่สูงลงกระทบลงที่ต่ำทำให้เกิดเสียงดังก้อง เสียงที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ไม่ห่างจากทั้งสองมากนัก ด้วยความอยากรู้จึงรีบเดินเข้าไป ทั้งสองต้องตะลึงเมื่อภาพตรงหน้านั้นเป็นเหวลึกด้านใต้มีน้ำจากด้านบนไหลลงมา รพีพงศ์จึงสำรวจเพดานเผื่อจักมีภาพวาดอีกและนั่นเป็นข้อสันนิฐานที่ถูกต้อง ตรงเพดานถ้ำมีภาพวาดอยู่จริง

“ให้ตายสิ อุโมงค์ทางออกจากถ้ำไปยังเขาจิรันดรอยู่ใต้น้ำนี้” รพีพงศ์เอ่ยอย่างอารมณ์เสีย เมื่อวานตนเพิ่งจักจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วไม่ทันไรตนต้องกระโดดลงน้ำโดยไม่รู้ระดับน้ำและระยะทางที่จะต้องว่ายน้ำออกจากที่นี่

“ท่านอย่าได้กังวลเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านจมน้ำตายดอก” นาคินทร์เอ่ย

“นี่ข้าต้องฝากชีวิตไว้กับเชลยตัวเล็กเสียแล้วหรือนี่” พอได้ยินคำพูดของนาคินทร์ รพีพงศ์ก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“ชีวิตของท่านขึ้นอยู่กับเชลยอย่างข้าแล้ว” นาคินทร์พูดจบ มือเรียวนั้นก็จับท้ายทอยอีกฝ่ายให้โน้มลงมาใกล้ใบหน้าตน ริมฝีปากสีสดประทับบนริมฝีปากหนาที่ค่อยๆ เปิดอ้ารับลิ้นที่สอดเข้ามามอบรสจูบแสนหวานรวมทั้งสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กที่เข้ามาในโพรงปากของรพีพงศ์ นาคินทร์ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ สายตาจับจ้องเทวาตรงหน้า คนโดนจูบเองก็คายของแข็งขนาดเล็กในปากลงฝ่ามือก็พบว่าเป็น...ไข่มุกสีมรกต...

“สิ่งนี้คืออะไร...” รพีพงศ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“นี่คือ...ไข่มุกมรกตท่านแม่ให้ข้าไว้... หากท่านอมสิ่งนี้ไว้ในปาก ท่านนั้นจักสามารถอยู่ในน้ำได้นานแค่ไหนก็ได้” นาคินทร์ตอบ

“มันเป็นของรักของเจ้าหรือ...แล้วไยเจ้าไม่มอบให้ข้าโดยตรง เหตุใดจึงป้อนจูบข้า…จริงสิข้าลืมไปว่าเจ้ามันเด็กลามก” รพีพงศ์ล้อคนตัวเล็กจนนาคินทร์อดไม่ได้ที่จะมอบกำปั้นเล็กๆ ทุบตีอกแกร่ง

“ถ้าข้าลามก ท่านนั้นคงจะ ลามกที่สุดในสามโลก!!!!” นาคินทร์โวยวายกลบเกลื่อนความอายที่ปกปิดไม่มิด ทั้งที่ตั้งใจอยากป้อนไข่มุกให้ถึงปากแท้ๆ แต่มิวายโดนรพีพงศ์โยงเรื่องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“ใช่ข้านั้นลามกที่สุดในสามโลก…ไม่สิโลกที่สี่ต่างหาก...โลกที่สี่...โลกที่มีแต่เจ้ากับข้า” รพีพงศ์หยอดคำหวานเล่นเอานาคินทร์ไปไม่เป็นต่อประโยคไม่ได้…‘ท่านรู้หรือไม่ว่าคำพูดของท่าน ทำให้ข้าอายเสียจนอยากจะละลายไปรวมกับน้ำ’...

“ข้าจะไม่หยอกเจ้าให้อายแล้ว ถึงจะชอบใบหน้าเจ้าอายก็เถอะนะ”

…‘ไหนว่าไม่หยอก โกหกข้าชัดๆ…คำพูดเมื่อครู่ทำข้าอายกว่าเก่าเสียอีก’…

“ถ้าท่านหยุดหยอกข้าแล้วก็อมไข่มุกมรกตนี่เสียเถิด เราทั้งสองจะได้ออกจากถ้ำนี้ไปด้วยกัน” นาคินทร์เปลี่ยนเรื่อง รพีพงศ์เองไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อก่อนจะนำไข่มุกมรกตเข้าปากและจับมือนาคินทร์เอาไว้

เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม รพีพงศ์และนาคินทร์ต่างมองใบหน้าของกันและกันจนร่างสูงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กระโดดลงไปเบื้องล่างที่มีวารีคอยรองรับ

‘ตูม!!!’

“พอแค่นี้ก่อน...ข้ามิใคร่อยากดูต่อ” พระเสาร์เอ่ย ใบหน้าบั้นบึ้งราวกับว่าไปโกรธหรือโมโหใครมา

“ไม่อยากดูต่อแล้วหรือ พุธกำลังลุ้นอยู่เลยว่าทั้งสองจะออกไปได้จริงๆ หรือเปล่า... แต่จะว่าไปนาคินทร์ถึงแม้จะเป็นชาย แต่ก็ช่างงดงามยิ่งนัก พุธล่ะอดสงสัยมิได้ว่ามุตตาแม่ของเขาคงจะงามเช่นเดียวกับนางฟ้านางสวรรค์ ยกเว้นดวงตาของนาคน้อยช่างเหมือนกับดวงตาพี่เสาร์ของพุธจริงๆ” พระพุธถามย้ำพร้อมกับเอ่ยชมหลานชายตามที่ได้เห็นเป็นประจักษ์

“ไม่…ข้าไม่อยากดู ข้ามิพอใจกับสิ่งที่เห็นนัก” พระเสาร์พูดออกไปตามตรง ความรู้สึกไม่พอใจกำลังจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่านาคินทร์จะเหมือนมุตตามากก็ตาม ด้านพระพุธเองพอจะดูออกว่าพระเสาร์ผู้พี่ไม่สบอารมณ์จึงเรียกเก็บผงกระดูกกลับคืนสู่ผ้าแพร

“พี่เสาร์ไม่พอใจอันใดเล่า ไหนลองบอกพุธมาสิ” พระพุธถามแล้วเข้าไปสวมกอดเอวพระเสาร์ไว้ ถ้าเป็นทุกทีพระเสาร์จะขัดขืนแต่ครั้งนี้พระเสาร์ไม่ได้สนใจที่พระพุธกอดตนแม้แต่น้อย พระเสาร์สนใจสิ่งที่ตนได้เห็นเมื่อครู่มากกว่า

“รพีพงศ์บุตรของพระอาทิตย์ เจ้าก็รู้ว่าข้ามิชอบวงศานั่น!! อีกทั้งข้ามิชอบพวกรักร่วมเพศแต่เจ้าดูนาคินทร์สิ ท่าทางมีใจให้กับรพีพงศ์อยู่ไม่น้อย มันน่าโมโหยิ่งนัก!!! น่าจะปล่อยไปตามยถากรรมแทนที่จะช่วยเหลือ แถมยัง...” พระเสาร์ระบายความไม่พอใจออกมา พระพุธเองได้ฟังถึงกับสะอึกเพราะตนนั้นเคยมีเมียเป็นบุรุษ ครานั้นพระเสาร์โมโหพรพุธจนมิยอมเสวนาหรือมองหน้าเสียด้วยซ้ำ จนเทวาทรงคชสารและชายาผู้เป็นบุรุษหมดวาสนาต่อกันจำต้องจากไปตามกงล้อของโชคชะตา พระเสาร์จึงใจอ่อนกลับมาพูดคุยกับพระพุธดังเดิม

“พี่เสาร์...ความรักนั้นสวยงามเราควรรักกันที่ใจหาใช่ที่เพศ พุธว่าดีเสียอีกหากพี่เสาร์ได้เกี่ยวดองกับวงศาพระอาทิตย์ เทพหมู่ดาวก็จะสุขสงบแลสวรรค์ของเราก็จะน่าอยู่ขึ้น อีกอย่างในเพลานี้ข้าอยากให้พี่เสาร์สนใจที่จะช่วยนาคินทร์มากกว่า ส่วนเรื่องนาคินทร์กับรพีพงศ์นั้นค่อยหารือกันอีกครั้งมิได้หรือ...” พระพุธกอดพระเสาร์แน่นกว่าเก่า ปรางค์เนียนถูไถไปตามแขนอย่างออดอ้อน หวังเพียงให้พระเสาร์นั้นหายโมโหแล้วจะได้ลงไปช่วยบุตรา พระเสาร์มิได้ขัดขืนปัดป้องที่พระพุธก่ายกอดเพราะในใจกลับคิดถึงสิ่งหนึ่งที่ได้เห็น...เพราะเป็นสมบัติที่จะมีเฉพาะวงศ์นาคาสีทองเท่านั้น

’...เจ้าช่างเหมือนมุตตาเสียจริง...ผมของเจ้าช่างเหมือนแม่เจ้านัก...แต่ไข่มุกมรกตนั่นเป็นของข้า มุตตาคงให้นาคินทร์ไว้เป็นแน่...เหตุใดเจ้าจึงมอบให้บุตรพระอาทิตย์นั่น...นาคินทร์นี่เจ้ารักรพีพงษ์จริงๆ หรือนี่...”

. . .

อีกด้านหนึ่งของป่ากันติทัต

‘กุ๊งกิ๊ง…กุ๊งกิ๊ง’

กระดิ่งคล้องคอของพระโคศุภราชดังตามจังหวะกีบเท้าที่ย่างก้าวไปข้างหน้าโดยมีร่างอรชรของชลันธรนั่งอยู่บนหลังและที่เดินอยู่ข้างกายคอยจับมือนิ่มไว้มิคิดวางนั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์…เทพนภนต์

“ข้ามองเทพีปัณฑารีย์ผิดไปเสียแล้ว อันที่จริงนางยังมีความดีอยู่บ้าง” ชลันธรเอ่ยถึงผู้ที่ให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของคนรัก ให้ที่พักไว้หลับนอน รวมถึงเมื่อเช้านี้เทพีแห่งการรักษาผู้นี้ยังบอกเส้นทางลัดเลาะไปยังวิมานของเทพกาลเวลาเจ้าของวิมานจิรันดร

“นางก็มิได้เลวร้ายอันใดดอก นอกจากจะทำให้เจ้าหึงหวงพี่ก็เท่านั้น” นภนต์เอ่ย อันที่จริงต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำที่ทำให้นภนต์ชลันธรหึงหวงตน

“ข้าเองต้องขอโทษท่านพี่ด้วยที่หึงหวงเสียจนแสดงกิริยาไม่ดีออกไป” ชลันธรเอ่ย ทั้งที่ตนควรใจเย็นเพื่อไว้หน้านภนต์คนรักแต่กลับทำไม่ได้ จะว่าไปแล้วชลันธรคิดว่าตนคงขี้หึงไม่แพ้เทพเวหาข้างกายเช่นกัน

“มิเป็นไรดอกเพราะมันแสดงให้เห็นว่าเจ้านั้นรักพี่มากเช่นไร ซ้ำเจ้ายังได้ชดเชยขัดเกลาอาวุธของพี่ ตามใจพี่มาทั้งคืนแล้ว” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาพร้อมกับสายตาแสนเจ้าชู้ปานจะกลืนกินร่างกายแสนหวานกลางป่า

“ทำเป็นชอบอกชอบใจนักนะ...ท่านพี่หยุดแสดงท่าทางเยี่ยงนี้เลย  รู้ไหมว่าข้านั้นปวดเอว ปวดหลังมากขนาดไหน” ชลันธรหน้างอ ฝ่ามือเล็กตีบ่านภนต์ไม่แรงนักเป็นการลงโทษ

“พี่รักเจ้า…เฝ้ามองเจ้ามาตลอด พอมีโอกาสพี่นั้นก็อยากจะทำรักเจ้าให้สมกับความรักที่พี่มี” และความรักที่นภนต์มีให้กับชลันธรในเพลานี้ไม่ว่าจะกอดรัดชลันธรเป็นร้อยรอบพันรอบก็คงจะไม่พอ

“เฝ้ามองมาตลอดนั้นหรือ อืม…จะว่าไปข้ามิเคยถามท่านพี่เลยว่าท่านพี่รักข้าตั้งแต่ตอนไหนกัน...”  ชลันธรเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

“ครั้งแรกที่พบเจอกัน” นภนต์ตอบไปเพียงประโยคสั้นๆ  มิรู้ว่าคนงามจะจำได้หรือไม่

“ตอนที่ข้าหนีคนของข้าแล้วเข้าไปแอบในถ้ำแก้วนะหรือ ข้าจำได้ข้าถูกลูกธนูของท่านพี่ยิงเฉี่ยวแขน”

“ผิดแล้ว…สงสัยพี่จะต้องเล่าให้เจ้าฟังเสียแล้ว”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #262 เมื่อ11-09-2017 22:07:32 »

(ต่อ)

ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน นภนต์ยังครองตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบบัลลังก์เจ้าแห่งนภา บ่อยครั้งที่นภนต์จักตามบิดาหรือเทพแห่งท้องนภาองค์ก่อนออกจากวิมานมายังสภาเทวาเพื่อปรึกษาหารือ หากนภนต์มิได้เข้าไปเนื่องด้วยตำแหน่งรวมถึงเทพหนุ่มสนุกสนานกับการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ บนชั้นฟ้า

จนกระทั่งมาถึงสวนขวัญ ตนกลับได้ยินเสียงร้องไห้ปนสะอื้นดังเข้าหู ทั้งที่สวนขวัญนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่าเป็นสวนแห่งพรรณไม้บนสรวงสวรรค์ที่สวยงามที่สุด ใครได้พบเห็นจักมีความสุขจนเผยยิ้มกว้าง หาใช่มีเสียงสะอื้นไห้เยี่ยงนี้ ความสงสัยชักนำให้นภนต์ต้องเข้าไปดูเพื่อหาต้นตอเสียงและได้เห็นการกระทำที่แสนหยาบคายของหนึ่งในสามมหาเทวี…เทวีภัควลัญชญ์ที่กำลังยิ้มเยาะมีสุขในขณะที่เทพอัปสรผู้รับใช้กำลังใช้หางกระเบนเฆี่ยนตีเทพบุตรตัวน้อยถึงสององค์ ดวงตาคมสังเกตเห็นชายผ้าปักดิ้นสีครามของหนึ่งในเทพบุตรจึงรีบไปแจ้งพระสมุทรกลางสภาเทพและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

“ท่านพี่เป็นคนไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยข้าหรือ” ชลันธรตกใจมิใช่น้อยหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากคนรัก

“ใช่ พี่เป็นคนบอกพระสมุทรองค์ก่อน รวมถึงเป็นคนพาเจ้าไปรักษา”

เมื่อพระผู้สร้างพร้อมด้วยพระสมุทรเสด็จถึงสวนชวัญ บุษยะและชลันธรก็ได้รับการช่วยเหลือ พระสมุทรเองไว้ใจนภนต์ที่นำความไปแจ้งจึงขอให้นภนต์พาบุตราผู้เป็นดวงใจไปให้เทพโอสถและเทพีแห่งการรักษา

“ยามที่พี่ได้จับต้องเนื้อนวลของเจ้าในคราแรกนั้น ใจพี่ก็ลุ่มหลงเจ้าเสียแล้ว ยามพี่มองใบหน้าเจ้าพี่นั้นหลงรักเจ้าเสียถอนตัวไม่ขึ้น ยามที่โลหิตจากบาดแผลเจ้าหลั่งรินพี่คิดอยากจะปกป้องเจ้าไว้จากภัยร้ายทั้งปวง…หากเจ้านั้นกลับสูงส่งด้วยเป็นรัชทายาทบัลลังก์สีมุกผู้สืบทอดตำแหน่งพระสมุทรที่ยิ่งใหญ่รองมาจากพระผู้สร้าง ในเพลานั้นพี่เองคิดจะตัดใจจากเจ้าแต่...พี่นี้กลับทำมิได้”

“แล้วเหตุใดเล่าท่านพี่จึงมิอาจตัดใจ”

หลังจากเหตุการณ์นั้น นภนต์มิได้เจอชลันธรอีกเลย เนื่องด้วยพระสมุทรสุดแสนจะหวงมิให้ชลันธรเที่ยวเล่นไปไหน จนบุษยะต้องเป็นฝ่ายลงไปหาที่วิมานสีคราม หากมาพระสมุทรมาเยือนบนสวรรค์และต้องพาชลันธรมาด้วยแล้ว พระองค์จะนำผอบแก้วมาด้วยเพื่อให้บุษยะและชลันธรเข้าไปเล่นด้วยกัน

จนเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เทพแห่งท้องนภาผู้เป็นพ่อกำลังจะสละบัลลังก์ให้กับนภนต์และต้องการให้นภนต์หมั้นหมายกับบุตรีของเทพีแห่งการรักษา

“พระบิดา ลูกมิอาจหมั้นหมายกับปัณฑารีย์ได้ดอก” นภนต์ปฏิเสธทันที

“เจ้ามิไตร่ตรองให้ดีก่อนหรือนภนต์ พ่อให้เวลาเจ้ามิใช่ให้เจ้าหมั้นหมายหรือจับแต่งในวันนี้วันพรุ่งเสียเมื่อไหร่ นอกเสียจากเจ้ามีใครในใจแล้ว...”

“ลูก…ลูกมีคนที่ข้ารักดั่งที่พระบิดากล่าวมาแต่ผู้นั้นยังมิรู้ว่าลูกนั้นมีใจให้” นภนต์ตอบ

“นั่นมิใช่ปัญหา หากเจ้ารักใครตัวพ่อนั้นจักไปสู่ขอให้กับเจ้า เพียงเจ้าเอ่ยชื่อมาเถิดว่าผู้ที่กุมหัวใจของเจ้านั้นเป็นใคร” แม้ว่าลูกจักไม่หมั้นหมายกับเทพีที่จัดหามาให้แต่ถ้าลูกมีคนรักอยู่แล้วเทพแห่งท้องนภาก็ยินดีไม่คิดขัดขวาง

“ลูกเกรงว่าคนที่ลูกนั้นเอ่ยนามออกไป พระบิดาจะไม่เห็นด้วยชอบพอ” นภนต์มีท่าทีกังวลขึ้นมาจนเทพแห่งท้องนภารับรู้ได้

“เจ้าอย่าได้กังวลเลย เจ้ารักใครพ่อจะไม่ห้ามเจ้า พ่อให้สัญญา” ผู้เป็นพ่อเอ่ยประโยคที่ทำให้บุตรชายมีรอยยิ้มขึ้นมา ในเมื่อพ่อให้คำสัญญาแล้วแน่นอนว่ามิอาจจะคืนคำได้

“ผู้ที่ลูกรักนั้นคือ…ชลันธรบุตรแห่งพระสมุทรแห่งวิมานมุกสีคราม” นามของผู้ที่บุตรชายรักเป็นดั่งสายฟ้าฟาดมากลางใจเทพเวหา ชลันธรนั้นแม้จักงดงามนักหากเป็นชาย ทั้งยังเป็นบุตรของพระสมุทรที่หวงแหนเป็นที่สุด …‘พ่อนี้อยากห้ามเจ้าเสียเหลือเกินแต่พ่อเองผิดคำสัญญาที่มีให้กับเจ้ามิได้’…

“นภนต์…นี่เจ้ารักชลันธร...จริงๆ หรือ...”

“เป็นเช่นนั้นพระบิดา ลูกรักชลันธรตั้งแต่แรกเห็น แม้เวลาผ่านไปความรู้สึกของลูกที่มีต่อบุตรแห่งพระสมุทรมิเคยจางหายซ้ำยังคิดถึงถวิลหาอยากพบเจอทุกเชื่อวัน” นภนต์ระบายความรู้สึกทั้งหมดให้ผู้เป็นพ่อฟัง

“ถ้าเจ้ายืนยันมาเช่นนี้พ่อเองก็ไม่คิดจะห้ามปรามเจ้า แต่เพลานี้นั้นไม่ใช่เพลาที่เหมาะสมเท่าไหร่นักที่จะไปสู่ขอชลันธร...เจ้าอย่าลืมไปว่าด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ของชลันธรนั้นเป็นถึงพระภาดาของพระผู้สร้าง เพียงตำแหน่งเทพแห่งท้องนภาคงไม่เพียงพอสำหรับเจ้าที่จะได้ชลันธรมาเคียงเป็นคู่บารมีให้สมหน้าสมตาพระสมุทรและพระเทวีได้ ดังนั้นพ่อจึงคิดว่า…”

“คิดว่าอะไรหรือ พระบิดา”

“พ่อคิดว่าเจ้าควรจะเข้ารับการทดสอบคัดเลือกตำแหน่งแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์ ด้วยพระอังคารผู้ชาญสงครามครองตำแหน่งมานานจนครบวาระในอีกไม่ช้า หากเจ้าเป็นแม่ทัพหลวงแล้ว ผู้อื่นเห็นทีจะติฉินนินทาเรื่องความไม่เหมาะสมนี้ยาก ทั้งจะนำพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์เวหาของเรา เจ้าจะพยายามเพื่อชลันธรและความรักของเจ้าได้หรือไม่...นภนต์ แลเมื่อถึงเวลานั้นแล้วพ่อจักสนับสนุนเจ้า ตกลงหรือไม่...” เทพแห่งท้องนภาเอ่ยข้อเสนอ หากได้ฟังจะดูเหมือนว่าเทพแห่งท้องนภาส่งเสริมนภนต์แต่ความจริงแล้วเทพแห่งท้องนภาต้องการจะยื้อประวิงเวลาเพื่อให้บุตรชายมีเวลาไตร่ตรองเสียก่อน รวมถึงอาจจะได้พบใครอื่นที่ต้องใจและมิใช่บุรุษเพศ ด้วยคิดว่าบุตรชายอาจจะเพียงแค่ลุ่มหลงตามประสาวัยหนุ่มแรกรุ่นก็เท่านั้น แลมิได้คิดว่านภนต์จะตั้งใจจริงในการศึกษาการต่อสู้ที่ไม่ได้นิยมชมชอบสักเท่าไหร่ อาจจะดูเหมือนว่าตั้งใจในช่วงแรก แต่ก็คงจะล้มเลิกความคิดนี้ไปเองเพราะสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้นั้นเป็นไปได้ยากเสียจริง

“พระบิดา...ลูกตกลง” นภนต์เห็นด้วยกับสิ่งที่บิดาได้บอกกล่าว ในเมื่อริจะได้ครองมุกแสนล้ำค่าแห้งท้องทะเล นภนต์ต้องพยายามให้ทัดเทียมชลันธรให้จงได้ ถึงจะไม่เคยได้พบเจอกันอีกตั้งแต่ครานั้น แต่นภนต์ก็มั่นใจว่าตนจะสามารถเอาชนะใจชลันธรได้

เทพหนุ่มตั้งใจมุ่งมั่นฝึกศึกษาวิชาการสงครามทำศึก ทั้งการใช้ศาสตรา ทั้งคาถาเวทย์มนต์จนเก่งกาจจนสามารถเอาชนะเทพทั้งหลายที่เข้าคัดเลือกในครานั้นได้ รวมไปถึงกำชัยชยะเหนือบุตรชายของพระอังคารที่เหมือนว่าจะโดดเด่นไม่แพ้กัน และได้รับแต่งตั้งตำแหน่งแม่ทัพหลวง และศาสตราเป็นธนูทองวิเศษประจำกาย รวมไปถึงตำแหน่งเทพแห่งท้องนภาอย่างสมใจ

“ข้ามิรู้เลยว่าท่านพี่จักทำเพื่อข้าขนาดนี้” ชลันธรปลื้มใจที่นภนต์ทุ่มเทพยายามให้ทัดเทียมกับตน

“พี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เจ้ามาครองและเฝ้ารอที่จะได้พบเจ้า เหมือนชะตานั้นได้ลิขิตไว้ ด้วยเจ้านั้นแสนซนหนีพวกทหารของเจ้ามาหลบซ่อนกายในถ้ำแก้ว และถูกพี่ยิงศรเฉี่ยวแขนเจ้า พอพี่เห็นใบหน้าของเจ้าในครานั้นพี่คิดว่าพี่นั้นต้องถูกเจ้าเกลียดเสียแล้ว หากเจ้ากลับไม่โกรธพี่และยังขอให้พี่ช่วยเจ้าอีก พี่ยินดีช่วยน้องอีกทั้ง เพลานั้นพี่ดีใจมากเสียจนมิอาจจักห้ามใจตนเองให้ล่อลวงเจ้าว่ารักษาแผลด้วยการจุมพิต”

“ท่านพี่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!!!” ชลันธรโวยวายขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำนั้นเกิดจากความเขินอายมิใช่โกรธเคือง

“จะว่าพี่เยี่ยงนั้นก็ได้ พี่ยอมรับว่าพี่นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย พี่จึงชักชวนเจ้ามาเที่ยวกับพี่ทุกคืนวันเพ็ญเพื่อที่อยากใช้เวลาอยู่กับเจ้า เกี้ยวเจ้า...จนเจ้ารักพี่...”

“ข้ามิเคยรู้เลยว่าท่านพี่รักข้ามากเยี่ยงนี้”

“ใช่พี่รักเจ้ามากแต่พี่เองกลับปล่อยให้ความหึงหวงบั่นทอนสติ มิได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบจนพี่ต้องทำให้เจ้าตกสวรรค์ต้องทัณฑ์เทวา” นภนต์เอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด น้ำเสียงเศร้าสร้อยทำให้ชลันธรเองรู้สึกเป็นห่วงที่นภนต์โทษตัวเอง

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านพี่จงอย่าได้คิดมากไปเลย ถือเสียว่ามันเป็นอุปสรรคและพิสูจน์ว่าเรานั้นรักกันมากแค่ไหน ดั่งคำที่ว่า หากทะเลยังมีเกลียวคลื่น...ก็อย่าเพียรหาความราบรื่นในความรัก...แม้ว่าเราจักไม่พบเจอกันถึงสามร้อยชาติมนุษย์ก็ตามที...แต่สุดท้าย ข้าและท่านพี่ก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...”

“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก ที่เจ้ามิได้ถือความพี่แล้ว”

“ทว่า…ข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านพี่นั้นถึงหึงหวงและคิดว่าข้ากับรพีพงศ์รักกัน” ชลันธรถาม

“เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้านั้นปฏิเสธที่จะพบเจอพี่ในคืนวันเพ็ญแต่เจ้ากลับไปพบหารพีพงศ์ วันนั้นพี่บังเอิญได้ยินพวกเจ้าพูดคุยกันและเจ้าเองก็บอกรักรพีพงศ์ พี่แสนเจ็บปวดเจ้ารู้ไหม พี่ทนฟังต่อไปไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายบินหนีไป ความเจ็บก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ยิ่งแต่ก่อนพี่รักเจ้ามากเท่าไรเพลิงแค้นในใจมีมีมากเป็นกว่าเท่าตัว” นภนต์เอ่ย ชลันธรถึงกับชะงักไม่คิดว่านภนต์จักได้ยินและเข้าใจว่าเหตุใดนภนต์ถึงมีท่าทีแปลกไป

“ท่านพี่เข้าใจผิด…ข้าบอกรักรพีพงศ์จริง หากรักนั้นเป็นเพียงมิตรสหายเท่านั้น รพีพงศ์เองยอมตัดใจจากข้าและยินดีคบหาข้าเป็นมิตรสหายมิใช่คนรักและข้ารักท่านพี่เพียงผู้เดียวไม่เคยคิดนอกใจ ” ชลันธรอธิบายเรื่องราวทั้งหมด มันช่างน่าสมเพศเสียจริงที่ถูกตนรักโกรธแค้นเพียงเพราะความเข้าใจผิด

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงเลือกพบรพีพงศ์แทนที่จักมาหาพี่ ทั้งที่นานๆ ครั้งเราสองจะได้เจอกัน”

“เอ่อ…คือข้ามีเรื่องที่ต้องปรึกษากับรพีพงศ์”

“เรื่องอะไรหรือ บอกพี่ได้ไหม”

“เรื่องที่ช้านั้นปรึกษากับรพีพงศ์นั้นคือเรื่อง…”

‘ฟิ้ว’

‘ชลันธรหมอบลง!!!’

ไม่ทันที่ชลันธรจะพูดจบ เสียงของหนักแหวกอากาศลอยมาจากด้านหลัง หากสัญชาตญาณของนักรบนั้นได้ช่วยทั้งสองให้หลบวิถีของมันได้

‘ตุบ’ วัตถุที่ลอยมากระแทกกับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกลิ้งมาใกล้กับเท้าของนภนต์ เทพเวหาก้มลงเก็บวัตถุอันตรายขึ้นมา นั่นคือก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น…‘ใครบังอาจจ้องทำร้ายเราทีเผลอ’…

“ไอ้อีใดที่ลอบปาหินใส่ข้า อย่ามัวหลบซ่อนตัวอยู่...จงออกมาปรากฏตัวบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้านั้นกล้าพอ..!!!”



























.........................................

นอกจากพระราหูจะไม่ชอบพระอาทิตย์ยังมีพระเสาร์อีกนะคะ ความยิ่งใหญ่ของสองวงศ์นี้อารมณ์เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวไม่ได้ 5555

แต่ถามว่าใครสามารถคานอำนาจของ พระเสาร์ พระอาทิตย์ พระราหู เรียกได้ว่าสามคนยังเกรงใจ ยังต้องยอม....พระพุธไงจะใครล่ะ 55555

รพีพงศ์เจออุปสรรค์หนักไหมก็คงไม่ เพราะไม่เคยพูดว่ารักนาคินทร์ 55555 #ท่านยุ่งกวนteenคนอ่าน

แต่ตอนนี้ผู้ที่เจออุปสรรคของแท้คือพี่นภนต์คนแมนแฟนชลันธร กำลังหวานจีบกันเจอคนมาลอบทำร้าย อ่อ ท่านยุ่งย้อนความหลังให้ได้สัมผัสถึงความสู้เพื่อเมียมันเป็นเช่นไร พระสมุทรเองก็หวงลูกสุดใจขาดดิ้นอีก...ช่วยไม่ได้เพราะ...ก็เรานั้นมันคนละชั้นจะทำเช่นไรให้มองเห็นกัน

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเมนต์ เป็นกำลังใจให้ จะติชม วิจารณ์ เอาเลยตามสบาย ขออย่างเดียวอย่ามาแย่งป๋ากนธีของท่านยุ่งก็พอ

รักทุกคน...









ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #263 เมื่อ11-09-2017 22:20:46 »



ใครนะ

ออกมาเร็ว

ข้าเจ้าอยากรู้ต่อแล้ว


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #264 เมื่อ11-09-2017 23:40:02 »

บังอาจเขวี้ยงหินมาขัดจังหวะสำคัญ
รีบออกมาเลยนะ นะ นะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #265 เมื่อ11-09-2017 23:54:38 »

กรี๊ดดด ใครมันเขวี้ยงหินขัดจังหวะช้านน :angry2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #266 เมื่อ12-09-2017 00:18:54 »

โธ่ แก็งค์ปาหินนี่มันน่าจับมาสำเร็จโทษนัก! กำลังเผือกอยู่เชียวมาขัดจังหวะเสียได้

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #267 เมื่อ12-09-2017 09:00:43 »

ใครกัน!?

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #268 เมื่อ12-09-2017 19:00:01 »

สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
«ตอบ #269 เมื่อ13-09-2017 19:02:23 »

 :mew6: ตอนหน้ารุมกระทืบคนปาหินกันค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด