สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 24
คำกล่าวที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้เพลิงไฟใหญ่...แต่หากไฟน้อยก็ย่อมแพ้กระแสน้ำที่ถาโถม ดั่งเช่นรพีพงศ์ที่ไร้เรี่ยวแรง ซ้ำยังจมลงไปในน้ำตกด้านล่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่างเข้าใกล้สู่ปากประตูแห่งยมโลก จะรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น…รอเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลงไป เมื่อนั้นรพีพงศ์จะมีชีวิตอยู่เพียงในความทรงจำของนาคินทร์เท่านั้น
…‘ความหนาวเหน็บที่บาดผิวหนังข้า... ความเย็นชาที่รวดแล่นในกายที่ข้าได้รับ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือว่าข้าจะต้องทิ้งชีวิตลงใต้ผืนน้ำนี้’…
‘ตูม!!’
เปลือกตาที่กำลังจะปิดซ่อนดวงตาคมก็เปิดออกอีกครั้ง เสียงกระจายของน้ำหนักตกลงน้ำไม่ไกลจากร่างรพีพงศ์นั้นช่วยเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยให้กลับเข้าร่าง ฟองอากาศกระจายทั่วบริเวณก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มขนาดใหญ่กำลังแหวกว่ายเข้ามาหา
‘ท่านรพีพงศ์ข้ามาช่วยท่านแล้ว…’ น้ำเสียงหวานใสถ่ายทอดคำพูดผ่านจิตให้รพีพงศ์ได้รับฟัง
นาคินทร์ในร่างของมนุษย์ครึ่งนาคได้ใช้หางเกี่ยวพันกายใหญ่ม้วนเข้าหา สองแขนโอบกอดรพีพงศ์จนแนบชิด ใบหน้างามโน้มเข้าหาตามด้วยประกบริมฝีปากถ่ายทอดพลังให้สุริยะบุตรสามารถหายใจในน้ำได้ พลันรัศมีสีเขียวตั้งแชกระจายจนทั่วทั้งยังช่วยโอบร่างของทั้งสองให้ลอยขึ้นไปสู่เหนือผิวน้ำ
“อ่า…”
นาคินทร์ผละริมฝีปากออกแล้วกวาดสายตามองหาฝั่งไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับวิหกตัวน้อยที่เทียวบินเข้าออกตรงม่านน้ำตก …‘ไม่ผิดแน่ หลังม่านน้ำตกจักต้องมีถ้ำอยู่เป็นแน่ น่าจะเข้าไปแอบหลบซ่อนพระอังคารได้’…ไม่รอช้านาคินทร์ก็ว่ายน้ำพยุงพารพีพงศ์ไปยังถ้ำ
“ท่านรพีพงศ์อดทนสักนิดนะ” นาคินทร์เอ่ย ไม่รู้ว่าคนฟังจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม นาคน้อยกลายร่างคืนสภาพเป็นมนุษย์พยุงร่างกำยำฝ่าม่านน้ำตกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำอย่างทุลักทุเล
เมื่อย่างกรายเข้ามาภายในถ้ำ ร่างบางได้พาเทพหนุ่มที่สลบไสลให้นอนพักลงบนพื้นหินแสนเย็นเฉียบ แต่ก็ยังมิอาจสู้ไอเย็นที่แผ่ออกจากผิวกายของรพีพงศ์ได้ นาคินทร์มิรู้หนทางจะทำเช่นไรที่จักให้รพีพงศ์หายหนาว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนหินหาได้มีเศษไม้พอจะทำฟืนก่อไฟได้ สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้นั่นคือปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มของรพีพงศ์ออกไปให้พ้นเสียก่อน หากปล่อยไว้นานน่าจะเป็นผลร้ายต่อกายสุริยะบุตรมากกว่า แม้นาคน้อยจักเขินอายอยู่บ้างกับการกระทำของตน หากแต่คิดว่านี่เป็นวิธีเดียวที่ตนนึกออกและช่วยรพีพงศ์เอาไว้
“หนาว…หนาวเหลือเกิน” เสียงครวญหลงละเมอ รพีพงศ์ละเมอออกมาอย่างมิได้สติ ยามนี้นาคินทร์สงสารรพีพงศ์จับใจ มือเรียวลูบไล้ประคองใบหน้าที่ขาวซีด… ‘ข้าจักทำเช่นไรให้ท่านคลายหนาวได้เล่า อันตัวข้ามีแต่ขอให้ท่านคอยกอดยามหลับนอนอยู่เสมอ’...
“จริงสิ…” นาคินทร์นึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนกายเปลือยเปล่าเช่นกัน
“แม้กายข้าจะไม่อบอุ่นแต่ข้าจะกอดท่านไว้…ท่านรพีพงศ์” นาคางามเหยียดกายนอนเคียงข้างรพีพงศ์ แขนเรียวก่ายกอดอีกฝ่ายไว้ ไม่นานนาคินทร์ก็หลับตามรพีพงศ์ไปด้วยความเหนื่อยล้า
. . .
ลมหายใจอุ่นที่รดรินตรงแผงอกกว้างทำให้รพีพงศ์ที่ฟื้นขึ้นมาพบเจอ แม้คราแรกจักตกใจที่ตื่นมาพบว่าตนและนาคินทร์ตกอยู่ในสภาพล่อแหลม แต่พอได้เห็นอาภรณ์ที่พาดพึ่งอยู่ตรงโขดหิน รพีพงศ์จึงเดาได้ทันทีว่านาคินทร์นั้นหวังดีกับตน ก็พอที่จะทำแย้มสรวลออกมาได้…‘มิใช่เพียงหายหนาว แรงข้านั้นก็ฟื้นกำลังขึ้นมา’… ด้วยรพีพงศ์อ่อนแรงจากการสัมผัสน้ำเป็นเวลานานวิธีแก้ไขนั้นก็หาได้ยากเย็นไม่เพียงแค่ให้ความอบอุ่นและทำให้กายของรพีพงศ์แห้งแค่นั้นก็เพียงพอ
“อื้อ…” นาคินทร์กลายเป็นฝ่ายหนาวแทน ร่างอรชรเบียดกายเข้าหาจนรพีพงศ์สัมผัสได้ถึงเนื้อนิ่มที่แนบชิดจนบัดนี้ บุตรแห่งพระอาทิตย์หายใจไม่ทั่วท้องเสียแล้ว
“เจ้าคงหนาวมากสิท่า” รพีพงศ์ร่ายมนต์เสกภูษาผืนใหญ่ห่มกายนาคินทร์และตนเองไว้จากนั้นก็ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่นาคินทร์ดังที่เคยได้ทำ
“ทะ…ท่านรพีพงศ์…ฟื้นแล้วหรือ” แรงกอดเมื่อครู่ของรพีพงศ์ปลุกนาคินทร์ให้ตื่นขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นนาคน้อยแสนน่ารักยังลุกนั่งแล้วเลิกผ้าห่มตามด้วยใช้มือลูบคลำร่างกายของรพีพงศ์อย่างลืมตัว
“ท่านรพีพงศ์ กายท่านไม่เย็นแล้วแสดงว่าอาการดีขึ้นแล้วเหลือเพียงแต่…” นาคินทร์หยุดสายตามองยังแผลของรพีพงศ์ที่สัตว์พาหนะของพระอังคารฝากไว้ ...‘เป็นเพราะข้าแท้ๆ ท่านจึงบาดเจ็บเช่นนี้’…
“โอ๊ย!!!” รพีพงศ์ที่ปล่อยให้นาคินทร์สำรวจร่างกายก็ร้องโอดโอยขึ้นมาเมื่อมือเรียวสัมผัสเข้าตรงปากแผลอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ตนอุตส่าห์สะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บเพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่พอมีอะไรมากระทบแผล รพีพงศ์ก็มิอาจปกปิดความรู้สึกเจ็บปวดได้
“ท่านรพีพงศ์!!!...ฮึก…ฮือ..” สุดจะกลืนกลั้นสะอื้น นาคินทร์ร้องไห้ออกมาทันที รพีพงศ์ไม่อยากให้นาคินทร์นั้นรู้สึกผิดใดๆ จึงได้ลุกนั่งแล้วดึงนาคินทร์เข้ามาสวมกอดไว้ทันที
“ข้ามิเป็นอันใดแล้ว บาดแผลเพียงแค่นี้หาปลิดชีวิตข้าได้ไม่...เจ้าอย่าได้กรรแสงหรือเป็นกังวลอันใดเลย…นาคินทร์” น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบากระซิบกระซาบข้างหู พระหัตถ์พลางลูบแผ่นหลังขาวเพื่อปลอบประโลม
“ข้ากลัว…ฮือ..กลัวว่าท่านจักเป็นอันใดไป…ฮึก…ฮือ” นาคินทร์เอ่ย รพีพงศ์ดันกายนาคินทร์ออกเล็กน้อยแล้วเชยหน้าสวยให้เงยขึ้นมาสบตาตน
“เจ้ามิได้ปรารถนาให้ข้าตายหรอกหรือ” รพีพงศ์ถามทั้งที่รู้คำตอบจากท่าทีของนาคินทร์อยู่แล้วก็ตามและเป็นไปตามที่คิดไว้นาคินทร์พยักหน้าเป็นคำตอบ
“หากข้าตาย เจ้าจักหลุดพ้นจากการเป็นเชลย อันที่จริงตอนข้าจมน้ำเจ้าก็มิต้องช่วยข้า ปล่อยให้ข้าตายก็ได้ เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าไว้”
“ไม่...ข้า…ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย หากท่านสิ้นชีพไปใครไหนเล่าจะปกป้องดูแลเชลยอย่างข้า ข้ายอมเป็นเชลยของท่านตลอดชีวิตเสียดีกว่า เห็นท่านเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา...” นาคินทร์เอ่ย ทุกถ้อยคำล้วนออกมาจากใจ…‘หากท่านตายมันก็เหมือนใจข้าที่เป็นดั่งขอบฟ้าไร้ซึ่งแสงดวงตะวันสว่างกลางใจ ข้ามิยอมให้คนที่ข้าคิดมอบหัวใจต้องสิ้นชีพดอก’… ถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นคำตอบที่ทำให้รพีพงซ์รู้สึกดีดุจดั่งได้โอสถทิพย์มารักษากายใจ
“ถ้าเจ้าหมายที่จะเป็นเชลยของข้า เจ้าจะไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะเป็นของๆ เจ้าอีก…เจ้าจักไร้ซึ่งอิสรภาพ แม้กายเจ้า...เจ้าก็จะมิได้เป็นเจ้าของ...” รพีพงศ์เอ่ย แม้นประโยคที่ได้สดับฟังจะเหมือนคำขู่ แต่สุรเสียงที่ใช้กลับทำให้นาคินทร์รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
นาคินทร์พยักหน้ารับ ว่าตนยินยอมถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการจองจำกักขังใจ รพีพงศ์ยิ้มกว้างแล้วโอบเอวคอดให้ขยับมานั่งใกล้
(ต่อ)