รักจัง.........ตอนที่13
จากหยาดเหงื่อและแรงงานบวกกับความตั้งใจจริงที่อยากลดลงซักคืนก็ยังดี ทำให้ในที่สุดโรงเรียนเพื่อน้อง ณ หมู่บ้านดอนดอกประดู่ก็สำเร็จเสร็จได้อย่างสวยงามในเวลาห้าวันสี่คืน เป็นการออกค่ายอาสาที่ทำให้รู้กำลังแฝงของนักศึกษาอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน
ถึงจะเร่งมืออยากให้เสร็จกันเร็วไวขนาดว่าตอนสร้างไม่ค่อยจะได้หยุดชื่นชมผลงาน แต่ตอนนี้ที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นทุกคนก็อดไม่ได้ ต้องยืนมองผลงานที่สร้างกันมากับมือพลางเอ่ยปากชมกันเองไม่มีหยุด หลังอาหารเช้าของวันที่ห้า
โรงเรียนเพื่อน้องตามแปลนที่วาดกันมา สร้างขึ้นบนที่นาบริจาคครึ่งไร่ ประกอบด้วยสามห้องเรียนที่มีหลังคา โต๊ะเรียน ตู้ใส่หนังสือและกระดานดำใหม่เอี่ยม ด้านหน้ามีแท่นเสาธงพร้อมธงชาติไทยใหม่แกะกล่องปลิวไสว ด้านหลังห่างไปหลายสิบเมตรมีห้องส้วมแบบถูกสุขลักษณะซึ่งมีส้วมใหม่เอี่ยม แยกฝั่งเด็กชายเด็กหญิงฝั่งละหกห้อง แถมภายในห้องเรียนยังหนังสือเรียนหนังสืออ่านเล่นหลายร้อยเล่มใหม่บ้างเก่าบ้างแถมไว้ให้เสร็จสรรพ
ตามที่ลุงผู้ใหญ่บอก หมู่บ้านดอนดอกประดู่มีเด็กๆคละอายุอยู่เกือบร้อย ที่จริงโรงเรียนเก่ามีอยู่แต่สภาพสุดโทรมและห่างไกลหมู่บ้านหลายกิโล พอมีคนบริจาคที่ดินให้ใกล้วัดก็เลยได้โอกาสให้คนมาทำความดีลงแรงสร้างโรงเรียนใหม่เอี่ยมกันขึ้นมา
“ฮะแฮ่ม กระผมผู้ใหญ่บ้านดอนดอกประดู่ ขอเป็นตัวแทนชาวบ้านทุกคนขอบใจพวกคุณมากที่มีน้ำใจมาสร้างโรงเรียนให้หมู่บ้านเล็กๆของเรา”
ลุงผู้ใหญ่กล่าวเสียงดังฟังชัดจากหน้าเสาธง ด้านหลังมีชาวบ้านช่วยกันตบมือเปาะแปะ แต่ละคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะเด็กๆที่เริ่มวิ่งสำรวจโรงเรียนใหม่กันอย่างตื่นเต้น
“พวกเราขอสัญญาว่าจะใช้โรงเรียนนี้เป็นที่กระจายความรู้ ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เด็กๆและหมู่บ้าน ขอให้ความดีนี้ส่งให้พวกคุณทุกคนเจริญก้าวหน้ากันถ้วนทั่ว ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
เป็นคนดีผีคุ้ม ไม่หนีเสือปะจระเข้ ซื้อหวยงดไหนให้เป็นถูก…” ลุงผู้ใหญ่ยิ่งพูดยิ่งมันส์ จนถ้าไม่โดนลูกบ้านแอบสะกิดวันนี้อาจต้องยืนกันถึงเย็น
“ฮะแฮ่ม และเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ ทางเราได้ปรึกษากันว่าจะจัดทัวร์ป่าแท้ๆแจกเป็นรางวัล!” โดนสะกิดเข้าไปอีกหลายทีคนพูดถึงนึกได้หันมากระแอมไอบอกพร้อมยิ้มแฉ่ง
“ขอบคุณมากครับลุงผู้ใหญ่ ขอบคุณทุกคนเลยครับ แต่ว่าค่ายอาสาครั้งนี้พวกเรามาด้วยใจไม่ต้องการของตอบแทนหรอกครับ” พี่บี้ประธานค่ายยกมือไหว้กราดเหมือนสสหาเสียง โดยมีลูกค่ายงึมงำสนับสนุน
“ใช่ค่ะ พวกเราแค่เอาแรงมาลง วัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างได้รับบริจาคมา แค่น้องๆได้ใช้ประโยชน์จากโรงเรียนนี้พวกเราก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ” รองประธานฝ่ายสวัสดิการจัดการเสริมลูกคู่เต็มที่
“โอ้ย ไม่ได้หรอกคู๊ณ” ลุงผู้ใหญ่ส่ายหน้าจนหนวดปลิว “พวกเรารู้ว่าพวกคุณไม่หวังผล แต่ว่าอยากตอบแทนนี่ เล็กๆน้อยๆก็ยังดี ถือว่าเป็นน้ำใจจากชาวบ้าน”
“ทัวร์เดินป่าแท้ๆอย่างนี้ไม่ได้หาง่ายๆ ยิ่งคนกรุงแล้วไม่ต้องพูดถึง หมู่บ้านผมถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ยังดีมีป่าเขาอุดมสมบูรณ์ พวกเราส่วนมากเลี้ยงชีพก็ด้วยการเข้าป่าไปหาผลหมากรากไม้ ไปยิงหมูยิงเก้งมากินมาขาย รับรองเรื่องอย่างนี้คนกรุงอย่างพวกคุณไม่เคยใช่ไหมล่ะ”
ลุงผู้ใหญ่ว่าอย่างออกรส มีการยกปืนอากาศยิงหมูยิงเก้งประหนึ่งระพีไพรวัน เล่นเอาหลายคนเริ่มเอนเอียง คล้อยตามจนพยักหน้าหงึกหงัก
“มีเก้งมีหมูป่าแสดงว่าที่ทางยังสมบูรณ์มาก แล้วอย่างนี้จะไม่อันตรายเหรอครับ เกิดไปเจอเสือเจอหมีจะทำยังไง” ไอ้จั๋วที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมส่งเสียงถามอย่างกระตือรือร้น เห็นชัดๆเลยว่าหัวเอียงเข้าข้างลุงผู้ใหญ่นำหน้าไปแล้ว
“ไม่ต้องห่วงๆ พรานที่จะนำพวกคุณไปน่ะมือแข็งตีนแข็ง แกะรอยเก่งเป็นที่หนึ่ง รับรองไม่พาไปวิ่งแข่งกับเสือแน่ๆ ส่วนหมีนี่ผมอยู่มาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเจอนา อีกอย่างเราจะไม่ค้างคืน แค่ออกเดินตอนเช้าเย็นๆก็กลับ รับรองรอดปลอดภัย”
ได้ยินผู้ใหญ่บ้านรับประกันมาแข็งขันอย่างนี้หลายคนก็เริ่มส่งเสียงงึมงำว่าอยากมีส่วนร่วม สุดท้ายเลยให้ลงชื่อใครจะอยู่ๆ ใครจะกลับก่อนกลับ จะได้ไม่ต้องดึงกันไปมาทั้งสองฝ่าย สรุปสุดท้ายว่าคนขอเข้าร่วมทัวร์ป่าแบบแท้ๆชนิดมีผู้ใหญ่บ้านรับประกันว่ารอดปลอดภัยมีสิบเก้าชีวิต ส่วนที่เหลือเตรียมเก็บเต็นท์ขนของกลับบ้านไปตามอัธยาศัย
หลังจากช่วยกันเก็บเต็นท์เก็บขยะเป็นที่เรียบร้อย ตะโกนส่งเพื่อนส่งน้องบนรถทัวร์กลับบ้านไปก่อนก็ได้เวลาสะพายเป้ที่มีห่อข้าวห่อหมูห่อขนมขึ้นหลังแล้วมายืนเรียงกันเป็นแผง เตรียมตะลุยป่าสามัคคี เบ็ดเสร็จได้ฤกษ์ตอนอีกเก้านาทีสิบโมง
“เอ้า ดีๆ มา มารู้จักพรานนำทางกันก่อน” ผู้ใหญ่บ้านที่ยังคงอารมณ์ดีหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่พรานเกลี้ยง จะนำทางพวกคุณไปเจอประสบการณ์แปลกใหม่ในครั้งนี้”
ถึงคำพูดจะฟังทะแม่งๆแต่ทุกคนก็ยกมือไหว้พรานเกลี้ยงกันถ้วนหน้า พรานเกลี้ยงที่ดูแล้วสามารถเรียกได้ว่าลุงยิ้มกว้างขวางพลางยกมือรับไหว้แบบท่วมหัว ก่อนหันไปสูบยาเส้นตามเดิม ปล่อยหน้าที่แนะนำบอกกล่าวเป็นของคนข้างๆ
“อย่างที่ผมบอก พรานเกลี้ยงนี่มือแข็งตีนแข็ง ถือเป็นพรานมือหนึ่งของหมู่บ้าน แต่ยังไงในป่าในเขามันก็มีสิ่งที่เราไม่รู้ ถึงจะมีพรานมือฉมังทิ้งรอยตีนให้เดินตาม แต่ยังไงก็ต้องระมัดระวังตัวเองเอาไว้ด้วย นี่ไม่ได้พูดให้ไม่สบายใจนะ แต่บอกกล่าวกันไว้ว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความซวย ถ้าไม่อยากซวยก็ตามตีนพรานเกลี้ยงให้ดีๆ… เอ้า พูดมากไปใช่จะรู้ ยังไงเชิญทุกคนออกเดินทางเลยดีกว่า ขอให้สนุกกันทั่วหน้า!”
คำบอกกล่าวของลุงผู้ใหญ่เล่นเอาหลายคนหน้านิ่วคิ้วขมวด ฟังยังไงก็ทะแม่งแท่งเกินจะยิ้มรับ รู้สึกเหมือนโดนหลอกให้มาตกกระไดพลอยโจรยังไงชอบกล แต่จะกลับลำเพราะคำเตือนตอนนี้ก็ท่าจะไม่ทันเลยได้แต่ก้มหน้า เดินตามรอยตีนลุงเกลี้ยงมุ่งหน้าเข้าป่าไปหาประสบการณ์แปลกใหม่ด้วยหัวใจตุ้มต่อม
ขบวนทัวร์ป่าสามัคคีนำด้วยพรานมือฉมังที่ยังยกยาเส้นขึ้นสูบอยู่ไม่รู้เลิก ถัดจากผู้นำตามด้วยหนุ่มสาวหลายคู่ที่ถือโอกาสชี้ชวนกันชมนกชมไม้กระชับความสัมพันธ์ ถัดมาอีกหน่อยเป็นสาวที่เดินกันเองเป็นคู่ๆแล้วรั้งท้ายด้วยกลุ่มชายโสดหลายระดับอายุ ส่วนกลุ่มผมที่เกาะกันมาทั้งขบวน
เดินอยู่กลางๆออกมาทางท้ายๆ ตบเท้าเรียงสองแกะรอยตีนลุงเกลี้ยงตามไปด้วยความไม่ประมาท
“ไอ้บีมึงมียากันทากมาเปล่าวะ แม่ง รู้งี้เปลี่ยนขายาวมาก็ดี” เสียงไอ้โยมแว่วมาจากข้างหน้า ท่าทางเหมือนเจอทากดักเกาะ
“ไม่มีว่ะ มีแต่แป้งเย็น” ไอ้บีตอบมาให้ได้ยิน แล้วช่วยส่งเสียงถามไปข้างหน้า
“ทำไม โดนทากเข้าหรือไงมึง” ไอ้เดย์หันมาถามเหมือนจะห่วง “เอาน่า ถือว่าทำบุญ”
“บ้าแล้วไอ้เดย์ อย่างไอ้โยมมันต้องเรียกว่าทำบาป ทากแม่งดูดเลือดชั่วๆเข้าไปป่านนี้พากันตายยกรังไปแล้วแน่ๆ” ประโยคนี้แว่วมาจากไอ้จั๋ว
“เอาก.ย.สิบห้าแทนได้เปล่าพี่ พอดีพกมาแต่ก.ย.กันยุง” เสียงนี้แว่วมาจากรุ่นน้องคนใดคนหนึ่ง
ทัวร์ป่าสามัคคีเดินกันมาน่าจะหลายกิโล วัดเอาจากปริมาณเหงื่อของแต่ละคนที่เริ่มซึมจนเสื้อแฉะแต่หน้าตายังเบิกบานแจ่มใส เพราะลุงเกลี้ยงแสดงฝีมือได้สมคำคุย หลังจากอัดยาเส้นเข้าปอดติดต่อกันหลายมวนก็ยอมเปิดปากตอบคำถามของเหล่าสมาชิก เดินไปเจออะไรที่คิดว่าเด็กที่เดินตามอยู่ไม่เคยพบเคยเห็นแกก็เอ่ยปากสอนอย่างออกรส แล้วยังแกะรอยพาไปเจอเก้งแม่ลูกให้ได้ตื่นเต้นกันไปยกใหญ่
ผมที่จิตยังระแวงคำพูดทะแม่งแท่งของลุงผู้ใหญ่บวกกันโดนหลอนจากเสียงหอนมาหลายคืน แรกๆเลยแทบไม่ได้เงยหน้าชมนกชมไม้ชมเถาวัลย์ เอาแต่แกะรอยตีนลุงเกลี้ยงตามคำเตือนไปอย่างขมักเขม้น มาได้เงยคอเห็นฟ้าหันหน้าเห็นดอกไม้ใบหญ้าก็ตอนได้ยินเสียงเหน่อๆของคนนำขบวนสอนนู่นนี่อย่างไม่หวงวิชา ส่วนไอ้มิคที่เดินตามกันมานี่ตะโกนถามคำถามไปแล้วหลายที สีหน้าท่าทางดูแล้วสบายใจเหมือนมาทัวร์ซาฟารี
อาการหวาดระแวงของผมนอกจากจะทำให้สองตาเห็นแต่พรานเกลี้ยงสองหูยังปิดรับสรรพเสียงซะมิด กว่าจะรู้ตัวว่ามีคนย้ายจากหน้ามาท้ายขบวนก็ตอนที่ได้ยินเสียงใสๆหลายเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอเหล่ไปเจอที่มาของเสียงปุ๊บตาขวาผมก็เริ่มกระตุกถี่ๆปั๊บ กระตุกแบบตะปบไม่ค่อยจะอยู่ไม่ผิดกับที่เป็นมาสามวันทำงาน เนื่องจากสาวเสิร์ฟนักศึกษาที่วนเวียนมาเสิร์ฟน้ำแปดรอบต่อวันตอนนี้อยู่แถวนี้กันอย่างพร้อมหน้า
เหล่ใกล้ตัวมาอีกหน่อยว่าเป้าหมายสาวมีอาการอย่างไรตอนตอบคำถามคำชวนคุย ก็เห็นว่านิ่งดีไม่มีหลุด สาวชวนคุยกันเจื้อยแจ้วไอ้มิคก็ฟังบ้างตอบบ้างไปตามเรื่อง หัวข้อสนทนาที่ได้ยินโดยไม่ต้องเงี่ยหูฟังเนื่องจากคนที่สาวเดินมาตามก็เดินอยู่เยื้องหลังผมไม่กี่ก้าว บอกให้รู้ว่าคนตอบไม่ได้ใส่ใจจะโปรยเสน่ห์ปล่อยฟีโรโมนส์ แต่ทำไมได้ยินแล้วหัวใจมันกระตุกถี่ๆ รู้สึกแปลกๆเหมือนวันหนึ่งวันนั้นในร้านไอติมโบราณกลางตลาด
ฟังไปฟังมาเสียงลุงเกลี้ยงก็พาลหดหายกลายเป็นเสียงสาว แต่เสียงเข้มๆอีกหนึ่งเสียงกลับยังดังชัดไม่ลดระดับ ฟังไปๆก็ให้รู้สึกอยากปล่อยมือจากตาขวาไปตะปบปิดปาก หยุดเสียงเข้มๆไว้แค่นี้ แต่เนื่องจากสติยังมียังอยู่กับความเป็นจริงเลยทำได้แค่เดินห่างออกมาหน่อย ทิ้งระยะเพิ่มให้เสียงมันเจือจางไปเอง
“เป็นอะไรไอ้กิม เหนื่อยหรือไง หน้าหดเป็นตูดลิงเชียว” เสียงไอ้โอ้แว่วมาให้ได้ยินพร้อมมือหนักๆตบมาบนไหล่ “กินขนมเปล่า ท่าทางจะอีกพักกว่าจะได้หยุดกินข้าว”
ผมมองไอ้โอ้ไอ้โยมแล้วถึงได้รู้ว่าเดินหนีเสียงเข้มๆผ่านใครมาหลายคน แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องไปมองของที่ไอ้โอ้ยื่นมา
“กินเหลือแล้วเอามาให้กู ขอบใจว่ะ” ผมว่าพลางคว้าขนมปังไส้เผือกที่เหลืออยู่ก้นถุงมาใส่ปาก เคี้ยวแรงๆระบายความอึดอัดขัดข้อง
“ของเหลือที่ไหน พูดอย่างนี้เดี๋ยวปั๊ดล้วงออกมาจากปาก” ไอ้โอ้ยัดถุงเปล่าใส่เป้แล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่มอั่กๆก่อนส่งต่อมาให้แบบแสนจะมีน้ำใจ แต่พอเห็นท่าเรอลงลูกคอแบบไม่เกรงใจเพื่อนฝูงแล้วผมกับไอ้โยมเลยเกี่ยงกันรับน้ำใจเพื่อนไปตามๆกัน
“แล้วนี่ทำไมมึงมาอยู่ตรงนี้” ไอ้โยมหันหัวซ้ายขวาเหมือนจะหาเป้าหมาย “แฟนฉันไปไหนซะล่ะ”
“แฟนมึงกูว่าคงยังไม่เกิด ดีไม่ดีจะไม่มีวาสนาได้มาจุติ” ผมตอบไปแบบมึนๆ ไอ้โยมยกมือโบกทันใด เสียงป๊าบสะท้อนอยู่ในหัวจนความมึนค่อยจืดจาง
“สาด ถามดีๆเสือกปากเสีย นี่ไอ้มิคปล่อยให้มึงมาเดินน้ำลายย้อย กัดคนไปทั่วได้ยังไงวะ อ๋ออ…”
คำอุทานแสดงความเข้าใจยืดยาวเกินจำเป็นจากปากไอ้โยมเล่นเอาผมชักคันไม้คันมือคันเขี้ยว เกือบกระโดดงับคอคนพูดให้สมกับคำด่า ถ้าไม่เหล่ไปเห็นทิศทางการทิ้งสายตาประกอบการอุทาน
“เจอสาวรุมนี่เอง” ไอ้โยมลากเสียงยาวแล้วต่อด้วยความจริงจังเกินจำเป็น
“ใช้ไม่ได้เลยมึงนี่ แทนที่จะเป่าปากส่งซิกเรียกพวกกูไปช่วยจีบ ดันเดินหนีมาซะได้ เสียของจริงๆ”
“พูดจาดูหน้าตัวเองหน่อย นั่นเขาระดับดาว ให้เป่าจนปากกูจู๋เป็นนกขุนทองก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เข้าใกล้”
ผมตอบทำลายความฝันเพื่อนพ้องเบี่ยงประเด็น ตบอกแรงๆพลางดึงสมาธิกลับสู่ลุงเกลี้ยง ก็พอดีกลับที่ลุงยกมือเป็นสัญญาณหยุดขบวน เสียงเหน่อๆส่งมาว่าได้เวลาพักกินข้าวปลาอาหาร
ได้ยินว่าหยุดพักกินข้าวแต่ละคนละคู่ก็กระจายกันหาที่นั่งตามดินตามหญ้าแล้วควักข้าวเหนียวนึ่งกับหมูทอดที่ได้รับแจกมาจากป้าแย้มและคณะเมื่อเช้าขึ้นมาปั้นใส่ปาก ผมเหล่ซ้ายแลขวาแล้วต้องถอนหายใจหลายเฮือกเนื่องจากเสบียงกรังที่นำมาอยู่ในเป้บนหลังไอ้มิค ตกลงกันไว้ว่าเอาเป้เข้าป่ามาใบเดียวเดี๋ยวผลัดกันถือ
ถึงจะถอนหายใจทิ้งไปหลายเฮือกแต่หัวยังหันไม่ไป เป็นไปได้อยากทิ้งก้นนั่งลงข้างไอ้โอ้ไอ้โยมแล้วดึงเศษไม้ใบหญ้ามากินแทนข้าวประชดหัวใจสะออน แต่เนื่องจากชีวิตจริงไม่ใช่นิยายสุดท้ายก็ต้องย่ำทางเก่าเดินไปหาคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ขอแบ่งข้าวปลาอาหาร
ผมกลับหลังหันแล้วต้องผงะถอยเพราะร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่แทบชิดติดหลัง ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามหรือเหล่ซ้ายขวามือแข็งๆก็ยื่นมาดึงให้เดินตามไปทิ้งก้นนั่ง ไอ้มิคปลดเป้ล้วงข้าวล้วงหมูแล้วส่งขวดน้ำมาให้เป็นอย่างแรกพร้อมสายตาเหมือนจะติดใจสงสัย แต่ผมชิงยิ้มตัดหน้าตอบไปก่อนอีกฝ่ายจะได้เปิดปากถามแล้วเปิดน้ำล้างมือล้างหน้าก่อนบิข้าวเหนียวเข้าปากเหมือนหิวโซ
ผมเคี้ยวข้าวเหนียวเคี้ยวหมูพลางมองหน้าอีกคนที่ยกน้ำขึ้นดื่มด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ไอ้มิคที่หันมาเจอส่งยิ้มมาจางๆก่อนลงมือดึงข้าวเหนียวใส่ปากแล้วชวนคุยเรื่อยเปื่อย ผมยกน้ำขึ้นดื่มไล่อาการฝืดคอที่ไม่แน่ว่าเกิดจากข้าวเหนียวและหมูหรืออย่างอื่นแล้วตอบอือออไปตามเรื่อง ปล่อยอาการใจกระตุกดำเนินต่อไปโดยใช้การเคี้ยวข้าวปิดปากที่ยิ้มไม่ออก
แล้ววงข้าวที่เริ่มต้นกินกันแค่สองก็ขยายขนาดขึ้นจนต้องกระถดก้นดึงห่อข้าวเหนียวหลบ ไอ้โยมไอ้โอ้ไอ้เดย์ที่ตอนแรกยังนั่งห่างไปหลายช่วงตัวตอนนี้ย้ายสังขารตามกลิ่นสาวจนมาอยู่วงเดียวกัน คาดว่าได้กินข้าวแกล้มการหม้อจะทำให้อาหารมีรสชาติขึ้นอีกโข ผู้ชายอีกหลายคนถึงได้เดินมาหย่อนก้นนั่งอยู่แถวนี้ตามสาวเสิร์ฟนักศึกษาที่ยกกันมากินข้าวร่วมกับคนที่นั่งอยู่ข้างผม
ไอ้มิคที่โดนตีวงล้อมยังคงกินข้าวไปตามเรื่องและหันมาดูแลเทคแคร์คนที่นั่งอยู่ติดกันอย่างผมเหมือนเคยๆ เดี๋ยวส่งกระดาษเช็ดมือ เดี๋ยวถามว่ากับพอไหมเอาข้าวอีกรึเปล่า ถึงขนาดบิดขวดน้ำเปิดให้ก่อนยื่นมาจนสี่สาวเกอร์รี่เบอร์รี่ถึงกับข้าวติดคอ ไอ้โยมไอ้โอ้เลยได้โอกาสทำคะเน ชิงเทคแคร์สาวจนแทบจะป้อนข้าวให้ถึงปาก เสียแต่ว่าเกอร์รี่เบอร์รี่ไม่มีตาไว้แลใครนอกจากพากันหรี่ตาเหล่มาทางผมอย่างให้รู้ว่าเคือง แล้วหันไปพูดคุยจ๊ะจ๋ากับเป้าหมายต่ออย่างไม่ท้อถอย
ผมยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ปิดท้ายก่อนผ่อนลมหายใจ ถึงจะเห็นอยู่ว่าไอ้มิคยังเป็นไอ้มิคคนเดิมคนดี เป็นแฟนประเสริฐน่าได้โล่ เป็นผู้ชายแห่งปีทูบีนัมเบอร์วัน ตาไม่เหล่ไม่เข ความประพฤติไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ผมที่นั่งร่วมอยู่ในวงสนทนา ได้เห็นสายตาใครต่อใครที่มองคนข้างๆ ได้รับรู้ความสิเน่หาแบบท่วมท้นล้นหัวอกของใครหลายคน ยังไงมันก็ให้ทำใจไม่ค่อยจะได้ ไม่ว่ายังไงผมก็ยังรู้สึกหวิวโหวงในอกไม่ผิดกับหลายครั้งที่ผ่านมา
กินกันจนจุกก็ได้เวลาลุกขึ้นเดิน ลุงเกลี้ยงเก็บของเข้าย่ามแล้วตะโกนบอกลูกคณะว่าได้เวลาทัวร์ป่าสามัคคีกันต่อ อีกชั่วโมงกว่าๆตามนาฬิกาแก ถ้าไม่เจอสัตว์ให้หยุดส่องเราก็จะเจอน้ำตกขนาดย่อมให้ได้ลงไปจับปลามาย่างเป็นข้าวเย็น พาเอาหลายคนตาใสไปตามๆกัน
ผมเก็บขยะลงถุง สำรวจบริเวณรอบตัวว่าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้รกป่าแล้วก็ออกเดินตามไอ้มิคไอ้เดย์ไปด้วยการคิดใหม่ทำใหม่ ถึงจะยังมีเกอร์รี่เบอร์รี่ร่วมขบวนอยู่ไม่ห่าง ถึงในอกจะยังปั่นป่วนไม่รู้เลิก แต่เนื่องจากจำเลยไม่มีความผิดแม้ซักกะพี้ ผมก็ต้องทำตัวให้ปกติสามัญ ไม่งั้นจะเป็นการไม่แฟร์กับคนที่หยุดรอให้เดินไปทันกัน