บทที่ 4 (ต่อ)
รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านที่คุ้นเคย สมัยที่ยังคบกันคณิณมักพาเขามานั่งที่นี่ทุกวันหยุด ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวายนรกรกวาดตาเพียงอึดใจก็เห็นคนที่มองหาโบกมือเรียกที่หน้าร้านตรงจุดที่เขามักจะมายืนรออยู่เสมอๆ
“พี่ก็มองตั้งนานแน่ะว่าใคร” คณิณทัก “ตัดผมเหรอ แถมยังไม่ใส่แว่นด้วย”
“แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะครับ”
“เสียดายจังพี่ก็หลงดีใจนึกว่าเราแต่งหล่อเพราะจะมากับพี่ซะอีก... คิดถึงจังหน้าของเราเวลาไม่มีอะไรมาบัง” เพราะนรกรเหลียวมองทางหางตาคณิณจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทั้งที่ยังยิ้มกว้าง “รีบเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวโต๊ะจะเต็ม พี่ไม่ได้จองไว้ซะด้วยสิ”
เพราะเป็นคืนวันอาทิตย์ที่คนแออัดทำให้พวกเขาได้ที่ว่างแคบๆ ตรงมุมบาร์ ซึ่งถ้าเป็นปกติคงนั่งได้แค่คนเดียวแต่การต้องเบียดๆ กันก็ทำให้ไม่ต้องตะโกนดังๆ แข่งกับเสียงเพลงและเปิดโอกาสให้นรกรได้มองคนที่ไม่ได้เห็นเต็มตามาหลายปีโดยไม่ต้องแอบอีกต่อไป
ใบหน้าหล่อเหลาที่แก่กว่าหนึ่งปีดูภูมิฐานและมีริ้วรอยขึ้นตามวัย กระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตมีที่มักถูกติดเรียบร้อยอยู่เสมอเวลาทำงานถูกแกะออกถึงสองเม็ดกับแขนเสื้อพับลวกๆ ขึ้นเหนือข้อศอกเผยให้เห็นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวหมั่นเข้ายิมสม่ำเสมอไม่เคยขาดมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“ได้ข่าวว่าพี่ปอเพิ่งไปดูงานที่อเมริการมาเป็นไงบ้างครับ” ถามพลางยกแก้วคอกเทลขึ้นจิบ แต่จะว่ากันจริงๆ มันก็แค่น้ำแอปเปิ้ลปั่นเพราะสั่งแบบไม่ใส่แอลกอฮอล์สักหยด ดูท่าว่าร่างกายของเขาจะไม่ถูกโฉลกกับแอลกอฮอล์เท่าไหร่ ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่กินคือตอนไปงานบายเนียร์ของคณิณ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากลืมตาตื่นมาในห้องพักคณิณก็ห้ามเขาแตะของพวกนี้เด็ดขาด
“ก็สนุกดี ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะทั้งโรคที่เราไม่เคยเจอและการรักษาใหม่ๆ”
“ดีจังเลยนะครับ” กำลังจะถามต่อเมื่อแก้วเหล้าถูกยกขึ้นตรงหน้าเป็นเชิงบอกให้หยุด
“คุยเรื่องพี่เยอะแล้ว คุยเรื่องอื่นบ้างเหอะ”
“ยังเหลือเรื่องอะไรอีกล่ะครับ ผมเพิ่งโดนพี่ปอซักฟอกจบไปเองนะ”
“งั้นเรื่องของเราล่ะ” ทันทีที่พูดจบใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้มแทบไร้สีเลือดฝาด นรกรลุกหนีรวดเร็วจนเขาแทบกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อตามไปคว้าตัวให้ทัน “เดี๋ยวฮาร์ฟ”
“มันจบแล้วครับ” บอกเสียงแข็งทั้งๆ ที่ไม่หันมามองหน้า
“พี่รู้ แต่เราตกลงกันแล้วนี่ฮาร์ฟว่าเรายังเป็นพี่น้องกันได้”
เมื่อถูกทวงถามเข้าก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเขาเป็นคนยื่นข้อเสนอนี้เองในวันที่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาขอเลิกอย่างตรงไปตรงมา น้ำตาลูกผู้ชายจากคนที่คิดว่าเข้มแข็งมากที่สุดทำให้รู้ว่าสิ่งที่คณิณกำลังแบกรับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยและมันทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างอย่างง่ายดาย
‘ขอโทษนะฮาร์ฟ เป็นความผิดพี่เองที่ไม่เข้มแข็งพอจะพาเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ สักวันเราจะเจอคนที่ดีกว่าพี่’
วันนั้นเขาได้แต่ยื่นสองมือออกไปกอดและตบบ่าแรงๆ ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาตอบได้เพราะคนที่ดีกว่าผู้ชายคนนี้คงไม่มีอีกแล้ว พี่ชายแสนดีที่คอยให้กำลังใจน้องชายที่มักท้อแท้และสับสนในทางเดินของตัวเอง ติวเตอร์ที่นั่งติวไปเปิดตำราไปเพราะตัวเองสมองช้ากว่าเพียงแต่สอนได้เพราะอยู่ชั้นปีสูงกว่า พ่อครัวที่นั่งต้มมาม่าให้กินตอนตีสามในวันที่ฝนตกหนักทั้งที่ทอดไข่ดาวยังไหม้ ฮีโร่ที่กล้ามีเรื่องกับแก๊งสี่แยกปากหมาหน้ามหา’ลัยในวันที่เขาโดนแซวทั้งที่ปกติยุงกัดยังไม่อยากตบ รุ่นพี่แพทย์ที่วิ่งมาช่วยอินเทิร์นผู้ไม่ประสาทุกครั้งที่โทรไปปรึกษาแม้จะไม่ได้อยู่เวร ลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่ดีพร้อมแต่กลับเข้าใจหัวอกคนที่พ่อแม่ไม่ใยดีแบบเขา สุดท้าย... ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์แต่กลับมารักคนอย่างเขา
มันจะยังมีใครที่ไหนอีก คนที่ดีกว่านี้
‘เรายังเป็นพี่น้องกันได้นะครับ’
ไม่รู้ว่าเทวดาหรือผีห่าซาตานตนใดดลใจให้บอกออกไปแบบนั้น แต่ตอนนั้นสาบานได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ จนกระทั่งการ์ดแต่งงานใบสวยถูกส่งมาถึงมือ ทั้งที่เคยรับปากดิบดีว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ทั้งที่ชุดทักซิโด้ในงานเลี้ยงมงคลสมรสนั้นคือชุดที่เขาเลือกให้เองกับมือ
แต่เพียงแค่อ่านชื่อเจ้าสาวจบ การ์ดใบนั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงถังขยะไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าเขากลับไม่เคยลืมใบหน้าอ่อนหวานและชื่อผู้หญิงคนนั้นไปจากใจได้เลยแม้สักวินาทีเดียว
‘เพียงพิรุณ’
รู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรม รู้ตัวดีว่าแพ้แล้วพาล ทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่ความผิดเธอ แต่ขอโทษนะที่เขา ‘เกลียด’ เธอไปเสียแล้ว
“พี่ขอโทษนะ”
เสียงที่เริ่มแตกพร่าทำให้คนที่พยายามจะหนียอมหันมาในที่สุด “พี่ปอขอโทษผมทำไม”
“ตอนที่พี่ไม่เห็นเราที่งานแต่ง พี่ก็รู้ตัวทันทีว่าสิ่งที่ทำมันงี่เง่าและโหดร้าย กล้าดียังไงเชิญเราไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว คนที่ควรร้องไห้ไม่ใช่พี่แต่เป็นเราต่างหาก แล้วใครจะเป็นคนปลอบใจเมื่อเราไม่มีใครนอกจากพี่... พี่ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ในเมื่อสัญญานั่นเราเป็นคนให้พี่เอง ดังนั้นพี่ขอรักษาสิทธิ์นั้นเรียกร้องให้ฮาร์ฟอยู่ข้างๆ พี่ได้ไหม ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”
ทันใดนั้นแสงไฟสปอร์ตไลท์หลากสีดับพรึบลงพร้อมๆ กับเสียงเพลงที่ดังอื้ออึงเหลือเพียงความเงียบงันในแสงสลัวสีอมส้ม
“ทุกคนเหนื่อยกันหรือยังครับ” เสียงดีเจประจำวันดังแทรกผ่านลำโพงมา “พักกันสักครู่แล้วมาฟังเพลงซึ้งๆ กันดีกว่าครับ”
อินโทรเพลงทำนองคุ้นหูดังขึ้น บางคนพากันหันหลังกลับที่ ในขณะที่หลายคนยังอยู่บนฟลอร์และหลายๆ คู่เริ่มหันหน้าเข้าหากันก่อนจะให้สองมือตระกองคนรักของตนไว้ในอ้อมกอดแล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงเพลง
ไม่จำเป็นต้องหลับตานึก ภาพวันคืนเก่าๆ ก็ไหลย้อนมาดั่งสายน้ำ ทั้งที่ไม่น่าหวนกลับ
It’s amazing how you can speak right to my heart
Without saying a word you can light up the dark
Try as I may I can never explain
What I hear when you don’t say a thing
มันน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินที่คุณพูดได้ตรงกับใจผม
ไม่ต้องมีคำพูด คุณก็เป็นเหมือนแสงที่ทอประกายในความมืดมน
พยายามเท่าไร ผมก็ไม่อาจจะอธิบายได้
ว่าผมได้ยินอะไร ในเมื่อคุณไม่เคยจะพูดสักคำ
When you say nothing at all Ost. Nothing hill
https://www.youtube.com/watch?v=7xrxrEEGVdM‘ฮาร์ฟฟังนี่สิ’ ยังไม่ทันจะได้รับการอนุญาตหูฟังอันจิ๋วที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่นซีดีข้างหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในหู ในขณะที่อีกข้างอยู่กับคนที่นั่งขัดสมาธิอมยิ้มอยู่ตรงหน้า
กำลังจะถามหาเหตุผลคนอายุมากกว่าก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปิดริมฝีปากให้เงียบทำให้เขาต้องจำใจนั่งฟังเพลงไปจนจบ
แต่ในคอรัสท่อนสุดท้ายที่น่าจะเป็นเสียงแหบทรงเสน่ห์ของ Ronan Keating กลับกลายเป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
หูฟังถูกรั้งกลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเจ้าตัวอายจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกระซิบเสียงอ้อมแอ้มทว่าหนักแน่นด้วยประโยคร้องขอความรักจากหนังที่พื้นเรื่องของเพลงนี้
‘พี่ก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่กำลังขอร้องให้เรามารักเท่านั้นเอง’
“พี่ก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากเสียเราไปก็เท่านั้นเอง” คณิณคนที่อยู่ตรงหน้าพูดกับเขา ทั้งที่ไม่ได้อยากร้องไห้แต่น้ำตาที่กักเก็บไว้ตลอดระยะเวลาแปดปีก็ไหลอาบสองแก้ม
นรกรไม่พูดว่าอะไรเพียงแต่พยักหน้าเงียบๆ และยอมให้มือคู่นั้นรั้งเข้าไปกอดเหมือนเช่นวันวานในความทรงจำ อ้อมกอดนั้นยังเหมือนเดิมและมันอบอุ่นมากเสียจนเขาไม่อยากปล่อยไปเป็นครั้งที่สอง
oooooo
“ขอโทษนะครับพี่วินทร์ที่ให้รอ” นรกรกระหืดกระหอบวิ่งแทรกตามโต๊ะเข้ามาในร้านอาหารซึ่งเป็นเวลาที่คนแน่นที่สุด เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพลางใช้ปลายนิ้วขยี้หัวตา การร้องไห้กับหน้าอกคณิณทำให้คอนแทคเลนส์เลื่อนและตาแดงไปหมดแต่ถึงอยากจะเปลี่ยนไปใส่แว่นก็ทำไม่ได้เพราะไม่ได้พกมาด้วย
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งมาถึง” วันนี้วินทร์แต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะเหมือนเดิม จริงๆ แล้วเขามารอตั้งแต่หกโมงด้วยแอบหวังเล็กๆ ว่านรกรจะแคนเซิลนัดกับคณิณและตรงดิ่งมาหาเขาเลยแต่เรื่องกลับกลายเป็นว่าเขาต้องแกร่วรอจนเกือบถึงสามทุ่ม
นรกรกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะที่ว่างเปล่า “แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ”
“จะมีใครอีกล่ะ ฉันนัดนายแค่คนเดียวนะ” วินทร์คลายมือที่กอดไว้ออกและหยิบเมนูที่อ่านซ้ำๆ ฆ่าเวลามาตั้งแต่หัวค่ำขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกบริกรประจำร้าน
นรกรรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาคิดว่าวินทร์ชวนคนอื่นๆ มาด้วยจึงคิดว่าไม่เป็นไรถ้ามาสายสักเล็กน้อย “ขอโทษครับ”
“ช่างเถอะ มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา” ปากตอบไปแบบนั้นแต่กลับไม่เลยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
มื้ออาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อคนไม่พูดไม่รู้จะชวนคุยอะไร ในขณะที่คนช่างคุยเอาแต่เงียบ
ทันทีที่เช็กบิลเสร็จวินทร์ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินนำออกไป นรกรยิ่งหน้าเสียเขาคิดว่าวินทร์คงโกรธมากจนอยากหนีกลับเร็วๆ เมื่อเห็นร่างสูงยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าร้านและออกเดินอีกครั้งตอนที่เห็นเขาเดินผ่านหน้าไป
นรกรเหลียวหลังไปดูคนที่เดินตามมาห่างๆ โดยไม่พูดอะไร คิดว่าแค่มาทางเดียวกันจนกระทั่งเปิดประตูขึ้นรถ ร่างสูงจึงหันหลังกลับเดินไปอีกทาง เขามองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายเข้าไปให้ความมืดของลานจอดรถก่อนจะเหลือบมองถุงกระดาษที่วางอยู่บนเบาะข้างๆ ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่อึดใจแล้วตัดสินใจคว้าถุงใบนั้นวิ่งลงจากรถ
“พี่วินทร์ครับ”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าและหันหน้ากลับมาเพียงครึ่งเดียว “มี’ไร”
เสียงนั้นห้วนสั้นจนฟังดูเหมือนจิ๊กโก๋หาเรื่องกัน แต่นรกรคิดว่ามันไม่ใช่ เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ถือมาด้วยส่งให้ “นี่ครับ”
“อะไร” วินทร์เหลือบตาลงมองเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมรับไป
“ให้”
“อะไร”
“ของขวัญวันเกิด แล้วก็... ขอบคุณนะครับที่วันนี้พามาเลี้ยงข้าว”
ทันทีที่พูดจบหน้าที่บูดบึ้งมาตลอดของคนตรงหน้าค่อยคลายปมออก ใช่แล้ว! วินทร์ไม่ได้โกรธหรือนึกรำคาญที่เขามาสายแต่กำลังงอนเรื่องที่มาช้าเพราะคิดว่าเขา ‘ไปกับพี่ปอ’ จนลืมนัดตัวเองต่างหาก
วินทร์เหลือบตามองอีกครั้งก่อนจะยื่นมือออกมารับถุงไปเปิดเทของขวัญข้างในออกมา “ไหนดูสินายซื้ออะไรให้เนี่ย เสื้อเชิ้ต... สวยดีนะให้พี่ปอช่วยเลือกเหรอ”
“เปล่าครับ ผมเลือกเอง” นรกรรีบบอก “ผมคุยกับพี่ปอเสร็จตั้งแต่ทุ่มนึง แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อของขวัญให้พี่วินทร์เลยรีบไปซื้อแต่เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรให้ดีเลยเสียเวลาเลือกนานไปหน่อย ขอโทษนะครับเลยทำให้พี่วินทร์รอนาน”
นัยน์ตาคมเบิกโพลง ก่อนจะยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าและรวบตัวคนอายุน้อยกว่าเข้ามากอดแนบอก นึกอยากเตะตัวเองแรงๆ สักทีที่ดันไปคิดน้อยใจเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทำให้มื้ออาหารที่น่าจะสนุกสนานต้องกร่อยไปถนัด
“พี่วินทร์คือ... ผมหายใจไม่ออก” เสียงของของนรกรดังอู้อี้ออกมาจากแผ่นอกกว้าง เขายกมือขึ้นสัมผัสต้นแขนเพื่อให้ปล่อยแต่มันกลับรัดแน่นขึ้นอีก
เมื่อดิ้นยังไงก็ไม่หลุดนรกรจึงจำยอมให้กอดจนพอใจ และเพราะไม่รู้จะเอามือตัวเองไปไว้ที่ไหนจึงแตะเบาๆ ไว้บนสะโพกอีกฝ่าย
ผ่านไปเกือบสองนาทีในที่สุดวินทร์ก็ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนและถอดเสื้อยืดตัวเก่าของตนส่งให้ “ฝากถือหน่อย”
นรกรรับมางงๆ “พี่วินทร์จะทำอะไรครับ”
วินทร์แกะถุงพลาสติกและดึงเอาเสื้อเชิ้ตสีครีมออกมาสะบัดแรงๆ ไล่รอยยับก่อนจะสอดแขนทั้งสองข้าง “ก็จะลองใส่ดูไงว่ามันพอดีไหม”
“แต่ผมว่า...”
จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อวินทร์ติดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้าย “พอดีเลย เป็นไงหล่อไหม”
“จะหล่อกว่านี้ถ้าให้ผมแกะป้ายยี่ห้อออกก่อน” นรกรหลุดขำกับคนที่ใช้มือจับคางทำเป็นเก๊กหล่อแล้วเอื้อมมือไปดึงป้ายออกขยำใส่กระเป๋ากางเกง ถึงจะดูแปลกตาไปนิดแต่ก็เหมาะจนเขาอดจะยิ้มให้กับความพยายามของตัวเองไม่ได้
“ขอบใจนะ” วินทร์บอกอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูรถตัวเองขึ้นนั่ง หยิบกุญแจรถออกมาเสียบแต่ยังไม่ทันจะสตาร์ทก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ร่างสูงเอี้ยวตัวข้ามเบาะไปเปิดเก๊ะรถ แต่เพราะสนิมที่เกาะเขรอะทำให้ต้องตบแรงๆ สองสามครั้งจึงจะแคะมันออกมาได้ เขาค้นก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เจอสิ่งต้องการ “ถ้าไม่รังเกียจก็เอาไปสิ ตาแดงหมดแล้วน่ะ”
นรกรรับกล่องแว่นมาเปิดออกดู มันเป็นทรงกลมสีน้ำตาลอ่อนดูเรียบหรู
“เมื่อก่อนเคยใส่น่ะ แต่ตอนนี้ไปทำเลสิกแล้ว”
“พี่วินทร์สายตาเท่าไหร่”
“สายตาสั้น 500”
“เท่าผมเลย” นรกรว่าพร้อมกับใส่แว่นใส่กล่องและส่งคืน “ไม่เป็นครับ ผมมีหลายอันแล้วอันนี้ท่าทางจะแพงด้วย”
“เอาไปเถอะ ฉันไม่ใช้แล้ว”
“ขอบคุณครับ”
“งั้นก็ใส่เลยสิ” วินทร์ถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ถือไว้เฉยๆ
“ผม... เอ่อ...”
“มีอะไร”
“คือผมเพิ่งเคยใส่คอนแทคเลนส์ยังใส่ถอดไม่คล่องเลย แถมตรงนี้มืดด้วย เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเองในห้องน้ำ” ร่างโปร่งทำท่าจะกลับหลังหันเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าไว้
“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวฉันใส่ให้ก็ได้” โดยไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย วินทร์ใช้สองมือประคองใบหน้าคนตัวเล็กกว่าให้เงยขึ้นสบตา “ไม่ต้องกลัวนะ จะทำเบาๆ”
“ครับ” สัมผัสของมือใหญ่ที่แทบจะโอบได้รอบหน้าทำให้นรกรรู้สึกใบหน้าอุ่นวาบไปทั่วทั้งใบหน้า อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเสียเฉยๆ เมื่อนัยน์คมนั้นมาจ้องมาพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้
“มองตรงมาที่ฉันนะ ห้ามมองทางอื่น”
“ครับ”
“เอามือจับเสื้อฉันไว้สิ เดี๋ยวนายตกใจแล้วเผลอเอามาปัด”
“ครับ” นรกรรับคำและคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น
วินทร์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทีประหม่าของคนมาดนิ่งคิดว่ากลัวจริงๆ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุ เขาใช้ปลายชี้กดตรงคิ้วเพื่อเปิดเปลือกตาไว้ก่อนจะใช้นิ้วนางของมืออีกข้างแตะลงตรงกลางดวงตาดึงเอาเลนส์ใสออกไปง่ายดาย “ฉันทิ้งเลยนะ” แล้วดีดมันทิ้งไปก่อนจะทำเช่นเดียวกับอีกข้าง แล้ววางแว่นลงบนสันจมูก “เป็นไงดีขึ้นไหม”
“ครับ”
“พูดคำอื่นบ้างก็ได้นะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ “แล้วก็ปล่อยเสื้อฉันได้แล้ว นายจับจนมันยับหมดแล้วเนี่ย”
“ขอโทษครับ”
“ล้อเล่นน่า มันยับอยู่แล้วนายก็เห็น” วินทร์ยิ้มกว้าง “ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“ครับ” นรกรค้อมศีรษะให้คนที่โบกมือหยอยๆ เขาเดินไปได้ครึ่งทางแล้วเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องติดๆ ดับๆ จึงย้อนกลับมาอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อยู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติดน่ะ ไม่รู้เป็นอะไร” วินทร์ตบมือลงบนพวงมาลัยรถกระบะคันเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อ ในเวลาแบบนี้ชอบมาเสียซะทุกทีสิน่า
“ให้ผมไปส่งไหมครับ”
“อย่าเลยรบกวนนายเปล่าๆ นายต้องรีบกลับไปทำงานวิจัยนี่ ฉันกลับแท๊กซี่ก็ได้” วินทร์จัดแจงล๊อกรถและวิ่งไปที่ถนน
เมื่อถูกปฏิเสธ นรกรจึงไม่มีทางเลือกเขาเดินกลับไปที่รถตัวเอง หมุนกุญแจสตาร์ทรถพลางกวาดตามองไปยังท้องถนนยามค่ำคืนที่แทบไม่มีรถขับผ่าน ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไป
วินทร์ยืนหันรีหันขวางอยู่บนฟุตปาธ พยายามเรียกรถแท๊กซี่ที่เปิดไฟว่างแต่ไม่ยอมจอดรับคันแล้วคันเล่า เขากำลังจะหันไปตะโกนบ่นตามหลังเมื่อรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวมาจอดเทียบ กระจกข้างเลื่อนลงพร้อมกับที่คนขับชะโงกหน้าข้ามเบาะออกมา
“พี่วินทร์ ให้ผมไปส่งนะครับ”
“แต่...”
“ขึ้นมาสิครับ เราอยู่หอเดียวกันนี่นาหรือพี่วินทร์จะไปธุระที่ไหนผมจะไปส่ง”
ได้ยินดังนั้นวินทร์จึงยอมเปิดประตูขึ้นนั่งคู่กันบนตอนหน้าของรถ “ไม่ได้จะไปไหน ก็กลับหอน่ะแหละ”
“แล้วทำไมถึงดื้อนักล่ะครับ”
“ก็แค่ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด” วินทร์ตอบอ้อมแอ้ม
นรกรเหลือบมองทางหางตา “ใครครับ”
“ก็ ‘หมอนั่น’ ไง”
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอึดใจพร้อมกับออกรถ “ผมว่าพี่วินทร์เข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ พี่ปอแต่งงานแล้วนะครับ”
วินทร์ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนจะชี้มือไปที่ปุ่มเปิดวิทยุในรถ “เปิดเพลงได้ไหม ปกตินายฟังอะไร เพลงสากล?”
“ฟังได้หมดแหละครับแต่ส่วนมากก็เป็นแนวป๊อบ ร็อกฟังได้เป็นบางเพลงจังหวะมันหนักไปฟังแล้วปวดหู”
เขาหมุนหาคลื่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยุดที่ช่องเพลงหนึ่ง ทำนองเพลงรักฟังสบายดังขึ้นในความเงียบที่เกือบจะมีแต่เสียงเครื่องยนตร์ “งั้นฟังนี่ละกัน”
มันคือเพลง Stay ของปาล์มมี่ที่วง Gatsunova นำมาร้องใหม่ซึ่งวินทร์มักฮัมเพลงนี้เป็นประจำเวลาเข้าผ่าตัดด้วยกัน ทั้งที่ไม่ได้ร้องเพราะอะไรมากมายเสียงทุ้มร้องคลอสูงๆ ต่ำๆ ติดจะเพี้ยนซะมากกว่า แต่มันกลับทำให้อุ่นใจทุกครั้งที่ได้ฟัง และนรกรก็เพลิดเพลินจนเผลอเคาะพวงมาลัยเข้าจังหวะตามไปด้วย
ทั้งที่แต่เดิมเคยเป็นเพลงเศร้าที่ฟังแล้วเหงาแทบขาดใจแต่เพียงแค่เปลี่ยนเมโลดี้อารมณ์เพลงก็เปลี่ยน
ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นอมยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองคนนั่งข้างกันก่อนจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองอยู่
“เราไม่เคยจะรักกันมีแต่วันที่อ่อนไหวผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา...”
นรกรเบี่ยงสายตาหลบกลับมามองท้องถนนและแอบพ่นลมหายใจออกจมูก เมื่อคิดดูดีๆ มันก็ทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่เพิ่งเจอเมื่อเย็นถ้าวินทร์คิดจะแซวก็ถือว่าคิดผิดแล้วล่ะ อย่างน้อยครั้งหนึ่งระหว่างเขากับพี่ปอมันคือความรัก มันอาจไม่ได้จบแบบสวยงาม Happy Ending เหมือนในหนังหรือนิยายแต่นี่คือชีวิตจริงที่ไม่มีเจ้าหญิง เจ้าชายแค่ความรู้สึกของคนสองคนกับความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่ทิ้งไปไม่ได้
และในความเจ็บปวด ความรักก็สอนให้เขาเลือกจดจำแต่เรื่องราวดีๆ ที่เคยมีให้กันเพื่อที่จะยังยิ้มได้ในวันที่หวนกลับมาคิดถึง
“อ้าว จบซะแล้ว” วินทร์รำพึงเมื่อเสียงเพลงหยุดลง
“ดีแล้วครับ”
“อะไรคือดี นี่นายจะบ่นรำคาญที่ฉันร้องเพี้ยนเหรอ”
“พี่วินทร์พูดเองนะครับ” นรกรว่า “ผมแค่จะบอกว่าพี่วินทร์เป็นหมอผ่าตัดน่ะดีแล้วอย่าไปแย่งอาชีพนักร้องเลยเดี๋ยวเขาจะพากันตกงานซะหมด”
“ฮาร์ฟ!” อยากจะจับขย้ำคอสักทีโทษฐานหมั่นไส้แต่เพราะอีกฝ่ายขยับรถอยู่วินทร์จึงทำได้แค่ทำท่าพ่นไฟใส่อากาศก่อนทั้งคู่จะหัวเราะไปด้วยกัน
[สวัสดีครับท่านผู้ชมขอต้อนรับเข้าสู่รายการ The Ghost’s Secret!]
เสียงวิทยุรันรายการต่อไปขึ้นมา วินทร์กำลังจะเอื้อมมือไปเปลี่ยนช่องใหม่เมื่อนรกรขัดขึ้น
“เปิดไว้ก็ได้ครับ”
“คนที่อะไรๆ ก็วิทยาศาสตร์อย่างนายไม่น่าชอบเรื่องผีเลยนะ”
“ก็ไม่ได้ชอบหรอกครับก็แค่... สนใจ” นรกรว่าบรรศกาศตอนนี้กำลังไปได้สวยบางทีมันอาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะลองเล่าความลับของตนให้ใครสักคนฟัง “พี่วินทร์เชื่อเรื่องผีไหมครับ”
“นายถามอะไรแบบนั้น ของแบบนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่นะเว้ย” ทำเสียงสูงพร้อมกับยกมือพนมขึ้นท่วมหัว
นรกรลอบมองทางหางตาพร้อมทั้งยิ้มขัน มั่นใจว่าเลือกคนที่จะเริ่มต้นไม่ผิดถึงบางครั้งจะดูหลุดๆ บ้าบอไม่ค่อยจริงจังแต่ตลอดห้าปีที่ผ่านมาวินทร์เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่ชายที่ดีเสมอ และเป็นคนที่คิดว่าเข้าใจเขามากที่สุด
[วันนี้เราจะปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับวิญญาณเร่ร่อนที่ยังไม่ยอมไปสู่สุขคติและคนที่จะมาช่วยเราติดต่อกับพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... อาจารย์องค์อินทร์สวัสดีครับ] แล้วดีเจประจำรายการก็เล่าเกียรติคุณของเขาเสียยาวยืด
“ไอ้อาจารย์เก๊เอ๊ย!” นรกรทำเสียงขึ้นจมูกทันทีที่ได้ยินชื่อแขกรับเชิญ
“อ้าวๆ ยังไม่ทันจะฟังก็บ่นเขาซะล่ะ สนใจจริงเปล่าเนี่ย อาจารย์คนนี้นะบอกเลย สุดยอดมาก ที่หนึ่งของวงการ ให้หวยแม่นเหมือนใส่สน๊อกเกิลลงไปงมลูกบอลในตู้ขึ้นมาบอกเอง แม่ฉันงี้กราบไหว้เช้าเย็นไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์”
“แม่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
วินทร์แทบจะหันมาหาเขาทั้งตัวพร้อมกับยกไม้ยกมือประกอบไปด้วย “แม่นวัวตายควายล้ม คิดดูมีบ้านขายบ้านมีรถขายรถอย่างงวดที่ผ่านมาใบ้ 90 ออก 45 รับเละ!”
“แบบนั้นมันเรียกโดนกินไม่ใช่เหรอครับ”
วินทร์หันกลับไปมองถนนตรงหน้าพร้อมกับไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แม่ฉันเป็นเจ้ามือน่ะ”
เมื่อคิดได้ว่าเป็นมุกนรกรก็หลุดขำออกมาในที่สุดเพราะเคยได้ยินว่าพ่อแม่ของวินทร์เป็นเป็นครูประชาบาลทั้งคู่
“ไร้สาระน่า! ผีเผอมีที่ไหนกัน” วินทร์ยังคงพูดต่อโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าคนข้างๆ ที่หม่นลงเล็กน้อย “ถ้ามีจริงนะป่านนี้เดินชนกันจนไม่มีที่ยืนแล้ว ที่โรงพยาบาลเรามีคนตายวันละเป็นสิบ”
ได้ยินดังนั้นนรกรก็หมดความมั่นใจที่จะเล่า เขาปิดปากเงียบและปล่อยให้ดีเจวิทยุทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ
[มีด้วยเหรอครับอาจารย์วิญญาณที่จำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้ ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย]
[เรียกว่าเป็นสภาวะช็อกทางวิญญาณเพราะเขายังไม่ถึงที่ตายแต่ดันมาตายเสียก่อน]
“อะไรของมันวะ สภาวะช็อกทางวิญญาณ พูดไปเรื่อย” คนไม่เชื่อเรื่องผีขำในลำคอ
“พี่วินทร์เร่งเสียงหน่อยสิครับ”
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตาม
[วิญญาณกลุ่มนี้น่าสงสารมากไปสู่สุคติก็ไม่ได้เพราะอายุขัยยังไม่หมด แถมยังมีอะไรติดค้างอยู่ในโลกมนุษย์ อะไรบางอย่างที่เขาต้องทำให้สำเร็จหรือต้องการการอโหสิ]
“มีอะไร”
“ชี่...”
[อาจารย์หมายถึงพวกที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรมใช่ไหมครับ]
[อันนั้นก็ใช่ แต่สำหรับผมคนที่น่าสงสารมากกว่า] เสียงในวิทยุเงียบไปอึดใจก่อนจะตามมาเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกคล้ายกับพยายามสะกดเสียงไม่ให้สั่น [คือพวกที่ฆ่าตัวตาย]
“จริงเหรอเนี่ย” มือเรียวกำพวงมาลัยแน่นกับทฤษฎีที่เพิ่งได้ยิน จู่ๆ หัวใจก็เบาหวิวคล้ายกับมีลางสังหรณ์แปลกๆ นึกเป็นห่วงคนที่ทิ้งให้อยู่ลำพังเป็นครั้งแรก เขาไม่พูดอะไรอีกและกดเท้าเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น
oooooo
(มีต่อค่ะ)