บทที่ 5 @งานวันเกิด - รู้สึกมีความสุข
“หนูกาล เสร็จหรือยังลูก”
เสียงทอดอ่อนหวานของคุณมารตีทำให้กาลอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ มือเรียวยาวคว้าหยิบโจงกระเบนแพรสีม่วงพันรัดที่เอวอย่างคล่องแคล่ว กรีดรีดผ้าให้ชายเท่ากัน ก่อนจะม้วนด้วยความว่องไวแล้วอ้อมเหน็บชายกระเบนไว้ที่ด้านหลัง กาลหันซ้ายหันขวาหาเสื้อคอกลมไม่เจอ จึงได้แต่ร้องตะโกนถามคุณมารตีมารดาผู้รออยู่ด้านนอกห้อง พลางรัดเข็มขัดเพื่อความแน่นหนา ก่อนจะดึงชายด้านในทบออกมาให้ดูสวยงาม
“ใกล้เสร็จแล้วจ้ะ คุณแม่เห็นเสื้อหนูบ้างไหมจ๊ะ”
“อิฉันรีดใส่ไม้แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าแน่ะเจ้าค่ะ”
เสียงแม่ปริกตะโกนตอบกลับมา ทำให้กาลเผ่นแผล็วรีบไปเปิดตู้ดูทันที มือคว้าเสื้อมาสะบัดใส่ แล้ววิ่งไปสำรวจความเรียบร้อยที่หน้ากระจก หางตาก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ SS ตัวจิ๋วซึ่งปักไว้คู่กันกับสัญลักษณ์เมดูซ่าที่ปลายแขนเสื้อ อืม... นะ เสื้อคอกลมเฉยๆ นี่ก็ต้องแบรนด์ด้วย ส่ายหน้าอย่างเห็นขัน แล้วรีบออกไปหามารดาที่ด้านนอกด้วยเกรงจะทำให้ท่านคอยนาน
“เสร็จแล้วจ้ะ มะ... แม่”
เสียงคำว่าแม่ กลายเป็นเพียงคำพูดเบาๆ อยู่ในลำคอเท่านั้น เมื่อกาลเห็นคุณมารตีชัดถนัดตา
วันนี้คุณมารตีอยู่ในชุดไทยจักรีสีฟ้าพยับหมอก นุ่งผ้าจีบยกข้างหน้ามีชายพก คาดเข็มขัดทองสุกปลั่ง ท่อนสไบเปิดบ่าข้างหนึ่งทิ้งชายสไบยาวไปด้านหลัง เครื่องประดับครบชุดทั้งสร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ ต่างหู รัดแขน
“คุณแม่... สวยจัง”
กาลครางในลำคอ ท่าทางเหม่อลอยราวหลงรูป ทำให้คุณมารตียิ้มแก้มแทบปริ มิเสียแรงที่เปิดหีบกรุสมบัติเอามาขัดล้างเตรียมไว้เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ฝ่ายแม่ปริกที่รู้สึกเหมือนโดนคุณหนูละเลยก็ค่อยๆ กระเถิบตัวเองมายืนเยื้องอยู่ด้านข้างของคุณมารตี
กาลเห็นความเคลื่อนไหวทางหางตาจึงได้หันไปมองสตรีค่อนข้างอวบ (แม่ปริกเคยบอกให้เรียกสาวอวบ เพราะเธอบอกว่าเธอยังไม่อ้วน) ในชุดไทยดุสิตสีโอลด์โรส ตัวเสื้อไม่มีแขน แต่ประยุกต์ด้วยการเพิ่มผ้าลูกไม้ซีทรูให้ดูคล้ายจะเปิด แต่ก็ปิดต้นแขนไว้ คอเสื้อด้านหน้าและหลังคว้านกว้าง ปักมุกประดับแพรวพราว นุ่งผ้ายกไหมจีบหน้า คาดเข็มขัดทองสวยงาม
“อื้อหือ พี่ปริก สวยจัดเต็มขนาดนี้ ให้หนูเตรียมสร้อยไว้กั้นประตูเงินประตูทองเลยไหมจ๊ะ คุณแม่ว่าเราจะเรียกสินสอดเท่าไหร่กันดีล่ะนี่”
ท้ายประโยคกาลหันไปหารือกับคุณมารตีด้วยสีหน้าจริงจัง เล่นเอาคนถูกปรึกษาถึงกับหัวเราะคิก พูดตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะไปด้วยส่ายหน้าไปด้วย
“ป่านฉะนี้แล้ว แม่คิดว่าหากเราเรียกสินสอดคงขายไม่ออกเป็นแน่ หากเพิ่มอ๊อปชั่น แถมข้าวสารสองกระสอบ แม่คิดว่าน่าจะมีคนหลงผิดมาได้กระมัง”
สิ้นคำตอบ แม่ปริกได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งไป นึกขวางสองแม่ลูกที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อย่าให้ตัวเธอมีลูกบ้างเทียว คอยดูเถอะ จะคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับให้โลกลือ แต่ประเดี๋ยวก่อนหนา ก่อนจะมีลูกก็ต้องมีผัวก่อนหรือมิใช่ จริงอย่างคุณรตีเธอว่า จนป่านฉะนี้แล้ว อายุอานามก็มากโขอยู่
“เป็นอะไรจ๊ะพี่ปริก พูดอะไรพึมพำอยู่คนเดียว หนูกับแม่แค่ล้อเล่น อย่าโกรธกันเลยน้า”
ใบหน้าที่ออดอ้อนซบลงบนต้นแขนอวบท้วม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากแม่ปริกได้ทันที ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะถูกอกถูกใจ เมื่อกาลแอบยืนหน้าไปกระซิบ
“พี่ปริกไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ คำโบราณท่านว่าไว้ ขิงน่ะยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด”
“เจ้าค่า” ปริกลากเสียงยาวตอบรับ
“อิฉันก็รอวันได้ ‘เผ็ช’ กับเค้าบ้างล่ะคุณหนู”
เสียงหัวเราะของนายบ่าวประสานอย่างครึกครื้น เพราะมัวแต่หยอกกันไปล้อกันมา จึงไม่มีใครได้ทันสังเกตเงาร่างของท่านอำนาจที่ยืนมองภาพแห่งความสุข พลางยิ้มอย่างชื่นใจ
“จะให้เข้าไปเรียนคุณมารตีกับคุณหนูกาลเลยรึไม่ขอรับ ว่าพร้อมจักออกเดินทางแล้ว”
ชดค้อมกายถามแล้วก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ท่านอำนาจเดินเอามือไพล่หลังหันกายเตรียมลงจากเรือนด้วยไม่อยากเร่งลูกเมียให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจ
“คุณพี่เจ้าคะ”
เสียงหวานของคู่ชีวิตเรียกหา ทำเอาท่านอำนาจที่กำลังก้าวท้าวลงจากเรือนหยุดชะงัก
“เสร็จแล้วไยมิให้ชดมาตามน้องกันล่ะเจ้าคะ ไหนมาให้น้องดูที ว่าวันนี้คุณพี่รูปงามเพียงใด”
คุณมารตีพูดพลางค่อยๆ เยื้องย่างมาจับเสื้อสูทที่เข้ารูปพอดีตัวของท่านอำนาจเพื่อดูความเรียบร้อย นิ้วมือเรียวยาวลูบกรีดลงบนตัวเสื้อ พร้อมเอ่ยชื่นชมขณะจัดหูกระต่ายให้เข้าที่ไปด้วย
“พี่ชายคนนี้รูปงามนักเทียว สวมโจงยกลายสีเทางามจับตา พอมาจับคู่กับสูทแล้วก็ให้รู้สึกถูกตาต้องใจนัก มิรู้รูปงามเยี่ยงนี้ พี่มีคู่หมายไปงานหรือยังหนา”
ดวงตาพราวระยับที่ยั่วเย้า ทำเอาท่านอำนาจนึกเอ็นดูความความช่างหยอกล้อของแม่รตีนัก จึงรวบมือน้อยที่แต่งหูกระต่ายเข้าแนบที่อกแล้วก้มลงกระซิบ
“ต้องขออภัยด้วยหนาน้องสาว ตัวพี่รักมั่นในลูกแลเมียพี่ยิ่งนัก คงได้แต่ต้องขอร้องให้น้องหักใจเสียเถิด”
พูดจบก็ชมเชยแก้มนวลไปเสียทีหนึ่ง เรียกกำปั้นน้อยๆ ให้ทุบตีบนต้นแขนอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก
“คุณพี่ก็... เล่นกระไรก็มิรู้ เซี้ยวนักเชียว”
กาลรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่ข้อมือ ก็เห็นแม่ปริกดึงตนไปทางลงเรือน ใจอยากดูละครรักหวานซึ้งตรงหน้าอีกสักหน่อย แต่ก็ทานพลังแขนของแม่ปริกไม่ไหว ได้แต่เซถลาตามไป
ลงมาจนถึงลานหน้าเรือน แม่ปริกจึงปล่อยมือกาลออกกระซิบกระซาบ
“ลงว่าสองผัวเมียนั่นจีบกันก็อีกเป็นพักล่ะเจ้าค่ะคุณหนู อย่าไปเสียเวลาคอยอีกเลย สู้ลงมาเดินยืดเส้นยืดสายด้านล่างยังจักดีเสียกว่า”
“แหม... หนูก็กะจะอยู่ดูความหวานต่อซะหน่อย”
“ฮ้าย... ไม่ต้องถึงกับจงใจดูดอกเจ้าค่ะ รับรองมีให้คุณหนูรับชมทั้งวัน ทุกวัน จนขี้คร้านจะสำลักน้ำตาลเอาได้”
กาลหัวเราะขำท่าทางจีบปากจีบคอของแม่ปริกอยู่เป็นครู่
“แล้วทีนี้เราจะทำอะไรกันได้ละจ๊ะ มืดๆ อย่างนี้”
“ไปช่วยอิฉันเก็บดอกมะลิดีกว่าเจ้าค่ะ เก็บตอนหัวค่ำนี่ล่ะดีนักเทียว”
“ทำไมเก็บตอนหัวค่ำถึงดีละจ๊ะ”
กาลถามไป ขาก็ก้าวตามแม่ปริกไปยังพุ่มกอดอกมะลิตรงหัวบันไดทางขึ้นลงเรือน ยังไม่ทันถึงดีก็ถูกยัดขันเงินใบน้อยให้ถือไว้คอยใส่ดอกมะลิจากแม่ปริก
“นี่นะเจ้าคะคุณหนู เลือกดอกตูมที่ใกล้จะบานอย่างนี้ แล้วก็เอาไปใส่พานวางไว้ข้างหมอน พอดอกมะลิบาน ทีนี้ล่ะหอมจรุงไปทั่วห้องเลยล่ะเจ้าค่ะ นี่ล่ะเหตุผลที่ว่าทำไมเก็บตอนค่ำจึงดี แล้วที่สำคัญนะเจ้าคะ” ปริกลดเสียงลงเป็นกระซิบ
“ถ้าเอาไปใส่โหลขนมกลีบลำดวนค้างคืนไว้ วันพรุ่ง คุณหนูก็จะได้ชิมขนมที่อร่อยรสที่ปลายลิ้น ชื่นกลิ่นที่นาสิกด้วยนะเจ้าคะ”
คำตอบสุดท้ายของแม่ปริกคงถูกใจคนฟังอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวจึงยิ้มร่าพยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วย แถมอาสาช่วยเลือกดอกมะลิอย่างแข็งขัน ทั้งๆ ที่มือข้างหนึ่งก็ปัดไล่ยุงที่เริ่มมารังควาญอยู่เนืองๆ
“คุณหนูเอาผ้าคาดเอวมาปัดไล่ยุงสิเจ้าคะ เดี๋ยวอิฉันเก็บต่อเอง นี่ก็ได้มากโขอยู่ละ”
กาลก้มลงมองช่วงเอวของตนเองก่อนจะเอ่ยเสียงเบาๆ
“หนูว่าแล้ว ว่าหนูลืมอะไร”
“อพิโธ่ อพิถัง คุณหนูรออิฉันอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ พยายามขยับตัวเข้าไว้ ยุงมันจักได้ไม่หามไปเสียก่อน อิฉันขึ้นเรือนไปหยิบผ้าคาดเอวมาให้เจ้าค่ะ กะเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เฮ้อ... ต้องเดินฝ่าดงน้ำตาลกลางเรือนอีกแล้วอีปริก” ท้ายประโยคได้แต่บ่นพึมพำพลางโคลงศีรษะอย่างระอา
เงาร่างที่ยืนขยับส่ายไปมาไม่ได้หยุด เรียกเสียงหัวเราะจากผู้มาใหม่อย่างเห็นขัน เสียงทุ้มรีบทักถามทันทีเมื่อคนถูกหัวเราะเริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์
“มายืนเต้นแร้งเต้นกากระไรตรงนี้ล่ะเจ้า”
“เต้นอะไรล่ะพี่พุด หนูมาช่วยพี่ปริกเก็บดอกมะลิ ระหว่างรอคุณพ่อกับคุณแม่ แล้วก็เลยต้องบริจาคเลือดให้ยุงอยู่นี่แหละ”
พุดแกะผ้าคาดเอวของต้นช่วยปัดๆ ไปตามลำตัวของกาลอย่างเอาใจใส่พลางถาม
“แล้วนี่แม่ปริกไปที่ใดเสียแล้ว ทิ้งให้คุณหนูของพี่ยืนตากยุงอยู่คนเดียว”
กาลคล้ายๆ จะสะดุดบางคำในประโยค แต่ก็คิดไม่ออกว่าคำใดที่ผิดปกติ จึงตอบคำถามว่าแม่ปริกกำลังขึ้นเรือนไปหยิบผ้าคาดเอวให้ตนเมื่อครู่นี้เอง หลังจากที่เก็บดอกมิได้จนพอใจแล้ว
“ไหนให้พี่ดูทีรึ ว่าเก็บได้เยอะเพียงไร”
อาการยกขันใส่ดอกมะลิส่งให้จนแทบจะชิดหน้า ทำให้พุดรู้ว่าคุณหนูกาลคงยังเคืองเรื่องที่ถูกหัวเราะเมื่อสักครู่อยู่ จึงได้แต่อมยิ้มแล้วก้มลงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“หอมจริงหนา ชื่นใจเยี่ยงนี้ คุณหนูพอจะใจดีแบ่งให้พี่พุดเอาไปวางไว้ข้างหมอนบ้างได้ฤาไม่”
ถึงท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่โคมไฟที่ส่องแสงนวลตาก็ยังสว่างพอจะเห็นสิ่งของได้ชัด ด้วยความสว่างขนาดนี้ไม่น่าจะมองเห็นดาว อุปาทานหรืออย่างไร กาลจึงมองเห็นคล้ายดั่งแสงดาววิบวับทอประกายระยับอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า
“มะลิก็มีออกจะเต็มต้น พี่พุดอยากได้เท่าไหร่ก็เด็ดไปสิจ๊ะ ไม่มีใครเขาหวงสักหน่อย”
“ถ้าหากไม่หวงพี่ก็ขอปันเอาจากที่คุณหนูถืออยู่ในมือสักเล็กน้อยเถิดขอรับ”
เจอลูกตื๊อขอเอาซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ กาลจึงหยิบดอกมะลิขึ้นมา ๔ - ๕ ดอก ก่อนวางลงบนผ้าเช็ดหน้าที่พุดกางออกมารอรับ เสร็จแล้วจึงค่อยบรรจงพับใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อทางอกด้านซ้าย
“ชื่นใจจริงเจ้า” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา
กาลฟังแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก ได้แต่ฉีกยิ้มพยักหน้ารับ บอกกับพุดว่าหอมชื่นใจจริงๆ แถมพี่ปริกยังบอกจะเอาไปใส่ในโหลขนมกลีบลำดวนให้ตนชิมอีกด้วย
“คู่แฝดคุยกระไรกันอยู่หรือ”
เสียงคุณมารตีที่เอ่ยทัก ทำให้พุดและกาลได้แต่มองหน้ากันไปมา ก่อนจะรู้สาเหตุว่าเพราะอะไรจึงถูกเรียกว่าคู่แฝด เพราะทั้งคู่ต่างก็สวมโจงแพรสีม่วง เสื้อคอกลมสีขาวกันทั้งคู่ กาลหัวเราะคิกแล้วส่งผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มคืนให้พุด เมื่อแม่ปริกที่ลงมาพร้อมคุณมารตีและท่านอำนาจส่งผ้าคาดเอวสีม่วงอ่อนมาให้
“ยังดีหนาที่ผ้าคาดเอวยังคนละสี มิเช่นนั้นล่ะเหมือนกันอย่างกับแกะเทียว”
ท่านอำนาจเอ่ยสัพยอกพลางเร่งให้ออกเดินทางกันได้แล้ว
“ป่านนี้ที่วัดรอกันแย่แล้วกระมัง”
“ก็ใครกันล่ะเจ้าคะที่มัวกวนน้ำตาลอ้อยกันอยู่บนเรือน” ปริกอดสอดปากแทรกขึ้นมาไม่ได้ ทำเอาท่านอำนาจหัวเราะเสียงดังอย่างเห็นขัน
ขบวนรถที่ขนบ่าวไพร่ทั้งหมดมุ่งหน้าตรงสู่วัดใหญ่ กาลถามว่าทำไมไม่ไปทางเรือเหมือนเมื่อคราวก่อน ก็ได้รับคำตอบว่ามืดค่ำอันตราย ไปทางรถสะดวกกว่าและยังปลอดภัยกว่า เพราะว่าคราวนี้ขนคนไปหมดทั้งเรือน เกรงว่าหากพายเรือไปเกิดมีคนนึกสนุกเล่นแผลงๆ ทีนี้ได้วุ่นวายกันเป็นการใหญ่แน่ หากวันใดนึกอยากชมวิวยามค่ำคืนแล้วเดี๋ยวจักให้คนพาคุณหนูกาลพายเรือชมทิวทัศน์เป็นการส่วนตัวในคราหลัง กาลเห็นกระบวนเดินทางอันเอิกเกริกแล้วก็นึกย้อนไปยังต้นเหตุเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“แม่จ๋า หนูกลับมาแล้ว”
เสียงตะโกนทักก่อนจะตามมาด้วยเสียงตึงๆ วิ่งขึ้นเรือนมา ทำเอาคุณมารตีสะดุ้งสุดตัวแทบจะทำถ้วยตะคันในมือหล่นอยู่รอมร่อ เจ้าลูกคนนี้นี่ยังไง ก่อนหน้านี้ก็เงียบขรึมจนกลัวใจว่าถ้าพูดผิดหูแล้วเธอจะกรุ่นโกรธเอา พอล้มป่วยลงแล้วฟื้นไข้มาก็ทำกิริยาเหมือนเด็กสามขวบก็ไม่ปาน จะพูดจะจาจะเดินจะเหินล้วนกระโดกกระเดกพิลึก จะว่ากล่าวหรือก็ทำไม่ถนัดปาก ด้วยต่อให้ทะลึ่งตึงตังเพียงใด เธอก็มักจะมานั่งแปะประจบอ้อนตาใสเข้าใส่เสียทุกคราว นึกในใจยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นลูกบังเกิดเกล้าโยนกระเป๋าไปไว้เสียทางหนึ่ง แล้วคลานปราดๆ มานั่งชิดพร้อมกับหอมแก้มตนไปอีกฟอดใหญ่
“ชื่นนนใจ คุณแม่กำลังทำอะไรจ๊ะ”
นี่อย่างไรเล่า ต่อให้ทำเสียงอึกทึก โยนข้าวของแล้วเยี่ยงไร เพียงมานั่งออดอ้อนคลอเคลียแม่อย่างนี้ ใครเล่าจะตัดใจเอ็ดเธอลง คุณมารตีถอนใจยาว พลางจุดเตาเล็กเตรียมเผาตะคันในมือให้ร้อนอีกคำรบแล้วอธิบายกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“แม่กำลังร่ำกำยานทำน้ำปรุงน่ะลูก พอดีเมื่อสี่ซ้าห้าวันก่อนผึ่งดอกไม้เตรียมไว้ทำบุหงารำไป เพื่อทำของชำร่วยแจกตอนช่วงที่คุณพ่อได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องทิศทางตลาดทองคำที่อิแทลี่น่ะจ้ะ ประธานสมาคมท่านเชิญมาเสียหลายรอบ คุณพ่อท่านก็บ่ายเบี่ยงมาเสียทุกครา ครั้งนี้จะปฏิเสธอีกก็ออกจะน่าเกลียด เลยตกปากรับคำไปร่วมงานเสียทีหนึ่ง ไหนๆ ไปแล้ว แม่จึงคิดว่าทำของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยก็จักเป็นการดี หนูกาลรู้หรือไม่ พวกฝรั่งตาน้ำข้าวน่ะชมชอบของประดิดประดอยพวกนี้นัก”
ปากของคุณมารตีพูดอธิบายไป มือก็หยิบจับปากคีบหนีบเอาตะคันซึ่งเผาได้ที่ไปวางบนทวนโรยแก่นไม้จันท์เทศบดหยาบ กำยานป่น ผิวมะกรูด น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว ขี้ผึ้งแท้ขูด จากนั้นจึงหยดน้ำมันจันท์ลงไปผสม นำไปวางไว้ในโถน้ำปรุงที่ผ่านการร่ำควันเทียนมาแล้ว ๗ ตั้งแล้วจึงปิดฝา
“อ๋อ... หนูเคยเห็น ที่เป็นดอกไม้แห้งๆ ใช่ไหมจ๊ะ เอาน้ำที่คุณแม่ว่าไปโรยๆ กะดอกไม้ใส่ถุงผ้าก็เป็นอันเสร็จ”
“น้ำปรุงจ้ะ กว่าจะแล้วก็อีกนานอยู่หรอก ต้องร่ำกำยานทั้งหมด ๗ ตั้ง นี่แม่เพิ่งร่ำไปได้เพียง ๒ ตั้งหนาเจ้า พอได้น้ำปรุงเสร็จสรรพก็ต้องนำไปเคล้ากับกลีบดอกไม้แห้ง ปรุงด้วยน้ำปรุง ร่ำควันเทียน ใส่พิมเสนบด เยี่ยงนี้จึงจะแล้วเสร็จ”
“นี่แค่น้ำปรุง!! ทำไมเห็นแค่ถุงเล็กๆ กรรมวิธีมันเยอะแบบนี้ล่ะจ๊ะคุณแม่”
คุณมารตีแย้มยิ้ม ยกมือลูบผมของกาลอย่างอ่อนโยนแล้วค่อยบอกกล่าว
“ของบางอย่าง หากเรามองเพียงแค่ผิวเผินก็แลเหมือนจะมิมีกระไรมาก แต่หากพินิจดูองค์ประกอบเล็กน้อยหลากกรรมวิธี ก็จักรู้ว่ากว่าจะเป็นอย่างที่เราได้เห็น ต้องผ่านความปราณีตบรรจงกันมาสักเท่าไร หนูกาลมองสิ่งใดต้องมองให้ละเอียดให้ลึกซึ้งหนา”
“จ้ะคุณแม่” กาลพยักหน้ารับ แล้วไถลตัวลงนอนบนตักผู้เป็นมารดา
“ขนาดถุงเล็กๆ ยังเตรียมการกันขนาดนี้ แล้วถ้างานใหญ่ๆ บ้านเราจะจัดการกันนานขนาดไหน”
เสียงใสรำพึงเบาๆ แต่เรียกเสียงวี้ดว้ายจากคุณมารตีได้ทันที
“ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย! แม่ลืมไปเสียสนิทใจเลยหนูกาล”
กาลตกใจท่าทางเสียกิริยาของคุณมารตีจนศีรษะเกือบพลัดตกจากตักของผู้เป็นมารดา ได้แต่กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพับเพียบแล้วนวดเฟ้นแขนให้มารดา พลางออกปากหายาดมเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นคุณมารตีมีทีท่าตระหนกจนหน้าซีดปากสั่น
“คุณแม่ คุณแม่จ๊ะ ใจเย็นๆ นะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คุณแม่ลืมอะไร ค่อยๆ นึก ค่อยๆ คิดแก้ไขจ้ะ”
น้ำตาคุณมารตีเอ่อคลอเต็มสองตาอย่างรวดเร็ว มือเรียวประคองแก้มของบุตรชายแล้วได้แต่ส่ายหน้าพูดเสียงสั่นเครือ
“โถ... ลูกแม่ แม่ขอโทษหนา พอเจ้าพูดถึงงานใหญ่ขึ้นมาแม่จึงเพิ่งนึกได้”
“หรือว่า... “ แม่ปริกที่นั่งจ่อยาดมอยู่ใต้จมูกคุณมารตีถึงกับมือสั่นไปอีกคน ยิ่งเมื่อเห็นคุณมารตีพยักหน้ารับก็ยิ่งตระหนกเสียขวัญ
“ตายแล้วๆ ลืมกันไปได้อย่างไรเสียสนิทใจ คุณหนูกาลเจ้าขา อย่าโทษคุณแม่ท่านไปเลย เป็นอีปริกผิดเอง ที่มิได้เอ่ยปากตักเตือน โธ่ถังกะละมังแตก ในหัวบรรจุแต่เรื่องไร้สาระกระไรอยู่หนา จึงลืมเลือนเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปเสียสิ้น”
ปริกก่นด่าตนเองไป มือก็ทึ้งผมตนเองไป กาลได้แต่มองสองนายบ่าวด้วยความงงงวย
“ดะ... เดี๋ยว นี่มันอะไรกันจ๊ะ หนูงงไปหมดแล้ว ลืมอะไรกัน แล้วทำไมต้องขอโทษหนูกันด้วย?”
แต่หาได้มีใครฟังคำถามของกาลไม่ ผู้ใหญ่สองคนยังคงฟูมฟายกันต่อไป แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีคนปิดสวิตช์ขึ้นมากะทันหัน คุณมารตีคว้าชายผ้าแถบแตะซับน้ำตา ขณะที่ปากก็เรียกบ่าวไพร่มานั่งรายล้อม นัยว่าเป็นการเบรนสตรอมรวบรวมความคิดที่ดีที่สุด แต่ละคนควักอุปกรณ์ชนวนแพด สมาร์ทโฟน ออกมาเลื่อนนิ้วกันปราดๆ หาข้อมูลกันให้จ้าละหวั่น ปล่อยกาลนั่งเหวอต่อไป
“อิฉันว่าแถวๆ มัลดีฟน่าจะดีนะเจ้าคะ แถวนั้นเงียบสงบ คุณหนูเธอชอบความเป็นส่วนตัว”
“ฮ้าย... แถวนั้นแดดแรงนัก เดี๋ยวผิวเธอได้ไหม้เสียหมดหรอก”
“กระผมว่าปิดไทม์สแควร์ดีไหมขอรับ จะได้ดูอลังการ”
“ไม่ๆๆ เอิกเกริกไป คุณหนูมิใคร่ชมชอบ”
“ไปชิบุยะกันไหมเจ้าคะ ไปชมซากุระแถวริมแม่น้ำเมกุโระ”
“หลงวันหลงคืนแล้วไหมหล่อน นี่มันเดือนอะไร ฤดูอะไรกันยะ จักให้ไปหาชมซากุระ ฉันว่าหล่อนอยากไปจับจ่ายแถวนั้น แล้วยกงานคุณหนูขึ้นมาบังหน้ามากกว่ากระมัง”
เอ่อ... คนนั้นพูดไป คนนี้ท้วงมา พอจะมีใครอธิบายให้ไอ้กาลรู้เรื่องบ้างได้ม้ายยย กาลยกมือนวดขมับ เกร็งช่องท้องแล้วตะโกนทันที
“หยุด!!”
ได้ผล เมื่อเสียงฝูงนกกระจอกแตกรังเมื่อครู่ชะงักไปในบัดดล คนตะโกนถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะค่อยๆ ถามเสียงเบา เพราะเสียงตะโกนเมื่อครู่ทำเอาแต่ละคนนั่งนิ่งตะลึงลานไปกันหมด
“ตกลงว่าลืมอะไรกันจ๊ะ ถึงได้วุ่นวายกันขนาดนี้”
เสียงถอนหายใจเฮือกของบรรดาผู้ชุมนุม ทำให้รู้ได้ว่า เมื่อครู่ตอนที่กาลตะโกนออกไปอย่างเต็มเสียงนั้น ทุกคนต่างก็ตกใจ นึกว่าคุณหนูองค์ลงเสียแล้ว คุณมารตีลูบแขนบุตรชายพลางเอ่ยเสียงหวาน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม
“ขอโทษหนาเจ้า แม่ลืมวันเกิดเจ้าไปได้กระไร”
กาลนั่งอึ้ง ตกลงที่วุ่นวายนี่แค่ลืมวันเกิดนี่นะ ฝ่ายคุณมารตีเห็นบุตรชายนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาก็ยิ่งร้อนตัวกลัวบุตรชายจะพานโกรธเคืองตน รีบพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจเป็นการใหญ่
“หนูกาลอยากให้จัดงานแบบใด ขอเพียงเอ่ยปากมา แม่จักสั่งการให้พวกเด็กๆ จัดการให้ลุล่วง ต่อให้ต้องทุ่มทรัพย์สินเท่าใด แม่ก็ไม่ว่า ถ้าเป็นความต้องการของลูกชายแม่แล้ว ต้องได้!!” ท้ายเสียงคุณมารตีฮึกเหิมประหนึ่งจะไปกอบกู้เอกราชก็ไม่ปาน
“ก่อนอื่นนะ...”
ภาพบ่าวทุกคนยกอุปกรณ์ไฮเทคส่วนตัวขึ้นเตรียมจดรับคำสั่งด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทำให้กาลอดที่จะหลุดขำไม่ได้กับความทุ่มเทระดับนี้
“ใจเย็นๆ กันก่อนนะจ๊ะทุกคน คือ จะบอกว่าหนูไม่ได้โกรธเรื่องลืมจัดงานอะไรนี่เลยนะ เคยจัดงานยังไงแบบไหนก็จัดเถอะจ้ะ”
กาลเห็นทุกคนชะงักไปก็นึกขึ้นได้จากคำโต้แย้งเมื่อสักครู่ ว่าเวลาจัดงานไอ้คุณหนูกาลคงจัดไม่ซ้ำกันแน่ๆ ตัวเขาเองเคยจัดที่ไหนล่ะไอ้งานวันกงวันเกิดเนี่ย หรูสุดๆ ก็ตอนหลวงตาให้ตังค์ไปซื้อเค้กเซเว่นแถวๆ วัดมาปักเทียนฉลอง ยังจำได้ว่าปีนั้นพรรคพวกเด็กวัดสนุกสนานครึกครื้นกันจะตาย แต่ที่สนุกที่สุดก็ตอนที่มีวันเกิดตรงกับงานวัดที่ทางวัดจัดขึ้นพอดีนั่นแหละ ทั้งของกิน ของเล่นในงานเล่นเอาไอ้กาลหูตาพร่าพราย ถึงจะได้แค่เดินดู ไม่ได้ซื้อของซักกะอย่างก็เหอะ...
เดี๋ยวนะ... งานวัด
“คือว่า... จะจัดงานยังไงก็ได้เหรอจ๊ะคุณแม่” กาลยิ้มประจบประแจงออเซาะคุณมารตีเต็มที่
“ได้สิจ๊ะลูก หนูกาลประสงค์แบบใดขอให้บอกมาเถิด”
นัยน์ตาวิบวับเป็นประกายเล่นเอาคุณมารตีขนแขนตั้งชันอย่างมิรู้สาเหตุ คงมิใช่อยากไปฉลองวันเกิดบนดาวอังคารดอกหนา คุณมารตีไล่เลียงรายชื่อคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในองค์กรนาซ่าแล้วก็เห็นว่ามีอยู่หลายคน เอ... แล้วค่าเช่ายานนี่มันซักกี่อัฐกี่เฟื้องกันเล่า จะให้ซื้อมาเลยก็เห็นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เช่าเอาน่าจะเหมาะกว่ากระมัง
“คุณแม่ คุณแม่จ๊ะ เหม่ออะไรอยู่ หนูถามว่าได้ไหมจ๊ะ”
“ห๊ะ! กระไร ได้หรือมิได้กระไร ขอโทษทีเถิดหนา แม่มิทันฟัง”
“หนูถามว่าจะจัดงานวันเกิดแบบงานวัดได้ไหมจ๊ะ หนูชอบบรรยากาศแบบนั้น ครึกครื้นดี มีทั้งของกินของเล่น แล้วเราก็ขนพวกพี่ๆ ไปให้หมดบ้านเลย คุณแม่ว่าดีไหมจ๊ะ”
คุณมารตียิ้มหวานพลางพยักหน้า
“ได้สิเจ้า จัดงานวัดมันจะกระไรนักเชียว ดีกว่าต้องเช่ายานอวกาศโขนะลูก”
กาลทำหน้างุนงงกับคำว่ายานอวกาศของคุณมารตี ว่าจัดงานวันเกิดแบบงานวัด จะไปข้องเกี่ยวอะไรกับยานอวกาศได้ แต่สงสัยได้ไม่นานก็ออกปากถามเรื่องที่ตนกังวลอยู่มากกว่า
“แล้ว... แล้วถ้าหนูจัดงานวันเกิดในวัด หลวงตา... เอ๊ย! ท่านเจ้าประคุณจะบ่นหนูไหมจ๊ะ”
..................................
(มีต่อ)