ตอนที่ 14 : คำสัญญาของต้นหญ้าและการกลับมาของเพื่อนเก่า
“พี่จ้าคะ อาทิตย์หน้าพี่จ้าจะไปงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนไหมคะ” จอมขวัญกล่าวขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าที่สถานีในตอนเย็นหลังเลิกงาน
“ไปสิ ขวัญจองให้ห้องพี่ด้วยนะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับคนตัวเล็ก เธอยังคงทำหน้าที่ของศิษย์เก่าและอดีตประธานนักเรียนได้เป็นอย่างดี
“ได้ค่ะ ปีนี้ขวัญว่าจะช่วยพี่ตังไปด้วยแหละ” จอมขวัญยิ้มหวาน
“จะชวนไปทำไมกัน”
“ก็ปีนี้ขวัญอยากควงหนุ่มคนอื่นที่ไม่ใช่พี่จ้าบ้างนี่นา”
“เบื่อพี่แล้วเหรอ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเอื้อมมือโยกศีรษะของน้องสาวเบา ๆ
“ใช่ เบื่อพี่จ้าแล้ว” คนตัวเล็กหัวเราะ
ในที่สุดงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนก็มาถึง ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่างมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝั่งคั่ง จอมขวัญยืนรอตฤณกรอยู่ที่หน้าโรงเรียนตามที่ได้นัดกันไว้ก่อนจะพาเขาไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อน ๆ ของเธอ
คนตัวสูงแอบมองชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากางเกงสีครีมเข้ากับธีมของงานที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งกำลังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน
“แก พี่จ้าแกอ่ะหล่อเนอะ” สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างจอมขวัญเอ่ยขึ้นก่อนจะสะกิดให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หันไปดู
“ยิ่งโตยิ่งหล่อ” อีกคนหนึ่งเสริม ก่อนที่บรรดาสาว ๆ จะพากันพูดถึงหนุ่มหล่อโต๊ะใกล้ ๆ ที่ไม่ได้อยู่เรื่องอะไรกับเขาเลย
“ยิ้มอะไรคะพี่ตัง” จอมขวัญสะกิดเมื่อเห็นตฤณกรเอาแต่นั่งอมยิ้ม
“เขินแทนคนหล่อครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอคะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วยิ้ม ๆ
“แก พี่จ้าเขามีแฟนหรือยังน่ะ” สาวน้อยคนเดิมสะกิดถามจอมขวัญ
“อืม...ไม่รู้สิ ก็ไม่เห็นจะคุยกับใคร” คนตัวเล็กกล่าวก่อนจะหันไปสบตาคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อยากจะบอกเพื่อนเหลือเกินว่าเธอเองยังไม่เห็นว่าอาทิตย์ทัศน์จะคุยกับใครนอกจากคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างเธอนี่แหละ
“แล้วพี่ตังละคะ มีแฟนหรือยัง”
เมื่อโดนยิงด้วยคำถามนี้ตฤณกรถึงกับไปไม่ถูก สาว ๆ สมัยนี้ออกตัวแรงจริง ๆ เขาทำหน้าเหรอหราก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “เอ้อ...คือ ก็ เอ่อ มีคนที่ชอบอยู่น่ะครับ”
“ตาย ๆ ไม่รู้ว่าใครคืนคนที่โชคดีนะคะ”
คนตัวสูงหันไปสบตาสาวน้อยที่นั่งกลั้นหัวเราะอยู่ข้าง ๆ อยากจะตอบเพื่อนของเธอไปเหมือนกันว่าคนโชคดีที่ว่าก็คือคนเดียวกับที่พวกเธอกำลังนั่งจ้องเขาอยู่นั่นแหละ
“ยัยขวัญ” สาวน้อยนางหนึ่งกระซิบเมื่อออกจากห้องน้ำ “พี่ตังเขามาจีบแกเหรอ”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ เขาไม่จีบฉัน แค่รู้จักกันเฉย ๆ แกนี่คิดไปกันใหญ่”
“แล้วไป คิดว่าแกจะทำลายสโลแกนสาวโสดแซ่บเวอร์ของกลุ่มเราแล้วเสียอีก”
จอมขวัญหัวเราะก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินกลับเข้าไปในงาน บนเวทีพิธีกรซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเธอกำลังพูดถึงศิษย์เก่าคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน เมื่อพิธีกรพูดชื่อของเขาจบเสียงปรบมือค่อย ๆ ดังขึ้น
ตฤณกรยืดตัวชะเง้อมองร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกลางเวทีพร้อมกับเสียงอินโทรเพลงประกอบละครที่ดังมาก ๆ สมัยที่เขาเรียนมัธยมต้น เสียงกรีดร้องของบรรดาสาว ๆ ทำเอารู้สึกหูอื้อไปหมด เขามองสาวน้อยตัวเล็กที่กำลังเดินมานั่งลงใกล้ ๆ ตาคู่สวยของเธอยังคงจ้องไปที่เจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่บนเวที
“เขาชื่ออะไรน่ะขวัญ พี่ได้ยินไม่ถนัด แต่สาวกรี๊ดน่าดูเลยนะ”
“ดร.ณัฐนนท์ จิระตระกูล” มันแทบจะไม่มีเสียงออกจากปากบางของเธอ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงสแล็คสีดำคลุมทับด้วยสูทเข้ารูปยิ้มให้กับพิธีกรก่อนจะรับไมโครโฟนมาถือไว้...
ริมฝีปากหยักได้รูปขยับช้า ๆ เมื่อดนตรีท่อนอินโทรวูบหายไป จากนั้นเสียงนุ่ม ๆ ของเขาก็ดังคลอไปกับเสียงดนตรี “ยังจำฉันได้หรือเปล่า ก่อนนั้นใครที่เคยเหมือนเป็นเงาของเธอ”
เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งในขณะที่ร่างสูงค่อย ๆ เดินมายืนที่กลางเวทีค่อนมาข้างหน้า
“จะเนิ่นนานสักเพียงใด ก็รู้ว่าเธอไม่ลืมที่เคยรักกัน”
“คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า อย่างที่ใจฉันคอยคิดถึงเธอทุกวัน อย่าบอกเลยว่าเธอลืมไม่คิดถึงกัน เมื่อในแววตาบอกมาว่าเธอไม่ลืม”
คนบนเวทียิ้มก่อนจะยื่นไมโครโฟนให้ทุกคนช่วยกันร้อง หลาย ๆ คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างต่างก็ร้องประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน “ยาวนานสักเท่าใด ความจริงในหัวใจฉันรู้ว่ามันไม่ลบเลือน แววตาที่เห็นกันยังคงจะย้ำเตือนความหมาย ว่าเรายังรักกันอยู่เหมือนเก่า”
“พี่จ้า” จอมขวัญเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ เธอรีบหันไปมองหาพี่ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กันทันที แต่เธอก็พบว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป
อาทิตย์ทัศน์จ้องมองดูชายหนุ่มที่ไม่ได้พบกันนับสิบปีซึ่งขณะนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาจากมุมหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เขาดูเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งรอยยิ้ม น้ำเสียงหรือแม้กระทั่งท่วงท่าการเดิน อาทิตย์ทัศน์ยังคงจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้ดี การได้พบกันอีกครั้งในวันนี้ทำให้รู้สึกใจหวิว ๆ อย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางเวที ลมหายใจนั้นก็พาลจะหยุดลงเสียดื้อ ๆ ภายในใจของอาทิตย์ทัศน์ขณะนี้เต็มไปด้วยหลายความรู้สึก ทั้งดีใจ น้อยใจ และสงสัย มีคำถามมากมายที่อยากจะถามตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
“คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า อย่างที่ใจฉันคอยคิดถึงเธอทุกวัน อย่าบอกเลยว่าเธอลืมไม่คิดถึงกัน เมื่อในแววตาบอกมาว่าเธอไม่ลืม ยาวนานสักเท่าใด ความจริงในหัวใจฉันรู้ว่ามันไม่ลบเลือน ในใจยังย้ำเตือน และยังคิดถึงกันเสมอ ก็เรายังรักกันอยู่ใช่ไหม”
ณัฐนนท์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ หวังจะได้พบกับใครคนหนึ่งแต่กลับไร้ซึ่งเงาของเขา....
“อยากจะขอวันนี้ เป็นเหมือนวันนั้น ที่ฉันยังมีเธออยู่ข้างกาย อยากจะขออีกครั้ง อีกครั้งได้ไหม มาเริ่มความรักใหม่ ให้เหมือนเดิมอีกคราว.....”
โน้ตตัวสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง
“เอาละค่ะ ขอต้อนรับอีกครั้งนะคะ สำหรับดร.ณัฐนนท์ จิระตระกูล วิศวกรหนุ่มหล่อของบริษัทซอฟท์แวร์ชื่อดังในอเมริกา หรือพี่นนท์ห้องมอหกทับหนึ่งของน้อง ๆ นั่นเองนะคะ” พิธีกรสาวสวยบนเวทีเอ่ยขึ้น
“และสำหรับเพลงที่จบไปเมื่อสักครู่นะคะ ถ้าใครเกิดทัน” เธอหัวเราะ “ต้องใช้คำว่าถ้าใครเกิดทันกันเลยทีเดียวนะคะ คงจะจำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครที่ดังมาก ๆ สมัยที่พวกเราเรียนประถมหรือพี่ ๆ บางคนกำลังเรียนมัธยม ชื่อของเพลงนี้ก็คือ ยังรักกันอยู่ใช่ไหมนั่นเองนะคะ”
“ไม่รู้ว่าพี่นนท์ร้องเพลงนี้เพื่อจะถามอะไรใครเป็นนัยหรือเปล่าคะ พวกสาวนาฏศิลป์อะไรอย่างนี้” เมื่อสิ้นเสียงพิธีกรสาวสวยบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็พากันเป่าปากโห่ร้อง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเวทีเองก็ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ
“ตายจริง ดิฉันพูดมาเสียยาวเลย เรามาคุยกับพี่นนท์กันสักนิดดีกว่านะคะ มาถามกันดีกว่าว่าพี่นนท์ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นประจำปีนี้”
“ก็....ดีใจมาก ๆ นะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ทุกท่าน พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้โอกาสนี้กับผม”
“แล้วเป็นอย่างไรบ้างคะพี่นนท์ ไปอยู่อเมริกามาตั้งสิบกว่าปี ไม่คิดถึงคนทางนี้บ้างเหรอคะ”
“อยู่อเมริกาก็เรียนหนักครับ พอจบปริญญาตรีก็ต้องทำงานด้วยเรียนต่อด้วย ไม่มีเวลาให้ทำอะไรอย่างอื่นเลย”
“แล้วนี่พี่นนท์จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยไหมคะ หรือว่าจะกลับไปเมื่อไร”
“กลับมาคราวนี้คงมาอยู่สักพักครับ เพราะว่าที่บ้านพี่กำลังจะย้ายไปอยู่อเมริกา มาคราวนี้ก็มาทำเรื่องโอนขายบ้านนิดหน่อย”
“ว้า อย่างนี้สาว ๆ โรงเรียนเราก็อกหักไปตาม ๆ กันน่ะสิคะ ว่าแต่ไปอยู่อเมริกาถาวรแบบนี้จะมีข่าวดีทิ้งท้ายไว้ใช้ชาวฟ้า-ขาวได้ร่วมยินดีล่วงหน้าหรือเปล่าคะพี่นนท์”
ชายหนุ่มร่างสูงอมยิ้มก่อนจะกล่าว “ก็...มีแพลนว่าจะแต่งงานต้นปีหน้าครับ”
สิ้นเสียงของณัฐนนท์ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นเกรียวกราวอีกครั้ง
“ฟังไว้นะคะสาว ๆ” พิธีกรสาวสวยกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่พิธีมอบรางวัลจะดำเนินต่อไป
อาทิตย์ทัศน์รู้สึกหูอื้อไปตั้งแต่ที่คนบนเวทีตอบคำถามข้อต้น ๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงมานั่งลงที่อัฒจรรย์ข้างสนามบาส แต่เสียงบนเวทีก็ยังคงดังชัดเจนและต่อเนื่อง
“ขวัญจะไปไหนน่ะ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจอมขวัญลุกพรวดพราดออกไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มบนเวทีกำลังเดินลงมา สีหน้าและแววตาเอาเรื่องแบบนั้นทำให้เขาอดที่จะรีบตามไปไม่ได้
ณัฐนนท์แวะคุยกับเพื่อน ๆ ของเขาที่โต๊ะก่อนจะพยายามมองหาใครคนหนึ่ง เมื่อไม่เห็นคนที่กำลังมองหา ชายหนุ่มจึงเดินถือโล่ห์รางวัลไปเก็บที่รถ
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าตรงหน้าของเขาคือสาวน้อย ‘จอมยุ่ง’ ที่ไม่ได้พบกันเสียนาน
“ขวัญใช่ไหม” เขาเอ่ยขึ้น
“สวัสดีค่ะพี่นนท์” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“อืม ไม่เจอกันนานเลยนะ” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะเหลือบมองคนตัวสูงที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล
“ใช่ค่ะ นานมาก นานพอที่จะทำให้เราลืมหลาย ๆ อย่างได้เลย”
ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้า “แล้วจ้าล่ะ จ้าไม่มาด้วยเหรอ”
“พี่นนท์ยังจำพี่จ้าได้ด้วยเหรอคะ”
“ขวัญหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ขวัญคิดว่าพี่นนท์ลืมว่ามีเพื่อนอย่างพี่จ้าไปแล้วเสียอีก”
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดประชดประชันพี่นะ บอกมาเถอะว่าจ้าอยู่ที่ไหน พี่อยากพบจ้า”
จอมขวัญจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกอยากจะได้ ‘พี่นนท์จอมกวนประสาท’ ของเธอกลับคืนมานับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งการพูดการจารวมถึงท่าทางที่ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน นั่นอาจเป็นเพราะฐานะทางสังคมและสภาพแวดล้อมที่ตีกรอบให้เขาต้องรักษาท่าทีอยู่ตลอดเวลา
“ไม่รู้ ขวัญก็ตามหาพี่จ้าอยู่เหมือนกัน”
ณัฐนนท์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหยอกเล่นกับ ‘ยัยจอมยุ่ง’ คนนี้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาเดินผ่านร่างบางไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ตฤณกรสบตาชายหนุ่มความสูงพอ ๆ กันที่กำลังจะเดินผ่านเขาไปแว้บหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาจอมขวัญที่ยังคงหันมาจ้องแผ่นหลังกว้างนั้นตาเขม็ง พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาทิตย์ทัศน์ถึงได้สร้างกำแพงสูงกั้นตัวเองเอาไว้
ณัฐนนท์เดินเลี่ยงเวทีงานคืนสู่เหย้าไปยังสนามบาสซึ่งอยู่หลังอาคารเรียน ก่อนจะเดินขึ้นไปบนอัฒจรรย์ที่ชอบมานั่งสมัยเรียน ตาคมสบประสานกับดวงตาหม่นเศร้าที่มองเขาจากฝั่งหนึ่งของอัฒจรรย์ ตาคู่สวยที่ไม่ได้เห็นมานานเหลือเกิน....
“จ้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” อาทิตย์ทัศน์ฝืนยิ้ม
“นาย...นายสบายดีใช่ไหม” เขากล่าวก่อนจะตัดสินใจนั่งลงที่อีกฟากของอัฒจรรย์
ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้า แม้จะนั่งห่างกันเท่ากับความยาวของอัฒจรรย์ แต่เขาก็ได้ยินคำถามนั้นชัดเจน “เราสบายดี แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้เราเป็นวิศวกรอยู่ที่ ENC” ณัฐนนท์ตอบ “ได้ข่าวจากเพื่อน ๆ ว่านายกลับไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยใช่ไหม”
อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า
“ขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย พอดีมันมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่าง”
“เราฟังที่นายตอบคำถามแล้ว เราเข้าใจทุกอย่าง นายไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วละ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว เรื่องราวทั้งหมดเขาได้ฟังจากเสียงสัมภาษณ์บนเวทีไปแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องถามหรืออธิบายกันอีกต่อไป แค่การตอบคำถามสั้น ๆ เมื่อสักครู่ก็ช่วยไขข้อข้องใจตลอดสิบเอ็ดปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ณัฐนนท์เม้มปาก สองมือที่วางอยู่บนหน้าขายังคงกำแน่น เขาใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“เราไม่เคยลืมสัญญานะ ไม่เคยลืมมันแม้แต่วินาทีเดียว” ดวงตาที่เคยแข็งกร้าววูบหม่นลงเล็กน้อย “คงเป็นเพราะเวลาที่ทำให้เราโตขึ้น ต้องคิดอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น การจะตัดสินใจรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่เรื่องของเรากับเขา มันไม่ใช่แค่คนสองคน แต่มันมีคนอื่นที่เราต้องนึกถึงอีก มันมีรายละเอียดอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง นายเข้าใจที่เราพูดใช่ไหม”
“เราเข้าใจ”
“นายไม่โกรธเราใช่ไหม ถ้าเราจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้” มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะกลับมาพูดกับคนตรงหน้าให้ได้ในสักวันหนึ่ง รู้ดีว่าตัวเองผิดเหลือเกินที่ปล่อยให้เวลามันผ่านเลยมานานเช่นนี้ คำสัญญาในวันนั้นยังคงพันธนาการที่มองไม่เห็นซึ่งผูกมัดตัวเขาเองกับใครอีกคนเอาไว้ แต่เมื่อหลายสิ่งกดดันให้ต้องตัดสินใจเลือกเขาก็ต้องเลือก และต้องเลือกในสิ่งที่คิดว่า ‘เหมาะสม’ นี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องกลับมาเพื่ออาศัยโอกาสนี้คลายปมปัญหาทั้งหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยแต่เพราะการได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เขาได้มีโอกาสพบปะผู้คนมากมายในวงสังคม ทั้งนักการทูต นักธุรกิจ และนี่ก็คือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพอใจและตัวเขาเองก็ค่อนข้างพอใจ ณัฐนนท์ค่อย ๆ เติบโตขึ้นในหน้าที่การงานตลอดช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เขาถูกแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวนักการทูตท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของพ่อและมีโครงการจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้ ทั้งหมดนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของความคิดทั้งหมด มันคือสิ่งที่อาทิตย์ทัศน์รับรู้มาโดยตลอดจากเพื่อน ๆ ที่ยังติดต่อกันอยู่ มีแต่เขาเองเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอ....
มันไม่ใช่การรอเพื่อจะขอความเห็นใจ...
ไม่ใช่การรอด้วยความหวังที่ว่า สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะจบลงด้วยความสมหวัง...
แต่มันเป็นการรอที่จะได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากของณัฐนนท์
“ขอโทษ...ที่ทำให้รอ”
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองคนที่นั่งไกลออกไป ดีเหลือเกินที่ณัฐนนท์เลือกนั่งอยู่ตรงนั้น เพราะหากชายหนุ่มเข้ามานั่งใกล้กว่านี้เขาคงได้เห็นม่านน้ำตาที่กำลังกลบตาคู่นี้
“ไม่เป็นไร นายทำในสิ่งที่นายเลือกให้ดีที่สุดเถอะ ขอบคุณมากที่บอกให้เรารู้ในวันนี้”
“ขอบใจนายมากนะจ้า”
ณัฐนนท์พยักหน้าก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนเมื่อรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่น “เราต้องไปแล้วนะ” เขากล่าวก่อนจะก้าวลงจากอัฒจรรย์ไป....
จอมขวัญและตฤณกรมองดูชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนอัฒจรรย์ด้วยความเป็นห่วง เขานั่งอยู่ตรงนั้นมาร่วมชั่วโมง ที่เวทีไม่มีการแสดงแล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนเพิ่งกล่าวปิดงานไปเมื่อสักพักใหญ่ ๆ บรรดาคนที่มาในงานคืนสู่เหย้าต่างก็กำลังทยอยกันกลับ เสียงเป่านกหวีดของพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ลานจอดรถด้านนอกโรงเรียนดังแข่งกันเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ไฟประดับเวทีค่อย ๆ ดับลงทีละดวง
“ขวัญกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่งจ้าเอง” ตฤณกรเอ่ยขึ้นหลังจากก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่ง
หญิงสาวพยักหน้า “ขวัญฝากพี่จ้าด้วยนะคะ”
ตฤณกรยังคงยืนมองอาทิตย์ทัศน์อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไป คนตัวสูงก้าวขึ้นไปบนอัฒจรรย์ก่อนจะนั่งลงใกล้ ๆ
อาทิตย์ทัศน์เหลือบมองคนที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ เล็กน้อยด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ น้ำตาที่ฝืนเอาไว้เมื่อตอนอยู่ต่อหน้าณัฐนนท์กลับเหือดหายทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“คุณอยากร้องไห้ไหม” ตฤณกรเอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณอยากร้อง คุณร้องกับผมได้นะ ไหล่ของผมมันเป็นเครื่องเก็บเสียงอย่างดีเลยละ” คนตัวสูงยิ้ม
“เงื่อนไขในการใช้งานผมก็คือถ้าคุณร้องไห้กับผมแล้วห้ามกลับไปร้องไห้ที่บ้านอีก ตกลงไหม”
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มตรงหน้า พยายามจะมองเขาให้ชัด ๆ แต่ม่านน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับทำให้ภาพทุกอย่างมัวไปหมด เขาโผเข้ากอดคนตัวใหญกว่าที่กำลังอ้าแขนรอรับพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่ของเขา
ตฤณกรเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นจับที่ศีรษะของคนในอ้อมกอด ในขณะที่อีกมือยังคงลูบหลังเขาเบา ๆ
“ไม่เป็นไรนะ” มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถจะพูดได้ในตอนนี้
เวลาผ่านไปนานทีเดียวที่อาทิตย์ทัศน์ยังคงสงบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่กลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเมื่อไหล่ข้างขวาของตฤณกรชุ่มไปด้วยน้ำตาและร่างเล็กเองก็พยายามอย่างเต็มกำลังเหลือเกินที่จะฝืนตัวเองไม่ให้สะอื้นออกมา...
....
“เป็นยังไงบ้างครับคุณป้า” ตฤณกรถามหญิงวัยกลางคนที่เดินถือกะละมังใส่น้ำลงมาจากบันได
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ แค่มีไข้นิดหน่อย ก่อนลงมาป้าให้ทานยาลดไข้ป่านนี้คงหลับไปแล้วละ”
“สงสัยเป็นเพราะเมื่อคืนตากน้ำค้าง” ตฤณกรกล่าว
“ป้าขอบใจตังมากนะจ๊ะที่อยู่เป็นเพื่อนจ้าให้”
“ไม่เป็นไรครับ” คนตัวสูงที่ดูอิดโรยยิ้มจาง ๆ
“ตังจะทานอะไรหน่อยไหม ป้าจะทำให้ทาน”
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมกลับคอนโดดีกว่า”
“จ้ะ” อรนุชพยักหน้าเข้าใจ
จอมขวัญรับอาสาขับรถมาส่งตฤณกรที่คอนโด ระหว่างทางเธอขับผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่เธอและอาทิตย์ทัศน์คุ้นเคยเป็นอย่างดี มันถูกปล่อยร้างมานาน หญิงสาวมองเข้าไปในบ้านเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่
“ถึงแล้วเหรอ” ตฤณกรลืมตาขึ้นพร้อมกับกล่าวอย่างงัวเงียเมื่อรู้สึกได้ว่ารถหยุด
“ยังหรอกค่ะพี่ตัง” หญิงสาวกล่าวขณะมองเข้าไปในบ้าน เธอเห็นณัฐนนท์กำลังยืนคุยอยู่กับคนพวกนั้น ที่ข้าง ๆ กันมีสาวน้อยนางหนึ่งกำลังยืนเกาะแขนเขาอยู่ไม่ห่าง
“ขวัญไม่คิดเลยว่าพี่นนท์จะใจร้ายได้ขนาดนี้ ปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยมาขนาดนี้ได้ยังไงกัน มันน่าโมโห” สาวน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “พี่จ้าเองก็พอจะรู้ข่าวพี่นนท์จากเพื่อน ๆ อยู่บ้างนะคะไม่ใช่ไม่รู้ แต่ก็ยังรอ เพียงแค่อยากจะฟังจากปากของพี่นนท์”
“เขาก็คงมีเหตุผลของเขานั่นแหละขวัญ บางทีถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขา เราก็อาจจะทำแบบที่เขาทำก็ได้นะ ช่างเขาเถอะ เราคิดแต่เขาไม่ได้คิด ก็จะมีแต่เรานี่แหละที่ไม่สบายใจอยู่ฝ่ายเดียว พี่ว่าจ้าเองก็คงไม่อยากคิดเรื่องนี้อีกแล้วละ”
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะออกรถพร้อมกับทิ้งความทรงจำดี ๆ ที่มีต่อพี่ชายคนหนึ่งของเธอเอาไว้ตรงนี้....
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาหลายวันแล้ว อาทิตย์ทัศน์พบว่าตฤณกรไม่ได้มาที่บ้านเขาอีกเลย ไม่มีแม้โทรศัพท์หรือข้อความใด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง....
“วันนี้อาจารย์ชนะชัยมาคนเดียวเหรอวะ” หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาที่นั่งรีทัชภาพถ่ายอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เอ่ยขึ้น
“เออใช่ วันนี้อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้มา เดี๋ยวบ่ายอาจารย์ชนะชัยคงมาถึง พวกนายอย่าลืมเตรียมสมุดประจำตัวไว้ให้อาจารย์เซ็นต์ด้วยล่ะ”
เสียงพูดคุยกันของนักศึกษาฝึกงานทำให้ตฤณกรต้องละสายตาจากงานตรงหน้า หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าใครบางคน
“ชื่อคุณหมายถึงดวงอาทิตย์ใช่ไหม”
“ใช่” อาทิตย์ทัศน์ตอบ เขายังคงยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับหายไประหว่างยอดตึกจากบนสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ เครื่องบินลำหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าไม่มีใครรู้ว่าเครื่องบินลำนั้นกำลังจะบินไปที่ไหน ตาคมก้มมองแว่นสายตากรอบสีดำในมือ หูยังคงได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังเป็นระยะ ๆ
“แล้วชื่อคุณล่ะ”
“แปลว่าต้นหญ้า” ตฤณกรกล่าว “กล้องดิจิตัลก็ดีเหมือนกันนะ ถ่ายเสร็จก็ดูรูปได้เลย ไม่ต้องไปล้างฟิล์มให้เสียเวลา”
“แล้วทำไมคุณยังใช้กล้องแมนนวลอยู่ล่ะ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปสบตาคนตรงหน้า เพิ่งจะได้เห็นดวงตาที่ปราศจากแว่นสายตาของเขาชัด ๆ
“ผมชอบวาดรูปมากกว่า เราได้อยู่กับมันในทุกรายละเอียด อีกอย่างผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไรก็เลยไม่อยากเปลี่ยน นาน ๆ จะหยิบออกมาถ่ายเสียที เวลาจะถ่ายก็ต้องคิดก่อนจะขึ้นฟิล์มคิดเสมอว่ารูปที่ถ่ายออกมามันต้องเป็นรูปที่เราพอใจที่สุด ส่วนคนที่ใช้กล้องดิจิตัลจะกดกี่ทีก็ได้ ภาพไหนไม่ชอบก็ลบทิ้งไปมีภาพให้เลือกตั้งเยอะ”
“ผมวาดรูปไม่เป็น ผมก็เลยชอบถ่ายรูป” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น
“ถ้าอยากวาดเป็นเดี๋ยววันหลังผมสอนให้” ตฤณกรยิ้มก่อนจะเล็งกล้องไปที่คนที่ยืนเท้าแขนกับแผงกั้นพร้อมกับกดชัตเตอร์
“สบายใจขึ้นหรือยัง” เขาถามเมื่อลดกล้องลง
อาทิตย์ทัศน์ละสายตาจากท้องฟ้าก่อนจะพยักหน้า “คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงมารอผมที่นี่”
“ช่วงนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะอยากอยู่คนเดียว ก็เลยไม่ได้แวะไปที่บ้าน ผมไม่อยากจะอาศัยเหตุการณ์นี้สร้างโอกาสให้ตัวเอง” ตฤณกรกล่าวก่อนจะคืนกล้องให้อาทิตย์ทัศน์พร้อมกับรับแว่นสายตาในมือของเขามาสวมเหมือนเดิม
“แค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะบอกผม” คนตัวเล็กกล่าวก่อนจะเก็บกล้องลงกระเป๋า
ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้ม ไม่นานแสงไฟจากหน้าขบวนรถไฟฟ้าก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ อาทิตย์ทัศน์เดินไปยืนรอรถไฟฟ้าข้าง ๆ คนตัวสูง เมื่อเห็นรถกำลังจะเข้าเทียบชานชลาตฤณกรจึงขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อไม่ให้ขวางทางคนที่จะออกจากขบวนรถ
ใกล้เสียจนอาทิตย์ทัศน์รู้สึกได้ถึงไออุ่น ๆ จากหลังมือของคนข้าง ๆ ที่สัมผัสกับหลังมือของตัวเอง
คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองคนข้าง ๆ เล็กน้อย เขายังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยดวงตามุ่งมั่น ริมฝีปากหยักได้รูปค่อย ๆ ขยับขณะที่รถไฟฟ้ากำลังเข้าจอดเทียบชานชลา
“ผมไม่ได้เป็นท้องฟ้าหรอกนะ แต่ถ้าวันไหนคุณต้องการต้นหญ้าเอาไว้เอนตัวลงนอนมองท้องฟ้าละก็ ผมอยู่ตรงนี้ สัญญาว่าจะรอคุณอยู่ตรงนี้” เขากล่าวก่อนจะก้าวเข้าไปยืนข้างในรถไฟฟ้าเมื่อประตูเปิดออก แม้รอบตัวจะอื้ออึงไปด้วยเสียงผู้คนและเครื่องจักร แต่คำพูดของเขากลับชัดเจนในความรู้สึกของคนฟัง
ร่างสูงหันกลับมาช้า ๆ เขายังคงยิ้มบาง ๆ เพียงไม่นานสัญญาณเตือนปิดประตูก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงประตูที่ถูกปิดลงจนในที่สุดรถไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไป....
.......
เพลงประกอบละครที่พูดถึงในตอนนี้ คือ เพลงประกอบละครลัดฟ้ามาหารักนะคะ
ถ้าใครคุ้น ๆ แสดงว่าอยู่ร่วมสมัยกับจ้าและตัง (รวมถึงคนเขียน) แน่ๆ
รีบเขียนก่อนจะไม่เจอกันยาวค่ะ ไม่งั้นคาใจคนเขียนคาใจคนอ่าน
จบตอนนี้แล้วขออนุญาตพักยาวไปปฏิบัติภารกิจก่อนนะคะ เจอกันหลังปีใหม่ค่ะ
ขอบคุณค่ะ ^^
ปล. ตังบอกว่า ถึงหน้าตาตังจะหล่อ แต่หัวใจตังหล่อกว่า