บทที่ ๑๒
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำมาตั้งแต่ยามเช้า จนเวลาล่วงเลยเป็นยามสาย หมู่เมฆบนท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาหม่นครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง เหมือนจะบอกให้รู้ว่า สายฝนจะยังคงโปรยปรอยอยู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง
“พี่ป๊อบทำมิวสิคเหรอคะ” สาวิตรีอมยิ้ม
“อะไรของแก มิวสิคอะไร” ปรมินทร์ที่เหม่อมองออกไปนอกกระจกหันกลับมา
“ก็เหมือนพระเอกมิวสิควีดีโอไง พอเห็นฝนตกก็เหม่อลอยคิดถึงใครก็ไม่รู้ เนอะพี่บัว” หญิงสาวหันไปถามบุณฑริกที่นั่งอยู่ข้างๆ
“นั่นสิ สงสัยเป็นเอามาก ข้าวปลาไม่ยอมกิน” บุณฑริกส่งสายตาล้อเลียน
ปรมินทร์ส่งสายตาดุ ๆ ให้คนทั้งสองก่อนจะตักข้าวในจานเข้าปาก บุณฑริกและสาวิตรีหันไปยิ้มให้กันแล้วจัดการกับอาหารเช้าต่อ วันนี้เป็นข้าวผัดอเมริกันสีแดงสวยด้วยซอสมะเขือเทศ แซมด้วยสีเขียวของถั่วลันเตาและสีดำของลูกเกด ในจานยังมีน่องไก่ทอด เบค่อนชิ้นโตที่ทอดเกรียมเล็กน้อย และไส้กรอกชิ้นเล็กๆอีกหลายชิ้น แซมด้วยใบผักกาดหอมและแตงกวา ทำให้อาหารในจานมีสีสันขึ้นมาก
ติ๊ง ... ต่อง เสียงจากประตูร้านเมื่อมีคนเข้ามาดังขึ้น
“หู ... น่ากินนนน” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงขยับเก้าอี้ว่างข้างปรมินทร์ออกมานั่ง พร้อมกับวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะข้าง ๆ
“น้องนกมาไวจัง เห็นฝนตกนึกว่าจะมาช้าซะอีก” สาวิตรีส่งเสียงทักทาย
“สงสัยจะรู้ว่ามีคนคิดถึงเลยรีบมามั้ง” บุณฑริกรีบพูดต่อ แล้วส่งยิ้มกวน ๆ ให้ปรมินทร์
“หือ” ชนกทำหน้างง “ฝนมันตกเพราะกบมันร้อง เอ๊ย...” ใบหน้ายิ้มร่าเปลี่ยนเป็นอมยิ้มเมื่อเห็นปรมินทร์ส่งสายตาดุ “ฝนมันตกเลยมีคนมาส่งอะ”
“ใครมาส่งคะ แล้วคนส่งไปไหนแล้วล่ะ” “สาวิตรีเลิกคิ้ว
“ปล่อยเสร็จแล้วก็ไปแล้วมั้ง” ปรมินทร์พูดแล้วใช้มีดหั่นน่องไก่เป็นชิ้นเล็ก ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มเข้าปาก
“โหยลุงไม่ใช่หมานะ นี่เด็กน้อย...ใส...ซื่อ...น่ารัก...ไร้เดียงสา” พูดพลางทำหน้าบ้องแบ้ว จนทุกคนต้องกลั้นหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่ปรมินทร์ “ว่าแต่เด็กน้อยอยากกินเบคอนอะ”
สาวิตรีรีบใช้ส้อมจิ้มเบคอนทอดชิ้นใหญ่เข้าปากทันทีที่ได้ยิน ส่วนเบคอนในจานของบุณฑริกนั้นหมดไปตั้งแต่ชนกยังไม่มา จึงเหลืออยู่แต่ในจานของปรมินทร์ แต่ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจ จนชนกขยับตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“อยากกินเบคอนอะ” ชนกพูดเบา ๆ น้ำเสียงออดอ้อน
สาวิตรีรู้สึกขำ แต่ก็กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง หญิงสาวคิดในใจว่าปรมินทร์คงต้องดุชนกด้วยความรำคาญเป็นแน่ แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มอมยิ้มพลางใช้ส้อมจิ้มชิ้นเบคอนทอดในจาน ส่งเข้าปากเด็กหนุ่มที่เหมือนจะรู้ จึงอ้ารอไว้แต่แรก
“หย่อยจัง” ชนกพูดพลางเคี้ยวเบคอนอย่างเอร็ดอร่อย
ติ๊ง ... ต่อง เสียงทางหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง
“กวนอะไรชาวบ้านอีกละ ตานก” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามา ร่มในมือที่พับเรียบร้อยถูกวางพิงผนังไว้ ชายหนุ่มลากเก้าอี้จากโต๊ะข้าง ๆ มานั่งลงชิดกับชนก “สวัสดีครับ ทานมื้อเช้ากันอยู่เหรอครับนี่”
ชนกเอนตัวพิงร่างของชนินทร์ทันทีที่ชายหนุ่มนั่งลง ชนินทร์ระบายยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะยกแขนขึ้นโอบไหล่ของเด็กชายไว้อย่างสนิทสนม
“ที่แท้คุณนินทร์มาส่งนี่เอง ขยันจริงนะคะ” สาวิตรีแซว
“ไม่ได้ขยันหรอกครับ แต่ถ้าไม่มาส่งโดนกวนจนไม่ได้ทำอะไรแน่ แล้วนี่เคี้ยวอะไรอยู่ในปาก” ชนินทร์ตอบหญิงสาวแล้วถามชนกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเคี้ยวอะไรอยู่ในปาก
“เบคอน ลุงป๊อบให้” ชนกตอบพลางหันไปยักคิ้วข้างหนึ่งให้ชนินทร์
“อะไร เมื่อกี้ก่อนมาก็กินไปตั้งหลายชิ้น ทั้งเบคอน ทั้งไส้กรอก ยังมาแย่งเขากินอีก” ชนินทร์ทำเสียงดุ แต่ยิ้มอยู่ในหน้า
“เห็นแล้วก็อยากกินอีกนี่นา” ชนกหันมาเถียง ชนินทร์ยกมืออขึ้นมาหยิกแก้มเด็กหนุ่มด้วยความมันเขี้ยว
“ยังกะพ่อลูกหยอกกันเลยเนอะพี่บัว” สาวิตรีหันไปพูดกับบุณฑริกที่กำลังรวบช้อนส้อม
“โห ถ้าผมมีลูกโตเท่านี้ ก็แปว่าผมมีลูกตั้งแต่สิบสี่ละสิ” ชนินทร์ยิ้มให้หญิงสาว
“ถ้างั้นคุณนินทร์ก็สามสิบกว่าแล้วสิคะ แหม ... สาละนึกว่าเพิ่งจะยี่สิบปลายๆ” สาวิตรียิ้มขัน
“ผมเพิ่งจะยี่สิบแปดนะครับ ยังไม่สามสิบ” พูดพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อ้าว ... งั้นนายนกนี่เท่าไหร่ล่ะ ไม่ใช่สักสิบเจ็ดสิบแปดเหรอ” บุณฑริกถามด้วยความสงสัย
ชนกกับชนินทร์หันมองหน้ากันก่อนจะพากันหัวเราะ
“ตอนรับนายนกทำงาน พวกคุณไม่ได้ถามอายุเหรอครับ” ชนินทร์หันไปถามปรมินทร์
“เปล่า เห็นตัวโต ๆ หน้าแก่ ๆ ก็คิดว่าน่าจะสิบเจ็ดสิบแปด อย่าบอกนะว่ายี่สิบกว่าแล้ว” ปรมินทร์พูดเสียงกระด้าง แต่ดวงตาทอแววขี้เล่นออกมา
“โห ... ลุงป๊อบอะ ใจร้ายชะมัด หาว่าเรายี่สิบกว่า” ชนกทำหน้างอใส่ชายหนุ่ม
“นายนกนี่ สิบสี่แล้วครับ” ชนินทร์บอกกลั้วหัวเราะ ยกมือขยี้ปอยผมบนหัวเด็กหนุ่มเล่น “มีเรื่องไปเผาให้ป๊ะกับมะฟังอีกเรื่องแล้ว”
“ม่ายอะ อย่าเอาไปเผานะ” ชนกพูดพลางเอานิ้วจี้ซอกแขนชายหนุ่ม จนชนินทร์ต้องร้องห้ามด้วยความจักจี๋ สุดท้ายก็ต้องใช้แขนรวบตัวชนกมากอดไว้ นั่นแหละชนกจึงหยุด แต่ก็ยังไม่วายเงยหน้างับคางของชายหนุ่มเล่นเบาๆ ทำให้คนที่นั่งอยู่อีกสามคน มองดูสายตาแสดงความรู้สึกต่างกัน
“แล้วตกลงคุณเป็นอะไรกับนายนก เห็นสนิทกันจริง” ปริมนทร์ถามด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
“อ้าว นึกว่าพวกคุณรู้กันแล้วซะอีก เห็นพวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เหรอครับ” ชนินทร์พูดพร้อมกับกอดชนกแน่นขึ้นอีก จนชนกเริ่มโวยวาย
“ตาลุง หายใจจะไม่ออกแหล่ว ... อ๊อก ๆ”
“ไอ้จอมกวนเอ๊ย หัดเรียกพี่เหมือนน้องชาวบ้านเขาไม่ได้หรือไง ฮ่า ๆๆ” ชนินทพูดแล้วก็ออกแรงรัดตัวชนกแรงมากขึ้น จนเด็กหนุ่มต้องถีบขาไปมา