3
3.2
"เจอกันอีกครั้งแล้วนะครับดาร์ลิ้ง ผมชื่อซีนอน”ผมมองคนข้างหน้าตาค้างอีกรอบ ผมรู้สึกร้อนที่หน้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอายหรือโมโห
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้สรรหาคำมาประเคนใส่คนตรงหน้า หางตาผมเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวไวๆ ห่างออกไปจากที่ผมอยู่ไม่กี่บล๊อค
“หันหลัง เร็วๆ” ผมออกคำสั่งกับไอ้ฝรั่ง มันออกจะดูงงๆ เลยยืนนิ่งไม่ยอมทำตาม
“บอกให้หันหลังไง เร็วๆ!!” ผมพูดอีกรอบคราวนี้ดึงเสื้อคนตรงหน้าให้หันหลังด้วย ใช้น้ำเสียงที่แข็งขึ้นเพราะจะพูดเสียงดังก็ไม่ได้ ไอ้ฝรั่งยังคงงงเหมือนเดิมแต่ก็ยอมทำตาม ด้วยความสูงของผมที่ไม่ต่างกับมันมากไม่เกินสิบเซน ผมจึงกดหัวมันให้ย่อต่ำแล้วขึ้นขี่หลังมันทันที
“พวกมันวนกลับมา เร็วเข้า” โชคดีที่ซีนอนอะไรนั่นรับผมที่จู่ๆก็กระโดดขึ้นหลังได้ทัน ผมตบไหล่มันสองสามทีแล้วชี้ไปที่ทางเข้าขึ้นลิฟท์
ที่ผมต้องทำอย่างนี้เพราะรู้ตัวดีว่าสภาพแผลตอนนี้คงไม่น่าดูเท่าไหร่ แล้วมันก็เจ็บเกินกว่าที่ผมจะเดินเองได้ด้วย คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด ผมได้แต่กัดปากทั้งเจ็บแผลทั้งเจ็บใจเลยโว้ย
ซีนอนค่อยๆเดินหลบจนมาถึงลิฟท์ที่ไม่นานประตูก็เปิดออก
ร่างโปร่งที่อยู่บนหลังเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ หมอกพยายามล้องหยิบคีย์การ์ดซึ่งจำเป็นต้องใช่จึงจะกดลิฟท์ได้ แต่ดูเหมือนมือจะไม่ค่อยทำตามคำสั่งสักเท่าไหร่
“โธ่เว้ย!..มึง คีย์การ์ด..กระเป๋า...กางเกง...ชั้น..29....”
ผมเร่ง เพราะรู้ดีว่าตัวเองเริ่มไม่ไหวแล้ว ภาพที่ผมมองเริ่มเบลออีกรอบ ก่อนจะดับมืดลงไปในที่สุด
Xenonรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ซึมมาถึงหลังผม คนบนหลังผมก็เริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อยๆแถมยังอืมอำไม่เป็นภาษา ผมได้แต่ร้อนใจอยากให้ลิฟท์เต่านี่ถึงชั้น 29 ซักที
สักพักประตูลิฟท์ก็เปิดออก โชคดีที่ลิฟท์ตัวนี้เป็นลิฟท์ของห้องเพนท์เฮ้าส์ซึ่งทั้งชั้นจะมีอยู่เพียงห้องเดียว ผมเลยไม่ต้องหาห้องให้วุ่นวาย
ออกมาจากลิฟท์ก็เจอประตูห้องอีกชั้น ผมใช้คียการ์ดแนบอีกรอบ แต่มันดันต้องใส่รหัสด้วยทำให้กว่าผมจะเค้นถามรหัสได้ก็เสียเวลาไปพอสมควร จนผมคิดจะพังประตูมันให้รู้แล้วรู้รอด
แต่อย่างน้อยผมก็เบาใจว่าที่นี่คงปลอดภัยระดับหนึ่ง
พอเข้าถึงในห้องผมก็รีบหาห้องนอนและวางหมอกลงบนเตียง
ร่างโปร่งซีดเซียวมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ที่ร้ายกว่านั้นคือรอยแดงของเลือดที่ซึมออกมาจนทะลุผ้าเต็มไปหมดซึ่งผมก็จัดแจงปฐมพยาบาลอีกรอบ ก่อนจะรีบกดปุ่มโทรออกทันที
“หมอ รีบมาที่......... ด่วนที่สุด เข้าใจไหม เอาอุปกรณ์มาด้วย” ซีนอนพูดอย่างร้อนรน ปลายสายที่ดูจะตกใจกับน้ำเสียงดังกล่าวก็ได้แต่รีบเก็บของและทำตามคำสั่งอย่างเร็วที่สุด
ผมได้แต่คอยเช็ดตัวซับเหงื่อที่ออกไม่ยอมหยุดให้หมอก หน้าสวยของคนตรงหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มใจไม่ดี สลับกับดูนาฬิกาแทบจะทุกหนึ่งนาที ใจผมตอนนี้มันอยู่ไม่สุกมากๆ เพิ่งจะได้เจอกันอีกครั้งก็กลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ ผมยอมรับว่าผมเป็นห่วงคนๆนี้อย่างน่าประหลาด
ตอนผมเจอหมอกครั้งแรก ผมแค่ขับรถผ่านหน้าตึกเรียนของเด็กคณะวิศวะ ทั้งๆที่แถวนั้นผมแทบไม่เคยไปเลย เพราะมันอยู่ไกลจากคณะที่ผมต้องไปเป็นโยชน์ แทบเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฝั่ง แป๊ปเดียวแค่ตอนที่รถกำลังวิ่งอยู่ ผมเห็นเค้าแค่กำลังนั่ง นั่งอยู่เฉยๆตรงลานหน้าคณะ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย หรือทำตัวให้เป็นที่สนใจ ผมก็ไม่เข้าใจทั้งๆที่คนบริเวณนั้นมีเยอะแยะ เด็กวิศวะนั่งทำกิจกรรม ต่อหุ่นยนต์ ทำรายงาน จับกลุ่มคุย แต่ผมดันเห็นแค่เค้า เด็กเรียบร้อยหน้าตาธรรมดา ใส่แว่น นั่งเงียบๆในวงล้อมเพื่อนๆที่กำลังเฮฮาอยู่
แค่แวบเดียว แต่แปลกที่ผมกลับจำได้ชัดเจน...หมอก คนที่ดูธรรมดาๆ แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น น่าค้นหา อยากรู้จัก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก....สนใจ คนๆนึงเข้าอย่างจัง
นับจากวันนั้นผมก็เฝ้าสังเกตุเค้าอยู่ห่างๆ
นี่..อย่าเพิ่งมองว่าผมโรคจิตสิ จนรู้ว่าหมอกชอบไปแอบหลับที่ตึกหลังแปลงเกษตรบ่อยๆ
กระทั่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมก็เข้าไปในอาคารหลังแปลงเกษตรตามปกติ นั่งอยู่หลังหน้าต่างที่สามารถเห็นบริเวณหลังอาคารอย่างชัดเจน แต่ผมไม่เห็นหมอก แปลก..เพราะปกติเค้าต้องมาแอบนั่งเงียบๆที่นี่ประจำ ครั้งแรกที่ผมเห็นเค้าใกล้ๆเป็นตอนที่เขานั่งสูบบุหรี่ ตอนแรกก็ตกใจอยู่เห็นท่าทางเรียบร้อยๆ ..หึหึ นั่นยิ่งทำให้ผมสนใจเข้าไปอีก ใบหน้าเรียวตอนไร้แว่นนั่นยิ่งสะกดผมอย่างจัง
อยากเก็บไว้ดูคนเดียว..
เวลาผ่านไปจนนานผิดปกติผมเลยตัดสินใจเดินอ้อมไปดูหลังตึก เห็นหลังไวๆของคนใส่ชุดดำท่าทางแปลกๆ ความรู้สึกไม่ดีทำให้ผมรีบเดินมากขึ้น ภาพที่หมอกนอนคุดคู้มิอกุมท้องที่ทีเลือดไหลออกมาไม่หยุดทำให้ผมใจเสีย
...หมดสติไปแล้ว..
ผมรีบเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองกดแผลห้ามเลือดเอาไว้ ฉีกเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาพันรอบเอวไว้ลวกๆ หน้าซีดๆนั่นยิ่งทำให้ผมลนเข้าไปใหญ่ มือรีบกดโทรศัพท์หาลูกน้องให้เอารถมารับ ผมนั่งกดแผลอยู่อย่างนั้น
ไม่กี่นาทีรถโรสลอยด์สีดำสนิทก็มาถึง ชายฉกรรจ์สองคนคนหนึ่งดูมีอายุนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะร่างกายดูแข็งแรง ทั้งสองรีบกุลีกุจอลงจากรถ
นี่นับเป็นเรื่องแปลกของพวกเขา เพราะเจ้านายของพวกเขาคนนี้ ไม่ชอบการมีลูกน้องคอยติดสอยห้อยตาม แต่กลับโทรเรียกอย่างเร่งด่วนด้วยน้ำเสียงรีบร้อนแบนานๆจะมีที
ภาพที่เห็นต่างพาให้พวกเขาล้วนแปลกใจ ไม่ใช่ภาพคนนอนสลบมีคราบเลือดเลอะเทอะเต็มเสื้อผ้า แต่เป็นภาพเจ้านายของเขาอุ้มคนนั้นเดินมาอย่างระมัดระวังมากกว่า
ทุกคนต่างสงสัยกันว่าเด็กหนุ่มที่สลบอยู่นั้นเป็นใคร ไม่มีใครเคยเห็นหน้า แต่ก็ได้แต่เงียบไม่ถามออกไป
ระหว่างเดินทางพวกเขาต้องเร่งความเร็วเต็มที่ตามคำสั่ง การที่เห็นเจ้านายตัวเองนั่งปฐมพยาบาลให้เด็กคนนั้นอย่างตั้งใจนับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ในชีวิต
แต่เรื่องมันชักจะแปลกใหม่เกินรับไหวเพราะเมื่อถึงรพ. เจ้านายของพวกเขายังต้องการให้เจ้าของเคสเป็น ผอ. รพ. คุณวรินทร์ หมอศัยลฯมือหนึ่งของที่นี่เท่านั้นอีกด้วย ซึ่งปกติแล้วหมอวรินทร์จะไม่ค่อยรับเคสผ่าตัดบ่อยเท่าไหร่แล้ว เน้นไปทางด้านบริหารมากกว่า เล่นเอาวุ่นวายไปทั้งรพ.
แต่เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนขอมาทุกอย่างก็ดำเนินการไปอย่างเรียบร้อย ด้วยความสนิทสนมของตระกูลคุณเวหา กับทางรพ. ดูท่าพอจบเรื่องนี้คงต้องหาข้อมูลเรื่องคนที่เจ้านายพวกเขาพามากันอย่างละเอียด
การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อยตอนนี้หมอกกำลังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพักพิเศษของรพ.ก่อนที่ทางรพ.จะโทรไปแจ้งญาติ ซีนอนก็ขอเข้าไปเยี่ยมก่อน ใบหน้าของหมอกยังคงซีดเซียวแต่ก็ถือว่าดีขึ้นแล้ว
หมอบอกว่าหมอกอาจจะหลับนานสักนิดเพราะร่างกายอ่อนแอขาดการพักผ่อน พอคิดไปถึงว่าใครเป็นคนมาทำร้ายหมอกของเขา ก็พาลให้หงุดหงิด ดูจากรูปการแล้วไม่น่าจะเป็นนักเลงทั่วๆไป เขาสั่งให้ลูกน้องตามสืบเรื่องนี้อย่างลับๆอีกทาง ถ้าเป็นคนในวงการเดียวกับเขาก็คงจะต้องเกรงใจกันบ้าง
คิดได้ดังนั้นซีนอนเลยถอดสร้อยข้อมือของตัวเองออกส่งให้ช่างดัดแปลงอย่างเร่งด่วนโดยทำให้ถอดด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้แถมด้วยสลักชื่อเขาลงไปอีก ก่อนบรรจงใส่ให้ข้อมือบางอย่างทะนุถนอม ใจจริงแล้วเขาอยากเฝ้าอยู่จนหมอกฟื้น เพื่อจะได้สร้างความใกล้ชิดไปอีกขั้น แต่เพราะมีโทรศัพท์ด่วนเข้ามาจากบ้านใหญ่ ทำให้เขาต้องกลับไปก่อน อดที่จะเสียดายไม่ได้แต่ก็เบาใจอย่างน้อยเขาก็ได้มอบจองสำคัญไว้ให้ก่อนแล้ว
และวันนี้ที่เขาได้เจอหมอก เรียกว่าบังเอิญก็คงเว่อร์ไปหน่อย เพราะตอนแรกเขาแค่จงใจขับรถผ่านคอนโดนี้เฉยๆ(?) แต่ดันเห็นคนทำท่าทางลับๆล่อๆอยู่ข้างคอนโดเลยเอะใจลงไปดูและเหตุการ์ณก็เป็นไปตามนั้น
ไม่ถึง15นาทีหลังจากวางสายเสียออดประตูก็ดีงขึ้น ซีนอนหลุดจากภวงค์และรีบไปเปิดประตูทันที
“ไหน มึงเป็นอะไร!!” ไอ้หมอรีบถามอย่างลุกลี้ลุกลน และยิ่งเห็นผ้าขนหนูเปื้อนเลืดที่มือผม มันก็ยิ่งดูจะสติแตกเข้าไปใหญ่
“ไม่ใช่กู ตามมาเร็ว” ผมรีบเดินนำหมอเซนต์มาในห้อง ตอนที่มันเห็นหน้าหมอกก็ดูจะงงอยู่นิดหน่อย แต่พอเห็นแผลของหมอกก็รีบถลาเข้าไปดูอาการทันที
“แย่ละมีไข้ด้วย สงสัยจะติดเชื้อ” ไอ้หมอพึมพัม และรีบมันผมยาวๆของตัวเอง ก่อนเปิดกระเป๋าอุปกรณ์และเริ่มลงมือฉีดยา และเย็บแผลให้หมอกทันที ใช้เวลาไม่นานนักหมอก็พยักหน้าให้ซีนอนเชิงว่าไม่เป็นไรแล้ว ร่างใหญ่ถอนหายใจแล้วทรุดนั่งลงบนโซฟาทันที
“ให้พักผ่อนอีกซักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ต้องให้ยาฆ่าเชื้อต่อด้วย ทางที่ดีพาไปโรงพยาบาลเถอะ” ไอ้เซนต์พูดพลางถอดถุงมือยาที่เต็มไปด้วยเลือดออก
“ไม่ได้ มันอันตรายไป” ผมตอบแทบจะทันที ตอนนี้สถานการ์ณของหมอกมันเสี่ยงเกินไป เขายังไม่รู้เลยว่าทำไมหมอกถึงโดนตามทำร้ายขนาดนี้ นี่มันเกินระดับนักเลงทั่วไปแล้ว แถมสองคนนั่นที่เห็นที่ลานจอดรถ เขาก็คุ้นหน้ามาก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย
“ถึงเวลามึงอธิบายให้กูฟังละ” ไอ้หมอเซนต์ยืนเท้าเอวก่อนจ้องมาที่ผม ผมพยักหน้าก่อนเดินออกมาอธิบายเรื่องราวให้มนฟังข้างนอก ไม่อยากรบกวนคนที่นอนอยู่
.
.
.
“เรื่องก็เป็นอย่างที่ว่าแหละ” ผมเล่าทุกอย่างให้เซนต์ฟังตั้งแต่ผมเจอหมอกได้ยังไง จนถึงทำไมหมอกถึงเป็นแบบนี้
สีหน้าไอ้เซนต์มีทั้งแปลกใจตลกแล้วก็เครียดวนไปวนมาจนผมเล่าจบ มันกลั้นยิ้มแต่สุดท้ายก็ขำพรืดออกมา
“ตลกมึงวะ เป็นเอามากนะ”
“เออหน่า แล้วสรุปเป็นไง เป็นอะไรมากไหม” ผมพยายามปัด แล้วถามต่อ
“ก็ไม่เป็นไรมาหรอก เช้าไข้ก็น่าจะลด ที่น็อคไปอย่างนี้เพราะพักผ่อนน้อยด้วยแหละ พักอีกสักอาทิตย์แผลก็น่าจะแห้งแล้ว” ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับแต่เหมือนไอ้หมอยังไม่อยากหยุด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนหน้ามัน
“แต่ก็ว่านะ ผิวสวยๆหุ่นดีๆนั่น ถ้ามีแผลเป็นคงจะแย่....โอ้ย ครับๆ ท่านเวหา ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่ยุ่งหรอกครับๆ”
มือสองข้างโบกไปมา ใบหน้ายังคงนิ้มแย้มถึงจะโดนสายตาอาฆาตจากเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
"ปากหาเรื่อง" เหมือนแววตาจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติจากสงบนิ่งเป็นดุดันทันทีที่ได้ยินคำพูดน่าขัดใจ
"ก็อดไม่ได้นี่หว่านานๆจะเห็นอะไรดีๆอย่างนี้ ไปหามาจากไหนวะ" แน่นอนว่าไอ้หมอมันต้องสังเกตุเห็นเสน่ห์ของหมอกๆแน่ๆ อย่างกับมันน้อยซะที่ไหนละ เห็นอย่างนี้เปลี่ยนคู่ควงแทบไม่ซ้ำหน้า หน้าใจดีซื่อๆแบบนี้อย่าไปหลงกลเข้าเชียว กลับมาร้องไห้น้ำตานองกันเป็นแถบ
"ไม่บอก นี่ถ้าไม่ติดว่าลุงหมอไปต่างประเทศ กูไม่ให้มึงตรวจหมอกหรอก”
"ทำเป็นหวง โธ่ กูเห็นหรอกสร้อยอะ ยังไม่อยากเป็นไข้โป้งตาย"
"ก็ดี แล้วข่าวที่ให้หาว่าไงบ้าง”
"เงียบจนผิดปกติ พวกมันระวังตัวขึ้นมากเหมือนรู้ว่าฝ่ายเรากำลังหาโอกาสเล่นงานมันอยู่" น้ำเสียงขี้เล่นหายไปเหลือแต่ความจริงจัง แววตาหลังเลนส์เข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"คิดว่ามีหนอน?" ระดับเสียงในการสนทนาเบาลงไปถนัด หน้าของทั้งคู่เริ่มเครียดขึ้นอย่างชัดเจน ซีนอนขบกรามแน่น ที่เขาเกลียดที่สุดคือคนทรยศ
"เป็นไปได้ พวกมันรอดจากเราไปหลายครั้งแล้ว มันผิดปกติเกินไป ตอนนี้ยังได้ข่าวแว่วๆว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่”
"แจ้งไปที่แฟมิลี่ยัง”
"เรียบร้อย ทางนั้นบอกมาว่ารอดูท่าทีไปก่อน”
“ดีแล้ว"
“ดูท่าคนไข้ของฉันจะตื่นแล้ววะ” นั่งคุยงานกันอยู่สักพักใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงก้อกแก้กดังมาจากในห้องนอน ไอ้หมอรีบชิงตัดหน้าลุกขี้นก่อนและทำหน้ายียวนใส่ ไม่วายตอนจบก็อดที่จะกวนอารมณ์อีกคนไม่ได้
ประตูห้องนอนปิดออก พบกับเจ้าของนัยน์ตาสีดำ ที่ตอนนี้ดูกำลังมึนงงกับอะไรสักอย่างพยายามดันตัวเองขึ้นนั่ง ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าสังขารตัวเองไม่อำนวย
“จะทำอะไร นอนนิ่งๆสิ” ทันทีที่สำเนียงแปร่งทัก ดวงตาสีดำเข้มนั่นก็ชักไม่พอใจทันที แถมยังจะฝืนตัวเองลุกขึ้นมาต่ออีก
“อย่าดื้อสิ นอนลงไป” ถึงตาร่างใหญ่ผมสีเฮเซลนัทรีบจ้ำอ้าวแล้วกดร่างโปร่งลงไปนอนราบกับเตียงตามเดิม หมอกจึ้ปากอยางขัดใจ
“..กู หิวน้ำ” เสียงที่ติดจะแหบแห้งนั้นทำให้ซีนอนยิ่งห่วงไปอีก ต่างจากเสียงได้ฟังตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“นอนนี่แหละเดี๋ยวผมไปเอาให้” ซีนอนรีบจัดแจงพาตัวเองออกไปเอาน้ำมาบริการทันที
หมอก
เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบ ทำให้หมอกเพิ่งสังเกตุเห็นผู้ชายอีกคน ผมสีเข้มยาวประบ่าถูกมัดไว้ลวกๆ แววตาใจดีที่อยู่หลังแว่นไร้กรอบ ความสูงที่ไม่ได้ด้วยไปกว่าไอ้ฝรั่งเมื่อกี้อีก หมอนี่เป็นใคร?? ดูท่าว่าหน้าตาสงสัยของเขาจะทำให้อีกคนรู้ตัว
“พี่ชื่อเซนต์ครับ เป็นหมอที่ซีนอนเรียกมาดูหมอกนะ” เสียงนุ่มตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มใจดี จนแอบคิดในใจว่าทำอย่างกับเขาเป็นเด็กๆ
“อ่า..ครับ” ผมได้แต่ตอบกลับไปสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“อย่าพยายามขยับมากนักนะ ถ้าต้องเย็บอีกรอบพี่จะไม่ฉีดยาชาให้ด้วย”
ผมทำหน้าเจื่อนๆ ถึงแม้เย็บแผลมันจะเจ็บระดับที่ทนได้ แต่ถ้าให้เลือกใครกันหละจะอยากเจ็บ พอสังเกตุเนื้อตัวตัวเอง ก็ยังเห็นว่าผมยังสวมเสื้อตัวเดิมอยู่ คราบเลือดที่ผมเห็นเองก็ยังตกใจเหมือนกัน ที่แผลถูกปิดไว้อย่างเรียบร้อย ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่เนี่ยผมถึงจะหายดี
“ขอถามอีกเรื่องนึง... ไอ้ฝรั่งคนนั้นเป็นใคร” ผมรู้แค่มันชื่อซีนอน แล้วก็เป็นคนที่ช่วยผมไว้ทังสองครั้ง
“อ้าว นึกว่ารู้จักกันแล้วซะอีก” หมอถามหน้าประหลาดใจ
“รู้แต่ว่าชื่อซีนอน แล้วก็เป็นคนช่วยผม”
“ฮ่าๆ จริงหรอเนี่ย ..ไอ้ฝรั่งที่ว่านั่นหน่ะ ว่าสิ พี่ยังสงสัยเลยว่าหมอกไปพูดอย่างนั้นกับมันได้ไง” ประโยคแรกหมอเซนต์เหมือนจะพูดกับตัวเอง แล้วค่อยมาอธิบายให้ผมฟัง ผมเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจ
“ให้ซีนอนเล่าให้ฟังเองจะดีกว่า อยากรู้อะไรก็ถามมันสิน่าจะยินดีตอบอยู่แล้วแหละ” อีกฝ่ายพูดต่อขำๆ
“ช่างมันก่อนเถอะครับ ว่าแต่รบกวนช่วยหยิบเสื้อในตู้ให้ผมได้ไหม” หมอพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกฝั่งนึงของห้อง ผมพยักหน้า ก่อนที่หมอจะหยิบเอาเสื้อยืดสีขาวมาให้ผม
“นี่ครับ..ให้พี่ช่วยเปลี่ยนไหม?” ผมส่ายหัวหึ ก่อนจะหยิบเสื้อมาเปลี่ยนเอง ออกจะทุลักทุเลอยู่นิดหน่อย แต่ในที่สุดผมก็สามารถถอดเสื้อตัวเก่าออกได้ ผมเห็นหมอแอบยิ้มแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ระหว่างที่ผมกำลังจะสวมเสื้อตัวใหม่ ประตูห้องก็เปิดออก ไอ้ฝรั่งยืนทำหน้าแปลกๆที่มือถือแก้วน้ำนิ่งอยู่ที่ประตู
ผมนั่งมองมันอยู่พักนึงแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ
“เอ๋อรึไง น้ำมันคงเดินมาเองได้” ไม่รู่ว่าทำไมเหมือนกัน เวลาที่พูดกับไอ้ยักษ์นี่ผมถึงเผลอพูดไม่ดีไปหลายครั้ง จะว่าไม่ชอบหน้าก็ไม่ใช่หรือผมจะหมั่นไส้ที่มันหล่อกว่า อ่า..นี่ก็ไม่น่าใช่นะ ยอมรับว่าปกติผมก็ปากหมาอยู่แล้วแต่นี่ บางที่ผมเองยังรู้สึกว่าเกินไปเลย แปลกแฮะ
“ไม่เห็นต้องพูดไม่ดีเลยนี่” แต่ถึงยังไงซีนอนก็ไม่มีท่าทีจะโกรธผมอยู่ดี ผมรับน้ำธรรมดามาดื่นส่วนไอ้ซีนอนหันไปกระซิบกระซาบกับหมอ ผมได้ยินคร่าวๆ ประมาณว่า
‘ใช่อย่างที่กูเห็นไหมวะ’ แล้วหมอก็ขำแล้วพยักหน้า ซีนอนทำท่าทางฮึดฮัดนิดหน่อยก่อนจะบ่นแล้วไล่ให้คุณหมอกลับไปทำงาน
ผมขำ พอจะนึกออกว่าเรื่องอะไรแต่ก็ได้แต่ทำเหมือนไม่ได้ยินไป ไม่นานหลังจากที่ซุบซิบกันเสร็จ หมอก็ยิ้มแล้วก็บ๊ายบายให้ผมและบอกว่า พรุ่งนี้จะมาดูแผลให้อีกที อย่างน้อยผมก็เบาใจว่าไม่ต้องกลับไปนอนเบื่ออยู่ที่รพ.
ส่วนเรื่องไอ้ฝรั่งนั่น ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันสนใจผม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ผมมีผู้ชายมาสนใจ
ปกติผมก็จะทำเป็นไม่รับรู้แล้วก็ปล่อยผ่านไปแล้วเดี๋ยวก็จะค่อยๆหายกันไปเอง แต่กับไอ้ฝรั่งนี่ผมกลับรู้สึกหมั่นไส้เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่ในร่างเด็กเนิร์ดมานานเรื่องพวกนี้เลยหายๆไปบ้าง ตอนนี้เลยรู้สึกสนุกเป็นพิเศษ ถัาได้แกล้งนิดแกล้งหน่อย ก็คงรู้สึกไม่เลวอยู่เหมือนกัน
________________________________________
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ซาบซึ้ง
พระเอกของเราโรคจิตค่ะ
ชอบให้หมอกทำร้ายจิตใจ555555555