เดือนที่ 3
มีแผนไหม? ☽⚙
--------------------[100%]--------------------
⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙
“เมืองเอกนี่มึงทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย!!?”
เสียงโวยวายจากเพื่อนที่เดินอยู่ข้างๆ ผมดังหนวกหูตลอดตั้งแต่ผมเดินออกมาจากตึกคณะอักษรแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่ได้สนใจมันหรอก มันโวยวายเวอร์เกินเหตุ ไอ้เรื่องที่มันบ่นๆ ตอนนี้ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่พูดเลย
ก็กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า...
พอเดินเข้ามาถึงก็เจอกลุ่มเพื่อนๆ ปี 1 ผู้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมโศกกับการรับน้องทรหดที่กว่าจะผ่านมาได้ก็แทบช่วยกันห้ามเพื่อนไม่ให้ไปยื่นใบลาออกกันมาหลายรอบ กับพวกรุ่นพี่สายชิล ที่ถ้าจะให้ผมพูด ผมว่าคณะวิศวะมหา’ลัยของผมเป็นคณะวิศวะที่ชิลที่สุดในสยามประเทศแล้วล่ะครับ ซึ่งตอนนี้ตามแต่ละโต๊ะมีทุกการละเล่นไม่ว่าจะกลุ่มพี่เฟิร์สที่กำลังนั่งเล่นหมากรุก กลุ่มพี่กุ๊กที่กำลังเล่น ROV ตีป้อมกันอย่างฮ็อตเฮด กลุ่มพี่อัดกางกระดานเปิดตี้บอร์ดเกม และที่หนักๆ หน่อยก็กลุ่มพี่ตอที่กำลังระบำไพ่โดยไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้นทั้งๆ ที่ยังอยู่ในคณะ
ถ้าเดินเข้ามาครั้งแรกก็คงจะตกใจว่าที่นี่ใช่คณะวิศวะแน่เหรอวะ?
เอาจริงพวกผมก็เคยตกใจกันมาแล้วรอบหนึ่งหลังรับน้องจบ รับเกียร์ รับรุ่น เฉลยสายรหัสอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกพี่ๆ ที่เคยตึง นั่งเก๊ก ยืนเก๊ก เดินเก๊ก หรือแม้แต่จะเข้าห้องน้ำไปฉี่ก็ยังต้องเก๊ก เพราะกลัวหลุดฟอร์ม ก็เปลี่ยนอารมณ์กันเร็วมากๆ คลายความตึงก่อนหน้านี้ไปเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะคลายเกินไปจนหย่อนยานอย่างที่เห็น
“พี่โฟล์ค นั่นไอ้เมืองเอก!”
ผมหันขวับก็เห็นไอ้แรปตบโต๊ะดังป้าบแล้วชี้ไม้ชี้มือมาทางผม พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังจนคนอื่นหันมามองหน้าผมกันเป็นแถว
“ไอ้เมืองเอกมานี่”ผมขมวดคิ้วมองพี่โฟล์คที่ทำเสียงเข้มเก๊กหน้า จนผมแปลกใจ ปกติพี่แกไม่เก๊กขนาดนี้ตั้งแต่หลังรับรุ่นจบพี่โฟล์คแม่งก็กลายเป็นหนึ่งในรุ่นพี่สายชิลตามคนอื่นๆ เขาไปแล้ว เพราะงั้นการที่เขาทำแบบนี้อีกครั้ง ทำให้ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ
พี่แกกลับมาสวมมาดเฮดว๊ากสุดโหดอีกแล้วเหรอวะ
ก็คิดในใจเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปหาตามคำสั่งของคนที่เคยสวมบทบาทเฮดว๊าก ไอเบศก็เดินตามมาข้างหลังด้วย
รอบๆ ตัวดูเงียบๆ แปลกๆ ตั้งแต่รู้ว่าผมมาถึงคณะ
“นั่งลง” เสียงที่ทำเข้มสั่งผม รวมทั้งไอ้เบศที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมเลยจำต้องทิ้งตัวลงนั่ง แต่ที่ที่ผมนั่งนั้นไม่ใช่บนเก้าอี้เข้าชุดกับโต๊ะม้าหินที่พวกไอ้แรปกับพี่โฟล์คนั่ง แต่เป็นที่พื้นหน้าโต๊ะพี่เขาแทน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง พี่โฟล์คอยู่สูงกว่าผม ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ หรือตำแหน่งที่นั่งอยู่ (ก็เล่นนั่งบนเก้าอี้ ในขณะที่ผมกับไอ้เบศต้องนั่งพื้น)
ทุกคนในโต๊ะเงียบไปสักพักแต่เพียงครู่เดียวพี่มันก็กดสายตาต่ำลงมองหน้าผมแล้วเริ่มพูด เสียงเข้มกดต่ำจนน่ากลัว ชวนเอาผมนึกถึงตอนรับน้องที่โดนพวกกลุ่มพี่ว๊ากกดดันตอนพาเข้าห้องดำ
“มึงไปทำอะไรเอาไว้ไอ้เมืองเอก?”
“คืองี้นะพี่โฟล์ค เมืองเอกมัน..--------”
“มึงเงียบไปไอ้เบศ กูไม่ได้ถามมึง!!”พี่มันตวาดลั่นจนคนทั้งโต๊ะสะดุ้ง เบศมันตกใจกลัวพี่โฟล์คหัวหดและไม่กล้าเปิดปากพูดอะไรอีก ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการดีกว่า พวกเราถูกฝึกให้กลัวรุ่นพี่จากเหตุการณ์และประสบการณ์ที่ได้จากในห้องว๊ากที่เจออยู่ทุกวันในช่วงรับน้อง ตอนนี้จะยังกลัวอยู่ก็ไม่แปลก ถึงแม้จะรู้ว่ามาดดุๆ นั่นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็เถอะ โดยเฉพาะพี่โฟล์คที่เป็นเฮดว๊ากด้วยแล้ว..
“เมืองเอกตอบกูได้รึยังว่ามึงไปทำอะไรเอาไว้”
พี่โฟล์คหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง และคำถามนั่นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วอีกรอบ
กูไปทำอะไรเอาไว้วะ? เอาเถอะ...
“ผมยังไม่ได้ทำอะไร”
ก็ตอบไปเรียบๆ ตามความจริง ถึงแม้จะโดนสายตากดดันจากรอบๆ จะว่าไปพอลองมองรอบๆ พวกกลุ่มโต๊ะอื่นๆ ก็หยุดการทำกิจกรรมต่างๆ แล้วมองมาทางโต๊ะพี่โฟล์คกันเงียบๆ
“มึงยังพูดว่ามึงไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอวะ มึงดูนี่”
พี่โฟล์คกระชากเสียงแข็งแล้วส่งโทรศัพท์เครื่องหนึ่งโยนมาตรงหน้าผม พอก้มลงมองก็เห็นคลิปวิดีโอไลฟ์ในเฟสบุ๊คคลิปหนึ่ง ไม่ต้องกดเข้าไปดูก็รู้ว่ามันเป็นคลิปผม
ผมเงยหน้ามองตอบพี่โฟล์ค
“อะไรวะพี่ เรื่องแค่นี้เอง...”
“มึงพูดว่าแค่นี้เหรอวะไอ้เมือง!”พี่โฟล์คว๊ากอีกรอบ พาคนอื่นสูดหายใจด้วยความกดดัน เบศยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ส่วนผม...
หงุดหงิดครับ ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อผมสั้นๆ แค่พยางค์เดียว ไม่ว่าจะเป็น ‘เมือง’ หรือ ‘เอก’ ก็ไม่ชอบ พี่มันก็รู้ว่าผมไม่ชอบแต่ก็ยังจงใจเรียก
ในขณะที่ผมตัดสินใจจะเปิดปากพูดบ้าง พี่ก็ตวาดกลับ
“เงียบไอ้เมือง ฟังกูพูด” พี่มันยังไม่หยุดเรียกชื่อผมด้วยพยางค์เดียว ถึงแม้จะหงุดหงิด ถึงแม้จะขัดใจ แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือฟังที่พี่มันจะพูด
“ไอ้เรื่องที่มึงทำลงไปมึงได้คิดบ้างไหม ก่อนจะพูดอะไรน่ะ มึงต้องคิดให้ดี กูเคยเตือนเรื่องปากมึงหลายรอบแล้ว ตอนนี้คนทั้ง ม. ด่ามึง และไอ้ที่เขาด่าๆ กันน่ะไม่ใช่แค่มึงคนเดียว...”
พี่โฟล์คเว้นระยะแล้วพูดต่อ
“นี่ พวกกูที่โดน เพื่อนๆ มึง รุ่นพี่มึง คณะมึง” พี่โฟล์คตบลงมาแรงๆ ที่อกของตัวเอง ก่อนจะไล่ชี้หน้าคนอื่นๆ ที่นั่งมองกันอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง และสุดท้าย... พี่มันก็เอื้อมมือมากระชากสร้อยที่คอของผม ไม่แรงมากแต่ไม่เบาเลย ผมเลยต้องเลื่อนหน้าเข้าใกล้ จ้องตาพี่โฟล์คที่มองมานิ่งๆ จนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตานั้น
“เกียร์ที่มึงห้อยคออยู่เนี่ย ไม่มีความหมายอะไรกับมึงเลยใช่ไหม?” พอพี่พูดจบ กลับเป็นผมที่ตอนนี้หลบสายตา ผมรู้ที่พี่โฟล์คพูดมาทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงผมที่จะโดนด่า แต่เป็นห่วงคณะวิศวะที่จะโดนเหมาด่าเพราะผมมากกว่า ผมไม่ได้น้อยใจหรอกนะครับ ผมรู้ตัว รู้ลำดับความสำคัญดีว่าระหว่างตัวผมเองแค่คนเดียวจะไปสำคัญกว่าเพื่อนและรุ่นพี่ทั้งคณะได้ยังไง
“หลบตากูนี่คือมึงสำนึกผิดแล้วใช่ไหม?”
ผมเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ถ้าพวกพี่ พวกเพื่อนที่คณะจะต้องมาโดนด่าด้วยเพราะผม ผมก็สมควรที่จะพูด...
“ขอโทษครับ”
“เออ ดี!”
พี่โฟล์คร้องออกมา ยกยิ้มก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ ความตึงเครียดหายไปราวกับกดปุ่มปิดสวิตซ์ คนที่นั่งอยู่โต๊ะรอบๆ ก็พากันถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี ก็หันกันกลับไปเล่นอะไรกันต่อ
ผมเองก็คิดว่าจะจบแค่นี้แต่...
“ไอ้เมืองเอก...”
ครับ?
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง
“....?”
“มึงอาจจะคิดว่าเรื่องที่มึงทำน่ะเรื่องเล็ก กูจะมาพูดเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ทำไม... แต่ความจริงกูอยากจะบอกให้มึงรู้ ว่าคนอย่างมึงน่ะ...”
พี่โฟล์คเฮดว๊ากโน้มลงมาจับที่สร้อยคอที่ห้อยเกียร์ของผมอีกครั้ง
“คนอย่างมึงถ้าไม่รีบเตือนตั้งแต่ยังเป็นเรื่องเล็กๆ รับรองได้ว่าเดี๋ยวแม่งต้องมีเรื่องใหญ่ตามมา เพื่อเป็นการเตือนสติมึง”
พี่อดีตเฮดว๊ากมาดเข้มยกยิ้มก่อนจะกระชากสร้อยเชือกบนคอผม โดยไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หันกลับมาสนใจอีกครั้ง...
“
เกียร์นี่กูจะขอยึดไว้สักพัก จนกว่าจะแน่ใจว่ามึงจะไม่ก่อเรื่องอีก”
สร้อยพร้อมเกียร์ขาดออกและตอนนี้ตกไปอยู่ในมือของไอ้พี่โฟล์คเรียบร้อยแล้ว
ไอเหี้ยพี่!เกียร์... ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และถือว่าเป็นหัวใจสำหรับผมด้วย เพราะกว่าจะได้ไอ้ฟันเฟืองอันเล็กๆ นั่นมา เลือดตาแทบกระเด็น!!..........
หลังจากโวยวายอยากได้เกียร์คืนจากพี่โฟล์คอยู่พักใหญ่ๆ พี่แม่งก็ยังไม่ใจอ่อนคืนให้จนไอ้เบศกับไอ้แรปต้องบอกให้ผมตัดใจยอมฝากเกียร์ไว้ที่ไอ้พี่โฟล์คสักพัก
“ไอ้เหี้ย คิดไปคิดมาเหมือนตอนนี้ก็ฝากหัวใจไว้ที่ไอ้พี่โฟล์คเลยว่ะ”
ผมที่ตอนนี้กำลังแนบหน้าตัวเองลงกับโต๊ะในห้องบรรยายแอร์เย็นเฉียบที่มีเสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ทำหน้าที่คล้ายๆ เพลงกล่อมเด็กบ่นงืมงำเบาๆ ก่อนจะทอดสายตามองเพื่อนอีกสองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่างจากผม... แต่พอได้ยินประโยคที่ผมพูดไอ้เบศก็ทำหน้ายี๋ใส่ ส่วนไอ้แรปก็โก่งคอทำท่าจะอ้วก
“คิดมากไป ไอ้เมืองเอกกูว่ามึงปลงๆ บ้างเหอะ แค่เกียร์...--- กูรู้ว่ามันสำคัญกับมึงมาก แต่ฝากไว้ที่พี่โฟล์คสักพักคงไม่เสียหายหรอกเนอะ”
แรปมันพูด และแทบกลับคำไม่ทัน เพราะผมส่งสายตาอาฆาตใส่มัน เกียร์สำคัญกับผมมากจริงๆ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว
“เฮ้ออออออออออออ...” ผมถอนหายใจกับตัวเองยาวๆ อีกรอบ
จะว่าไปนอกจากเรื่องโดนยึดเกียร์ พี่แม่งก็ห้ามไม่ให้ผมไปหาเรื่องเดือนสิบที่คณะอักษรอีก พูดง่ายๆ ก็คืออย่าไปคณะอักษร ถ้าไม่ได้มีธุระจริงๆ เอาไงดีวะ... ฮะ? อะไรนะ ทำไมผมยังไม่คิดจะเลิกยุ่งกับเดือนสิบอีกน่ะเหรอครับ เรื่องนั้นน่ะคงไม่ ที่ผมพูดว่าอยากจะรู้ว่ามันมีอะไรดีถึงได้เดือนมหา’ลัยไปได้นั่นน่ะผมเอาจริง
แต่จะให้เข้าไปยุ่งโต้งๆ แบบวันนี้คงจะทำไม่ได้แล้ว เพราะงั้น...
“ไอ้เบศ... มึงมีแผนไหมวะ?”
เพื่อนเจ้าของชื่อหันขวับกลับมามองหน้าก่อนจะเบิกตากว้างใส่ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจถูกไหมในประโยคที่ผมถามเมื่อกี้อ่ะ แต่มันยังไม่ทันได้ตอบผมหรอกครับ จู่ๆ ผมก็ปิ๊งไอเดียอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
ผมลอบยิ้มบางอย่างชั่วร้ายในสายตาไอ้เบศและไอ้แรป พอบอกแผนการที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อกี้ไปปุ๊บ ไอ้เบศก็เกือบแหกปากโวยวายถ้าไม่ติดที่โดนแรปมันตะครุบปากไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะโดนคนทั้งห้องบรรยายมองแรง...
หลังจากแรปมันปล่อยมือ ปากเบศมันเป็นอิสระก็ไม่วายก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผม
“ไอ้เหี้ยเมืองเอก!”โอเค ถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน
….
วันนี้หลังจากผมเลิกเรียน พวกพี่ๆ โฟล์คจู่ๆ ก็โผล่มาอีกรอบครับ จากนั้นก็ลากพวกผมเข้าร้านเหล้าตั้งแต่หัววันโดยไม่สนหรือแม้แต่จะเอ่ยถามว่าผมมีธุระอะไรรึเปล่า แม้กระทั่งชุดนักศึกษาพี่แกยังไม่ให้กลับไปเปลี่ยนเลยครับ อ้างว่าวันนี้จะเลี้ยงผม ไม่รู้ว่าจะเรียกเลี้ยงปลอบใจได้ไหม เอาจริงๆ พี่โฟล์คแม่งก็เป็นห่วงผมนั่นล่ะครับ กลัวผมจะคิดมาเรื่องไม่ได้เป็นเดือน(ถึงจะคิดจริงๆ ก็เถอะ...)
“เอ้า! ไอ้เมืองเอก ดื่มกินกันให้เต็มที่นา มื้อนี้เฮียเลี้ยงเอง ฮ่าๆ”
พี่ตอผู้กร้านโลกเปิดฉากชูแก้วเหล้าในมือพร้อมตะโกนลั่น ก่อนจะกระดกของเหลวในแก้วเข้าปากอึกๆ ราวกับคนที่เดินหลงอยู่ในทะเลทรายประมาณ 3 เดือนแล้วค้นพบโอเอซิส ทำเอาพี่โฟล์คเพื่อนซี้ ถึงกับส่ายหน้าระอา กับความไม่ไว้มาดของพี่ตอ
“เลี้ยงตัวเองไห้รอดก่อนเหอะมึง”
ไม่วายหันไปแซะเบาๆ ใส่เพื่อน แต่ถึงแม้จะโดนแซะพี่แม่งก็ยังนั่งยิ้มร่าเหมือนคนบ้าอยู่อย่างนั้น
“หึ วันนี้เปิดขวดไหนก็เปิดเหอะ กูอุตส่าห์ขอเหมาร้านพี่เวเลี้ยงน้องทั้งที อิพี่มันก็บอกว่าวันนี้โอเค”
ก็เหมือนจะตามที่พี่ตอพูดครับ ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้านี้เป็นร้านของพี่เว รุ่นพี่ที่คณะที่เพิ่งจบมหา’ลัยไปเมื่อปีก่อนและที่สำคัญ พี่เวคนนี้เป็นเดือนมหา’ลัยครับ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ พี่เวเป็นคนแรกที่เปิดตำนานเดือนมหา’ลัย 4 ปีซ้อนของคณะวิศวะ ส่วนผมก็เป็นฝ่ายปิดตำนาน...
“ทำหน้าเศร้าหาอะไรไอ้เมืองเอก เหล้าฟรีทำหน้าให้มันร่าเริงๆ หน่อย”
ผมมองพี่ตอที่ตอนนี้ยื่นแก้วมาตรงหน้าแล้วยิ้มให้ เอาก็เอาวะ เลิกคิดเรื่องนั้นมันก่อน ตอนนี้รุ่นพี่อุตส่าห์เลี้ยงทั้งที จะมานั่งหน้าหงอยให้ได้อะไร..
หลังจากคิดได้ ผมก็เลยยกแก้วของตัวเองขึ้นชนกับแก้วที่พี่เขายื่นมาข้างหน้า
“ชน!!”
ตะโกนลั่นอีกรอบก่อนที่คนอื่นๆ จะยกแก้วขึ้นคัมไปเหมือนพี่มันด้วย ผมกับไอ้เบศนั่งดื่มกันเงียบๆ ฟังพี่เขาคุยโน่นคุยนี่ ส่วนไอ้แรป... รายนั้นเป็นหน่วยข่าวสาร หน่วยข่าวกรอง เดี๋ยวก็ไปคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที ผมตามมันไม่ทันหรอกครับ ปล่อยแม่งไป
“ว่าแต่วันนี้อิพี่คนหล่อมันหายไปไหนวะ ไม่มาดูร้านเหรอ?” หลังจากยกแก้วดื่มต่อไปอยู่นานพี่ตอถามอีกประโยคหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นคำถามที่ผมเองฟังแล้วก็คิดตาม เวลาประมาณนี้ปกติเห็นอยู่ดูร้านตลอด.. หลังจากถามจบพี่ตอก็หันไปหากลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งต่างพากันส่ายหน้าปฏิเสธกันเป็นแถวเป็นเชิงว่าไม่รู้ ส่วนพี่โฟล์คหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค และ...
“พูดถึงก็มาเลยพี่ นั่นไงพี่เว!” ไอแรปวางแก้วในมือ แล้วชี้ผู้ชายหน้าตาหล่อขาวตี๋ที่สังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ไกลๆ กำลังเดินควงกุญแจรถเข้าร้านมา พอเหยียบย่างเข้ามาในร้านได้ พวกที่เฮฮาปาร์ตี้กันก็หยุดชะงัก วางแก้วน้ำเมาแล้วยกมือขึ้นไหว้พี่เวกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่พวกปี 1 อย่างพวกผม
“เออๆ หวัดดีๆ” พี่แกรับไหว้อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเลือกเดินเข้ามาหาผม
“ไงไอ้เมืองเอก”
ในเมื่อทักผมโดยตรง เออ สวัสดีอีกรอบก็ได้วะ
“หวัดดีครับพี่เว”
หนึ่งในผู้ชายที่ผมยอมรับว่าหน้าตาโคตรดีก็พี่แกเนี่ยแหละ
หลังจากฟังผมทักอีกรอบพี่เวก็เลิกคิ้วใส่ก่อนจะเอ่ยอีกประโยค
“ได้ข่าวว่าไปก่อเรื่องจนโดนไอ้โฟล์คยึดเกียร์?”
เป็นประโยคคำถามที่เล่นเอาร้อง ‘เชี้ยข่าวเร็ว!’ เบาๆ ในใจ.. ผมมุ่ยหน้าแล้วคิ้วกระตุก โดยมีพี่โฟล์คซ้ำเติมเบาๆ
“เด็กมันแสบ”
“ฮะๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ”
พี่เวหัวเราะร่า จนตาตี่ๆ นั่นแทบปิด ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแก้วของผมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไปดื่มเฉย อยากตะโกนบอกว่านั่นแก้วผม แต่ช่างเหอะ เหล้าพี่เวมันนี่กว่า ไว้เอาใหม่ก็ได้
“แล้วเอาไง ไม่มีเกียร์เอาไปให้ใครแล้วนี่อย่างงี้ไปจีบใครได้เหรอ?”
พี่หน้าขาวตี๋คนนี้มองผม ระหว่างที่กำลังยกแก้วผมขึ้นซด ก็ยักคิ้วให้เป็นเชิงถามว่าเอาไง ซึ่งจากประโยคที่พี่เขาถาม ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย
ผมยิ้มให้อดีตเดือนมหา’ลัยเมื่อ 4 ปีก่อน
“ทำไมจะจีบไม่ได้ล่ะพี่”
...อย่างผมเนี่ยนะจะจีบคนอื่นไม่ได้แค่เพราะไม่มีเกียร์วิศวะ ?
“เอาให้มันได้สักคนเถอะ กูก็เห็นว่ามึงยังโสด ทำมาปากดี”
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเว้ยพี่
“ว่าแต่พี่เวเหอะ เมื่อไหร่เกียร์บนคอพี่จะไปอยู่กับคนอื่นถาวรสักที เห็นพี่กลับมาห้อยตั้งนานแล้ว”
ย้อนกลับไปสักนิดให้พี่เวก็แค่เจ็บๆ คันๆ ซึ่งนั่นทำเอาผมเกือบจะโดนแก้วเบียร์ทุบหัว แต่พี่เวตั้งสติได้ทันก่อน ห้ามมือตัวเองสำเร็จ ฮ่าๆ รอดไปกู...
“คนที่กูให้เขาคืนกูมาแล้วนี่... ช่วยไม่ได้”พี่แกยักไหล่ วางแก้วผมคืนบนโต๊ะ ก่อนจะโดนไปสั่งอะไรไม่รู้กับพนักงานที่เคาน์เตอร์เป็นอันว่าศึกครั้งนี้ผมชนะ เพราะทำให้พี่เวล่าถอยไปเองได้
ผมส่งแก้วให้พี่โฟล์คเติมให้ก่อนระหว่างรอ...
“มึงมันปากดี”
โดนไอ้เบศว่าแล้วมันก็ทำนิ่งดื่มน้ำเมาต่อ ส่วนผมก็.. ถือว่าเป็นคำชมอีกรอบแล้วกัน
......
ผมคอแข็งโคตรดื่มเหล้าเมายาก.. กว่าจะเลิกกันก็ไม่รู้ป่านไหน เออ.. พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าด้วย ผมก็เลยขอกลับก่อน ปีหนึ่งส่วนใหญ่เรียนรวม เช้าก็เช้าด้วยกัน เล่นกลับกันพร้อมผมหมด ที่ร้านก็เลยเหลือแต่กลุ่มพี่ๆ ที่ยังเฮฮากันต่อ ก็ดีออกก่อน ขี้เกียจเก็บกวาด (ไม่ว่าจะเป็นช่วงพยุงรุ่นพี่ที่เมาเหมือนหมากลับหอ หรือเช็ดอ้วกไอ้พี่ตอก็ตาม)
ดึกแล้ว ถ้าอยู่บ้านป่านนี้โดนพ่อเฉ่ง ดีนะที่ผมย้ายมาอยู่คอนโดแล้ว ผมเดินมากดลิฟต์ขึ้นพอถึงชั้นก็เดินไปจะไปเสียบคีย์การ์ดไขกุญแจเข้าห้องถ้าไม่ติดที่ไอ้คนห้องข้างๆ เปิดประตูออกมาเรียกความสนใจให้ผมต้องหันไปมอง...
เอ้า! เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ ยืนอยู่นี่เอง
“ไง”
ผมหันไปแล้วยิ้มให้ แต่อีกคนมันดันเงียบ ไม่แม้กระทั่งเอ่ยทักผมตอบ ได้มองหน้าชัดๆ อีกครั้งในระยะไม่ห่างเกิน 3 เมตร แต่แปลกตาดีครับ หน้าหล่อๆ ที่เห็นเมื่อตอนกลางวันตอนนี้ถูกบังด้วยแว่นสีดำกรอบหนาไปเยอะ แต่ก็... เหมือนเปลี่ยนลุคเจ้าตัวได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่แค่ใส่แว่น... เรื่องขนาดตัว มันน่าจะผอมกว่าสักหน่อย ส่วนสูงพอๆ กันแต่ดูๆ แล้วเดือนสิบจะเตี้ยกว่าผม ไม่กี่เซน
“....”
ยังคงเงียบแล้วทำท่าจะเดินจากไป ผมเลยตัดสินใจ
“เออ มึงอยู่คอนโดนี้เหรอวะ?”
ไม่รู้ว่าเดือนสิบจะตอบไหม แต่ได้ผลแหะ เจ้าคนที่ผมถามหันมาตอบแต่แค่คำสั้นๆ ว่า
“อืม”
แค่คำๆ เดียวแต่ก็ลัคกี้!
----------------------------TBC-------------------------
แถมจ้า!
เสียงเคาะคีย์บอร์ดและคลิกเมาส์ดังต่อเนื่องกันหลายนาทีท่ามกลางห้องมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากจอสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ถูกปรับให้อยู่ในองศาอย่างดี ทำให้คนที่นั่งเล่นเกมอยู่ ณ ตอนนี้ เอนหลังพิงเล่นเกมก็ยังได้ สายตาใต้กรอบแว่นไม่ละจากหน้าจอคอมฯเลยแม้สักนิด มีเพียงลูกนัยน์ตาสีดำที่กลอกตาไปมา มองตามตัวละครในเกม...
แต่เสียงรัวคลิกเมาส์ก็หยุดลงเมื่อจู่ๆ ก็มีคน ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู พร้อมกับไฟจากหลอดไฟนีออนบนเพดานเปิดสว่างจ้า เล่นเอาคนที่ชินกับความมืดอยู่แล้วต้องหรี่ตา
ฟลุ๊ควางมือจากเมาส์ หมุนเก้าอี้หันมาหาผู้มาใหม่
“จะเข้าห้องทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
“แล้วพี่เข้าไม่ได้เหรอ ห้องพี่เองแท้ๆ”
ฟลุ๊คอยากจะถอนหายใจให้กับพี่ชายตรงหน้า ถูกของเขาที่นี่เป็นห้องของพี่ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายย้ายออกไปอยู่หอแถวมหาวิทยาลัยที่เรียน ห้องๆ นี้ก็ตกเป็นของฟลุ๊คมาได้สักพักแล้ว แต่คนเป็นน้องไม่อยากเถียงให้มากความ เพราะยังไงก็ไม่ชนะ...
“แล้วนี่ดึกแล้วยังเล่นเกมอยู่อีก พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไง”
คราวนี้ฝ่ายถูกถามเลี่ยงที่จะตอบ หันกลับไปหาหน้าจออีกครั้ง เพราะนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด นอกจากนั้นแล้ว
“แล้วจะกลับบ้านทำไมไม่บอก”
ถ้าถามย้อนกลับจะเป็นอะไรที่ได้ผลมากที่สุด แต่เสียดายที่คราวนี้พี่ชายเองก็ไม่ได้ตอบ
“ฟลุ๊ค พี่มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”
ไม่ได้หันหน้ากลับมาหาพี่ชาย สายตายังคงจดจ่ออยู่กับเกม แต่ก็อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้
“เรื่องอะไร?”
“ช่วยดูเมืองเอกมันให้หน่อย ถ้ามันเข้าไปวุ่นวายที่คณะหรือกับเดือนสิบ”
“จะให้เค้าช่วยห้ามเมืองเอกเหรอ? ไม่ไหวมั้ง”
ฟลุ๊คตอบกลับแทบจะทันทีที่ได้ยิน แต่ฝ่ายพี่ชายพูดเสริมอีก
“ไม่ได้ให้ห้าม พี่ให้ช่วยดูแล้วรายงาน ทำได้ไหม?”
“ได้อะไร?”
“หืม?”
“ถ้าทำแล้วเค้าจะได้อะไร?”
ฝ่ายน้องชายหันกลับมาหา พร้อมมองตาคั้นจะเอาคำตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด
“IphoneX เครื่องหนึ่งเอาไหม?”
ฟลุ๊คมองของที่อยู่ในมือพี่ชายด้วยสายตาที่เอ่อ... ตอนออกรถใหม่เขาก็แถมโทรศัพท์อยู่แล้ว พอจะได้เครื่องใหม่ก็รู้สึก...
“เปลี่ยนเป็นเงินแทนได้ไหมพี่โฟล์ค”
“เรื่องมาก หรือจะไม่เอา?”
โฟล์คคิ้วกระตุก ทำท่าจะเก็บของกลับเข้ากระเป๋าแต่ดีที่ในที่สุดน้องก็ยอมตกลง คว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นไปจากมือ
“เอาสิ”
“เออ ถ้างั้นดีเลย ถ้าเมืองเอกมันไปวนเวียนก็อย่าลืมรายงานมาล่ะ”
「了解!」( Ryoukai = “รับทราบ”)
อีกฝ่ายตอบรับเป็นภาษาญี่ปุ่น เล่นเอาโฟร์คเกาหน้า แล้วคิดในใจว่า
‘เออ น้องกูนี่มันเด็กอักษรจริงๆ ว่ะ’
แต่อย่างน้อย ก็ต้องขอบคุณที่เขาเองก็มีประสบการณ์ดีๆ กับภาษานี้อยู่บ้าง ถึงได้ฟังน้องมันพูดรู้เรื่องว่าหมายถึงอะไร...
----------แถมจบจ้า-----------
100% แล้วค่ะ แอ้--------
////// ฟลุ๊คเป็นตัวละครที่เเทนตัวเองหลายแบบมากค่ะ 5555 แต่กับพี่ชายจะใช้ ’เค้า’
(อ้างอิงมาจากเพื่อนคนหนึ่ง)
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอมเมนต์เป็นกำลังใจนะคะ
รักทุกคน----------
#วิศวะเดือนสิบ(แก้ไขคำผิดค่ะ 16/05/2561)