วงล้อที่สิบเก้า
เมื่ออรรควัสตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวันเดียวกัน เห็นภาสกรยังนอนหลับอยู่ ท่วงท่านอนที่ดูสบายนั้นทำให้เขาอดยิ้มออกมานิดหน่อยอย่างเสียไม่ได้
เจ้านายหนุ่มหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอกับอีกฝ่ายครั้งแรก ในตอนนั้นเขากำลังหลบหนีลูกน้องของเจ้าของคาสิโนแห่งหนึ่งให้ตามมาจับตัวเขากลับไปที่คาสิโนให้ได้ คาสิโนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน เขาอุตส่าห์คิดว่าเมื่อกลับเข้าสู่ประเทศบ้านเกิดของตนเองก็น่าจะหนีรอด แต่ดันคิดผิดเพราะคนเหล่านั้นต้องการตัวเขาอย่างไม่ลดละ
สาเหตุที่ทางนั้นไม่ยอมลดราวาศอกที่จะจับตัวเขาก็เพราะบิดาของเขาสร้างหนี้เอาไว้ไม่น้อย เขาที่ตั้งใจไปตามบิดากลับบ้านกลายเป็นต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สุดท้ายซวยทุกอย่าง พ่อก็ไม่เจอแถมยังต้องหนีอีกจนได้เลือด
หากไม่ได้เงินที่เจ้าหนูนี่ให้ไว้ เขาคงไม่มีเงินและคงไม่พุ่งเข้าหาปัญหาตามที่เด็กนั่นพูด
ถ้าหากจะบอกว่าภาสกรเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขามีวันนี้ก็คงไม่ผิดนัก คนที่กว่าจะมีวันนี้จึงไม่เคยลืมเลยสักครั้งว่าอย่างน้อยเขามีวันนี้ได้เพราะใคร
เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งแท้ ๆ
อรรควัสเอื้อมมือไปปัดเส้นผมให้พ้นใบหน้าของอีกฝ่ายเบา ๆ เกรงว่าคนที่หลับอยู่จะตื่น พลางทอดสายตามองภาสกรด้วยความเอ็นดู แววตาอ่อนโยนที่ไม่มีใครเคยได้เห็น
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ภาสกรก็ยังเป็นเด็กที่จิตใจดีและมักจะเข้ามาช่วยเหลือเขาในเวลาที่กำลังทุกข์อยู่เสมอ
“ขอบใจมาก”
อรรควัสลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเขาลงลิฟต์มาที่ชั้นหนึ่งของผับเจออาเฉินกับอาคุณยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“บอสครับ” สองเสียงบอดี้การ์ดประสานเรียกเจ้านายพร้อมเพรียงกัน
“อืม มารอนานแล้วหรือยัง”
“ไม่นานครับ”
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ”
“ยังครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาอะไรกินก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องคุยกับจิณณ์นิดหน่อย”
“ครับ”
“จิณณ์ล่ะอาเฉิน” อรรควัสมองเจ้าของชื่อ
“คุณจิณณ์อยู่ชั้นห้าครับ”
“เดี๋ยวฉันมา” อรรควัสบอกก่อนจะเดินกลับไปเข้าลิฟต์ตัวเดิม ไม่นานลิฟต์ก็ทะยานขึ้นไปสู่ชั้นห้า
ลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเขาก็อยู่ชั้นที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเดินไปที่ห้องหนึ่งอย่างอัตโนมัติ เมื่อไปถึงหน้าห้องดังกล่าวเห็นประตูห้องถูกเปิดทิ้งไว้ มีร่างใครคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้ประตู คนนั้นยืนอยู่ที่หน้าตู้เอกสาร นิ้วมือเรียวสวยกำลังพลิกแฟ้มในมืออย่างขะมักเขม้น
ภาสกรเคาะประตูให้อีกฝ่ายรู้ตัวพอเป็นพิธี “จิณณ์”
“อ้าว อรรค ทำไมตื่นเร็วจัง ฉันคิดว่านายน่าจะตื่นสักบ่าย ๆ เสียอีก” อีกฝ่ายหันกลับมาตามเสียงเรียกด้วยความแปลกใจ เขาจึงวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ เจ้านายอุตส่าห์ขึ้นมาหาทั้งทีตอนนี้คงต้องพักเรื่องงานเอาไว้ก่อน
“วันนี้มีแขกวีไอพีมาคาสิโนตอนเที่ยง ฉันต้องไปต้อนรับเขา เลยว่าจะออกไปเร็วหน่อย”
“แขกวีไอพีคนนี้ ต้องระดับใหญ่แค่ไหนกันที่ทำให้คุณอรรควัสบอสใหญ่ต้องไปต้อนรับด้วยตัวเอง”
“ลูกสาวท่านนายพลที่ไทย”
“ใหญ่จริงเสียด้วย” จิณณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เผื่อเอาไว้ วันหน้าอาจจะได้พึ่งพาอาศัยกัน”
“จะมีสักเรื่องไหมที่นายจะทำอะไรโดยไม่หวังผล” จิณณ์ถาม มีน้อยคนนักที่จะกล้าย้อนถามกับอรรควัสตรง ๆ
“มีสิ”
“อะไรบ้าง เช่น?”
“เช่นให้นายมาเป็นผู้จัดการผับน่ะสิ” อรรควัสพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“พูดเสียตรง เล่นเอาเจ็บปวดเลย”
“ไม่ต้องมาทำหน้าเสียใจ นายเองก็รู้ดีว่าไม่ใช่ ผู้จัดการผับที่ไหนจะมีหุ้นในผับเกือบครึ่งบ้างล่ะ”
“ผู้จัดการผับคนนี้ไงล่ะครับคุณอรรควัส” จิณณ์ไม่ได้ถ่อมตัวแต่อย่างใดเมื่ออรรควัสเปรยขึ้น เขายืดอกรับโดยไม่อิดออด จิณณ์ดันแฟ้มให้เข้าไปกลางโต๊ะมากขึ้นเมื่อเห็นว่ามันวางหมิ่นเหม่จวนตก
อรรควัสมองตามการกระทำอีกฝ่ายจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วนี่ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ตั้งแต่เช้า นอนหรือยัง แล้วไม่ให้อาเฉินขึ้นมาช่วยนาย”
“อาเฉินน่ะเหรอ เฮอะ” จิณณ์แค่นเสียง “หมอนั่นไม่มีทางขึ้นมากับฉันแน่นอน อาเฉินเห็นฉันทีไรทำอย่างกับเห็นผีทุกที”
“พูดเกินไป”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องฉันหรอก ว่าแต่นายเถอะมาหาฉันเช้าขนาดนี้มีเรื่องอะไร” จิณณ์เปลี่ยนเรื่อง
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่” อรรควัสเข้าเรื่อง
“ทำอะไร เปล่าสักหน่อย” จิณณ์ทำหน้าเหรอหรา แสร้งไม่เข้าใจคำพูดของอรรควัสเลยแม้แต่น้อย
“จิณณ์..ฉันรู้จักนายดี นายจงใจให้ภาสกรมาที่ห้องฉันตั้งแต่คืนแรก”
“ภาสกร?..เอ๊ะ..อ้อ..พาย ใช่ไหม” จิณณ์ยังเล่นลูกไม้ต่อประหนึ่งว่าชื่อนี้ไม่คุ้นหูเขาเสียเลย
“...”
“โอเค ๆ ลืมไปว่าคุณอรรควัสไม่ชอบคนพูดไม่รู้เรื่อง ก็ได้ ๆ ฉันจะกลายเป็นคนที่พูดรู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย” จิณณ์ไม่ได้กลัว เขายังยียวนอีกฝ่ายเล็กน้อยพอให้ชุ่มชื่นจิตใจ
“พูดมาได้แล้ว อย่าประชด”
“คืนนั้นไม่มีอะไรสักหน่อย ฉันขี้เกียจดูแลนายก็เท่านั้นเอง ใครใช้ให้นายไม่พาบอดี้การ์ดคู่ใจมาช่วยตอนที่นายเมากันล่ะ”
“จะให้ฉันคิดว่าภาสกรเข้ามาที่ห้องฉันเพราะบังเอิญ?”
“นี่..นายไม่คิดว่าชื่อภาสกรมันยาวไปหรือเปล่า เรียกพายสั้น ๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอ” จิณณ์จงใจเย้าแหย่อีกฝ่ายไม่หยุดหย่อนจนทำให้อรรควัสเม้มปากด้วยความไม่พอใจ “คืองี้...มันก็ไม่ได้บังเอิญสักทีเดียว แต่เวลานั้นเขาเดินมาถามฉันเองว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ฉันก็แค่ให้เขาช่วยเท่านั้นเอง แล้วคืนนั้นฉันก็ง่วงนอนมาก ๆ อีกอย่างนายสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้วนี่ ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรถ้าให้พายไปช่วย”
“แต่ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องเวลาที่ฉันเมา”
“เรื่องที่นายจะจำอะไรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แล้วนายคิดว่าเด็กของนายปากโป้งมากน้อยแค่ไหน ไว้ใจได้ไหม อีกอย่างพายน่ะเป็นคนอื่นสำหรับนายหรือไง”
“ภาสกรไม่ใช่คนพูดมากและเขาไม่ใช่เด็กของฉัน” อรรควัสแย้ง
“นายแหกกฎของผับใช้เส้นรับเขาเข้ามาทำงาน ทั้งที่นายไม่ชอบเรื่องเส้นสายในที่ทำงานแท้ ๆ แล้วจะไม่ให้ฉันเรียกเขาว่าเป็นเด็กของนายได้อย่างไร”
“มันจำเป็น นายไม่พอใจเรื่องนี้เลยอยากเอาคืนฉัน?”
“ยอมรับว่าคราวแรกฉันเองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ใครใช้ให้อาเฉินเป็นคนพาเขามาที่นี่ด้วยตนเองกันล่ะ ดีนะว่านายโทรศัพท์มาบอกฉันก่อน ไม่งั้นฉันคงไม่มีทางรับเขาไว้”
“อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน”
“แล้วนายล่ะ อรรค? ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” จิณณ์ไม่ยอมแพ้
“ไม่เหมือนกัน ที่ฉันให้เขามาทำงานนี้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคาสิโนมันไม่ใช่ความผิดของภาสกร” อรรควัสไม่ได้เท้าความถึงสาเหตุก่อนหน้านี้เพราะจิณณ์รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาสกร
“ตกลงว่าที่นายมาหาฉันก็เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ ผิดวิสัยคุณอรรควัสไปหน่อยมั้ง”
“จิณณ์”
“ฉันขอพูดตรง ๆ เลยนะอรรค” จิณณ์ปรับสีหน้าเข้าสู่ความจริงจังไม่มีหยอกล้ออีกต่อไป “นอกจากทำหน้าโหด ตาดุใส่คนอื่นแล้ว นอกเหนือจากนี้นายแสดงออกไม่เก่งเลย ถามจริงเถอะแล้วแบบนี้ภาสกรจะยอมเดินเข้าหานายได้อย่างไรวะ”
“ไม่เห็นเป็นไร” อรรควัสตอบอย่างไม่ยี่หระ
“นายแน่ใจว่าไม่เป็นไรจริง ๆ ?” จิณณ์ลงท้ายประโยคด้วยเสียงที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย “ถ้าไม่เป็นไรแล้วนายจะช่วยเขาไปทำไม ปล่อยให้กลับไปไทยก็ได้นี่หว่า นายมีเงินเยอะแค่ไหนใคร ๆ ก็รู้ กะอีแค่ออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้คนป่วยคนหนึ่งทำไมจะทำไม่ได้ อ๊ะ ๆ .. อย่าบอกว่าไม่ได้ทำ”
จิณณ์รีบดักทางบอสใหญ่เมื่ออรรควัสเตรียมจะอ้าปากปฏิเสธ เขารีบชิงพูดต่ออย่างรวดเร็ว “อย่าลืมว่าใครคือคนที่ดูแลบัญชีการเงินของนาย..ฉันใช่ไหมล่ะ ฉันรู้ว่านายไปติดต่อโรง’บาลที่ไทยและออกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ของภาสกร”
“ภาสกรเคยช่วยฉันไว้”
“ฉันรู้...ก็ไม่ได้ว่าอะไรที่นายจะอยากตอบแทนผู้มีพระคุณ แค่ทำตัวเป็นผู้ประสงค์ไม่ออกนามก็พอแล้วมั้ง ไม่เห็นจำเป็นต้องกลับไทยตอนช่วงนี้ของทุกปี คงไม่ต้องให้ฉันพูดใช่ไหมว่าทำไมนายต้องไปไทยช่วงนี้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะไปเจอคน ๆ หนึ่ง แล้วคงไม่ให้ฉันต้องพูดต่อใช่ไหมว่าทำไมปีนี้นายถึงไม่กลับไทย เพราะเขาคนนั้นอยู่ที่..”
“พูดมากไปแล้วจิณณ์” อรรควัสปรามเสียงขรึมเมื่อเพื่อนสนิทพูดทุกอย่างออกมาได้อย่างถูกต้องจนเขาเถียงไม่ออก
“เขาเดินเข้ามาในชีวิตของนายแล้วแท้ ๆ นายยังทำตัวเฉยอยู่อีกคอยทำหน้ายักษ์ใส่เขาไปวัน ๆ ไม่รู้หรือไงว่าเด็กของนายน่ะชอบคนที่อยู่ชั้นยี่สิบเก้ามากกว่านายเสียอีก”
“ถ้าภาสกรจะชอบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา”
“ไม่ยักรู้ว่าบอสใหญ่อยากเป็นพ่อพระกับเขาด้วย” จิณณ์ประชดเพื่อนเข้าให้
“...”
“ฉันเลยต้องยื่นมือเข้ามาไง ถ้าฉันไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย”
“ขอบใจที่นายหวังดี แต่ไม่ยุ่งจะดีกว่า”
“หมดกัน คนอุตส่าห์ตั้งใจช่วยแท้ ๆ” จิณณ์ทำเสียงเศร้านิดหน่อยแล้วจึงถามถึงบุคคลที่สาม “แล้วนี่ภาสกรอยู่ไหน”
“ห้องฉัน”
จิณณ์ผิวปากเล็กน้อย “ก็ไม่เลว นึกว่าเพื่อนฉันจะซื่อบื้อจนไม่คว้าโอกาสไว้เสียอีก”
“บางทีฉันก็คิดว่านายไม่อยากมีปากไว้พูดแล้วนะจิณณ์ ถ้าเก่งนักทำไมไม่จัดการเรื่องของตัวเองล่ะ” อรรควัสปรายตามองเพื่อนของตน
“ขอโทษที ๆ” จิณณ์ก้มหัวปลก ๆ แต่เขาไม่ได้กลัวคำพูดอีกฝ่ายจริงอย่างปากว่าหรอก แสร้งทำเท่านั้น แต่ที่ไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพราะอรรควัสเล่นใช้คำพูดแทงใจดำเขากลับมาน่ะสิที่ทำให้จิณณ์เถียงไม่ออกบ้าง
“ไม่มีอะไรเกินเลยอย่างที่นายคิดหรอก นายก็รู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลานี้คือช่วงที่ไม่ปกติของฉัน”
“ไม่มีอะไรเกินเลยเหรอ อ้อ..แล้วเป็นไงนอนกอดภาสกรตัวจริงคงดีกว่าหาใครสักคนมากอดเป็นตัวแทนเขาอยู่แล้วล่ะมั้ง” จิณณ์ทำเสียงไม่เชื่อแล้วก็รีบเปลี่ยนอารมณ์มาจริงจังมากขึ้น “ว่าก็ว่านะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาสกรจะยอมนอนกับนาย”
“เขาจิตใจดี...ไม่เหมือนนาย” ประโยคสุดท้ายอรรควัสจงใจมอบให้จิณณ์ด้วยความเต็มใจ
“ขอบใจที่ชมนะ ช่วยไม่ได้ที่ฉันมันคนใจร้าย” จิณณ์น้อมรับคำชมเชยนั้น “ตกลงว่าเรื่องที่จะคุยกับฉันมีแค่นี้?”
“เปล่า ยังมีอีกเรื่อง”
“อะไร”
“ฉันตั้งใจจะให้ภาสกรกลับไปทำงานที่คาสิโนเหมือนเดิม”
“แต่นายไล่เขาออกไปแล้วไม่ใช่หรือ” จิณณ์สงสัย
“ใช่ เพราะฉะนั้นเขาจะกลับไปทำงานที่นั่นอย่างเงียบเชียบที่สุด”
“อย่าบอกนะว่า...ชั้นวีไอพี?” จิณณ์คาดเดาเพราะชั้นนั้นคือชั้นที่เงียบมาก แทบไม่มีใครรู้เลยว่ามีพนักงานหรือมีแขกคนไหนอยู่บนนั้นบ้าง
“อืม”
“นายแน่ใจนะอรรค ชั้นวีไอพีมีกฎมากมาย ซ้ำยังเข้มงวดอีกทั้งยังต้องมีการบริการที่ดีให้ได้ตามมาตรฐาน” จิณณ์พูดอย่างไม่ไว้ใจ
“ใช่ ดังนั้นฉันเลยต้องรบกวนนาย”
“รบกง รบกวนอะไรกัน ฉันก็แค่ลูกจ้างคนหนึ่ง” จิณณ์แกล้งแหย่อีกฝ่ายกลับ “แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ”
“สอนภาสกรให้หน่อย”
“สอนอะไรวะ?”
“ก็ที่นายพูดมาไงมาตรฐานวีไอพีต้องเป็นยังไง ก็สอนเขาให้เป็นแบบนั้นภายในหนึ่งสัปดาห์”
“เฮ้ย จะบ้าเหรออรรค อาทิตย์เดียวจะไปพออะไร คนอื่นยังเรียนรู้เป็นเดือน บางคนเป็นปี”
“อาทิตย์เดียวสำหรับภาสกร”
“แล้วนี่นายได้ถามเขาหรือยัง เผื่อเขาไม่อยากเรียนล่ะ” จิณณ์ถามอย่างอ่อนใจ
“สอนไปเถอะน่า เขาจะมาเรียนแน่นอน”
“สักแต่สอนได้ไหมล่ะ” จิณณ์ย้อนกลับ
“อย่าถามอะไรที่มันไม่มีประโยชน์ได้ไหมจิณณ์”
“เออ ๆ ก็ได้ ไม่รับปากนะว่าจะได้ผลแค่ไหน แต่จะสอนให้ดีก็แล้วกัน”
“ตามนั้น ยังไงฉันมั่นใจว่านายจะสอนเขาออกมาได้ดี”
“ครับเจ้านาย”
“ขอบใจมาก” อรรควัสไม่สนใจคำประชดของเพื่อน
อรรควัสรู้จักกับอีกฝ่ายมานานจนรู้ว่าจิณณ์เป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี ยินดีช่วยเหลือและพร้อมจะทำอย่างเต็มที่ด้วย ไม่ได้สักแต่ทำเหมือนที่เจ้าตัวขู่ไว้ งานนี้ภาสกรคงจะถูกจิณณ์เคี่ยวกรำอย่างยากลำบากมากแน่ ๆ และไม่ต้องรอลุ้นผลลัพธ์ อรรควัสเชื่อมือจิณณ์ว่าจะสามารถทำให้ภาสกรขึ้นไปทำงานบนชั้นวีไอพีได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน
ทางด้านภาสกร เขาตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายด้วยความงัวเงีย เจ้าตัวยังนอนไม่เต็มอิ่มแต่ต้องมาตื่นเพราะความฝันที่เกิดจากความทรงจำในวัยเด็ก
ชายหนุ่มยกแขนซ้ายของตัวเองขึ้นมาดู บนแขนมีรอยแผลเป็นจาง ๆ รอยในอดีตกระตุ้นความทรงจำของเขาอีกครั้ง อันที่จริงภาสกรมักไม่ได้สนใจรอยแผลเป็นนี้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะความฝันเมื่อเช้านี้
ในความฝันเขาจำใบหน้าผู้ชายอีกคนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงลืมใบหน้าผู้ชายคนนั้นไป อาจจะเป็นได้ว่าในช่วงวัยนั้น เขาทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ เล่นกีฬา ยามว่างก็อดไม่ได้ที่จะตามนวพลไปเที่ยวซนตามประสาเด็ก แอบเข้าไปดูคนเล่นการพนันก็เคยทำ ทุกอย่างเป็นไปเพราะความคึกคะนองและยังขาดการไตร่ตรองที่ดี
รู้ตัวอีกทีก็จำคนนั้นไม่ได้เสียแล้ว
แต่เขากลับจำใบหน้าอีกคนได้อย่างแม่นยำ คนที่นอนข้าง ๆ กันเมื่อคืน คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าขาวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นด้วยความเขินอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ทว่าไม่พบเงาใครคนนั้นทำให้เขาโล่งอก ถ้าอรรควัสมาเห็นเขาในสภาพนี้คงต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ และเขาคงตอบไม่ได้
ใครจะกล้าตอบไปว่าคิดถึงเรื่องเมื่อคืนจนตัวเองต้องเขินจนหน้าแดงแบบนี้กันเล่า
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมอรรควัสต้องขอแก้วเหล้าสองใบและสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียศูนย์ไร้การควบคุมนี้เพราะอะไร เขารู้ดีว่าเรื่องนี้คงยังไม่ได้คำตอบเร็ว ๆ นี้ แต่เขาจะต้องไม่พลาดที่จะรู้เรื่องให้นี้ให้จงได้ ไม่ใช่ว่าต้องการรู้อดีตของอีกฝ่ายเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น หากภาสกรต้องการรู้เผื่อว่าจะช่วยอะไรคนนั้นได้บ้างต่างหาก
แววตาว่างเปล่าของอรรควัสตอนที่ขอแก้วเหล้าทำให้เขาไม่สบายใจเลย
ภาสกรลุกขึ้นจัดเตียงให้เรียบร้อยแล้วกลับห้องของตัวเองเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัว
เมื่อถึงเวลาทำงานคืนนั้นเขาก็มาถึงชั้นล่างของผับ ระหว่างที่กำลังเตรียมโต๊ะให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้บริการลูกค้าก็มีคนมาสะกิดไหล่เขา
“ครับ?” ภาสกรหันไปมองคนที่มาเรียก
“ผมมีเรื่องมาแจ้งให้คุณทราบ”
“ครับผู้จัดการ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเมื่อถึงเวลาตีสามให้คุณขึ้นไปหาผมที่ชั้นห้า”
“เอ๊ะ? ชั้นห้า” ภาสกรมุ่นคิ้ว เขาไม่เคยขึ้นไปที่ชั้นนั้นเลยสักครั้ง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” พนักงานหนุ่มเกิดความสงสัย
“ผมได้รับคำสั่งให้เป็นคนสอนคุณทำงาน”
“ทำงานอะไรเหรอครับ” ภาสกรยิ่งได้ฟังก็ยิ่งแปลกใจกับคำพูดกำกวมนั้น
“ไม่ต้องงง เดี๋ยวตอนตีสามคุณก็รู้เอง”
“อ่า..ก็ได้ครับ”
“เตรียมใจไว้ด้วยล่ะ” ผู้จัดการพูดจบก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับมีเลศนัยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวหลังร้าน ท่วงท่านั้นทำให้ภาสกรไม่ไว้ใจเลย
แล้วเขาเลือกอะไรได้ไหม เลือกไม่ไปได้หรือเปล่า...
========================================
Happy Halloween ค่ะ
ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ
HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ