บทที่ 10 หลอกล่อ
ท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม ณ เก้าอี้มุมลับตาคนด้านในสุดของผับชื่อดังใจกลางกรุง เด็กหนุ่มผู้จับจองโซฟาสีแดงสดหยิบยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับบุคคลที่ตนนัดหมายไว้ก่อนกรอกเสียงใส่โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงเพลงระดับ 90เดซิเบลของร้านแม้แต่น้อย
“อินเหรอ นันถึงแล้วนะ ตอนนี้นันเข้ามาจองที่ในร้านให้แล้ว โต๊ะด้านในสุดฝั่งซ้ายนะ อื้มๆ ไม่เป็นไร มาถึงแล้วก็โทรมาอีกทีแล้วกัน ครับๆ รอไม่นานหรอก ไม่เป็นไรครับ”หนุ่มเจ้าชู้แห่งคณะวิทยาศาสตร์นั่งยิ้มอยู่คนเดียว เขากดมือถือวางสายก่อนจะเอนตัวพิงโซฟานุ่มๆ
ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มมีความสุข ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายเรียกสายตาจากทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศให้หันมาจดจ้องอย่างเผลอไผล เขากำลังวาดฝันถึงใบหน้าของคนที่จู่ๆก็นัดเจอกันวันนี้อย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าเขาก็ตกหลุมรักอินเสียแล้ว รู้ตัวอีกที่ก็นั่งมองใบหน้าคมคายได้รูปซึ่งบูดบึ้งอยู่ตลอดเวลา แม้ยามที่อารมณ์ดีคิ้วเรียวๆนั่นก็ขมวดเข้าหากัน
ราวกับเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่คนคนนี้จะแสดงออกว่าไม่พอใจทั้งๆที่กำลังพึงพอใจ
อยากทำให้ยิ้ม...
นั่นคือความปารถนาของนัน
อยากเห็นอินยิ้มด้วยฝีมือของตัวเองสักครั้ง...
นั่นคือเหตุผลที่เขายอมมาที่นี่
โทษที มานานรึยัง”ฉับพลันก็มีเสียงเรียกให้เขาหลุดจากห้วงความคิด นันเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เขากำลังรอ
“แล้วเพื่อนหละ”
“เอ่อ...กำลังตามมา”อินเสตาหลบไปอีกฝั่ง ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้ามา เพิ่งคิดได้ว่าถ้าเกิดไอ้กู๊ดส์มันเลือดขึ้นหน้าโดดเข้าใส่นันจนร้านเละเทะทั้งหมดก็เป็นความผิดของอินที่ทำให้นายนันต้องเจ็บตัว
“สั่งอะไรมากินกันก่อนเลยก็ได้นะ มื้อนี้เพื่อนกูเลี้ยง...”...เลี้ยงส่งมึง อินต่อในใจ
นันสั่งเหล้ายี่ห้อแพงกับพนักงานและกับแกล้มอีกสามสี่อย่างก่อนความเงียบจะเข้าปกคลุม นายอินผู้กำลังต่อสู้กับความยุติธรรมในจิตใจเลือกที่จะปลีกตัวหันหน้าไปอีกทางและหยิบเอาโทรศัพท์คู่ใจส่งแชทหาพัดรัวๆ
สติ๊กเกอร์หมีเตะกระต่ายถูกส่งไปแบบไม่ยั้งมือ เขาพยามถามว่าทั้งสองคนถึงไหนแล้วแต่พัดก็ไม่ตอบมาเสียที อินเลยจำใจเก็บมือถือแล้วหันมาพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคน
“นัน...”
คนถูกเรียกหันมามองโดยไม่ขานรับใดๆ นันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงให้อินพูดต่อ ใบหน้าซึ่งนันอยากเห็นตอนยิ้มกว้างๆสักครั้งยามนี้กลับคิ้วขมวดเป็นผมหนักกว่าเดิมเล่นเอานันทำอะไรไม่ถูก
“มีอะไรรึเปล่าอิน? ทำไมทำหน้าเครียดๆ”
“เราไม่ได้มีความแค้นต่อกัน วันนี้ที่กูนัดมึงออกมาก็เพราะมีคนอยากจะเจอมึง ขอโทษด้วยที่ต้องหลอก”ประโยคเข้าใจยากเล็ดลอดมาจากริมฝีปากของอินทำเอาคนฟังงงจนพูดตอบโต้ไม่ถูก ทันใดนั้นเองสายตาของเดือนแห่งคณะวิทยาศาสตร์ผู้ถูกล่อลวงมาแบบไม่รู้ตัวก็พบเข้ากับร่างสูงของบุคคลคุ้นหน้ากำลังย่างสามขุมเข้ามายังโต๊ะของตนด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม
นันอ้าปากค้างยามเห็นรอย(แสยะ)ยิ้มทักทายนั้นชัดๆ เขารีบหันไปมองอินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆแต่ทว่าอินกลับนั่งคุยโทรศัพท์อยู่
“อิน มึงถือโทรศัพท์กลับหัว”นันกล่าวเสียงเรียบ คนถูกจับได้ว่ากำลังหนีความผิดหัวเราะแหะๆก่อนเก็นมือถือเข้ากระเป๋าแล้วตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยืนขึ้นทักทายกู๊ดส์อย่างสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนรักกันมานานนมนับแต่ครั้งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
“ไงกู๊ดส์เพื่อนรัก ทำไมถึงมาช้านักล่ะ”
“โทษๆ พัดแม่งหลงทางอยู่”กู๊ดส์ตอบขณะนั่งข้างๆนันซึ่งทำท่าจะลุกหนีแถมเอาแขนพาดบ่าออกแรงกระชับไว้ไม่ให้ไปไหนพ้น คนโดนจับตัวมองอินหน้าซีด”ไม่มีใครช่วยมึงได้และมึงไม่มีทางหนีพ้น ท่านกู๊ดส์คนนี้จะไม่มีวันปล่อยมึงไปไหนทั้งนั้น”
“มึง!! ขี้โกง มึงหลอกใช้อิน เลวมาก มึงพาเพื่อนมารุมกูใช่มั้ย แน่จริงก็ตัวๆดิวะ!!”นันแหวเสียงหลงพยามแกะมือปลิงของกู๊ดส์สุดชีวิต เพราะกำลังพุ่งความสนใจไปยังวงแขนซึ่งกำลังโอบรอบไหล่นันจึงไม่ทันสังเกตรอยยิ้มมีเลศนัยของนายคู่อริซึ่งเอ่ยประโยคถัดมาด้วยนัยน์ตาพราวระยับ
“พวกกูไม่รุมมึงหลอก คืนนี้พวกกูตัวๆหว่ะ ฮ่าๆๆๆ เนอะพัดเนอะ”
พัดซึ่งเอารถไปจอดจึงเข้ามาช้ากว่าเพื่อนพยักหน้าเออออไปพอเป็นพิธีจากนั้นเขาก็ลงนั่งข้างๆอิน จังหวะเดียวกับเครื่องดื่มและกับแกล้มซึ่งสั่งไปก่อนหน้านี้มาเสิร์ฟพอดี พัดเป็นกัดจัดการเทใส่แก้วแจกจ่ายให้ทุกคนเพราะนันกับกู๊ดส์กำลังรบรากันอยู่ปลีกตัวมารินเองไม่ได้ส่วนคุณอินก็นั่งเป็นคุณชายสบายใจเฉิบ
นั่งดื่มนั่งกินไปได้พอกรึ่มๆกู๊ดส์ก็เผลอคลายแรงที่เกาะกุมนันเอาไว้ นันฉวยจังหวะลุกหนีได้ก่อนจะเดินยิ้มเข้าไปหาผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มซึ่งเจ้าตัวแอบเล็งเอาไว้นานแล้ว เข้าไปหยอกล้อกันสักพักเขาก็มีทีท่าจะเล่นด้วย
กู๊ดส์วางแก้วเหล้าและลุกตามไปหาหนุ่มคนเดียวกันไอ้นันมันก็เลยชักสีหน้าใส่หนึ่งตลบก่อนจะพูดอะไรไม่รู้เนื่องจากอินอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินแล้วก็เดินไปหาอีกคนที่เล็งไว้ไอ้กู๊ดส์ก็ตามไปอีกเป็นอย่างนี้อีกสองสามครั้งนันมันเลยโมโหเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงหายไปไหนไม่รู้
“เพื่อนมึงแม่งส้นตีน”อินกล่าวหลังเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของกู๊ดส์มาได้ระยะหนึ่ง
“ตอนแรกกูคิดว่าจะวางมวยกันซะอีก ที่ไหนได้ อุตส่าห์เสนอข้อแลกเปลี่ยนกับกูเพื่อมาหยอกล้อกันเนี่ยนะ”
“หึหึ ฮ่าๆๆ เอาน่าๆ กู๊ดส์มันก็มีเหตุผลของมัน”
“อะไรวะ”
“เดี๋ยวก็รู้ หึหึ”
อินไม่ได้ใส่ใจการหัวเราะแปลกๆของเพื่อนบ้านเท่าไหร่นักเด็กหนุ่มหันมาจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตนเองต่อเงียบๆ
“หมด” อินยื่นแก้วเปล่าๆส่งให้พัดผู้ผันอาชีพไปเป็นบริกรตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ “เพียวเลยเหรอวะ”อินเห็นว่าเจ้าเด็กชงเหล้าคนนี้ทะลึ่งเทเหล้าชนิดแรงลงไปเปล่าๆไม่ผสมน้ำหรืออะไรเลยทักขึ้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร รับแก้วที่ว่ามากระดกกินต่อ สุราไหลรินลงคออย่างรวดเร็วอย่างกับน้ำเปล่า
ความรู้สึกร้อนผะผ่าวตามลำคอ สุราเริ่มออกฤทธิ์ ความเมามายเริ่มปรากฏบนใบหน้าคมคาย
ทั้งสองคนนั่งกินนั่งดื่มเงียบๆไม่มีคำพูดระหว่างกันหลังจากนั้นประมาณชั่วโมงเศษกู๊ดส์กับนันก็ประคองกันกลับมายังโต๊ะสภาพเมาแอ๋ทั้งคู่
ตกลงว่าสองคนนี้มันสนิทกันหรืออริกัน กันแน่วะ”อินถามพลางส่ายหน้าหน่าย
“นั่นน่ะสิ กลับกันเลยมั้ย”พัดตอบ เขาลุกขึ้นไปเขี่ยขาเพื่อนสนิทซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองคนคงไปแข่งดวลเหล้าหรืออะไรทำนองนี้ที่โต๊ะอื่นจนเมาคอพับกลับมาเช่นนี้”เชี่ยกูดส์ ตื่น!”
“กูไม่ได้หลับ”
“มึงหลับ”
“ไม่”
“มึงเมา”
“กูไม่ได้เมา”
เขาว่ากันว่าคนเมามักจะโกหกว่าตัวเองไม่ได้เมา แต่คราวนี้อินคิดว่ากู๊ดส์มันไม่ได้เมาหัวราน้ำขนาดนั้น แค่เมาประมาณยืนตรงไม่อยู่เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆ
...อย่าว่าแต่คนอื่นเขาเลย อินเองก็สภาพไม่ต่างกัน...
พัดถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ตามที่ตกลงกันไว้วันนี้เขาจะต้องรับหน้าที่พาทุกคนกลับไปนอนที่คอนโดเขาจึงดื่มไปไม่มาก แต่ไอ้การจะแบกผู้ชายสามคนขึ้นรถนี่ก็หนักเอาเรื่อง เด็กหนุ่งถอนหายใจพรืดใหญ่กับแผนการที่พังไม่เป็นท่าของเพื่อน
ตามที่เชี่ยกู๊ดส์กล่าวไว้เมื่อกลางวันมันบอกว่าวันนี้มันจะจัดการรวบหัวรวบหางนันตอนเมาไม่ได้สติที่คอนโดของพัดเอง นัยน์ตาสีเข้มมองความหมดสภาพของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ”ไหนมึงบอกว่าจะทำให้เขาเมาแล้วไหงมึงถึงเมาไปกับเขาด้วยวะ”
“เห้อ เสร็จสักที”พัดจับเพื่อนสนิทโยนขึ้นรถเก๋งญี่ปุ่นสี่ประตูของกู๊ดส์เองขึ้นรถเป็นรายสุดท้าย เพราะวันนี้มากันหลายคนรถยุโรปสองประตูของพัดจึงไม่ได้ออกโรง ร่างสูงๆของกู๊ดส์จัดแจงท่านั่งให้ตัวเองและนันซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังเช่นกัน ส่วนอินที่เมาไม่หนักเท่าสองคนหลังก็ใช้สติที่มีเหลืออยู่รัดเข็มขัดนิรภัยและนั่งกุมขมับตัวเอง
จากนั้นรถยนต์สีแดงแจ๋ก็เคลื่อนตัวออกจากสถานบันเทิง เด็กหนุ่มทั้งสี่คนตรงดิ่งกลับไปยังคอนโดเดียวกัน
“พัด คืนนี้กูยืมห้อมงมึงนะ”กู๊ดส์กล่าว อินลอบมองจากกระจกมองหลังก็เห็นมือแกร่งกำลังนวดขมับตัวเองเหมือนพยามตั้งสติ
“อืม”พัดตอบ
“อ้าว แล้วมึงจะไปนอนไหนอ่ะคืนนี้”อินอดถามไม่ได้เพราะจำได้ว่าเคยเจอกับพัดในร้านข้าวมันำก่ครั้งก่อนเพราะเพื่อนยืมห้องคั่วสาวตัวเองเลยต้องมานอนห้องเพื่อนแทน...
จะว่าไป กู๊ดส์มันไม่เห็นพกสาวคนไหนมาด้วยเลยนี่หว่า....นายอัครินทร์ครุ่นคิดอย่างงงวย
“นอนห้องดีดี”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง ถุ้ย! เอาจริงๆดิวะ”
“ก็เนี่ยพูดจริงอยู่เนี่ย เมื่อกี้ไลน์ไปขอดีดีแล้ว”
“อ่อ ถ้าเจ้าของห้องยอมกูก็ไม่ว่าอะไร”
“เปล่า มันยังไม่ได้อ่าน”อ้าวไอ้เวร พูดซะเหมือนได้สิทธิ์เข้าใช้แล้ว อินหันขวับไปมองพัดตาเขียว แต่คนโดนมองกลับยิ้มมุมปากไม่สะทดสะท้านอะไร...
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วท้องถนนจึงปราศจากรถยนต์พวกเราสี่คนใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็กลับมาถึงคอนโดของพัด อินก้าวลงจากรถคนแรก เพราะเขาดื่มไปไม่หนักนักนั่งเปิดกระจกกินลมแค่ไม่กี่นาทีก็สร่างแล้ว กูดส์ก็เช่นกัน ผิดกับนัน ไอ้อ่อนนั่นหน้ามันบอกเลยว่าไม่ไหวแล้ว
กู๊ดส์ลากร่างโปร่งของนันออกมาก่อนจะหิ้วปีกยืนรอพัดข้างรถ พัดมันก็รู้งานยื่นกุญแจให้เพื่อนมันโดยไม่ต้องขอให้เมื่อปาก
อินเดินขนาบข้างพัดขึ้นห้องไปด้วยสภาพเบลอๆ “ตกลงว่าสองคนนั้นมันสนิทกันแล้วเหรอวะ”คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ หรือเชี่ยกู๊ดส์จะหลอกให้ตายใจแล้วก็ลากไปกระทืบในที่ลับตาคน
หัวโจกวิศวะผู้คลุกคลีอยู่ในวงการทะเลาะวิวาทมาค่อนชีวิตไม่ได้เอะใจถึงสำเหตุอื่นแม้แต่น้อย ภาพของคนที่ยกมือลูบคางท่าทีคิดหนักเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากพัดเป็นอย่างดี
“ขำไรมึง”อินถาม
“มึงไม่เคยมีแฟนสินะ”พัดพูดคนละเรื่องแต่กลับจี้ใจดำคนโสดเข้าเต็มๆ เขาล็อครถแล้วก็ปรายตามองร่างของเพื่อนและคนของเพื่อนที่พากันหายลับเข้าตัวตึกไปแล้ว
“เห้ย! มึง! รู้ได้ยังไง ดีดีบอกมึงเหรอ!?”ภายในลานจอดรถหน้าคอนโด พัดเลือกจอดรถของกู๊ดส์ไว้ตรงนี้เพราะโรงจอดรถบนตัวตึกต้องมีสติกเกอร์ของทางคอนโดติดอยู่ถึงจะเข้าจอดได้และเดี๋ยวพรุ่งนี้เพื่อนเขาก็กลับแล้วจะได้ออกรถง่ายๆ
พัดย่างสามขุมเข้ามาหาอินด้วยสีหน้าเรียบเฉย”แค่ดูก็รู้แล้ว”เขายกมือขึ้นมาเชยคางของอินซึ่งตามการกระทำของเขาไม่ทัน ไม่รอช้า นานๆครั้งเจ้าตัวจะเผยช่องโหว่กว้างขนาดนี้ พัดก้มหน้าลงประทับริมฝีปากบนกลีบปากของอินอย่างแผ่วเบา
สัมผัสเพียงพริบตาสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนโดนจู่โจมอย่างอินไม่น้อย เด็กหนุ่มอ้าปากเหวอ ใบหน้าเริ่มเห่อร้อน ไอ้ครั้นจะโวยวายหรือถีบยอดหน้าพัดสักป้าบร่างกายกลับแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น
“นี่ไงเห็นมั้ย...โดนแค่นี้ก็ยืนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
นายอัครินทร์ผู้เกลียดความพ่ายแพ้ได้แต่มองภาพแผ่นหลังกว้างของเพื่อนบ้านออกห่างจากตัวเองไปเรื่อยๆ กว่าอินจะได้สติและรู้ตัวว่ากุญแจสำรองที่ดีดีให้ไว้ถูกมือดีฉกชิงไปแล้วก็ตอนที่พัดเดินไปถึงทางเข้าและตะโกนถามเขาว่า “จะไม่เข้าข้างในเหรอ”พร้อมชูงพวกกุญแจในมือไปมา
“เห้ย!! ขโมยกันอย่างนี้เลยเหรอ!! เอาคืนมานะเว้ย!!”
อินวิ่งตามไปเอาของๆตัวเองคืนมาจังหวะเดียวกันกับพัดที่เดินเข้าไปข้างในและปิดประตูล็อคอัตโนมัติ อินยืนเกาะกระจกหน้า
คอนโตอย่างแค้นใจ ทุปกระจกส่งเสียงปาวๆให้คนข้างในซึ่งกำลังยืนยิ้มมีความสุขอยู่อีกฟากของกระจกเปิดประตูให้
....โดยลืมเรื่องถูกขโมยจูบแรกไปเสียสนิท...
..............................................................
อ่านคอมเม้นท์ของทุกคนแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ><
ขอโทษที่ทำให้รอนานด้วยค่ะ