ตอนพิเศษบางส่วนจากในเล่ม งานฉลองงานแต่งของโอเว่นและริริเป็นไปอย่างเรียบง่าย บรรดาแขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จะมีแค่เพื่อนๆมากกว่า คนเลยไม่เยอะมาก พวกอิคกี้เองก็มาด้วย บรรยากาศเป็นไปอย่างครึกครื้นและหวานชื่นมื่นจนทำให้ใครหลายๆคนอิจฉา แต่สำหรับผมที่เติมความหวานไปแล้วเมื่อเช้าแค่นี้ไม่สะเทือนต่อมเลยครับ
“จูบเลย! จูบเลย!”เสียงเชียร์ดังมาจากเพื่อนๆที่ล้อมคู่แต่งงานที่เพิ่งตัดเค้กเสร็จ ผมได้แต่นั่งมองอยู่ที่โต๊ะเพราะหนักท้อง ทั้งมื้อเช้าของภาคินและของว่างคาวหวานในงานเต็มแน่นไปหมด ภาคินอาสาเป็นตากล้องจำเป็นให้เพื่อน เห็นมันยิ้มและหัวเราะตลอดเวลาแบบนี้ผมก็อดมีความสุขไปด้วยไม่ได้
“สองคนนั้นหวานกันจริงๆ”มันกลับมานั่งข้างๆผมพร้อมเค้กก้อนใหญ่
“ฉันยัดต่อไม่ไหวแล้ว”ผมลูบพุงให้มันดู ตอนนี้อิ่มมากจริงๆ พออิ่มแล้วก็เริ่มง่วง ผมหาวนอนหวอดๆใส่ภาคิน
“อร่อยนะ”ภาคินตักเค้กเข้าปากตัวเองเป็นการพิสูจน์ ยังไม่ทันได้ตอบมันพ่ออิคกี้ก็เดินเข้ามาขัดเสียก่อน
“นายมีแพลนเที่ยวต่อรึเปล่า พอดีพรุ่งนี้พวกเราจะไปบริกตันต่อเลย”อิคกี้ชวน มองหน้าผมสลับกับภาคิน
“โทษทีว่ะ ฉันอยากพักผ่อนเงียบๆอยู่ที่อีสบอร์นสักสองสามวัน ไว้คราวหน้าแล้วกันเพื่อน”อิคกี้เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด
“เอางั้นเหรอ งั้น…ก็ไว้เจอกันคราวหลัง”แล้วเขาก็เดินกลับไปสมทบกับเพื่อนๆต่อ
“จะดีเหรอ”ผมแอบกังวลอยู่เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรหรอก กับพวกนั้นถ้าฉันอยากจะไปเที่ยวด้วยเมื่อไหร่ฉันก็ไปได้ แต่กับนายไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาด้วยกันแบบนี้อีกเมื่อไหร่”
“แต่ว่านั่นเพื่อนนายนะ”ผมเหลือบเห็นกลุ่มของอิคกี้มองมาที่ผมกับภาคิน กลัวว่ามันจะโดนไม่ชอบหน้าเพราะผมน่ะสิ
“ก็แค่เพื่อนเที่ยว ฉันกับกลุ่มนั้นก็ไม่ได้สนิทกันซักเท่าไหร่หรอก แค่ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย เฮไหนเฮนั่น แค่นั้นเอง”อีกคนไหวไหล่เหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่
“ขอบใจมากนะที่มาร่วมงานของฉัน”โอเว่นเดินเข้ามาหาภาคินที่โต๊ะ พร้อมกับส่งยิ้มหล่อให้ผม แอบเคลิ้มเลยนะถ้าไอ้คนที่นั่งตรงข้ามผมไม่คอยทำเสียงกระแอมกระไอ
“แค่นี้เอง ยังไงฉันก็อยากมาที่นี่อยู่แล้ว ฮันนีมูนให้มีความสุขหวานหยดย้อยล่ะเพื่อน อย่าใก้แพ้ฉัน”มันเหล่มองผม ที่เลิกคิ้วใส่
มัน โอเว่นหัวเราะเสียงดัง
“ฉันคงหวานได้ไม่เท่าพวกนายแหงๆ นายสองคนเองก็ฮันนีมูนให้มีความสุขล่ะ”สองสหายเอากำปั้นชนกัน คู่แต่งงานคู่นี้มีแผนฮันนีมูนอีกหลายๆที่ ก็เลยอยู่ที่อีสต์บอร์นไม่นานนัก
แต่ผมกับภาคินจะอยู่ต่ออีกสองสามวันเพื่อพักผ่อนแต่ผมชอบที่นี่มากจริงๆเพราะบรรยากาศอันเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ได้นั่งมองคู่รัก ครอบครัวหลายๆครอบครัวก็เพลินไปอีกแบบ
“วันนี้ฉันจะพานายไปออกกำลังกาย พร้อมหรือเปล่า”ภาคินบิดตัวไปมา ผมนอนมองจากในกองผ้าห่มนุ่มๆด้วยความเกียจคร้าน
“ไม่ค่อยอ่ะ แต่นายไปที่ไหน ฉันก็ไปด้วย”แต่ผมก็ยังคงนอนอืดอยู่บนเตียง อากาศเย็นๆแบบนี้ทำเอาความขี้เกียจเพิ่มขึ้นหลาย
เท่าเลย
“ลุกดีๆหรือต้องให้ฉันใช้ท่าไม้ตาย”มันยืนกอดอกองผมอยู่ที่ปลายเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มหนาๆออกไปจากตัวผม
“หนาวอ่ะ”ผมลูบแขนลูบขาไปมาก่อนจะนอนขดตัวเป็นกุ้ง
“ที่ๆเราจะไปกันรับรองทำให้หายหนาวแน่ ลุกขึ้นมาเลย แมว”มันโน้มตัวมาดึงแขนทั้งสองข้างของผมพร้อมกับฉุดให้ลุกขึ้น แต่พอเจอน้ำเย็นๆผมก็ตาสว่างทันที ผมเลือกใส่ชุดสบายๆไป ภาคินเตรียมน้ำกับพวกขนมปัง แฮม ไส้กรอก และของกินจุกจิกอย่างอื่นใส่เป้ ผมเลยเดาได้ว่าที่ๆมันพาไปคงไกลแน่ๆ
“จะไปไหนเหรอ”ผมถามระหว่างที่ภาคินขับรถลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนเข้าเขตทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา มันจึงเลี้ยวเข้าไปจอดที่ลานจอดรถอันเวิ้งว้าง
“ไปดูหน้าผาหินบีชชี่ เฮดกัน ที่ฉันบอกนายไงว่าเราอาจจะเห็นปลายสุดของฝรั่งเศสจากหน้าผาได้”มันลงจากรถพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย วันนี้ท้องฟ้ากระจ่างใสมากเสียจนผมกลัวว่าแดดจะร้อน ภาคินเลือกเช่าจักรยานมากกว่าจะเดินขึ้นเขาไป ไม่รู้อย่างไหนเหนื่อยกว่ากัน ผมเป็นคนซ้อนอีกตามเคย เพราะภาคินมันดื้ออาสาจะเป็นคนปั่นให้ได้
ลมเย็นๆพัดตีหน้า ระหว่างที่ภาคินปั่นจักรยานไปตามเส้นทางเล็กๆที่ทอดยาว รอบตัวเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี มองไปทางไหนก็เจอแต่ท้องฟ้า ทุ่งหญ้าและวัวและแกะ ยังไม่เจอนักท่องเที่ยวสักคนเลย
“วันนี้มีการแสดงเครื่องบินด้วยนะ”ร่างสูงที่ปั่นไปเรื่อยๆชี้ไปบนท้องฟ้ากระจ่างที่มีเครื่องบินไอพ่นบินวนอยู่ เมฆสีขาวเป็นปุยเป็นเส้นยาว
“ถ้าเหนื่อยก็บอกนะ นายปั่นขึ้นเขาคนเดียวไม่ได้หรอก”เพราะมันเป็นเนินเขาหลายลูกสลับไปมา ทำให้เหนื่อยเป็นพิเศษ สุดท้ายมันก็ตัดสินใจทิ้งจักรยานไว้ที่กระท่อมของคนเลี้ยงวัว เพราะผมอยากเดินเลียบดูวิวที่หน้าผามากกว่า เห็นหอคอยที่จุดชมวิวอยู่ไกลๆ เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มจะเห็นนักท่องเที่ยวบ้างแล้ว
“นายเห็นไอ้แดงๆนั่นไหม”มันทำหน้าที่ไกด์อีกครั้ง ผมมองตามนิ้วชี้ของอีกคน ตรงใกล้ๆตีนหน้าผาหินสีขาวมีหอประภาคารเล็กๆสีแดงตั้งอยู่
“ทำไมเหรอ”รู้สึกว่ามันดูวังเวงมากเลย เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ตามแนวหน้าผามีไม้กางเขน หลายอันปักอยู่ที่ผืนหญ้ารกร้าง
“ถึงที่นี่จะสวย แต่ก็มีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นที่หน้าผานี้ ส่วนใหญ่คนมาฆ่าตัวตายที่หน้าผาเยอะมาก ที่น่าสะเทือนใจคือพวกเขาพบศพคู่รักคู่หนึ่ง แต่เมื่อเปิดเป้ที่ภรรยาสะพายมาด้วยก็พบลูกชายของพวกเขาเสียชีวิตอยู่ในนั้นเหมือนกัน…น่าเศร้าเนอะ”ร่างสูงพึมพำเบาๆสายตาทอดมองหอประภาคารนั้นอย่างเหม่อลอย แต่หดหู่ได้ไม่นานภาคินมันก็ชวนผมไปเล่นสเก็ตบอร์ต ด้านบนเนินมีการแข่งขันที่จัดขึ้นวันนี้ แต่ยังไม่ถึงเวลาเข้าแข่ง ภาคินมันเลยเข้าไปขอเล่นด้วย
“เล่นเป็นเหรอ”ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เนินนี่ก็ชันไม่ใช่เล่นเลย
“เป็น ฉันเคยเล่นเมื่อนานมาแล้ว”ผมย่นคิ้วใส่อีกฝ่าย แต่มันดูจะคึกเป็นพิเศษเจ้าของสเก็ตบอร์ตที่มันยืมก็ดูจะเป็นห่วงภาคินเหมือนกัน
“คุณแน่ใจนะว่าจะเล่น ได้รับบาดเจ็บขึ้นมามันไม่คุ้มนะ”
“ไม่เป็นไร่น่า เพื่อน”เหอะ ไปเป็นเพื่อนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมได้แต่ทำหน้าบูดบึ้งใส่มัน ผมกลัวมันจะกลิ้งหลุนๆลงมาตามเนินเขา
จริงๆ
“ฉันเป็นคนชอบเสี่ยง”มันหันมาเจอสีหน้าไม่สบายใจของผม
“เสี่ยงกับแขนขาหัก คางเหลืองน่ะเหรอ”ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไว้ใจได้”มันพูดไปพลางรัดสายหมวกไปด้วย เจ้าของสเก็ตบอร์ดก้มใส่สนับเข่าป้องกันให้ภาคิน
“วานนายช่วยตั้งกล้องอัดวิดีโอให้หน่อยสิ”มันส่งกล้องมาให้ผมด้วยสีหน้านึกสนุก ผมรับมาโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินกลับลงไปที่เนินด้านล่าง รออัดวิดีโอให้ภาคิน มันส่งสัญญาณมาให้ผมโดยการชูนิ้วมือจนถึงสาม ผมย่นหน้าอย่างหวาดเสียวเมื่อมันไถลสเก็ตบอร์ดลงมา ได้ยินเสียงตะโกนวู้ๆของมันดังมาแว่วๆ ทุกอย่างเกือบดียกเว้นตอนจบที่มันกลิ้งหลุนๆเพราะสะดุดยอดหญ้า ผมขอมอบคำนี้ให้มันเลย
สมน้ำหน้า
“เกือบเท่แล้วนะเนี่ย”มันบ่นอุบอิบระหว่างที่ปัดเศษหญ้าออกจากตัว ผมได้แต่มองมันด้วยสายตาไร้อารมณ์
“สม บอกแล้วไม่ฟัง”ผมยืนมองมันถอดสนับเข่าออกด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ เจ้าของสเก็ตบอร์ตตามลงมาด้วยสีหน้าตกใจ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“แค่เจ็บนิดหน่อย ขอบคุณมากครับ”ภาคินยืดตัวขึ้นก่อนจะส่งของคืน ดูจากท่าทีแล้วภาคินคงแอ๊บทำเป็นไม่เจ็บมาก แต่พอเดิน
พ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ มันก็ลูบหน้าอกพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ
“ช้ำขึ้นมาทำไง”ผมมองมันด้วยสายตาตำหนิ
“เอาน่า นิดหน่อยเอง”มันยิ้มให้ แต่ผมเอื้อมมือไปกดที่รอยช้ำตรงข้อศอกของมัน ภาคินถึงกับสะดุ้งปล่อยเสียงตลกๆออกมา
“เจ็บนะเมฆ”มันทำหน้าตาน่าสงสาร
“อย่าสำออย ฉันจะเอาคลิปไปลง ช็อตที่นายล้มเหมือนอึ่งลอยฟ้าแบบนี้หาดูไม่ได้ง่ายๆ”ผมหัวเราะร้ายกาจ อย่างน้อยก็มีเรื่องแกล้งมันได้
“เฮ้ย ไม่เอา ตลกจะตาย ไหนเอามาดูซิ”มันเอื้อมมือมาหมายจะคว้ากล้องไปจากผม แต่ผมก็เอาซ่อนไว้ด้านหลัง
“ไม่ให้ เด็กชายภาคินทำตัวไม่น่ารัก ต้องโดนดัดนิสัยนะรู้ไหม คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่ต้องทำอีก”ผมยิ้มอย่างนึกสนุก อีกคนทำหน้านิ่งๆก่อนจะเงียบไป อาจจะงอนผมล่ะมั้ง แต่งอนไปเถอะ ผมไม่ง้อหรอก สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับผมก่อนเอง เดินมาจนถึงแหลมหน้าผาที่ยื่นออกไปในทะเลจุดนี้คือจุดที่ภาคินมันบอกว่าอาจจะเห็นฝรั่งเศส แต่ก็อย่างที่ผมเคยพูดว่ามันละเมอแน่ๆ เพราะวิวตรงหน้ามีเพียงท้องทะเลสีฟ้าที่ระยิบระยับเป็นประกายจากแสงแดดทอดไกลสุดลูกหูลูกตา และภาคินก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้งเมื่อมันตะโกนออกมาสุดเสียงว่า
“France!”
“จะตะโกนทำไม”ผมเหลียวมองรอบๆเห็นว่ามีหลายๆคนอมยิ้มมองมันอยู่
“ตะโกนหาฝรั่งเศสไง เผื่อทางนั้นจะได้ยิน เป็นทำเนียมของที่นี่นะ มาถึงแหลมตรงนี้แล้วต้องตะโกนออกมาดังๆ”
“ไม่เชื่อหรอก ไม่เห็นมีใครทำสักคน”มันโกหกผมแน่ๆ
“ก็ลองทำดูสิ สนคนอื่นทำไม มา เดี๋ยวจะตะโกนอีกรอบ พร้อมกันเลยฝรั่งเศสอาจจะได้ยินเรา”สุดท้ายผมก็ต้องตามน้ำตะโกนไปกับภาคินจนได้ ตลกดีเหมือนกัน ตอนวัยรุ่นอายุเท่าๆผม ภาคินอาจจะไม่ได้มีเวลาเที่ยวแบบนี้ก็ได้ ถึงได้แสดงอาการเหมือนเด็กน้อยตื่นเต้นต่อโลกภายนอกแบบนี้ คนที่เนื้อเต้นมันสมควรเป็นผมไม่ใช่เหรอเนี่ย หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จผมกับภาคินพักเหนื่อยกันก่อน กินแซนด์วิชดูโชว์เครื่องบินไอพ่นไปพลางๆ
“ฉันเอาเต้นท์ปิกนิกมาด้วย”จู่ๆภาคินก็โพล่งขึ้นมา ผมละสายตาจากฟากฟ้ามามองคนข้างๆ
“แล้วไง”
“คืนนี้กางเต้นท์นอนบนนี้กันเถอะ ขี้เกียจเดินกลับอ่ะ ตั้งไกล เจ็บขา”มันลูบตรงหน้าแข้งไปด้วย ไม่รู้ว่าเจ็บจริงหรือแค่แกล้ง
สำออย
“สมน้ำหน้า”
“ไม่เห็นใจกันเลยเหรอ”
“ก็นายดื้อด้านเองนี่ ทำตัวเอง”ภาคินทำหน้าหมาหงอย มือยังคงลูบหน้าแข้งอยู่
“…ไหน ดูหน่อย”สุดท้ายก็ใจอ่อนจนได้ ผมดึงมือของอีกคนออก ก็เห็นว่าหน้าแข้งมันมีรอยช้ำและถลอกเล็กน้อย
“แค่นี้เอง”ผมย่นคิ้ว มันก็หัวเราะที่หลอกผมได้สำเร็จ
“อันที่จริงนายก็ห่วงฉันใช่ไหมล่ะ แฟนทั้งคนนี่เนอะ”มันเอนมาพิงไหล่ผม
“ห่วง แขนขาหักขึ้นมาทำไง”ผมมาโหมดจริงจัง
“โอเคๆ ต่อไปจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆอีกแล้ว”มันลุกขึ้นยืนก่อนบิดตัวไปมา บ่นพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ
“ก็มีเมียเด็กนะ ทำไมบ่นมากเหมือนคนแก่เลย”
“ภาคิน!”ผมได้ยินนะพูดอะไรของมันก็ไม่รู้
………………………………………………………………………
อากาศตอนเช้าเย็นมากจนผมเจ็บมือ เจ็บจมูกไปหมดคิดผิดจริงๆที่มากางเต้นท์นอนกะทันหันแบบนี้ ตื่นสายจนไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกต่างหาก
“ขี้เกียจเดินกลับอ่ะ”ผมเริ่มงอแงเล็กน้อยเนื่องจากอาการปวดขาเริ่มเล่นงาน แถมตอนนี้หิวด้วย แซนด์วิชที่ทำมาก็เย็นชืด ขนมปังแข็งทื่อหมดอร่อยไปแล้ว
“เดี๋ยวให้ขี่หลัง ฉันฟิตร่างกายมาเพื่อนายเลยนะ”
“โม้”
“พูดจริง เดี๋ยวให้พิสูจน์”เดินเตร่อยู่สักพักก็แวะเข้าร้านกาแฟที่อยู่สุดของบีชชี่ เฮด กินเบเกอร์รี่รองท้องเพื่อเก็บแรงไว้เดินกลับ อากาศเย็นๆบวกกับหนังท้องตึงแบบนี้…ช่างน่านอนหลับเสียเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องกลับ ภาคินให้ผมขี่หลังตามที่พูดจริงๆ แต่ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะไม่ใช่แค่ตัวผมที่หนัก กระเป๋าเป้ที่ผมแบกมาก็ไม่ใช่น้อยๆ มันจึงขอยอมแพ้
กว่าจะกลับมาถึงจุดเริ่มต้นก็รากเลือดเลย แต่ก็คุ้มกับวิวความสวยงามที่ได้รับ ภาคินพาผมแวะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อนกินข้าวที่ร้านอาหารไทยร้านเดิม วันนี้มีโชว์รำไทยให้ดูเพลินๆด้วย
“เอาจริงๆนะ พอมาอยู่ที่นี่ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้”ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นคนโรแมนติกอยู่บ้าง แต่มาอยู่ที่อังกฤษแล้วดูเหมือนดีกรีความหวานซึ้งจะเพิ่ม
“ตัวตนจริงๆของฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ต่างจากคนร้ายกาจใช่ไหม ชอบแบบไหนมากกว่ากัน”ภาคินโน้มตัวเข้ามาถาม ผมอมยิ้มน้อยๆ
“มาดร้ายๆก็เหมาะกับนายดี แต่ร้ายไปฉันก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นก็ชอบทั้งสองแบบ ร้ายบ้างโรแมนติกบ้างกำลังดี”คำตอบของผมทำให้อีกฝ่ายยกยิ้มพอใจ
“แต่ฉันชอบที่นายน่ารักมึนๆแบบนี้นะ ร้ายบ้างเวลา…”มันส่งสายตาวิบวับแพรวพราวมาให้ ผมได้แต่ก้มหน้าตักแกงเขียวหวานตรงหน้าใส่จานตัวเอง เด็กเสิร์ฟที่ใส่ชุดผ้าไหมไทยมาขัดจังหวะพอดี จานปอเปี๊ยะหอมๆวางลงบนที่ว่าง
“ขอโทษนะคะ”เด็กเสิร์ฟเอ่ยขึ้นมาเบาๆอย่างเกรงใจเมื่อผมกับภาคินเงยหน้ามองเจ้าตัวก็พูดต่อ
“พี่ใช่ภาคินที่เป็นนักร้องรึเปล่า”เด็กเสิร์ฟกวาดตามองภาคินก่อนจะเลื่อนสายตามาที่ผม
“แล้วนี่ก็พี่เมฆใช่ไหม”รอยยิ้มตื่นเต้นผุดอยู่บนหน้าของสาวเสิร์ฟ
“ครับ พอดีมาเที่ยว พาแฟนมาฮันนีมูน”ร่างสูงทำเป็นเอามือป้องปากกระซิบกระซาบแต่เสียงก็ดังลอยมาเข้าหูผมพอดี มันทำผม
อายอีกแล้ว
“ภาคินมันล้อเล่น อย่าไปเชื่อมันครับ”เด็กเสิร์ฟหัวเราะด้วยท่าทางขวยเขิน ก่อนจะปล่อยให้ผมกับภาคินทานข้าวต่อไปโดยที่ไม่ได้ขอถ่ายรูปหรือรบกวนอะไรอีก
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ผมกับภาคินเหนื่อยล้าเสียจนหลับเป็นตายทั้งคู่แถมอากาศหนาวๆแบบนี้ยิ่งทำให้ผมกับภาคินขี้เกียจสุดๆได้แต่นอนซุกกันอยู่บนเตียง ผมลืมตามองใบหน้าของคนที่คอยดูแลผมมาตลอดในช่วงที่ผ่านมาเงียบๆ ผมรู้มาว่ามันชอบมองเวลาที่ผมหลับ
มันเองคงไม่รู้หรอกว่าผมก็แอบมองเวลาที่มันหลับแบบนี้เหมือนกัน ผมค่อยๆไล่มือไปตามสันจมูกโด่ง ไล่ลงมาจนถึงริมฝีปากหยักที่มีรอยยิ้มให้ผมเสมอ ริมฝีปากที่มักตีตราเป็นเจ้าของผมเวลาเผลอ ผมเขี่ยใบหูอีกคนเล่นอย่างเบามือ ภาคินเองคงเพลินแบบนี้เหมือนกันสินะ ผมละมาจับมืออุ่นๆแนบแก้มก่อนจะนอนมองอีกฝ่ายเงียบๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เปลือกตาของมันขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆปรือขึ้นมองผม
“ตื่นแล้วเหรอ”ผมย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบๆของอีกคน
“นายตัวอุ่นๆนะ”
“อือ เหมือนป่วย ปวดหัวนิดๆด้วย”ผมขยับตัวหมายจะไปหยิบยามาให้ แต่ภาคินกลับดึงมือผมไว้พร้อมกับรวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น
“อยู่แบบนี้แหละ ดีกว่ายาตั้งเยอะ”มันพึมพำ
“ดีได้ไง แล้วฉันก็ไม่อยากติดหวัดนายหรอกนะ”ภาคินหัวเราะเบาๆ
“นายติดแน่”มันกระซิบหยอก ก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง ผมลูบหลังกล่อมคนตัวใหญ่ให้หลับอีกครั้ง ไม่นานมันก็สิ้นฤทธิ์ ผมค่อยๆผละออกมา ดึงผ้าห่มคลุมจนถึงคอ แตะมือลงที่หน้าผากอุ่นก่อนระบายลมหายใจออกมา รายนี้ป่วยแล้วไม่ค่อยบอกผมหรอก ผมสั่งอาหารอ่อนๆไว้รอภาคิน เตรียมยาแก้ไข้ไว้ให้มันด้วย ระหว่างนั้นผมก็ออกไปดูวิวที่นอกระเบียง เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งดังมาแว่วๆ
“เมฆ…”ได้ยินเสียงภาคินเรียก ผมเลยยื่นหน้าโผล่มาจากกรอบประตู เห็นภาคินสอดส่องสายตามองหาผมอยู่
“ทำหน้าแบบนั้นทำไม”ผมเดินเข้าไปใกล้ เมื่อกี้มันทำหน้าเหมือนคิดว่าผมหายไปไหน เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้มันก็ถอนหายใจ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด หน้าผากอุ่นๆแนบอยู่กับหน้าท้องของผม
“หิวข้าวรึเปล่า”ถามพลางขยุ้มเส้นผมอีกคนเล่นเบาๆ
“ยังน่ะ แต่หนาวอยากกอดนาย”มันซุกหน้าเข้าหาหน้าท้องผมมากขึ้น ท่าทางแบบนี้ของมันเหมือนกำลังอ้อนผมเลย ผมยิ้มก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนตักมัน ภาคินขยับเข้ามาเอาคางเกยไหล่ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่ใกล้ๆ
“นายควรรีบกินข้าวนะ จะได้กินยา”
“ฉันยังไม่หิว”มันยืนยันคำเดิม
“ขอโทษนะ ดันมาป่วยทั้งๆที่ฉันอยากพานายเที่ยวแท้ๆ”มันพึมพำเบาๆ
“บ้าน่า เรามีเวลาตั้งเกือบๆสองอาทิตย์นะภาคิน นายป่วยแบบนี้ฉันไม่กะจิตกะใจเที่ยวหรอก”ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย ทันเห็นมันอมยิ้มนิดๆด้วย
“แต่อยู่เฉยๆแบบนี้ฉันไม่ค่อยชิน ออกไปเดินให้ร่างกายอุ่นดีกว่ามั้ง คงดีกว่าอุดอู้ในห้องแบบนี้”มันพึมพำเบาๆ ริมฝีปากแนบอยู่ที่
แก้มของผม
“ด้านนอกอากาศเย็น”ผมท้วง
“อยู่แบบนี้ ฉันป่วยหนักกว่าเดิมแน่ๆ”
“ทำไมนายดื้อแบบนี้”คนตัวสูงแค่ยกยิ้มตอบรับ มันดื้อจริงๆนะ ผมต้องดุให้มันไปกินข้าว ถึงจะยอมให้ออกไปเดินเล่นด้านนอก อากาศเย็นๆทำให้ภาคินมีข้ออ้างในการจับมือของผมตลอดทางที่เดินไปด้วยกัน ร่างสูงสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาพอๆกับผม
“ไปเที่ยวกันเถอะ”คนตัวสูงเอ่ยเสียงสบายๆ ผมเหลียวมองตาเขียว
“นายไม่สบายนะ ภาคิน”สงสัยผมต้องย้ำคำนี้ทั้งวันแน่ๆ
“นิดหน่อยเอง เดินออกกำลังมันช่วยได้จริงๆนะ เวลาป่วยฉันใช้วิธีนี้ตลอด น่า...ไปนั่งเล่นที่สวนนี้กันเถอะ”มันก้มมองด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะจิ้มที่ป้ายบอกชื่อที่อยู่ข้างๆ เดินไปไม่ไกลก็เจอสวนที่ทอดยาวไปกับถนน ผืนหญ้าเขียวขจีเหมาะเจาะกับการนอนเล่นมากๆ
“จะได้อุ่นๆ”ภาคินดึงมือของผมไปซุกในกระเป๋าเสื้อกันหนาวระหว่างที่เอนลังกับผืนหญ้า ท้องฟ้าไม่ค่อยกระจ่างใสเท่าไหร่ ภาคินยกมืออีกข้างขึ้นมาพร้อมกับเขียนเป็นตัวอักษร ผมอ่านได้เป็นตัวพีกับตัวเอ็ม ผมหันมองก็พบว่าใบหน้าของอีกคนห่างแค่คืบ มองเห็นภาพใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
เราสองคนนอนอาบแสงแดดอ่อนๆอยู่นาน มือหนาเอื้อมมาลูบเส้นผมแผ่วเบา ถึงผมจะนอนมาพอแล้ว แต่พอมันทำแบบนี้ ผมเคลิ้มหลับได้ง่ายทุกที แถมยังมีเสียงนกนางนวลค่อยร้องกล่อมแว่วๆมาอีก
“ฉันชอบมองนายหลับ”
“อืม”ผมตอบรับพร้อมหยักยิ้มที่มุมปาก
“มองแล้วก็คิดเหมือนเดิมทุกครั้งว่าฉันเป็นคนที่โชคดี”
“จริงเหรอ ฉันไม่มีอะไรดีเลยนะ”
“ใครบอก นายน่ะดีที่สุดแล้ว”ภาคินนี่หยอดได้ตลอดเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มได้ทุกครั้ง