ตอนที่ 3 คำขอโทษ (2) เมื่อวันหยุดผ่านพ้นไป วันแห่งการทำงานก็หวนกลับมาอีกครั้ง และวันนี้เป็นวันที่ผมต้องออกไปพรีเซ็นต์งานกับอชิ แต่ผมดันตื่นสาย สงสัยคงเป็นเพราะเมื่อคืนผมโทรคุยกับอชิดึกไปหน่อย เธอโทรมาเพราะห่วงผมเรื่องที่ทะเลาะกับพี่ชิน แต่ผมบอกเธอไม่ต้องห่วงเพราะผมรู้ดีแก่ใจว่าผมเคลียร์กับพี่ชินเรียบร้อย เพียงแต่ผมยังไม่บอกอชิเท่านั้น
พอรู้ว่า ต้องออกไปคุยงาน ผมจึงแต่งตัวสุภาพใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงแสล็คสีดำ ซึ่งมันก็คงดูดีกว่าที่ผมแต่งแค่เสื้อยืด-กางเกงยีนส์แบบทุกครั้ง
ผมใช้เวลาสี่สิบห้านาทีในการเดินทางก็ถึงที่ทำงาน ผ่านร้านสะดวกซื้อหน้าตึก ผมไม่พลาดที่จะซื้อของให้บัดดี้ แต่คราวนี้ ผมซื้อให้เยอะกว่าทุกที เพราะเห็นว่าผมจะออกไปข้างนอก
จ่ายเงินเสร็จแล้ว ผมเดินขึ้นไปออฟฟิส เหลือบมองไปทางโต๊ะพี่ชินก็เห็นว่ามาถึงแล้ว ผมไม่สามารถเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้ได้ จึงเดินไปโต๊ะตัวเอง นั่งได้สักพักพี่ชินก็เดินมาหาผม พอเห็นร่างสูงยืนค้ำหัว ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เผลอมองตาค้าง ใบหน้าที่เคยนิ่ง หยิ่ง พอมาลุคส์นี้ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์ น่าค้นหา ผมดำขลับเสยเรียบกับชุดสูทสีกรมท่าที่ดูเรียบโก้ สง่าแต่ทว่าลึกๆแล้ว ลุคส์นี้พี่ชินกลายเป็นผู้ชายเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก
"อชิโทรมาลาบอกว่าไม่สบาย คุณต้องไปกับผม"
ผมจ้องมองตาไม่กระพริบ จนอีกฝ่ายโน้มตัวลงมา ตบโต๊ะเบาๆเรียกสติ
"เฮ้! ฟังผมอยู่ไหม?"
"หา...อะไรนะครับ"
"นี่คุณใจลอยไปไหน? อชิไม่สบาย เราต้องไปกันแล้ว นัดลูกค้าไว้สิบเอ็ดโมง เดี๋ยวไม่ทัน"
"อ้าวหรอครับ?" พี่ชินพยักหน้า โชคดีที่ผมยังไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เลยลุกตามพี่ชินไปโดยใช้เวลาไม่นาน จนมาถึงหน้าลิฟต์ ขณะที่ยืนรอ ผมเพ่งมองรอยช้ำพี่ชินที่จางลง เหมือนเขาคงโปะครีมปิดทับหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าร่องรอยยังเหลืออยู่
"รอยช้ำยังเห็นอยู่เลย พี่จะไปจริงๆหรือครับ?"
"ถ้าผมไม่ไป ใครจะพรีเซ็นต์งาน"
ผมเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนลอบมองคนสปิริตแรงกล้า คงจริงอย่างที่พี่แท็คบอกแล้วล่ะว่า พี่ชินเป็นคนตั้งใจทำงานมากจริงๆ
ตอนนี้ ผมและพี่ชินเดินออกมาจากลิฟต์ มุ่งหน้าไปยังรถยนต์ของคนพี่ จังหวะที่ผมสอดตัวเข้าไปในรถของพี่ชินก็ได้กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นกลิ่นอะไร แต่กลิ่นมันสดชื่นๆเหมือนอยู่ริมทะเลอย่างไรอย่างนั้น
"อ้อ...ผมลืมไปเลย มีคนฝากมาให้พี่ครับ" ผมยื่นถุงพลาสติกที่บรรจุของกินอยู่ในนั้น พี่ชินบอกให้ผมวางไว้ข้างๆก่อน
พอช่วงที่รถติด พี่ชินหยิบขึ้นมาแหวกถุงดูข้างใน
"ทำไมวันนี้ไม่มีอมยิ้ม"
"ก็เห็นว่าต้องออกไปข้างนอก ผมก็เลยซื้อของอย่างอื่นให้แทน" เชี่ยเอ้ย!
ผมตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ด้วยความลืมตัวนึกว่าพี่ชินถามผม ผมเลยบอกไปอย่างไม่รู้เลยว่ามันต้องเป็นความลับ
พี่ชินหรี่ตามอง
"คุณนี่เอง"
"เอ่อ คือ..." จนคำพูด เพราะไม่มีคำแก้ตัวอะไรที่ดูสมเหตุ สมผล
"หมดสนุกเลย แต่ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็เฉลยแล้ว ผมไม่บอกใครหรอก"
ผมมองหน้าพี่ชินที่เขาก็ว่าเรียบๆไม่ได้สนใจอะไร แต่ตามกฏจริงๆเขาไม่ควรจะรู้ว่าใครเป็นคนให้ก่อนเฉลย ผมยืดอกรับอย่างแมนๆว่า...
"ผมยินดีให้พี่ทำโทษครับ"
"คุณเป็นอะไรมากไหม? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น"
"แต่ผมไม่สบายใจ"
พี่ชินละสายตาจากท้องถนนหันมามองผมทำนองว่า นี่...มึงเครียดเกินไปหรือเปล่า ? อย่างนั้นเลย
จากนั้น พี่ชินตอบกลับมา...
"ไว้นึกได้จะบอกแล้วกัน ว่าแต่ทำไมคุณต้องให้อมยิ้มผมทุกวัน"
"ก็ผมอยากเห็นพี่ยิ้มนี่ อมยิ้ม ของผม คือตัวแทนของรอยยิ้ม"
"คุณมาที่นี่ก็เพื่อมาทำงานและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงาน จะมาสนอะไรกับคนจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม"
"สนสิครับ เพราะถ้าพี่ชินยิ้ม มันก็ช่วยให้ผมมีแรงใจในการทำงานต่อไปได้ทุกวันไงครับ"
ผมว่าผมใช้คำพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ผมเห็นพี่ชินชะงัก กัดปากเงียบ ไม่หันมามองหน้าหรือพูดอะไรกับผมอีกเลย
พอพี่ชินมีอาการเปลี่ยนไป ไม่ยอมพูดกับผม ผมเลยคุยแชทกับเพื่อนทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่ที่สนิทมากหน่อยก็สามคนครับ จะว่าไปแล้ว พอผมได้งานที่นี่ ผมก็ยังไม่เจอะเจอเพื่อนผมเลย สงสัยคงต้องนัดกันไปแฮงก์เอาท์สักหน่อย
กินเวลาไปเกือบชั่วโมง กว่าจะถึงบริษัทที่ผมต้องมาพิชชิ่งงาน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง พี่ชินแลกบัตรประชาชนตรงจุดประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นบัตรผ่านในการเข้าลิฟต์ไป
จังหวะที่เรายืนรอ พอประตูลิฟต์เปิดออก พนักงานส่งเอกสารปรี่ออกมาจากด้านในไม่ดูตาม้า ตาเรือ กระแทกไหล่พี่ชินอย่างจังจนคนหยิ่งเซถลามาหาผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมจึงต้องประคองไว้
ผมจะไม่โกรธเลยถ้าพนักงานส่งเอกสารจะหันมาขอโทษสักหน่อย
"เฮ้ย! ไม่คิดจะขอโทษหน่อยหรอวะ?"
ผมตะโกนเสียงดังมากจนพนักงานรปภ. ที่ยืนห่างจากลิฟต์ไม่ไกลรีบเดินก้าวๆยาวอย่างกลัวจะเกิดเรื่องในอาคารอันหรูหรา
"เออ...ขอโทษเว้ย" หันมากระแทกเสียงใส่ด้วยหน้ายียวน
ผมโมโหแทนพี่ชินแต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งคือพี่ชินจับแขนผมให้รีบเข้าไปในลิฟต์ และหันมาหาผมด้วยความไม่พอใจ
"คุณจะโวยวายทำไม อายคนอื่นบ้างหรือเปล่า? เขาอาจไม่ได้ตั้งใจก็ได้"
ผมชะงัก หันไปมองพี่ชินที่ก้มหน้าจัดสูทตัวเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
"ก็...ถ้ามันชนพี่เบาๆ ผมจะไม่ว่าเลย แต่..."
"ไม่ต้องพูดแล้ว พอเถอะ...ตอนคุณต่อยผมเสร็จจากนั้นคุณขอโทษผมเลยหรือเปล่าล่ะ?" กึก!
ชะงักงันทันที
พอโดนย้อนกลับมาบ้าง ผมพูดไม่ออก เถียงก็ไม่ได้ เมื่อตัวเองก็เคยทำแบบนี้กับพี่ชินมาก่อน ผมมองหน้าพี่ชินสลด
"ผมขอโทษนะครับพี่ชิน" พี่ชินมองหน้าพลางลอบถอนหายใจ ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรอีก จนกระทั่ง ประตู ลิฟต์เปิดออกกว้าง ผมและเขาก็เดินออกไป
ผมเหวอเลย...ใบหน้านิ่งขรึมเมื่อสักครู่กลับแจกรอยยิ้มทรงเสน่ห์แก่พนักงานประชาสัมพันธ์ตรงหน้าทางเข้า
ผมเห็นเธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายคุยกับใครสักคน ก่อนที่จะบอกให้ผมและพี่ชินไปนั่งรอตรงส่วนรับแขก
สิบนาทีมีหญิงสาว ปากแดง หุ่นดีเดินมาทัก
"สวัสดีค่ะ คุณชินดนัย""สวัสดีครับ" พี่ชินลุกขึ้น ผมถึงลุกขึ้นตาม
"วันนี้มาเองเลยหรือคะ?"
"ครับ" ใบหน้าคมเข้มซ่อนหวานผุดรอยยิ้มขึ้น ผมยืนสังเกตอาการของผู้หญิงดูเหมือนเธอจะเคลิบเคลิ้มอยู่ไม่น้อย
เธอเชื้อเชิญให้เราเข้าไปนั่งรอที่ห้องประชุมก่อน
ช่วงที่ยังไม่มีใคร พี่ชินซักซ้อมกับผมว่า หากเขาไม่รู้เรื่องการออกแบบเชิงลึก เขาจะโยนคำถามมาให้ผม ผมพยักหน้า ยอมรับนะว่าตื่นเต้น ก็ผมเป็นคนทำงานเบื้องหลัง พอต้องออกมาปรากฏกายแก่สายตาคนหมู่มาก ผมมักไม่ชินเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่ชินต้องการความช่วยเหลือผมก็เต็มใจช่วย
เมื่อลูกค้าสี่ท่านที่จะมาฟังการพรีเซ็นต์ของพวมผม เดินเข้ามานั่งกันครบ พี่ชินแนะนำตัวเองและผม พร้อมกับเข้าประเด็นในการพรีเซ็นต์งานวิดีโอโฆษณาเผยแพร่ทางออนไลน์เกี่ยวกับน้ำยาปรับผ้านุ่มว่าทางบริษัทเราจะทำโฆษณาอย่างไรให้ดึงดูดใจผู้บริโภค
พี่ชินโชว์ สตอรี่ บอร์ด พร้อมพรีเซนต์งานไปได้อย่างไหลลื่น อธิบายเห็นภาพได้เป็นฉากๆ และทุกครั้งที่มีการพาดพิงถึงงานออกแบบ เขาจะให้เกียรติผมด้วยการแนะนำว่าผมเป็นส่วนสำคัญในการทำผลงานชิ้นนี้
พี่ชินใช้เวลาไปสี่สิบนาทีในการพรีเซ็นต์ผลงานจนจบสิ้น ดูเหมือนว่าทุกคนค่อนข้างปลาบปลื้มกับผลงานของบริษัทผมและที่พี่ชินถ่ายทอดออกมา
พี่ชินเก็บคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ้คเข้ากระเป๋า และยื่นมาให้ผมถือ เพื่อจะเดินไปคุยกับหัวหน้าอีกท่านที่มีคำถาม ผมมัวแต่มองพี่ชินจึงรับกระเป๋ามาโดยไม่รู้เลยว่า มือผมวางทับบนมือของพี่ชินจนอีกฝ่ายตกใจ หันขวับมามองก่อนจะปล่อยมือออกจากที่จับกระเป๋าแล้วเดินไปคุยอีกฝั่ง
ผมเดินออกมารอพี่ชินตรงส่วนรับแขก และยังคิดเรื่องพี่ชินพลางอมยิ้มคนเดียว ผมว่าพี่ชินมีหลายบุคลิกที่ผมคาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ
ผมรอไม่นาน ผู้หญิงปากแดงคนเดิมก็เดินมาพร้อมพี่ชินเพื่อมาส่ง
จบแล้วสำหรับการคุยงาน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก และเดินเข้าลิฟต์มากับพี่ชิน
"พี่ชินเก่งจังครับ" พออยู่กันสองคนแล้ว ผมเอ่ยปากชื่นชมพี่ชินจากใจหลังจากได้เห็นความสามารถของเขา ผมเชื่อนะว่า คนเราถ้ามีความสามารถ หรือ มีความเก่งในแบบที่แต่ละคนถนัด มันเพิ่มเสน่ห์ได้หลายเท่าตัว
และโดยเฉพาะพี่ชินที่มีความหน้าตาดีและยิ้มมีเสน่ห์เป็นทุนเดิมพอเสริมความเก่งเข้าไป ผมว่าพี่เขาเป็นอีกคนที่ดูน่าหลงใหลขึ้นเยอะเลย
"ขอบคุณ" คนตอบหน้านิ่ง และพูดต่อ
"วันนี้เสร็จงานเร็ว คุณจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ"
"ครับ แต่นี่มันก็เที่ยงกว่าแล้ว เราไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ? พี่ชิน""เอาสิ" ผมยิ้ม จากนั้นเราเดินทางไปกินข้าวเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าที่ห่างออกมาหน่อย
ถึงห้างสรรพสินค้า พี่ชินก็เดินดุ่มๆเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นโดยไม่ถามผมก่อนสักคำ
ผมได้แต่คิดในใจว่า...พี่ชินครับ? เงินเดือนผมยังไม่ออกนะครับ ราคาร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นห้างแบบนี้ ถึงต่อให้หารสองแล้ว ราคาก็แพงหูฉี่อยู่ดี
พี่ชินเลือกที่นั่งริมกระจก สักพักพนักงานก็เดินมายื่นเมนูให้ได้พิจารณาอาหาร
ผมยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร แต่พี่ชินสั่งไปสองเมนูแล้ว
อีกฝ่ายปิดเมนูแล้วถามผม
"นึกไม่ออกหรอ?"
"ครับ พี่ชิน มีแนะนำไหมครับ?"
"คุณจะกินพวกเบนโตะ เซ็ตไหม?"
พี่ชินพูดและเปิดเมนูขึ้นอีกครั้ง ชี้หน้าเมนูเหล่านั้นให้ผมดู ผมรีบเออออ จิ้มตาม พนักงานรับออเดอร์ทวนรายการ แล้วเดินจากไป ผมถอนหายใจยาว และมองพี่ชินที่อีกฝ่ายเหมือนมองผมอยู่ก่อนแล้ว
"พี่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นหรอครับ?"
"อืม...ชอบ อย่าบอกนะว่าคุณไม่ชอบ?"
"เอาจริงๆเลยนะพี่ ไม่ชอบครับ แต่ก็พอกินได้แหละ"
จู่ๆ พี่ชินชะเง้อคอมองอะไรบางอย่าง จากนั้นเขายกมือเรียกพนักงานให้เดินมาที่โต๊ะและบอกว่าอาหารที่สั่งไปทั้งหมดช่วยทำแบบกลับบ้านพร้อมคิดเงินให้ด้วย
ผมมองพี่ชินอย่างไม่เข้าใจ
"พี่บอกเอากลับบ้านทำไมครับ เราจะไม่กินกันแล้วหรอ?""ก็คุณบอกไม่ชอบ"
"ผมไม่เรื่องมากหรอกครับ ถ้าสั่งแล้ว ผมก็กินได้"
"คุณชอบกินอะไร?" ผมมองพี่ชินที่ทำหน้าดุๆ สรุปแล้วเขาโกรธผมที่ไม่บอกว่าไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นหรือโกรธเพราะโมโหหิวกันแน่?
พี่ชินทำหน้าไม่พอใจ ผมรีบตอบอย่างไว
"พวกอาหารอีสาน ส้มตำน่ะครับ" ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมใจสั่นและใจเต้นแรงอีกแล้ว...
ผมเห็นอีกฝ่ายทำหน้านึก และได้ยินพี่ชินบ่นพึมพำเบาๆ
"ในห้างนี้น่าจะมี" นอกจากคนมีความสามารถ ผมแพ้คนเอาใจ และผมว่าพี่ชินกำลังทำกับผมแบบนั้น
เกือบครึ่งชั่วโมงที่พนักงานนำอาหารญี่ปุ่นบรรจุกล่องอย่างดีมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับค่าอาหารที่พี่ชินเป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด ผมยื่นเงินให้ เขาก็ปฏิเสธและบอกว่าเขารับผิดชอบเอง และพาผมไปยังร้านใหม่
ทั้งๆที่มันต้องเดินไกล อยู่คนละโยชน์ คนละชั้น แต่พี่ชินก็พาผมมาถึงร้านอาหารส้มตำจนได้
พอนั่งปุ๊ป ผมถามพี่ชินปั๊ป แต่ฝายนั้นบอกให้ผมเลือกได้ตามใจชอบ และพอเป็นเมนูอาหารอีสาน ผมนี่ลาภปาก สั่งได้แทบไม่ต้องดูเมนูอาหารด้วยซ้ำ
สั่งเสร็จเรียบร้อยที่เหลือก็รออาหารมาเสิร์ฟ
"อันที่จริง พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ผมรู้สึกผิดน่ะ"
"รู้สึกผิดแล้วหรอ? เห็นสั่งรัวๆเลยนะ"
มองคนพูดแขวะ แต่ผมก็หัวเราะกลับไป
"โถ่...พี่ชินผมสั่งเผื่อพี่นะ"
"ก็ดี...ผมไม่ชอบกินอาหาร ในขณะที่คนนั่งด้วยทำหน้าอมทุกข์""รับรองครับ พี่จะไม่มีทางได้เห็นสีหน้าแบบนั้นแน่นอน"
ผมยิ้มหวานให้พี่ชิน แต่ผมเห็นว่าพี่ชินแกไม่สนรอยยิ้มของผมเลย กลับเสหน้าหนีไปทางอื่น
เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พออาหารอีสานที่ผมสั่งทะยอยมาเสิร์ฟจนใกล้ครบ ด้วยความหิวจนแสบท้อง เพราะกว่าจะได้กินก็ล่อไปเกือบบ่ายสอง
ผมเลยขออนุญาตพี่ชินกินก่อน อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ และค่อยๆตักลาบเป็ด ส้มตำคำน้อยๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ที่ตักคำใหญ่โตไม่พอ แถมยัดเข้าปากอย่างไม่กลัวติดคอ ทั้งข้าวเหนียว คอหมูย่าง ลาบหมูทอด
พออาหารถูกเติมลงท้อง อาการของผมก็เปลี่ยนไป ผมมีความสุขมากกว่าเดิม และไม่แปลกที่อาหารตรงหน้าจะหมดเกลี้ยงในพริบตา
ผมกินจนไม่สนใจถามพี่ชิน พอถึงจังหวะจ่ายเงิน ผมจะควักจ่าย พี่ชินก็ชิงตัดหน้าไปก่อน และบอกว่า เขาเป็นเจ้ามือเอง
ผมนั่งนิ่งเลยครับ ผมว่าพี่ชินเปลี่ยนไปมาก เช่นวันนี้ พี่ชินดูละมุนกับผม แม้จะมีบ้างที่สุ้มเสียงยังดูแข็งๆอยู่บ้าง แต่การกระทำนั่นดูอ่อนโยน และเอาใจใส่อย่างน่าประหลาด
"ขอบคุณนะครับพี่ชิน เออ แต่ผมเห็นพี่ชินกินน้อยมาก ไม่หิวหรอครับ"
"ผมเหลือท้องไว้กินอาหารญี่ปุ่น" พี่ชินบอกพลันชำเลืองมองไปที่กล่องอาหารญี่ปุ่นที่วางอยู่ข้างๆ
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวก็ตอนนี้นี่แหละ...
ผมก็คงไม่ต่างจากนิทานโบร่ำโบราณอย่าง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ล่ะมั้ง พอผมหิวข้าวมากจนตาลาย แถมจะกินม้าได้ทั้งตัว เลยทำให้ละเลยใส่ใจความรู้สึกคนอื่น การที่ผมถามพี่ชินก่อนหน้า มันก็แค่ถามเป็นพิธีไปอย่างนั้น
จนกระทั่งอิ่มท้องอย่างมีความสุข ผมถึงมีเวลาได้ตระหนักว่า...
"พี่ชินไม่ชอบอาหารอีสานใช่ไหม?"
ผมโน้มตัวไปหา วางศอกลงบนโต๊ะ หรี่ตามองพี่ชินที่ทำท่าอึกๆอักๆ ก่อนจะตอบปฏิเสธ
ทำไมผมเป็นคนแบบนี้ไปได้ล่ะ ผมโคตรเห็นแก่ตัวเลย ผมเอาแต่ตัวเอง ผมรู้ได้ในทันทีว่า เขากำลังโกหกผมอยู่ พี่ชินไม่ชอบกินอาหารอีสาน ผมเหลือบมองจานของเขา อาหารที่ตักไปก่อนหน้ายังเหลือเท่าเดิม
ผมกุมขมับ และขอตัวพี่ชินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อครุ่นคิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
ผมโคตรจะไม่ชอบตัวเองในมุมนี้เลย ให้ตายเถอะ!!
แต่ในความไม่ชอบที่ตัวเองนิสัยเสีย ผมกลับเจอบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจผม
ผมชอบพี่ชินเข้าแล้ว...
อ้าว...แล้วอชิล่ะ ผมชอบเธอแบบไหนกันแน่?
...........................................
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ (ทันไหม? 5555)
ขอบคุณทั้งคนอ่าน คนคอมเมนท์ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ