#Re2love •5
“ซับหน้านางแบบด้วยครับ”
ฝ่ามือหนาลดกล้องในมือลงก่อนจะก้มหน้าเช็คภาพในกล้อง ขณะเดียวกันกับที่บรรดาช่างแต่งหน้าต่างพากันกรูไปซับหน้าและจัดทรงผมให้นางแบบ ช่วงเวลาในการเติมเมคอัพเป็นช่วงเวลาที่ช่างไฟและฝ่ายฉากได้ขยับเส้นสายหลังจากยืนเกร็งกันมานานแล้ว
พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ผู้ช่วยช่างภาพก็เรียกนางแบบวัยรุ่นซึ่งกำลังมีผลงานซีรีย์ชื่อดังเข้ามาในฉากเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายต่อ
“โพสครับ”
นางแบบสาวทำตาหยีก่อนจะเผยอปากตอนที่ทำท่าทางเอามือทั้งสองข้างเกาะราวบันไดซึ่งอุปกรณ์ประกอบฉาก โฬมชะงักกึกก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อมองผ่านเลนส์ ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าจากกล้องในมือแล้วสบตากับนางแบบน้องใหม่
“ช่วยยิ้มปกติด้วยครับ”
“.....”
ทั้งสตูฯเงียบกริบเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้น ในเสียงราบเรียบนั่นฟังดูไม่มีอะไร แต่สำหรับคนที่ร่วมงานกันมาหลายต่อหลายครั้ง การพูดเรียบๆ แบบนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าช่างภาพหนุ่มกำลังอารมณ์ไม่ดี
“เวลาที่คุณต้องมองใครสักคนอย่างหลงใหล คุณจะใช้สายตามองเขาแบบไหนครับ”
“ก็เอ่อ...”
นางแบบสาวอึกอักก่อนจะฉีกยิ้มแล้วทำตาปรือใส่
“โบท็อกซ์ที่ฉีดไป ทำให้หน้าตึงจนยิ้มแบบอื่นไม่ได้รึเปล่า?”
คำถามเรียบๆ นั่นเลยเอาทั้งสตูดิโอกลั้นขำ ก็จะอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่ว่าสองสามวันก่อนนางแบบคนนี้จะลงข่าวหน้าหนึ่งด้วยประเด็นการเสริมความงามจากกรรมวิธีตามกระแส แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้โฬมหัวเสีย ถ้าหากว่านางแบบคนนี้จะตั้งใจทำงานมากกว่าการยิ้มหวานกระลิ้มกระเหลี่ยใส่ช่างภาพแบบเขา พอให้โพสท่าไหนก็ดูจะใช้เวลานานกว่าจะทำความเข้าใจได้ และพออธิบายอะไรไป หล่อนก็ดูจะตั้งใจมองหน้าเขามากกว่าสนใจในสิ่งที่เขากำลังจะบอก
“คุณโฬมนี่ขี้แซวจังเลยนะคะ”
สาวเจ้ายิ้มเจื่อนๆ ให้ ก่อนจะเบ้ปากแล้วขยับโพสท่าทางที่ดูจะตั้งใจมากขึ้น
“เปล่าครับ ผมพูดจริง”
คนถูกดุทำตาค้างอ้าปากพะงาบๆ แล้วค้อนควับให้ โฬมส่ายหัวไปมาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรวบรวมสติเพื่อจดจ่อกับงานตรงหน้า ผ่านไปเกือบชั่วโมงหลังจากถ่ายเซตชุดว่ายน้ำแบบสปอร์ตเกิร์ล หลังจากนั้นนางแบบสาวถูกพาไปเปลี่ยนชุดเพื่อถ่ายเซตต่อไป
ระหว่างพักกองไอ้เก่งรีบเดินเอาโทรศัพท์มือถือมายื่นให้อย่างว่องไว
“เมื่อกี้ลุงทนายโทรมาพี่”
“......”
โฬมไม่พูดอะไร แต่รับเอาโทรศัพท์มาหมุนเล่น
“เอ่อ..”
มันท่าทางยึกยักเหมือนมีอะไรจะพูดต่อ
“มีอะไร?”
“ลุงทนายบอกให้พี่โทรกลับด้วย”
“อือ”
โฬมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงไม่มีท่าทีว่าจะโทรหาใครตามที่รุ่นน้องบอกสักนิด
“แล้วพี่ไม่โทรเหรอ”
“ไม่”
ท่าทางไม่ยี่หระนั่นทำให้หนุ่มรุ่นน้องได้แต่นึกปลง เก่งเลยแยกตัวไปจัดเตรียมฉากต่อพอดีกับที่เพื่อนซี้อย่างทิวและป๋องตามมาสมทบ
“มึงๆ”
“ว่าไง”
“มึงเอ้ย หุ่นนางแบบแม่งโคตรเด็ด”
“เออเอวเอสสัดๆ”
“พี่โฬมแม่งทนได้ไงวะ”
“นั่นดิ ตานี่ไม่กระพริบออกจากกล้องเลย โคตรนิ่ง”
“ใครจะไปเหมือนตามึง มองทะลุนมนางแบบไปแล้ว”
“มึงก็มองไอ้สัด” เก่งลูบเคราตัวเอง “กูว่านะ พี่โฬมแม่งตายด้านป่าววะ นางแบบอ่อยขนาดนั้นยังนิ่งเป็นเสาปูนอยู่ได้”
“กูเห็นด้วย”
“แต่กูไม่เห็นด้วย”น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูนั่น ทำให้หนึ่งสามเริ่มขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามออกไป “ทำไมไม่เห็นด้วยวะ”
“เพราะกูยังไม่ตายด้าน”
“พะ พี่โฬม”
วงสนทนาที่สุมหัวกันอยู่แตกฮือ ไอ้สามตัวนั้นตกใจจนหน้าเหลอเมื่อรุ่นพี่ที่กำลังนินทาอยู่ยืนค้ำสะเอวอยู่เหนือศีรษะ
“กูยังไม่ตายด้านหรอก แต่พวกมึงกำลังจะตายคาตีนกู ไปทำงาน”
โฬมเด่ปลายเท้าเตรียมไล่เตะพวกมัน จนไอ้พวกนั้นวิ่งแตกฮือไปท่าทางชวนตลกขบขัน เสียงหัวเราะในลำคอทุ้มนั่นทำเอาทีมงานคนอื่นๆ ตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะจากใบหน้าคมคายนั่น โฬมยักไหล่ก่อนจะเดินประจำที่ตอนที่ฉากใหม่ถูกเซตขึ้นมาจนเสร็จสมบรูณ์
ชายหนุ่มลูบคลำกล้องตัวโปรดที่เขาเก็บเงินซื้อ ในอดีตโฬมเป็นแค่เด็กที่มีความฝันเกี่ยวกับงานถ่ายภาพ จนวันหนึ่งเขาสั่งสมประสบการณ์และความสามารถจนผงาดมาขึ้นมาจนเป็นที่รู้จักของคนในวงการนี้ ทว่ากว่าจะมาถึงวันนี้โฬมผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งความเจ็บปวดและทั้งร่องรอยอดีตที่ไม่อยากจดจำ
โฬมหลงใหลการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจแม้ตอนเรียนปริญญาตรีเขาจะไม่ได้จบมาตรงสายมาด้านนี้ เพราะบิดาส่งไปเรียนต่อด้านบริหารไกลถึงต่างประเทศ โฬมมีทั้งปริญญาตรีและโทในในสาขาที่จำใจเรียน แต่เขาก็แอบไปลงเรียนถ่ายภาพในช่วงเวลาว่าง
โฬมฝึกปรือประสบการณ์ด้านการทำงานจนมีวันนี้ วันที่เขาเป็นช่างภาพมีชื่อเสียง ตอนนี้ “โฬม” เป็นที่รู้จักในฐานะช่างภาพอิสระที่ชื่อเสียงจากการถ่ายแบบนางแบบขึ้นปกในนิตยสารที่มีคนติดตามทั่วโลก และช่างภาพที่ถ่ายงานเฉพาะอย่างการเป็น ‘ช่างภาพนู้ด’
“ปลดบรานางแบบด้วยครับ”
ร่างสูงจ้องมองผ่านเลนส์ตอนที่นางแบบสาวเปลือยกายแล้วโพสท่าทางตามสั่ง ปลายนิ้วเรียวยาวกดชัตเตอร์สลับกับบอกให้นางแบบพรีเซ็นต์ตัวเองให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของงานที่ได้รับมอบหมายมา โฬมกดยิ้มมุมปากเมื่อจ้องมองภาพที่สวยงามทั้งแสงและเงาครบองค์ประกอบตามต้องการ
นี่แหละงานของเขา!
★ ☆★ ☆★ ☆
“มือเรียวสวยลูบไล้ไปตามมัดกล้ามเนื้อหน้าท้อง ดวงใจน้อยๆ สะเทือนไหวทุกครั้งที่ไล่เลาะผ่านความแข็งแรง กายสาวหวามไหวกายสะท้าน ไม่ต่างจากบุรุษสูงใหญ่ซึ่งตะคองกอดดรุณหอมกรุ่นไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าคมคายซุกซบไปที่เนินอกสาวแล้ว...”
...Rrrrr...
“ทาถู ทาถู”
“ใบหน้าคมคายซุกซกไปที่เนินอกสาวแล้วทาถู ทาถู”
“เฮ้ย”
พุฒิสะดุ้งโหยงเพราะตัวเองเผลอพูดพร้อมกับพิมพ์ข้อความตามเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ใส่ลงไปในบทอัศจรรย์ที่บรรจงปั้นแต่งตามจินตนาการอยู่ ชายหนุ่มขี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ก่อนจะลบเนื้อความไม่เข้าพวกทิ้ง แล้วทำหน้ายู่ใส่โทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างกาย
“ให้ตายเถอะ”
พุฒิบ่นพึมพำพร้อมขำความป้ำๆ เป๋อๆ ของตัวเองก่อนจะขยับปลายนิ้วคลิกเซฟเนื้อหาแล้วผละไปรับสายโทรศัพท์ที่แผดร้องเสียงดังอยู่ตอนนี้
“ว่าไง”
[กว่าจะรับสายกูได้]
ปลายสายเจ้าเก่าอย่างมนชัยบ่นกระปอดกระแปด
“กระผมทำงานอยู่ครับไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้า”
ทางนั้นหัวเราะร่วน
[เออๆ จะโทรมาคอนเฟิร์มงานแต่งไอ้สิท]
‘ไอ้สิท’ ที่ว่าเป็นที่ว่าเป็นรุ่นน้องคนสนิทที่มหาวิทยาลัย เห็นมันรักๆ เลิกๆ กับแฟนสาวมาหลายต่อหลายครั้ง ใครจะไปคิดว่ามันจะลงเอยกันในที่สุด ก็อย่างว่าล่ะ! คนมันเคยรักเคยผูกพันถึงจะเลิกรากันไป สุดท้ายก็วนกลับมาเจอกันจนได้
คู่รักที่รักๆ เลิกๆ กันจนสามารถจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้ก็เหมือนผ่านบททดสอบขั้นแรกของชีวิตคู่
คิดมาถึงตรงนี้พุฒิก็ถอนหายใจแรงๆ เมื่อนึกเปรียบเทียบเรื่องของรุ่นน้องกับเรื่องของตัวเอง เขาครองตัวเป็นโสดมานานจนกระทั่งมาตกกระไดพลอยโจนกับรุ่นน้องสาว อันที่จริงแล้วจะเรียกว่าครองตัวเป็นโสดคงไม่ถูกนัก เพราะตั้งแต่โฬมหายไปจากชีวิตเขาเองก็เหมือนจะลืมเลือนไปแล้วว่าการมีใครสักคนอยู่ข้างกายมันเป็นยังไง
ทุกครั้งที่คิดว่าจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาเรียนรู้กัน พุฒิก็อดนึกถึงแฟนคนแรกในชีวิตอย่างโฬมไม่ได้ จนกระทั่งเจอกับดาหวันถึงแม้จะเป็นการร่วมชีวิตกันด้วยเรื่องบังเอิญ แต่เขากลายพูดได้เต็มปากว่าแม่ของลูกคือผู้หญิงที่เขารักใคร่ห่วงใยไม่แพ้คุณพรรณีเลยจริงๆ
[ฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย]
“เออโทษทีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
พุฒิคลึงขมับตัวเอง
[ไปเช็คร่างกายบ้างดีมั้ยพุฒิ กูว่าช่วงนี้มึงดูเบลอๆ นะ]
“กูไม่ได้เป็นไร แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
[เออพ่อนักเขียนชื่อดัง]
พุฒิหัวเราะในลำคอ
“ตอนเย็นไปงาน แวะมารับกูที่บ้านด้วย คุณปู่เกเรอีกแล้วว่ะ”
[เออได้ ว่าแต่ช่วงนี้มึงมีรถใช้ไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนรึเปล่าวะ เอารถกูไปใช้ก่อนมั้ย]
พุฒิโคลงศีรษะไปมาเข้าใจถึงเจตนาดีของมัน เพราะมนชัยเป็นถึงเจ้าของเต้นท์รถมือสอง จริงๆ เขาก็มีโครงการว่าอยากจะซื้อรถไว้ใช้อีกสักคัน แต่เพราะอยากเก็บเงินไว้ให้ลูก พุฒิพอมีเงินเก็บที่สามารถซื้อรถคันใหม่ได้สบาย แต่เขาขี้เหนียวเกินไปเพราะไม่อยากฟุ่มเฟือย อยากเก็บเงินไว้ให้ลูกเยอะๆ อีกอย่างถึงแม้คุณปู่จะเกเรไปบ้าง แต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ เขาเลยไม่เดือดร้อนใจที่จะใช้รถรุ่นคุณปู่ซึ่งผลิตขึ้นตั้งแต่ยุคเก้าศูนย์
“ไม่เป็นไรกูเกรงใจ นี่เข้าศูนย์มาสองสามวันแล้ว ไม่นานก็น่าจะเสร็จ”
[เออตามใจมึง ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก]
“ขอบใจมึง”
[เออไว้เจอกัน]
พุฒิวางสายโทรศัพท์ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา พอดีกับที่เสียงวิ่งตึงตังพร้อมกับเสียงเรียกเขามาแต่ไกล
“พ่อจ๋า”
“ครับ”
พุฒิย่อตัวอ้าแขนรับเจ้าหมูที่วิ่งมากอดหมับที่คอ
“ขี้อ้อนจริงนะเรา”
“ฮื่อ”
พิกเล็ตเหนี่ยวคอเขาลงมาแล้วกดจูบที่แก้มเสียงดังฟอด คนเป็นพ่อถึงกับหัวเราะอารมณ์ดีก่อนจะอุ้มเจ้าหมูขึ้นแล้วตบก้นเบาๆ
“อ้อนจะเอาอะไรฮึ หมูน้อยของพ่อ”
“ย่าจ๋าบอกว่าวันนี้พ่อจ๋าจะไม่อยู่เล่านิทานให้หนูฟังก่อนนอน”
“พ่อจ๋ามีธุระครับ”
พุฒิลูบกระหม่อมบางอย่างเอ็นดู “วันนี้ให้พี่ส้มกับย่าจ๋าเล่าแทนพ่อก่อนนะลูก”
“ฮะ”
“แล้วตอนเย็นนี้หนูจะกินอะไรดีฮึ”
“ไก่ทอด”
“ได้เล้ย” พุฒิรับคำ “แต่ว่าให้พี่ส้มทำเนอะ”
“อ้าว”
พุฒิยิ้มแหยนึกถึงการเข้าครัวครั้งที่แล้วเพื่อทอดไก่ให้ลูกกินแต่หวิดเกือบทำให้ไฟไหม้บ้าน
“พ่อว่าให้พี่ส้มทำดีกว่า ถ้าให้พ่อจ๋าทำ หนูได้กินแต่ของไหม้แน่”
“พ่อทอดไก่ไหม้หนูจำได้”
อย่าว่าแต่ไก่เลย ไข่เขายังทอดไหม้! พุฒินึกถึงฝีมือทำกับข้าวของตัวเองแล้วละเหี่ยใจ
“เพราะพ่อร้อนแรงไง ไก่เลยไหม้”
“พ่อจ๋าขี้โม้”
พิกเล็กทำหน้ายู่
ฟอด!
“ว่าพ่อจ๋าเหรอ?”
“งื้อ”
พิกเล็ตดิ้นไปมาเมื่อถูกจี้เอว เด็กน้อยหัวเราะไปดิ้นหนีไปชวนขบขัน
“วี้ดดดดดด”
พุฒิหัวเราะร่วนเมื่อเจ้าหมูดิ้นแด่วๆ ก่อนจะหอบหายใจแรงๆ เหมือนคนหมดแรง ศีรษะเปียกชื้นนั่นบ่งบอกจะตัวเล่นกับเขาจนเหงื่อออก สีหน้าแววตาของลูกที่มีความสุขทำให้พุฒิสุขเหนือสิ่งอื่นใด เพราะพิกเล็ตเป็นแก้วตาดวงใจของเขา
พิกเล็ตหนูคือดวงใจของพ่อ
★ ☆★ ☆★ ☆
โฬมนอนเอามือประสานท้ายทอยนอนราบไปกับกับพื้นหญ้าตรงสวนอังกฤษในเวลาพลบค่ำ ชายหนุ่มถูกใจพื้นที่ตรงนี้มากตั้งแต่มีนายหน้ามาเสนอขาย ยิ่งได้มาดูพื้นที่จริงก่อนลงมือสร้างโฮมออฟฟิศเขายิ่งชอบบรรยากาศแถบนี้ หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ไม่กลางจากเขตเมือง ซ้ำยังเงียบสงบและที่สำคัญพื้นที่ท้ายหมู่บ้านยังมีทะเลสาบขนาดเล็ก
ก่อนหน้านี้โฬมไม่เคยคิดจะกลับมาลงหลักปักฐานที่นี่หรอก เขาชินซะแล้วกับการใช้ชีวิตไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านเกิดกับต่างประเทศ ซ้ำเมื่อก่อนยังมีความคิดว่าจะไม่กลับมาปักหลักที่นี่ด้วยซ้ำ โฬมเป็นคนมีบาดแผลในใจ เพราะไม่ลงรอยกับพ่อตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อตอนปีหนึ่งเป็นช่วงที่มีทั้งทุกข์และสุขใจ ทุกข์ที่ว่าคือบิดาจอมเจ้าชู้ลักลอบมีสัมพันธ์กับเลขาตัวเองจนมารดาเขาจับได้ เมื่อนั้นมารดาเขาก็เสียใจจนช็อกแล้วเสียชีวิต โฬมในตอนนั้นเสียใจมากจึงทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับบิดาจนในเวลาต่อมาเขาถูกจับโยนให้ไปเรียนต่างประเทศ และสุขหนึ่งเดียวในตอนนั้นของโฬมคือได้รู้จักใครคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตและทำให้ชีวิตที่ล่องลอยได้พบกับความสุข ความสุขเพียงหกเดือนเหมือนเปรียบเหมือนน้ำหวานที่ล่อให้คนติดกับ กว่าจะรู้ตัวว่าความหวานนั้นกลายเป็นยาขมก็เมื่อกลืนกินมันจนอิ่มท้องแล้ว
“เลิกกันเถอะ”โฬมหลับตานิ่ง แม้จะทำใจให้ลืมแต่น่าประหลาดว่าตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีมันยังตกค้างอยู่ในใจ แม้จะอยากลืมเพียงใดแต่หัวใจก็ยังจดจำ การเลิกราในครั้งนั้นเขานึกว่าคงจะได้เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย เพราะบิดาไล่ส่งให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ที่ไหนได้โชคชะตายังหมุนวนมาให้เจอกันอีกครั้ง
‘เขาในวัยสิบแปดกับความรักครั้งแรกกับรุ่นพี่’ น้ำเน่าสิ้นดี โฬมถอนหายใจกับความหลังสุดเพ้อเจ้อนั่น คิดไปก็เท่านั้นเพราะเวลาเกือบยี่สิบปีอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป
ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม!
“พ่อจ๋ารีบกลับมาน้า”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยข้างบ้านทำให้โฬมเงี่ยหูฟังเงียบๆ
“ครับ ก่อนนอนหนูอย่าลืมแปรงฟันละลูก”
“งื้อ”
“เดี๋ยวพ่อจ๋าไปก่อนนะ มาหอมเหม่งก่อนหมูน้อยของพ่อ”
เสียงจุ๊บๆ ดังอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่เสียงรถหน้าบ้านคนรักเก่าจะดังขึ้น รถคันนั้นจอดอยู่พักหนึ่งเหมือนรับคนก่อนแล้วค่อยขับออกไป โฬมนิ่งฟังเสียงรอบกายกะว่าจะนอนฟังเสียงธรรมชาติอีกสักพักถ้าหากไม่ได้ยินเสียงขลุกขลักจนรั้วข้างบ้าน โฬมนึกสงสัยได้ไม่นานก็เห็นส่วนหัวที่มีกลุ่มผมสีดำผลุบๆ โผล่ๆ อยู่แถวแนวรั้ว
สงสัยว่าขโมยเจ้าเดิมจะขึ้นบ้าน!
“ทำอะไร?”
“อ๊ะ”
พิกเล็ตสะดุ้งโหยงอารามตกใจรีบผงกศีรษะจนหัวชนกับรั้วไม่แรงหนัก มือน้อยๆ คลำศีรษะตัวเองป้อยๆ หน้าตาเหยเก
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามุดรั้วเข้ามา”
“ฮึก หนูแค่อยากไปดูวีนัส”
พิกเล็ตหน้าเสีย น้ำตาไหลเอ่อคลอจะหยดมิหยดแหล่
“ไปรอหน้าบ้านเลย เดี๋ยวจะไปรับมาดู”
จบประโยคใบหน้าเหงาหงอยก็หลุดยิ้มแฉ่งจนคนตัวโตส่ายหัวอย่างระอา ร่างกลมป้อมวิ่งปร๋อไปอย่างไว จนคนงานบ้านที่ออกมาตามเจ้าตัวป่วนร้องหาเสียงหลง
“คุณพิกเล็ตคะ”
ส้มร้องหาเสียงสั่นก่อนจะเห็นตัวต้นเหตุยกมือขึ้นไหวๆ ว่าอยู่ทางนี้ โฬมเลยเดินไปออกจากบ้านไปหยุดที่ประตูรั้วบ้านข้างๆ รอท่า
“คุณพิกเล็ตจะไปไหนคะเนี่ย พี่ส้มตามหาตั้งนานตกใจหมดเลยรู้มั้ยคะ นึกว่ามาส่งพ่อจ๋าแล้วจะเข้าบ้านซะอีก”
“หนูจะไปดูวีนัสบ้านอาโฬมฮะ”
“แต่ว่ามันจะรบกวน..”
“ไม่เป็นไรหรอก” โฬมที่ยืนอยู่ริมประตูพูดขึ้น “มาเถอะไม่รบกวนหรอก ถ้ายังไงบอกคุณป้าด้วยว่าพิกเล็ตอยู่บ้านผม”
ส้มพยักหน้ารับเพราะเห็นหน้าค่าตาและรู้จักหนุ่มรูปหล่อข้างบ้านเป็นอย่างดี เห็นคุณย่าพูดคุยอย่างสนิทสนมก็นึกวางใจ พอประตูรั้วได้พิกเล็ตก็วิ่งปรู๊ดออกไปคว้ามือโฬมที่รอท่าก่อนจะลากกึ่งจูงไปยังบ้านชายหนุ่มทันที
“ชอบวีนัสขนาดนั้นเลยเหรอเรา”
“ฮะ”
พิกเล็ตตาเป็นประกาย มัวแต่ดีใจเดินไม่ดูทางเกือบสะดุดพื้นต่างระดับดีว่าโฬมตาไวเลยคว้าเอวเจ้าหมูอย่างไว ก่อนจะตัดสินใจอุ้ม เด็กนี่ก็ช่างอ้อนพอถูกอุ้มก็กอดหมับที่คอเขาอย่างว่องไวพอกัน
ให้ตายเถอะ!
แวบหนึ่งโฬมนึกอยากจะเฉยชาให้กับผลผลิตของอดีตคนรัก แต่ก็นั่นแหละเด็กนี่ยังไร้เดียงสาเกินไปสำหรับเรื่องน่าปวดหัวของผู้ใหญ่ ดังนั้นมันคงไม่ได้ผิดอะไรหากเขาจะนึกเอ็นดูเจ้าหมูตัวนี้
“อาโฬมฮะ”
“ว่าไง”
“อุ้มหนูสูงๆ ได้มั้ยฮะ หนูอยากจับข้างบนอ่า”
พูดไม่พอยังทำหน้าอ้อนอีกแน่ะ พอโฬมทำตามเจ้าตัวก็ตบมือถูกใจ
ยิ้มเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก! โฬมเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัวก่อนจะชะงักกึกเมื่อนึกได้แล้วสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ
ช่างเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี!
★ ☆★ ☆★ ☆
ต่างคนต่างไม่ลืมกันเด้อ ฮี่ๆๆ
ความบีบน้ำตาอยากดูวีนัสของเจ้าหมูนี่มันจริงๆ เลย
หวีดในทวิตติด #Re2love ด้วยเด้อ