บทที่ 15
นับวันกลับจากทริปอีสเทิร์นพอร์ตก็ผ่านมาร่วมครึ่งเดือนแล้ว ซินเธียังคงใช้ชีวิตตามปกติ ความคุ้นชินกับวิถีชีวิตมีมากขึ้นและตอนนี้เด็กหนุ่มก็เริ่มชินกับสภาพอากาศหนาวเย็นในดินแดนแห่งนี้แล้ว
ท้องฟ้าครึ้มที่ไร้แสงแดดกลายเป็นภาพคุ้นตาเช่นเดียวกับสีขาวซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ในแต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่าย ซินเธียเขียนจดหมายไปหาท่านพ่อบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปท่องเที่ยวมารวมถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เขามักจะทำมันอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้งในรอบเดือน วันนี้เองก็เช่นกัน
ท่านชายวาเลนเธียสอดจดหมายที่บรรจงเขียนลงไปในซองพร้อมประทับตราของตระกูลคิมลงไปบนหมึกสีแดงเพื่อปิดผนึกจดหมายแล้วส่งให้คุณพ่อบ้านช่วยจัดการ
“วันนี้คุณแอชลีย์จะกลับมาทานมื้อกลางวันไหมครับ”
“คุณท่านจะกลับมาตอนเย็นครับ เห็นว่าช่วงบ่ายมีประชุมสำคัญ”
ซินเธียพยักหน้าเข้าใจ พักหลังมานี้ใครอีกคนมักจะแวะเวียนเข้ามาทานมื้อเที่ยงด้วยกันหากไม่ติดธุระสำคัญที่ไหน ที่ต้องถามก่อนเพราะเขาจะได้อยู่คอยต้อนรับ จัดเตรียมของว่างรองท้องให้ก่อนตามความเคยชิน แม้จะไม่ใช่หน้าที่จำเป็นต้องเปลืองแรงทำด้วยตนเองแต่ซินเธียคิดว่าในฐานะคู่ชีวิตแล้วการดูแลอีกฝ่ายเป็นเรื่องเหมาะสม แต่ถ้าอีกคนจะไม่กลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งเรื่องการขยายการค้าที่ได้ไปเจรจากันเมื่อคราวก่อน
“ท่านชายครับ”
“หืม?”
“ของพวกนี้จะให้นำไปเก็บไว้ในห้องเก็บของหรือนำไปวางเอาไว้ตามห้องต่างๆ ดีครับ”
“อ่า... จริงสิ” ลืมไปเลย
สิ่งที่คุณพ่อบ้านกำลังพูดถึงก็คือของที่ซื้อติดมือตอนไปอีสเทิร์นพอร์ตคราวก่อน ซินเธียเดินเข้าไปใกล้บรรดากล่องกระดาษสี่เหลี่ยมหลากหลายซึ่งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ เมื่อเปิดออกจะพบกับบรรดาเทียนหอมกลิ่นต่างๆ ของพวกนี้ตอนวันกลับนายท่าแลมเบิร์ตพาไปเลือกซื้อถึงท่าเรือใหญ่ เป็นสินค้าคุณภาพดีที่ไม่ได้หาซื้อได้ตามแผงข้างทางหรือร้านค้าทั่วไปได้ง่ายๆ อีกทั้งยังถูกนำเข้ามาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งของทะเล
เขาหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาพิจารณา แค่หยิบขึ้นมาใกล้ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาแล้ว ซินเธียรู้สึกชอบมันมากตั้งแต่แรกเห็นเลยขนกลับมาเสียเยอะ
ตั้งแต่กลับมาก็มั่วทำนู่นทำนี้เสียจนลืมพวกไปไปสนิท ของฝากที่เป็นจำพวกวัตถุดิบกับอาหารก็แจกจ่ายคนในคฤหาสน์รวมกับคุณพ่อคุณแม่ไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ของใช้แบบนี้
เทียนหอมเหล่านี้เน้นให้ความผ่อนคลาย หรือจะนำไปจุดเพิ่มบรรยากาศก็น่าสนใจ เขาเลือกมาแต่กลิ่นที่ไม่แรงมากส่วนใหญ่จะเน้นไปทางดอกไม้
“เดี๋ยวช่วยเอาไปวางไว้ในห้องทำงานคุณแอชลีย์อันนึงนะครับ” เอ่ยขณะสายตาก็คอยกวาดมองบรรดาเทียนหอมตรงหน้า ซินเธียหยิบพวกมันขึ้นมาดมทีละกลิ่นเพื่อตัดสินใจหาชิ้นที่เหมาะสม หยิบอันนู้นทีอันนี้ทีขมวดคิ้วท่าทางเป็นจริงเป็นจังเอามาก
เห็นเวลาทำงานล่ะทำหน้าเครียดเชียว ในห้องก็อุดอู้ไม่ค่อยมีอะไรให้ผ่อนคลายเพราะเจ้าของห้องเป็นคนเรียบง่ายไม่ชอบให้มีของตกแต่งในห้องเยอะๆ จนดูรกตา เมื่อก่อนใบไม้สักใบยังไม่มีจนซินเธียต้องคอยจัดหาดอกไม้ใส่แจกันไปวางไว้ในห้องทำงานของคนตัวโตทุกวันจะได้มีสีสันอะไรให้มองตอนพักสายตาบ้าง ไม่งั้นล่ะเครียดตายเลย
นี่ก็คิดว่าจะจุดเทียนหอมให้นานๆ ครั้ง คงจะดีไม่น้อย
“เขาไม่ชอบพวกกลิ่นที่ฉุนๆ มากเกินไป เอาจากกล่องนี้ก็ได้”
เทียนหอมจากกล่องสีขาวถูกหยิบส่งไปให้ อีริครับมันมาถือไว้ ชายชราระบายรอยยิ้มจางๆ ขณะมองเจ้านายเยาว์วัยอีกคนหนึ่งตรงหน้า
“ถึงแม้ท่านชายจะพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแต่คุณก็เข้าใจคุณท่านเป็นอย่างดีเลยนะครับ”
พอถูกเย้าไปแบบนั้นคนฟังก็เผลอเม้มปาก สองแก้มซับสีเรื่อจางๆ แสร้งทำเป็นง่วนกับการเลือกของบนโต๊ะไม่เงยหน้ามาสบตาคล้ายไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่จากพ่อบ้าน
“ตั้งแต่มีท่านชายเข้ามาคุณแอชลีย์ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะรับความเอาใจใส่จากท่านแท้ๆ”
เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงหรือเพื่อจะเอาใจใครเลย ท่านชายคิมผู้นั้นน่ะตั้งแต่เติบโตจนเข้ามารับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว จากคุณชายน้อยในครานั้น มาถึงตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรไปที่ไหนก็มักจะแผ่กลิ่นอายของพลังอำนาจอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกทั้งเคร่งขรึมและเย็นชาชวนให้กริ่งเกรงสมกับความเป็นอัลฟ่า วันทั้งวันสีหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
แต่ตอนนี้ ถึงจะไม่นับว่าเปลี่ยนแปลงไปจากปกติมากแต่สำหรับอีริคที่ทำงานรับใช้ตระกูลคิมมานานย่อมดูออกว่าคุณชายน้อยของตนในวันวานเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะท่านชายจากต่างแดนผู้นี้
“ส่วนกล่องนี้เอาไปวางไว้ในห้องเรือนกระจกกับห้องรับแขกนะครับ แล้วก็แบ่งไปวางในห้องน้ำด้วยสักสองสามชิ้น” ฝั่งคนที่เริ่มจะเก็บความสั่นไหวในใจเอาไว้ไม่อยู่น่ะหรือก็ยังคงตีหน้าตายทำเมินเฉยต่อไป แต่ใบหูสองข้างน่ะแดงแจ๋ไปหมดแล้ว
ก็ดูเอาแล้วกันว่าแสร้งเมินใส่ขนาดนี้คุณพ่อบ้านยังจะพูดต่อไปอีกไหม ซึ่งนับว่าดีที่ทางนั้นยอมรามือไปแต่โดยดี
“รับทราบครับ” ชายชราหัวเราะแบบไม่ออกเสียง นึกเอ็นดูเจ้านายอายุน้อยคนนี้มากจริงๆ
“ซื้อมาเยอะเหมือนกันนะ” พอจัดสรรเรื่องในบ้านเสร็จก็ยังเห็นว่าสิ่งของที่ซื้อมามีมากพอจะให้คฤหาสน์คิมจุดแบบสุรุ่ยสุร่ายไปอีกทั้งปีเลยเริ่มคิดหาวิธีกระจายออกไปนอกบ้านบ้าง
“เราเอาไปฝากท่านชายมัวร์สักกล่องดีไหม เขาจะชอบหรือเปล่า”
เพราะยังมีอีกหลายกล่องยังไม่ได้แกะซินเธียเลยคิดว่าบางทีนำไปเป็นของฝากแสดงน้ำใจกับเจย์เดนคงจะดี ทางนั้นเคยเชื้อเชิญไปนั่งคุยเล่นกันที่คฤหาสน์ ทว่า ตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลคิมมาซินเธียยังไม่เคยสบโอกาสไปเยี่ยมเยียนทางนั้นเลยสักครั้ง ไม่รู้ตอนนี้ปัญหาสุขภาพของท่านชายมัวร์จะดีขึ้นหรือยัง ครั้นจะไปมือเปล่าก็ดูเสียมารยาทการนำเจ้าเทียนหอมพวกนี้ติดมือไปด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว
“นับว่าเหมาะสมครับ ท่านชายมัวร์ชอบดอกกุหลาบมาก ผมว่านำกล่องนั้นไปก็ไม่เลวทีเดียว” คุณพ่อบ้านผายมือไปทางกล่องสีขาวนวล บนตัวกล่องปั้มลายนูนตัวอักษรต่างแดนเขียนด้วยตัวตวัดดูสวยงาม ส่วนด้านในเป็นเทียนหอมกลิ่นกุหลาบ สกัดมาแบบเจือจางทำให้เวลาจุดจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนจมูก
“อื้ม” พยักหน้าเห็นด้วย “อีกสักครู่เราจะไปคฤหาสน์มัวร์สักหน่อยคุณพ่อบ้านช่วยเตรียมการทีนะครับ”
เมื่อตกลงได้แล้วซินเธียจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดให้เหมาะสมสำหรับการออกไปด้านอก ช่วงนี้เป็นช่วงที่วินเทอร์ฟอลกำลังเข้าสู่ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดของปี การออกไปข้างนอกจึงต้องพิถีพิถันมากกว่าเดิม ผมยาวสลวยที่เคยปล่อยสยายก็ถูกถักเปียเอาไว้หลวมๆ ดูเรียบร้อยเหมาะสมกับการไปเป็นแขกบ้านอื่นมากขึ้น
ทางฝั่งคุณพ่อบ้านก็หมุนตัวไปจัดเตรียมรถสำหรับออกไปเยือนตระกูลมัวร์แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ลืมแจ้งข่าวไปยังเจ้านายอีกคนซึ่งกำชับเอาไว้แล้วว่าให้คอยรายงานเวลาคนในบ้านจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยแล้วถึงค่อยไปจัดการเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายต่อ
จากวันแรกจนถึงขณะนี้นับดูแล้วซินเธียก็ใช้ชีวิตอยู่ในวินเทอร์ฟอลมาร่วมสองเดือนแต่กลับไม่เคยออกมาเดินชมตัวเมืองเลยสักครั้ง
สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาทางเหนือ ประชากรอาศัยอยู่รวมกันจำนวนไม่มาก สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่รายล้อมไปด้วยป่าสนมองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวของต้นไม้กับสีขาวของหิมะ ใจกลางเมืองคือสถานศึกษาที่ถูกเรียกว่าฮิลตัน บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นถูกปลูกเรียงรายไม่ไกลจากกันคนส่วนใหญ่จึงมักจะเดินไปมาหาสู่กันมากกว่าใช้รถ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ระหว่างการเดินทางจะเจอผู้คนเดินสวนทางมา ซินเธียมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป บ้างก็เจอคนยืนคุยกันอยู่ใต้ร่มไม้ เพราะเป็นเขตชุมชนความเร็วในการเคลื่อนของรถจึงไม่เร็วมาก
เทียบกับคฤหาสน์ของอีกสามตระกูลใหญ่ คฤหาสน์มัวร์นั้นตั้งอยู่บนเนินเขาลึกเข้าไปในป่าสนค่อนข้างปลีกวิเวิกแตกต่างจากตระกูลอื่น
ได้ยินมาว่าแต่ไหนแต่ไรตระกูลมัวร์นั้นรักสงบไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาจึงมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาถึงขณะนี้อีกทั้งยังมากไปด้วยอำนาจไร้ซึ่งปัญหาและความขัดแย้ง
เมื่อตัวรถแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู คนของทางฝั่งนั้นก็มารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดียามบายค่ะท่านชายวาเลนเธีย” หญิงชราผู้นี้หากจำไม่ผิดเธอก็คือไมล่าผู้ดูแลประจำคฤหาสน์ที่รับใช้ตระกูลมัวร์มายาวนาน
“สวัสดีครับ” เขายิ้มทักทาย
“ถืออะไรมาด้วยคะนั่นให้ไมล่าช่วยนะคะ”
“ไม่เป็นไร เราตั้งใจนำมามอบให้ท่านชายไม่ได้ลำบากมากอะไรครับ” เอ่ยปฏิเสธเพราะอยากจะมอบให้เจ้าบ้านด้วยตนเองมากกว่า
“ท่านชายพึ่งจะตื่นพอดีค่ะ กำลังรออยู่ด้านใน”
คงเพราะเผลอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกไปชัดเจนหญิงชราถึงได้หัวเราะน้อยๆ แล้วอธิบายเพิ่มว่าท่านชายของเธอนั้นไม่ได้ตื่นสายแต่อย่างใด
“เธอแค่พักสายตาระหว่างวันน่ะค่ะ ระยะนี้จะใช้เวลาพักผ่อนมากเป็นพิเศษเสียหน่อย”
ซินเธียเดินตามหญิงชราเข้าไปด้านใน ที่ห้องรับแขกเจย์เดนกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าเป็นใครเดินเข้ามาก็ระบายรอยยิ้มกว้างอย่างน่ารักส่งมาให้
“ซินเธีย”
“อ๊ะ! ไม่ต้องลุกก็ได้เราไม่ได้ถืออะไร”
รีบเอ่ยห้ามคนที่กำลังจะลุกมาต้อนรับกันเป็นพัลวัน วันนี้พอได้เห็นเจย์เดนแล้วเขาก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น มิน่าเล่าระยะหลังถึงไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย ไม่ใช่ว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพแต่กลับเป็นเรื่องน่ายินดีแทนต่างหาก และเพราะข่าวดีนี้จึงทำให้เจ้าตัวไม่สะดวกจะออกไปไหนมาไหน
ซินเธียนั่งลงบนโซฟาบุนวมสีเบอร์กันดี ฝั่งตรงข้ามคือเจย์เดนที่กำลังเอนกายพิงหมอนอิงอยู่ ท่านชายมัวร์ในวันนี้ดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่พบกันมาก หน้าท้องแบนราบก็เริ่มนูนขึ้นจนเห็นเด่นชัดแม้จะถูกอำพรางอยู่ใต้ชุดผ้าแพรตัวหลวม
เจย์เดนเมื่อเห็นสีหน้าของอาคันตุกะในวันนี้ก็อมยิ้ม “ระยะหลังมานี้เราไม่ค่อยสะดวกออกไปไหน ก่อนหน้านี้ก็แพ้ท้องเสียหนักต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปร่วมยินดีกับท่านชายจริงๆ” ปากพูดไปมือก็ลูบหน้าท้องไปด้วยอย่างรักใคร่
“ไม่เป็นไรเลย เราเข้าใจ แต่ก็ยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณ” ว่าที่คุณแม่ลูกสองยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม สำหรับเจย์เดนแล้วซินเธียเป็นเด็กน่ารัก ถึงจะอายุห่างกันไม่กี่ปีซ้ำทางนั้นยังมีฐานะสูงกว่าในทางพฤตินัยแต่เจ้าตัวก็ยังคงความสุภาพอ่อนน้อมเสมอ เพราะแบบนั้นต่อให้ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนักแต่ก็สามารถให้ใจสนิทสนมกันไม่ยาก
“แล้ว...กี่เดือนแล้วหรือครับ เราถามได้ไหม”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ท่านชายมัวร์หัวเราะ “ราวๆ 5 เดือนได้ แถมคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงด้วยนะ”
แสดงว่าท่านชายเขาตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนซินเธียจะมาอยู่ที่นี่แล้วสินะ มิน่าเล่าครั้งก่อนถึงได้แอบสังเกตเห็นอีกฝ่ายลูบหน้าท้องของตัวเองบ่อยๆ แถมพอได้ยินว่าในท้องของท่านชายนั้นคือคุณหนูตัวน้อยๆ ดวงตาของซินเธียก็เกิดประกายวิบวับ จิตนาการไม่ออกเลยว่าหากคลอดออกมาเด็กน้อยจะหน้าตาน่ารักขนาดไหน
“ยังไงก็ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ ว่าแต่คุณชายน้อยไปไหนเสียแล้ว” รายนั้นน่ะติดแม่จะตาย เจอกันทีไรไม่เคยเห็นยอมห่างเลย แต่แปลกที่วันนี้แม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้ยิน
“ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่เลย” คนเป็นแม่หัวเราะเมื่อนึกถึงลูกชาย “ก่อนหน้านี้เขาเห็นเรานอนเลยมาอ้อนขอนอนด้วยแต่กลายเป็นว่าหลับสนิทเสียจนไม่ยอมตื่น”
“น่าเสียดาย อดเจอเสียแล้ว” คุณชายน้อยน่ะน่ารักจะตาย ซินเธียยังไม่มีโอกาสได้เล่นกับเขาเลยสักครั้ง วันนี้คิดเอาไว้ว่ามาทั้งทีจะขอลองฟัดแก้มเจ้าตัวน้อยเสียหน่อย ที่ไหนได้หนีกันไปนอนกลางวันเสียอย่างนั้น
“คงจะเหนื่อยด้วย เมื่อเช้าตามคุณพ่อเขาไปข้างนอกเสียนาน ไม่รู้ไปซนที่ไหนกัน”
“เด็กวัยนี้กำลังสดใส แต่เจสเปอร์ก็ดูเป็นเด็กที่ร่าเริงมากๆ เลยนะครับ”
“เรียกว่าร่าเริงเกินวัยเสียมากกว่า อยู่นิ่งๆ ไม่ได้นานหรอกครับ”
พอได้เปิดประเด็นคุณแม่ก็ได้ทีเผาลูกชายตัวเองไปหลายประโยค ราวกับรู้ตัว ไม่นานเสียงใสๆ ของเด็กน้อยก็ดังมาก่อนตัวเสียอีก เจสเปอร์วิ่งแจ้นมาจากห้องข้างๆ แต่พอถึงตัวจากที่ทำท่าจะกระโดดโถมเข้าใส่ก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเลยชะงักเท้าเสียจนเกือบหน้าทิ่ม ดีที่ได้คนเป็นแม่ช่วยประคองตัวเอาไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อยสิครับ เจสสวัสดีคุณน้าซินเธียหรือยัง จำได้ไหมครับ”
“จำได้ๆ คุณน้าผมยาวเจสชอบผมคุณน้ามากเลย!” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงคึกคักก่อนจะหันมาโค้งอย่างน่ารักให้ซินเธีย “สวัสดีครับ คุณน้าซินเธีย”
“สวัสดีครับ” ซินเธียยิ้มกว้างรับการเคารพจากหลานตัวน้อย ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู
“คุณแม่” เจ้าตัวน้อยลากเสียงยาวหันกลับไปหาคุณแม่ด้วยท่าทีออดอ้อน “เจสหิว”
“เด็กคนนี้ ตื่นมาก็บ่นหิวเลยกินเก่งได้ใครกัน”
“เจสเปอร์ครับ คุณน้ามีขนมมาด้วยนะ อยากทานไหมครับ” ซินเธียชูถุงกระดาษในมือ เป็นทาร์ตผลไม้รวมสำหรับเด็กที่เขาแวะซื้อระหว่างทางมาฝากเจ้าตัวโดยเฉพาะ แน่นอนว่าพอเห็นของกินดวงตากลมโตสีครามก็ยิ่งโตขึ้นกว่าเดิม เจสเปอร์ทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาแต่ก็ยังมีความลังเลแอบเหลือบมองผู้เป็นมารดาก่อนราวกับว่าถ้าไม่อนุญาตก็จะไม่เข้ามาเอาขนม
“ไปนั่งทานกับคุณน้าสิครับ อย่าลืมขอบคุณก่อนด้วยนะ”
พอได้รับคำอนุญาตเจ้าตัวเล็กก็รับกระโดดโหยงมาหากันทันที สองมือเกาะบนหน้าขาของซินเธียส่วนดวงตากลมโตก็จ้องมองแป๋วมาอย่างน่ารัก รอคอยระหว่างที่เขาแกะถุงหยิบขนมให้
“ขอบคุณครับ!”
“อร่อยไหมครับ” เขาถามแต่ดูจากสีหน้ามีความสุขของเจ้าตัวแล้วก็ไม่ต้องรอคำตอบก็พอรู้ล่ะนะ
“เกือบลืมเลย คราวก่อนเราไปอีสเทิร์นพอร์ตมามีสินค้าน่าสนใจเยอะแยะเลยเลือกมาฝากเจย์เดนด้วยนะ” เขาเลื่อนกล่องสีขาวส่งไปให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เจย์เดนหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างสนใจ พอเห็นว่าของข้างในเป็นอะไรก็ยิ้มกว้างทันที
“กลิ่นหอมมากเลย ขอบคุณนะ”
“เอาไว้ช่วยผ่อนคลายน่ะครับถ้าอารมณ์แจ่มใสก็จะดีกับตัวน้อยในท้องด้วย เราเลือกกลิ่นที่ไม่แรงมาหวังว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบกับอาการแพ้ท้อง”
“ไม่น่าจะมีปัญหานะ คนนี้น่ะไม่ค่อยกวนเราเหมือนตอนเจสเปอร์”คุณแม่ลูกสองหัวเราะยามได้เอ่ยถึงลูกๆ “รายนั้นน่ะกินอะไรแทบไม่ได้เลยเหม็นนู่นเหม็นนี่ไปหมด”
“แพ้นานไหมครับ อาการแบบนี้”
“อาเจียนจนเหนื่อยเลย ของที่เคยชอบก็กลายเป็นเกลียด ของแปลกๆ ก็ดันอร่อยเสียอย่างนั้น” เจย์เดนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “อืม... ความจริงมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะ เพราะขนาดตอนเจสเปอร์กับเด็กคนนี้ก็ไม่เหมือนกัน คนนี้น่ะยังพอทานอาหารได้หลายอย่าง ท่าทางว่าง่าย” เล่าไปก็ขำไป ทางคนโตเนี่ยแสบตั้งแต่อยู่ในท้อง
“แต่ก็จะอยู่ราวๆ 2-3 เดือนน่ะครับ”
ซินเธียครางรับเสียงเบา ไม่ได้พูดแสดงความเห็นอะไร จากเท่าที่ฟังแล้วคงลำบากน่าดู ไม่แปลกใจเลยว่าช่วงก่อนหน้านี้ทำไมเจย์เดนถึงอยู่แต่ในบ้าน
“แต่คุณหมอท่านก็บอกว่าแล้วแต่คนนะ บางคนอาจจะแพ้ไปจนช่วงใกล้คลอดเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก ส่วนใหญ่ก็ราวๆ นั้น”
“มีนานถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
คนฟังเริ่มหวั่นใจแต่มาคิดดูอีกทีช่วงเวลาลำบากนับว่าไม่นานเลยเมื่อเทียบกับความสุขที่จะได้รับในตอนหลัง เขาก้มลงไปมองเจ้าตัวเล็กที่เปลี่ยนมานั่งบนตักพลางใช้นิ้วปัดเศษขนมบริเวณมุมปากกับแก้มพองๆ ที่เคี้ยวหยุบหยับไม่ต่างอะไรไปกับกระต่ายตัวน้อย น่าเอ็นดูเสียจริง
“ชอบไหมครับ”
“อื้อ! อร่อยมาก แต่เจสก็ชอบขนมที่คุณแม่ทำให้ทานมากที่สุด” ดูสิน่าเอ็นดูขนาดไหน รู้ว่าชอบเจ้าทาร์ตนี้มากแต่ก็ยังไม่วายอวดขนมของคุณแม่คงเพราะกลัวว่าชมขนมคนอื่นแล้วกลัวแม่จะเสียใจล่ะมั้งนั่น
“คุณแม่ทำอร่อยมากเลยเหรอครับ คุณหน้าขอชิมบ้างได้มั้ย” ก้มลงไปฟัดแก้มพองๆ นั้นหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยวแล้วเอ่ยถาม เจ้าตัวน้อยทำท่าครุ่นคิดหนักราวกับกำลังช่างใจว่าควรจะแบ่งของอร่อยนี้ให้ดีไหม
ถามว่าจริงจังขนาดไหนก็ให้ดูหัวคิ้วบนใบหน้าน่ารักนั่นดูเถอะ ผูกกันจนจะเป็นโบแล้ว
“จริงๆ เจสอยากกินคนเดียวให้หมดเลยเพราะมันอร่อยมาก แต่ แต่คุณแม่บอกว่าเราจะเป็นพี่ชายแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน อย่างนั้นจะแบ่งให้คุณน้าก็ได้แล้วก็เก็บเอาไว้ให้น้องด้วย!”
“น่ารักจริงเชียวเด็กคนนี้” ฟังคำตอบแล้วมันก็อดจะก้มลงไปฟัดแก้มนุ่มนิ่มนั่นซ้ำอีกครั้งไม่ได้ แถมคราวนี้บวกเพิ่มเป็นสองข้างเลย
“น้องยังกินไม่ได้หรอกครับ เจสแบ่งให้คุณน้าก็พอ” เจย์เดนอธิบายให้ลูกฟังก่อนจะหันมาคุยกับคุณน้าต่อ
“เราอบคุ้กกี้เอาไว้ ตอนกลับเดี๋ยวจะให้ไมล่าจัดใส่กล่องไว้ให้นะ”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ ให้เจสเปอร์กินเถอะแกดูชอบมาก”
“รายนั้นน่ะกินจนพุงกางแล้ว เราอบไว้เยอะเลยยังไงเดี๋ยวจะแบ่งเอาไปให้นะ ทานคู่กับน้ำชาจะอร่อยมากเลยครับ”
“จริงสิครับ น้ำชาที่คุณฝากมาให้รสชาติดีมากๆ เลย คุณแอชลีย์เองก็ชอบ ขอบคุณนะครับให้มาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณด้วยตัวเองเลยสักครั้ง”
“ครับ ว่าแต่คุณแอชลีย์เขาดื่มชาด้วยเหรอ เราไม่รู้มาก่อนไม่อย่างนั้นคงฝากไปให้นานแล้ว” เอ่ยอย่างสงสัยเนื่องจากฝ่ายนั้นมาบ้านนี้ทีไรนอกจากน้ำเปล่ากับกาแฟแล้วก็ไม่เคยเห็นรับอย่างอื่นเลย
“เราชงให้ดื่มเขาก็ดูไม่ว่าอะไรนะ” ซินเธียครุ่นคิด “น่าจะดื่มอยู่นะครับแต่ก็ไม่บ่อยมาก”
คนฟังเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงอมยิ้มแล้วเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องทั่วไปอื่นๆ แทน ซินเธียก็เพลิดเพลินกับการเล่นกับเจสเปอร์จนหลงลืมเวลา เขาชอบเด็กมากจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะเย็นมากแล้ว ในขณะที่กำลังจะเตรียมกล่าวลากลับไมล่าก็เข้ามาแจ้งเสียก่อน
“ท่านชายคิมมาค่ะ”
“หืม?” สองโอเมก้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะซินเธียที่ไม่คิดว่าอีกคนจะมาเนื่องด้วยเห็นว่ามีงานให้ต้องจัดการกว่าจะกลับบ้านก็เป็นช่วงเย็น แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากคนตัวสูงก็เดินเข้ามาในห้องน้องเล่นเสียก่อน
“คุณแอชลีย์ สวัสดีครับ” เจย์เดนเอ่ยต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านเหมือนทุกที ส่วนทางนั้นก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้
“ผมมารับซินเธียครับ”
“อ๋อ...” เจ้าบ้านลากเสียงแล้วเงียบไปก่อนเหลือบสายตาไปทางแขกอีกคนของบ้านแทน
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะ” ซินเธียเอ่ยลา ถึงจะรู้สึกมึนงงไปบ้าง “คุณน้าไปก่อนนะครับ แล้ววันหลังจะซื้อขนมมาฝากอีกดีไหม” ส่วนประโยคหลังก็ให้คำสัญญากับเจ้าตัวน้อย
เจสเปอร์พยักหน้ารับหงึกหงักจนผมที่ปรกหน้าผากสะบัดตาม “เจสเปอร์จะรอคุณน้า!”
“รอกินขนมน่ะสิเรา” คนเป็นแม่พูดเย้า
“เปล่าน้า”
“ถ้าอย่างนั้นบ๊ายบายนะครับเจสเปอร์” เขาลูบหัวหลานตัวน้อยแล้วหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงซึ่งเจ้าตัวที่วิ่งกลับไปหาคุณแม่แล้วก็หันมาโบกมือคืน
“บ๊ายบาย”
“ไปกันครับ” เดินไปจับแขนคนตัวโตแล้วเดินตามเจ้าตัวออกไปขึ้นรถ ครั้งแรกซินเธียแอบใจเต้นตึกตักเพราะตื่นเต้นว่าปฏิกิริยาของแอชลีย์จะเป็นอย่างไร แต่พอเห็นว่าทางนั้นเองก็ไม่ได้คิดจะสะบัดแขนหนีกันมุมปากมันก็ขยับยิ้มไปเอง
“อืม”
ตอนแรกก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนี้หรอก แต่พอได้ยินว่าอีกคนมารับกันกลับบ้านร่างกายมันก็ขยับไปเองแล้ว
“สนุกไหม”
“ครับ?” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ที่ออกมาน่ะ”
“อ๋อ ครับ เจสเปอร์น่ารักมากเราอยู่เล่นกับเขาทั้งบ่ายเลย” คนที่พึ่งผ่านความสนุกสนานมาพอมีช่องให้ก็ลืมตัวเอ่ยปากเล่าออกมายาวเหยียด เล่าไปยิ้มไปดูก็รู้ว่ามีความสุขขนาดไหน แถมยังบอกอีกว่าอยากจะแวะมาเล่นด้วยบ่อยๆ
“สนุกก็ดีแล้ว”
“แล้ว...” ซินเธียนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะถามออกไปดีไหม “คุณรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่”
“อีริคบอก...”
“อย่างนั้นนั่นเอง” เขาเงียบ อีกคนก็เงียบ มีเพียงเสียงเปียโนจากเครื่องเสียงในรถยนต์เปิดคลอไปตลอดทาง ซินเธียพยายามคิดหาเหตุผลของการมาที่นี่ของแอชลีย์แล้วแต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี หรือว่าตั้งใจจะมาหาคาร์ลิน? ก็ไม่น่าใช่
“คุณมาทำธุระแถวนี้หรือครับ”
คนที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่เลิกคิ้วขึ้น “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็... เปล่า เราแค่แปลกใจ”
“...”
“…”
ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกไปอีกแล้วล่ะ
เป็นนานกว่าที่เสียงทุ้มนั้นจะถูกเปล่งออกมาจากลำคอ แอชลีย์หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลคิม
ซึ่งก็เป็นคำตอบที่....
“ไม่มีธุระอะไรทั้งนั้น”
“...”
“ก็ตั้งใจมารับกลับบ้านนั่นแหละ”
ไม่ค่อยดีกับหัวใจเอาเสียเลย
TBC