มาแล้วครับ (หลังจากอู้ไปนาน)
มาต่อกันเลยเน๊าะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ธีรธรมองเข็มวินาทีที่กระดิกถี่ๆแล้วถอนหายใจ การประชุมเสร็จสิ้นลงหลังเวลาเลิกงานเล็กน้อย เขาฟังเลขาสาวรายงานคร่าวๆเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ว่ามีนัดหมายอะไรบ้าง โดยไม่ลืมเตือนให้เขาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดูแลสุขภาพตัวเองเสียบ้าง อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่นจนลืมตัวเองแถมแซวส่งท้ายว่า วันนี้ยิ้มหน้าบานเป็นพิเศษ ธีรธรยิ้มรับกว้างขวาง จะไม่ให้หน้าบานได้อย่างไร ‘บีโธเฟ่นผู้น่ารัก’ ยอมอยู่เฉยๆ กลับบ้านตัวเองถูกเสียที หลังจากเทียวไปเทียวมาทั่วไปหมด เรียกว่าแทบจะทั่วโลกอยู่เกือบสองปี จน ‘ท่านชาย’ ถึงกับทรงตั้งสมญานามให้พิรุณา ว่า ‘นกขมิ้น’ ที่ธีรธรและเพื่อนๆของพิรุณาเอง อย่างเกรซ คุณแม่ลูกหนึ่ง อดีตแม่นกขมิ้นยังช่วยกันลงความเห็นว่า ควรจะเติมคำว่า ตัวใหม่ หรือเบอร์สองเข้าไปด้วย ธีรธรเปิดประตูห้องทำงานด้วยใจหวังว่า จะมีพิรุณายิ้มหวานๆต้อนรับให้หายเหนื่อย แต่เขาพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สัมภาระสักชิ้นให้เห็นว่าพิรุณามาแล้ว
“คุณลีเห็น พิรุณาบ้างไหม?”
“อ้าว ไม่อยู่ข้างในหรือคะ?”ธีรธรส่ายหน้าให้อย่างเอือมๆ
“อาจจะอยู่ข้างล่างก็ได้นะคะ”
บอสหนุ่มเห็นดีด้วยจึงลงมาตามถึงชั้นล่าง กลิ่นกาแฟ และนมเนยจากมุมกาแฟเล็กๆภายในล๊อบบี้ทำให้บอสหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า ท้องหิวแล้วเช่นกัน ทว่าเสียงดนตรีสดใสนั้นสะดุดหู แผ่นหลังโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเส้นผมสีน้ำตาลแดงเคลียไหล่ ทำให้ธีรธรยิ้มบาง มองผู้บรรเลงบทเพลงระรื่นหูนั้นอย่างแสนรัก จวบจนเพลงนั้นบรรเลงจนจบ ผู้ชมต่างปรบมือให้ นักดนตรีลุกขึ้นยืน โค้งให้ผู้ชมราวนักแสดงเอก แม้เวทีจะเป็นเพียงยกพื้นเตี้ยๆ ผู้ชมมีอยู่เพียงหยิบมือ ทว่าด้วยหัวจิตหัวใจของคนเป็นนักดนตรีอย่างพิรุณา ต่อให้ไม่มีเวที ไม่มีผู้ชม ทุกครั้งที่เขาได้ถ่ายทอดเสียงดนตรีของเขาล้วนแต่เป็นความสุขทั้งสิ้น
“เหนื่อยไหม?”ธีรธรถามเมื่อพิรุณาลงจากเวที แล้วเดินมาหา
‘ผมต้องถามต่างหากว่าเหนื่อยไหม เห็นว่าประชุมตั้งแต่บ่าย’
‘ไม่หรอก ถึงเหนื่อยก็หายแล้ว’ พิรุณาเม้มปาก แล้วเสมองไปทางอื่น บอสหนุ่มหัวเราะกับกิริยา ‘น่าดู’ ที่นานทีปีหนจะได้เห็นสักครั้ง
‘ไปเถอะ กลับบ้านกัน’ ธีรธรยิ้มเอ็นดูพลางกระชับมืออุ่นๆนั้นที่ก็จับกระชับตอบสนองเช่นกัน
พิรุณานั่งกับพื้นหน้าเตียงพลางรื้อของในกระเป๋าส่วนตัวออกมากองไว้ ธีรธรมองมือนวลๆที่แบ่งของออกเป็นกองอย่างนึกขำก่อนจะนั่งลงวางคางสากๆวางบนไหล่บาง พลางโอบรอบเอวนั้นไว้ด้วยสองแขน พิรุณาหันมาเอาหัวโขกเบาๆทีหนึ่ง นี่ก็อีกที่เป็นเรื่องแปลก คนรักกันคู่อื่นๆ เขาคงไม่เอาหัวโขกกันเป็นการแสดงความรัก แต่พิรุณาทำและที่น่าแปลกใจไปกว่าคือธีรธรกลับชอบการกระทำเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ พิรุณายื่นสมุดเล่มหนึ่งให้เขา หน้าปกสีแดงเป็นรูปกบตัวสีเขียวแขนยาวเก้งก้าง บนหัวมีมงกุฎ กำลังยิ้มปากกว้าง ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย พิรุณาเพียงแต่ยิ้มรับบางๆ นิ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดสมุดดู ภายในมีภาพถ่ายแปะทีละหน้า มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาไทยโย้ไปเย้มา ว่าไปที่ไหนมาบ้าง
“ส่งรายงานหรือ?”ธีรธรถามพิรุณาหัวเราะ
‘หน้ามันเหมือนคุณธีดีออก’พิรุณาชี้ที่ปกสมุด ธีรธรยิ้ม พลางว่าตนไม่ได้ตัวสีเขียวเสียหน่อย
“ไปเที่ยวมาหลายที่เลยนะ ลายมือก็สวยขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย ไปเที่ยวไกลๆคิดถึงกันมั่งไหม?” พิรุณายิ้ม มือนวลจับหน้าคมสันไว้ หอมซ้ายขวาแรงๆ
‘หอมสบู่’
‘แต่พิรุณาหอมช๊อคโกแลต กินแล้วแปรงฟันหรือยังเนี่ย’ พิรุณายิ้มเก้อๆ เอนหลังพิงอกแข็งแรง ธีรธรหัวเราะเบาๆ กางสมุดวางบนหน้าขาเจ้าของผลงาน พลางพลิกดูเรื่อยไป บางภาพเขาเห็นแล้วถึงกับต้องยิ้มตาม
‘ถ่ายสวยขึ้นไหม? อุตส่าห์ตั้งใจเรียนกับคุณธีเลยนะ’ ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยการแตะริมฝีปากลงบนขมับคนถาม นึกขำที่สอนพิรุณาถ่ายรูป เจ้าตัวดูจะจำอะไรไม่ได้มากนัก บางรูปจึงถ่ายมาเห็นแค่ปาก บางรูปก็ขาดๆเกินๆ
“สอนไปไม่เห็นจำได้เลย ลงโทษเสียดีไหมนี่” นิ้วมือแข็งแรงจี้เอว พิรุณาทำท่าจะหนีแต่แล้วก็ถูกมือนั้นคว้ากลับมา
‘ไอ้นี่อะไร?’ ธีรธรถามก่อนจะหยิบถุงพลาสติกใบเล็กๆที่ถูกม้วนไว้เสียเกือบเป็นก้อนกลม มาคลี่ดู ภายในเป็นเศษอุปกรณ์ มือนวลบางเทมันลงบนฝ่ามือ
‘เครื่องช่วยฟัง วันก่อนทำหล่นแล้วถูกเหยียบพัง’
“จะซ่อมได้ไหมเนี่ย สภาพแย่ขนาดนี้ คงต้องซื้อใหม่” พิรุณาส่ายหน้าเบาๆ
‘ไม่ต้องซื้อใหม่หรอกครับ ต่อไปผมคงไม่ต้องใช้แล้ว’ เมื่อเห็นว่าธีรธรมองอย่างสงสัย พิรุณาจึงยิ้มบาง
‘ผมรู้สึกว่า หลายปีมานี้ถึงจะใส่เครื่องช่วยฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว คิดว่าคงหนวกสนิทแล้วล่ะครับ’ พิรุณามองรอยยิ้มที่ค่อยๆแห้งเหือดลงเรื่อยๆของธีรธรแล้ว ก็ทำได้เพียงกุมมือใหญ่นั้นไว้ ปล่อยให้วงแขนอบอุ่นนัดกอดรัดแนบอก
‘ผมไม่ได้อยากได้ความสงสาร แค่อยากเป็นเหมือนๆคนทั่วๆไป….ใช้ชีวิตได้อย่างปรกติ โดยที่ไม่มีใครดูถูก หรือส่งสายตาเวทนา เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกด้อยค่า’
‘พิรุณาทำสำเร็จแล้วนี่ คุณได้แสดงให้เห็นคนทั้งโลกเห็นแล้วว่า การที่ร่างกายไม่ได้ดีพร้อม ปิดกั้นความสามารถของคุณไม่ได้’
‘แต่ไม่ใช่กับคนพิการทุกคน ที่จะโชคดีอย่างผม...ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนที่ถูกรัก หรือเป็นผู้มอบความรักได้อย่างเปิดเผย บางคนรังเกียจที่จะมีคนพิการอยู่ในบ้าน หรือเป็นคนรู้จัก เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคม’
‘แต่ผมไม่เคยรังเกียจพิรุณานะ’ พิรุณายิ้ม รับรู้ว่าตนโชคดีถึงเพียงไหนที่ได้รู้จัก ได้รัก คนๆนี้
‘หวังว่าจะมีคนอย่างคุณเยอะๆ ดีไหม?’
‘คงไม่ดีถ้ามีคนแบบผมเยอะๆแล้วพิรุณารักไปเสียทุกคน’ ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กัน ก่อนธีรธรจะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตนส่งเสียงร้องมาจากบนเตียง แค่เพียงเอื้อมไปคว้ามาก็พูดธุระได้ โดยที่ยังมีพิรุณาอยู่ในอ้อมแขน
พิรุณาเงยหน้ามองดวงหน้าคมสัน เจ้าของมือแข็งแรงที่เริ่มมาหนุบหนับอยู่แถวคอ เมื่อแตะถูกหู พิรุณารีบเอียงศีรษะหนี ปากหยักสวยที่พูดโทรศัพท์อยู่นั้นยกยิ้มขัน ทว่าไม่ยอมเลิกรา จนพิรุณาแก้เผ็ดด้วยการปีนขึ้นไปนั่งบนตัก เป่าหูอีกข้างที่ไม่ได้แนบโทรศัพท์ให้ธีรธรได้เอียงหลบบ้างมือแข็งแรงนั้นเลิกแกล้ง เปลี่ยนมาปิดหูแทน พิรุณาหัวเราะสะใจ แต่แล้วมือนวลบางนั้นกลับยื้อมือที่ปิดหูออก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สูดหายใจแรงๆ
“ข...ขอบคุณ..ที่ร..รักผม”เสียงพูดที่แหบพร่าและเบาเสียแทบไม่ได้ยินนั้นทำให้ธีรธร นิ่งค้าง ดวงตาสีม่านราตรีนั้นเบิกกว้าง ละล้ำละลักบอกปลายสายว่าแล้วจะโทรกลับ ก่อนจะมองพิรุณาอย่างเหลือเชื่อ!
“เมื่อกี้ พูดหรือ?”
‘ได้ยินด้วยหรือครับ?’ ธีรธรพยักหน้าเร็วๆ พิรุณาดวงหน้าซับสีเลือดจางๆเสสายตามองทางอื่น
“พูดได้ด้วย!!”ธีรธรอุทาน ก่อนจะรู้ตัวว่า ได้พูดอะไรแปลกๆออกไป
‘พูดได้เพราะ หูหนวกหลังจากพูดได้แล้วแต่พูดได้แค่ง่ายๆเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกพาไปฝึกออกเสียงบ้าง เพราะส่วนใหญ่ในกรณีไม่ได้พิการแต่กำเนิด ถ้าหูไม่ได้ยินจะพูดไม่ได้ เพราะไม่ยอมพูด นานวันเข้ากล่องเสียงจะใช้งานไม่ได้ เลยต้องฝึก แต่ผมไม่ได้ฝึกออกเสียงมานานแล้วเหมือนกัน...เลยไม่แน่ใจว่าเสียงยังออกอยู่ไหม’
‘ยังได้ยิน ถึงจะเบามากก็เถอะ’ ธีรธรยังอดอุทานกับตัวเองอีกไม่ได้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เขาพบว่าตลอดทั้งชีวิต!
‘อยากได้ยินเสียงคุณธี’ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงนั้น มองมาอย่างยากจะอธิบาย ดวงตาคู่สวยนั้นกำลังอ้อนวอนผสมกับความเศร้าจางๆ เพราะรู้ว่าคำขอนั้นยากนักจะเป็นจริง ริมฝีปากหยักสวยแตะบนหน้าผากมนเบาๆ มือแข็งแรงกุมมือน้อยไว้วางแนบหัวใจ
“ต่อให้ไม่ได้ยินเสียงนี้ แต่หัวใจนี่จะยังคงส่งเสียงบอกต่อความรู้สึกให้พิรุณาเสมอ ดีไหม?”พิรุณายิ้มรับ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความปิติ น้ำตาหยาดจากหางตาโดยไม่รู้ตัว ยินดีรับสัมผัสอุ่นนุ่มจากริมฝีปากหยักสวยนั้น
ตลอดมาพิรุณาอาจเคยโกรธเคืองต่อโชคชะตาที่ทำให้ไม่อาจเป็นเหมือนคนทั่วไปได้ ทว่าวันนี้ พิรุณารู้ว่าตนช่างโชคดีเพียงไหนที่ได้มีโอกาสได้รับความรักลึกซึ้งจากใครสักคน ใครคนนั้น คนที่พิรุณาเองก็รักจนหมดทั้งหัวใจเช่นกัน
ธีรธรยังกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว ลำคอแห้งผากและเจ็บคออย่างมากท่าทางอาการตั้งท่าจะไม่สบายมาหลายวันวันนี้คงเอาจริงเสียแล้ว รู้สึกจักกระจี้เพราะมีอะไรมาถูไถแถวจมูก สัมผัสอุ่นๆไล้ไปตามริมฝีปาก ก่อนจะไล้ไปตามแนวขนตา ชายหนุ่มลืมตาโพลง เห็นพิรุณาทำตาโตตกใจ มือแข็งแรงกุมข้อมือนวลบางที่มีรอยแผลเป็นจางๆปรากฏก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา
‘มือร้อนจัง ไม่สบายหรือเปล่า?’ พิรุณาว่าแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากคนเพิ่งตื่นเทียบกับตัวเอง
“พิรุณาตัวเย็นต่างหาก”
‘ยังไม่ตายตัวจะเย็นได้ยังไง คุณธีนั่นล่ะตัวร้อน วันนี้หยุดสักวันไม่ดีกว่าหรือ?’ธีรธรนอนคิดว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง
‘ถ้าไม่ยอมหยุดวันนี้ เกิดป่วยหนักต้องหยุดงานหลายวันกว่าเดิมนะ’ ธีรธรมองคนเจ้าเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับ หยุดวันเดียวดีกว่าหยุดหลายวัน ก่อนจะยอมโทรหาเลขาสาว
“คุณลีครับ วันนี้ผมไม่เข้าออฟฟิซนะครับ”เลขาสาวที่ปลายสาวทำเสียงตกใจ ร้อยวันพันปีบอสหนุ่มไม่เคยขอลางานสักครั้ง สงสัยฝนจะตกเสียละมั้ง
“รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย พิรุณาเลยบังคับให้หยุด” เลขาสาวแอบคิดในใจ นั่นไงว่าแล้ว ฝนตกจริงเสียด้วย
“ให้ลีแวะซื้ออะไรเข้าไปให้ไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ธีรธรพูดเรื่องงานอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย นึกวางแผนในใจเหมือนกันว่าวันนี้จะได้อยู่กับพิรุณาตามลำพักสักวัน
ธีรธรแต่งตัวสบายๆ เดินออกมาที่ห้องครัว ได้ยินเสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์และเสียงถ้วยชามกระทบกัน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น และเจ้าหมาที่กระดิกหางตัวสั่นราวกับไม่เจอกันมาสักปีทั้งที่ เจ้าหมาเจอเขามากกว่าเจ้าของมันจริงๆเสียอีก ที่โต๊ะอาหาร มีอาหารเช้าอย่างง่ายๆรอท่าอยู่แล้ว นอกจากพิรุณาที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีส้มสดใสที่ขับให้บรรยากาศในบ้านสดชื่นกว่าทุกวันแล้ว ยังมีแขกที่เจ้าของบ้านจำไม่ได้ว่าเชิญมาเมื่อไหร่ ปองยิ้มกว้าง ส่งภาษามือให้พิรุณาจากมุมหนึ่งของห้องครัว ก่อนทั้งคู่จะหันมาเห็นธีรธร
“อรุณสวัสดิ์ครับบอส” ธีรธรตอบรับ พลางส่งสายตาให้คนทำไม่รู้ไม่ชี้
“เห็นพิรุณาว่า บอสไม่ค่อยสบาย”
“นิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ คุณปองก็ดูสดชื่นขึ้นมากนะครับ” จากครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบปอง ปองเปลี่ยนไปมาก ดูสดใสขึ้นมากเช่นกัน
“คงเพราะดอกไม้สวยๆจากคุณพิรุณามังครับ ส่งมาให้ทุกอาทิตย์”
‘สวยใช่ไหม? เพิ่งให้เขาลองผสมHybrid ให้ปักแจกันได้นานๆหน่อย อยากให้กุหลาบตัดดอกหอมด้วยทนด้วย’พิรุณาเล่าอย่างร่าเริงในขณะที่ธีรธรคิดในใจ ไม่เห็นได้สักดอกเลย
‘ว่างๆไปเที่ยวไหม?’ พิรุณาถามอย่างตื่นเต้น ปองบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่สนทนาอะไรเลย มือนวลบางจึงเอื้อมไปกุมมือแข็งแรงนั้นไว้แล้วตบลงเบาๆ
‘คุณธีไม่เหมาะกับกุหลาบหรอกครับ ขนาดกระบองเพ็ชรในบ้านเลี้ยงไว้ยังตาย’ปองขำออกมา ก่อนจะแสร้งเป็นกระแอมกระไอเพราะรู้ว่าเสียมารยาท.
‘ต้นไหนจำไม่เห็นได้ว่ามี’
‘ต้นในห้องทำงานไง ที่ตั้งไว้ริมหน้าต่าง’พิรุณาว่ามี แต่เจ้าของบ้านว่าไม่มี
‘เห็นมันคอพับคออ่อนอยู่ในกระถาง ไม่เชื่อไปดูด้วยกันเลย’พิรุณาทำท่าจะลากอีกคนไปดูให้เห็นกับตาจริงๆ ปองจึงช่วยไกล่เกลี่ย
“เอาเป็นว่า ทานก่อนแล้วค่อยไปดูไม่ดีกว่าหรือครับ” บอสหนุ่มส่งสายตาขอบคุณปนขำๆให้ปองที่ช่วยห้ามศึกบนโต๊ะอาหารให้แต่เช้าก่อนจะเปิดประเด็นใหม่เมื่อเห็นว่าพิรุณายังฮึดฮัดอยู่เล็กน้อย
“ได้ยินว่าคุณปองทำงานแปลหนังสืออยู่”
“ครับ อ่านไปด้วยแปลหนังสือไปด้วย เพลินดีเหมือนกัน”
‘ได้ข่าวว่า คุณหมอพีทได้ทุนวิจัย’
‘สละสิทธิ์ไปแล้วล่ะครับ ตอนนี้ไปเป็นแพทย์สนามของUN ครั้งล่าสุดนี่เห็นว่าถูกส่งไปแถวอิรัก’ปองนึกแปลกใจ ตอนนี้เขาสามารถพูดถึงใครคนนั้นได้โดยไม่ลำบากใจ กลับมีความสุขจางๆที่นึกถึงเสียด้วยซ้ำ
‘น่าตื่นเต้นจัง คุณปองไม่ห่วงหรือ?’พิรุณาทำตาโต ทำเป็นไม่สนใจมือใหญ่ที่สะกิดสะเกา
‘ก็ห่วงครับ แต่เขาก็ติดต่อมาเป็นระยะ’
“เอายามั่ง ไม่สบาย ตัวร้อน ปวดหัว” ปองมองคนตัวโตส่งสายตาอ่อนอ้อนแล้วนึกขำ ธีรธรเป็นชายหนุ่มที่เกือบถอยไปเป็นเด็กหนุ่มช่างอ้อนเมื่ออยู่กับพิรุณา ไม่มีเค้าของธีรธรที่เป็นบอสหนุ่มไฟแรงในเวลางานหลงเหลือ
‘อายคุณปองไหมเนี่ย บ้านใครน่าจะรู้นะว่ายาอยู่ไหน’เจอแบบนี่ บอสหนุ่มเลยยอมถอย หลบไปให้ยาให้น้ำตัวเองแต่โดยดี
‘คุณพิรุณาใจร้ายนะครับเนี่ย จริงๆแล้วอายก็บอกมาดีกว่า’
‘เปล่าสักหน่อย’ ปองหัวเราะขันกับท่าทีทำเฉย แต่หน้าเนียนแดงซ่าน
‘ว่าแต่คุณปองเถอะ สดใสขึ้นมากเลยนะครับ มีเรื่องอะไรดีๆหรือเปล่า’ ปองรีบส่ายหน้า
‘อาจเพราะคิดได้ว่า ถึงจะทำตัวทะมึนอย่างไรก็ไม่ได้ประโยชน์มังครับ เลยดูแลตัวเองเสียหน่อย’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง
‘คุณปองผมมีเรื่องไหว้วาน’ปองนิ่งรออย่างตั้งใจ
‘ผมอยากเรียนต่อน่ะครับ ยื่นหนังสือแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอยากให้ผมมีผู้ช่วยมาเรียนด้วยอีกคน เพราะผมจัดว่าเป็นนักศึกษาพิเศษ’ปองพยักหน้าเข้าใจความหมายนั้น
‘เรียนเกี่ยวกับกฎหมายต้องเก่งภาษามากๆ ผมเกรงว่าจะช่วยอะไรคุณพิรุณาได้ไม่มาก’
‘คิดมากจัง เอาน่า เราเรียนไปด้วยกันไง’ เมื่อเห็นพิรุณายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ปองจึงตอบรับด้วยความเต็มใจ
‘ก็ได้ครับ แต่ได้ปรึกษาบอสแล้วหรือยังครับ?’
‘คุณธีมีเรื่องให้คิดเยอะแล้ว เอาไว้เรียบร้อยก่อนแล้วบอกทีเดียวดีกว่า’ปองพอเดาได้ว่าเมื่อบอกแล้วต้อง ‘บ้านแทบแตก’แน่ๆที่ไม่ยอมบอกแต่เนิ่นๆ แต่เชื่อเถอะ ร้อยทั้งร้อย คุณพิรุณาต้องชนะ
บ่ายคล้อยหลังส่งปองกลับบ้านแล้ว พิรุณาจัดการข้าวของของตัวเองให้เข้าที่ อาบน้ำเจ้าหมาให้สะอาดเอี่ยมแล้ว เห็นบ้านเงียบๆ แอบย่องๆไปแง้มประตูดู เห็นธีรธรทำงานในห้องทำงาน บนโต๊ะตัวใหญ่นอกจากเอกสารแล้ว ยังมีกระบองเพ็ชรกระถางเล็กที่อาการร่อแร่เลื่อนมาวางบนโต๊ะด้วย ทีแรกพิรุณาว่าจะเข้าไปเตือนให้พัก แต่พอคิดถึงตัวเองแล้วว่าตนเองก็ไม่ต่างจากคุณธีนัก ต่อให้ไม่สบาย แต่คนเคยทำงาน ขอแค่ทำนิดทำหน่อยแล้วค่อยพักก็ยังดี จึงได้แต่ปล่อยให้ทำงานเงียบๆ โดยไม่ลืมแปะโน้ตไว้ที่หน้าประตู ถึงเวลาทานยา ก่อนจะหลบออกไปอยู่บ้านตัวเอง เปียโนสีดำสนิทยังคงสะอาดเอี่ยมภายใต้ผ้าคลุมผ้าสักราดสีแดงเลือดห้อยระบายเล็กๆจนรอบ นิ้วเรียวแตะไล้ไปบนฝาเปียโนตัวนั้น แผ่วเบา ก่อนจะยกฝาขึ้น พิรุณารู้ ว่าถึงอย่างไร ทุกอย่างก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม เขาอาจไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพอีกต่อไป แต่หัวใจเขายังคงรักในเสียงดนตรี เสียงที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู กลับสัมผัสชัดเจนด้วยหัวใจ
นิ้วเรียวกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำเป็นท่วงทำนองของเพลงแจ๊สคุ้นหู แม้จะขาดสีสันจากเครื่องดนตรีอื่นๆ ทว่ายังคงรักษาความนุ่มละมุนของเพลงแจ๊สไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ช่วงเวลาในการพักฟื้นที่ยาวนาน ไม่ได้ทำให้ฝีมือพิรุณาตาลงแม้แต่น้อย พิรุณายิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นใครย่องๆเข้ามานั่งซ้อนหลัง ความอบอุ่นจากอกนั้นแผ่นซ่านและโอบล้อมร่างโปร่งบางนั้นไว้ราวกับจะหลอมละลายหัวใจนั้นจนผสานเป็นดวงเดียว นิ้วมือแข็งแรงชี้นิ้วชี้ออกมานิ้วเดียวทำท่าจะกดลงบนคีย์เลยโดนมือนวลบางตีเข้าให้โดยที่เสียงดนตรีไม่ได้ขาดหายหรือสะดุดลงเลยแม้แต่น้อย ธีรธรบ่นงึมงำว่าใจร้ายพลางหัวเราะร่า ก่อนจะเงี่ยหูฟังท้วงทำนองละมุนหวานที่คุ้นหู แล้วเริ่มครวญเพลงคลอตามเบาๆ
People
You can never change the way they feet
Better let them do just what they will
For they will
If you let them
Steal your heart from you
People
Will always make a lover feel a fool
But you knew i loved you
We could have shown them all
We should have seen love through
Fooled me with the tears in your eyes
Covered me with kisses and ties
So goodbye
But please don't take my heart
GEORGE MICHAEL lyrics - Kissing A Fool
ท่วงทำนองอ่อนหวานลอยหายไปกับอากาศแล้ว ทว่าความอ่อนหวานในหัวใจยังคงอยู่ มือแข็งแรงที่มีไว้สำหรับกอบกุมมือนวลบางนี้เชยคางพิรุณาใหเบือนหน้ามา ดวงตาสีม่านราตรีอ่อนแสงลงจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เขาหลงใหลหนักหนา เขาหลงรักดวงตาคู่นี้ในยามที่มันสะท้อนเงาร่างของเขาในดวงตาคู่นั้น หลงรักดวงตาคู่นี้ที่ยอมเผยความรู้สึกทั้งสุขเศร้าให้เขาร่วมแบ่งปันและช่วยแบกรับ และดวงตาคู่นี้เองที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขพันธนาการหัวใจให้เขาอยากทุ่มเทใกล้ชิดใครสักคนด้วยทั้งหมดของชีวิต
ธีรธรเชื่อว่าผลของการรอคอยอย่างอดทนงดงามเสมอ และหากความรักของพิรุณาเป็นเพียงเพลงINTERMEZZOที่บรรเลงคั่นฉากในอุปรากรณ์ใหญ่ อย่างมหรสพชีวิต เขาหวังว่าบทเพลงนั้นจะบรรเลงเนิ่นนาน แม้จังหวะจะไม่ได้เร่งเร้าให้เริงร้อน ทว่าหวานล้ำ ประณีตและ ละเมียดละไมกว่าเพลงไหนๆทั้งหมดทั้งสิ้น สุดท้าย เขายินดีจะนิ่งฟังเพลงนั้นแม้ว่าเสียงของมันจะเบาบางสักเพียงไหน เขาจะเงี่ยหูฟังทุกถ้อยทำนองหวานเหล่านั้น และซึมซับไว้ด้วยทั้งหมดของหัวใจ.
.
.
.
.
จบตอน 19 แล้วครับ