❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ
❤ แอบมีเพลงอ่ะ : ) ฝันรึเปล่า - อาร์มแชร์
[1]
09 : 15
เช้าวันเสาร์ที่ฤดูร้อนกลับมาทักทาย
คนพวกนี้ติดกาแฟ หรือเสพติดการมากินกาแฟ?
อยู่ ดีๆ ความคิดนี้่ก็ผุดขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังยืนอยู่กลางร้านกาแฟชื่อดัง ในมือข้างนึงมีคาปูชิโน่ร้อนที่ประดับด้วยฟองนมเนียนละเอียดด้านบน ระหว่างที่ผมกำลังมองกวาดไปรอบๆร้านเพื่อหาที่นั่ง สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับโต๊ะตัวยาวสำหรับสี่คนที่มุมหนึ่ง
ผม เดินลากขาไปที่นั่นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เพราะจริงๆแล้วใจอยากจะนั่งตรงโซฟาตัวนุ่มที่มาจับจองอยู่เป็นประจำมากกว่า แต่ในเมื่อทั้งร้านมันว่างแค่ตรงนี้ ผมก็ไม่มีทางเลือก
ต้องทนนั่นเก้าอี้ไม้แข็งๆตรงนี้ไปอีกตั้ง 3 ชั่วโมง
แต่ก็เอาเหอะ – ถ้าโชคดีอาจจะมีใครสักคนตรงเก้าอี้โซฟาลุกขึ้นเร็วๆนี้แหละ
ผมวางกาแฟลง ตามด้วยชีทที่หยิบติดมาจากในรถ ถ้ามีสมาธิก็คงได้อ่านอยู่...
ทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย มือก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาเช็คตามความเคยชิน
*ตื่นยังมึง
*กูแม่งแฮงค์ว่ะ ลุกขึ้นมาอ้วกแต่เช้าเลยแม่งเพื่อนสนิทผมเองครับ
อ่านข้อความที่มันเสร็จผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
...อ้วกแตกละแม่งจะไลน์มาบอกกูทำไม?*สัด อ่อนชิบหาย
*นอนตายไปเหอะมึงผมพิมพ์ข้อความตอบกลับไปแบบนั้น
แล้วก็แปลกใจอยู่ ที่มันตอบกลับมาเร็วกว่าที่คิด
*มึงอยู่ไหนเนี่ย?*มาส่งน้องเรียนพิเศษว่ะ
*ขี้เกียจขับรถ
*เลยนั่งรอที่ร้านกาแฟ แล้วรับกลับเลยทีเดียวตัวหนังสือเล็กๆบอกว่ามันอ่านข้อความของผมเรียบร้อยแล้ว
เห็นอย่างนั้น ผมก็ขมวดคิ้วเข้าอีกหน่อยโดยไม่รู้ตัว เพราะกำลังลุ้นว่ามันจะตอบกลับมาว่าอะไร
*สัด ไม่เนียน
*กูรู้นะไอ้เหี้ย
*บ้านมึงไกลมากรึไง เลยขี้เกียจขับรถ
*หัวฆวยเอ้ย!มันพิมพ์มาเป็นชุด พร้อมปิดท้ายด้วยสติ๊กเกอร์หน้าตากวนตีนอันนึง
ถ้ามึงจะส่งมารัวขนาดนี้ มึงโทรมาตะโกนกรอกหูกูเลยก็ได้...
ผมก็แค่คิด แต่ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เลยตอบกลับไปแค่
* - _ -ไอ้เพื่อนเวรอ่านข้อความของผมแล้วตอบกลับมาด้วยคำถาม
*ว่าแต่...
*วันนี้เค้ามามั้ยวะ?
ผมอ่านแล้วไม่ตอบ (จัดได้ว่าเป็นพฤติกรรมกวนตีนชนิดหนึ่ง) แต่ทว่าเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปรอบๆร้านอีกครั้ง....
เมื่อกี้ผมมองหาไปรอบนึงแล้วนะ เหมือนจะยังไม่มา หรือจะนั่งอยู่ตรงหลังชั้นวางแก้วที่เอาไว้ขายผมเลยไม่เห็น
คิดแล้วก็เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาเพื่อดูเวลา
ปกติเวลานี้ต้องมาแล้วดิ.... ขมวดคิ้วอีกแล้วครับ
ระหว่างนั้นเสียงคุยดังๆของกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายที่เพิ่งเข้ามาในร้านก็เรียกให้ผมหันไปมองแบบไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่
แต่ทันทีที่ผมเลื่อนสายตาไปที่ประตูทางเข้าของร้านอีกครั้ง
...เขาคนนั้นก็เดินมา
ผมยกแขนขึ้นวางข้อศอกค้ำกับโต๊ะไม้ แล้วเท้าคางเพื่อจะใช้มือปิดริมฝีปากที่กำลังยกยิ้ม
คนตัวขาวสว่างให้ความรู้สึกสะอาดแถมยังดูแล้วนุ่มๆ เหมือนก้อนเมฆเดินได้กำลังเข้ามาในร้าน เพื่อที่จะไปหยุดตรงท้ายแถวต่อจากกลุ่มเด็กนักเรียนที่ออกอาการกรี้ดกร้า ดอย่างเก็บไม่อยู่เพราะเห็นเขา
เขาตัวสูงครับ ไม่สูงมาก แต่ก็เข้ากันกับหุ่นแบบบางได้พอดิบพอดี
ใบหน้าที่ทำเอาผมสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นนั้นได้รูปรับกับจมูกโด่ง เขามีปลายจมูกมนๆเล็กๆน่ารัก ที่พอมาอยู่กับดวงตากลมเป็นประกายของเขาแล้วนั้น มันทำให้เครื่องหน้านี้ดูน่ารักน่าทะนุถนอมไปหมด
น่ารักมากซะจนผู้หญิงยังอาย...
แขนข้างนึงของเขากอดแม๊คบุ๊คแอร์ ส่วนอีกข้างกำลังล้วงลงไปในกระเป๋า น่าจะหากระเป๋าตังค์
แล้วอยู่ดีๆ ริมฝีปากสีแดงอิ่มคู่นั้นก็เปิดออก แล้ว หาว...
วินาที นั้นผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะท่าทางอันเป็นธรรมชาติที่เห็น ก่อนจะละความสนใจที่มีต่อเขาไปชั่วขณะ เลื่อนมือมาปลดล็อคโทรศัพท์มือถือด้วยนิ้วหัวแม่มือ เพื่อพิมพ์ตอบข้อความไอ้เพื่อนรักที่ป่านนี้หลับตายไปอีกรอบแล้วรึยังก็ ไม่รู้
* มาแล้วว่ะ
* น่ารักเหี้ยๆ เหมือนเดิม พิมพ์เสร็จผมก็ดึงสายตากลับไปมองเขาอีกครั้ง ตอนนี้ถึงคิวของเขาที่ต้องสั่งเครื่องดื่มแล้ว
และท่าทางของเขาก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเป็นครั้งที่ 2
ข้าวของของเจ้าตัวมันเยอะมากซะจนเขาจัดการตัวเองไม่ได้ แม๊คบุ๊คก็จะอุ้ม กระเป๋าตังค์ก็จะเปิด มือพันกันไปมาอยู่สักพัก จนพนักงานคิดเงินยังต้องยิ้มตามและยื่นมือออกมาอาสาช่วยถือแม๊คบุ๊คไว้ให้
ห้ามจีบนะเว่ย...ผม เห็นเข้ายิ้มกว้างจนตากลมที่อยู่หลังแว่นกรอบดำเปลี่ยนไปเป็นรูปพระจันทร์ เสี้ยว รีบหยิบเงินออกมาจ่าย แล้วโยนกระเป๋าตังค์ลงไปในกระเป๋าใหญ่ ก่อนจะรับของที่ฝากเอาไว้กลับคืนมา พร้อมกับรับเงินทอนแล้วใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างเร่งรีบ แล้วเดินออกจากคิว
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการสั่งซื้อกาแฟสักแก้ว
แต่สำหรับเขา – ภาพที่ผ่านมายังสายตาผมมันอ้อยอิ่งแล้วก็ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ น่าจะรู้สึกประหม่านิดหน่อย ที่เผลอไปตัวเปิ่นอยู่ตรงหน้าเค้าน์เตอร์ซะได้
เอาอีกแล้ว ผมเผลอยิ้มออกมาเป็นรอบที่สาม
นี่นับทันแค่ตอนที่รู้ตัวนะ ไอ้ที่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่...
ผมจะมารอน้องสาวเรียนพิเศษที่นี่ทุกวันเสาร์ และทุกครั้งที่มาผมก็จะเจอเขาอุ้มแม๊คบุ๊คแอร์มาในชุดเสื้อยืด กับ กางเกงขาสั้นบ้างยาวบ้างดูสบายๆ เขาจะมานั่งปักหลักทำงานอยู่ที่นี่
ผมสะดุดตากับเขาตั้งแต่แรกเห็น อาจจะเป็นเพราะเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน
และเขาก็เป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
คิดดูแล้วกันว่าขนาดน้องสาวผมเรียนชั้นมัธยมปลายโรงเรียนหญิงล้วนยังรู้จักเขาเลย
รอไม่นานเครื่องดื่มก็เสร็จเรียบร้อย เขาขยับตัวไปรับกาแฟปั่นแก้วขนาดกลางจากบาริสต้า พร้อมกับยกยิ้มสดใสขึ้นมาอีกครั้งรับคำขอบคุณที่ถูกส่งมาให้ก่อน
โอย – ทำไมยิ้มเก่ง?ผมมองคนที่มือข้างนึงอุ้มแม๊คบุ๊ค อีกมือถือแก้วกาแฟอยู่กลางร้าน สายตาของเขามองกวาดไปรอบๆเพื่อหาที่นั่ง ตลกดี ที่ผมเองก็ช่วยมองหาโต๊ะว่างให้เขาไปพร้อมๆกัน
เอาน่า – ก็แค่อยากช่วย
สักพักใบหน้าได้รูปนั้นก็ฉายแววผิดหวัง เพราะโต๊ะทุกตัวในร้านถูกจับจองเอาไว้จนเต็มเป็นที่เรียบร้อย
ปล่อยให้เขากังวลอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุดพนักงานของร้านในชุดผ้ากันเปื้อนก็เดินตรงมาหาเขา พร้อมกับสอบถามผมมองริมฝีปากสีสดนั่นขยับนิดๆเพื่อนจะบอกความต้องการให้ พนักงานคนนั้นฟัง
เขาน่ารักมากจริงๆนั่นแหละ ขนาดพนักงานร้านกาแฟที่เดินมาคุยกับเขายังหน้าแดงด้วยความเขินเลย
นี่!! -- บอกว่าห้ามจีบไง!
ระหว่างนั้นเสียงเตือนก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ผมเบาๆ
ไอ้เพื่อนเวรที่ผมคิดว่ามันหลับซ้อมตายไปแล้วดันพิมพ์ข้อความตอบกลับมา
* เลิกป๊อดสักทีมั้ยสัด
* จีบเลยเว่ย
* ซื้อกาแฟเลี้ยงเค้าก็ได้
* เก่งทุกเรื่องอ่ะแม่งงง
* ยกเว้นเรื่องคนเนี้ย
* เชื่อกู
* เริ่มจีบเค้าเลย ตั้งแต่วันนี้...พูดมากละยังขยันพิมพ์อีกนะแม่ง...
ผมอ่านข้อความล่าสุดที่มันส่งมา พร้อมกับที่หางตาเห็นผ้ากันเปื้อนเขียวๆของพนักงานเดินผ่านไป
ถ้าเป็นวันปกติ ผมคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านชีทในมือไปเงียบๆ
แต่วันนี้ผมเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาไปให้พนักงานคนนั้น เพื่อหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ราวกับเป็นพลเมืองดีมีน้ำใจซะเต็มประดา -- ใช่ที่ไหนล่ะ?
พนักงานคนนั้นส่งยิ้มกลับมา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผม
“ลูกค้าคะ ไม่ทราบว่าฝั่งตรงข้ามมีคนนั่งไหมคะ?”
ผมฟังคำถาม ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังคนที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางร้านด้วยสีหน้ากังวล
ให้ตายเหอะ – เวลาทำหน้าอึนแม่งยังโคตรน่ารักเลย....
“ไม่มีครับ"
“ถ้าอย่างนั้น ขอรบกวนให้ลูกค้าอีกท่านนั่นตรงนี้ได้ไหมคะ คือโต๊ะมันเต็มจริงๆ"
ผมกลั้นยิ้ม พยายามทำหน้านิ่ง โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองกำลังมีสีหน้าแบบไหน
ผมจำได้ว่าเคยอยู่ในสถานการณ์ประมาณนี้ครั้งนึงที่มหาลัย ตอนนั้นเค้ามาโปรโมทกิจกรรมของคณะที่ห้องเรียนที่ผมเรียนอยู่
แล้วพวกเพื่อนๆแม่งก็เรียกสีหน้าตอนนี้ของผมว่า
'ทำหน้ากลั้นฟิน'แม่ง เป็นยังไงวะ?
“ได้สิครับ...”
ผมตอบ แล้วหยิบชีทที่เพิ่งจะได้รับความสนใจขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับหยิบปากกาสีดำแท่งเดียวที่ผมติดมาในกระเป๋าคาดใบเล็กขึ้นมาถือ ทำทีเป็นตั้งใจอ่านหนังสือสุดชีวิต และไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอกว่าจะมีใครมานั่งลงตรงไหนของโต๊ะบ้างรึเปล่า
ตอแหลสิ้นดี..
รู้สึกเหมือนกำลังโดนด่าเบาๆแฮะ
เสียงเก้าอี้ที่เลื่อนออกบอกกับผมว่าเขามาถึงแล้ว ด้วยความที่โต๊ะตัวนี้ถูกออกแบบมาให้นั่งได้ประมาณ 4 ไปจนถึง 6 คน เขาเลยนั่งลงตรงข้ามผม แต่เยื้องไปอีกฝั่งนึง
ผมเงยหน้าขึ้นไปนิดหน่อย ส่งยิ้มมุมปากนิดๆแบบที่พยายามแล้วนะที่จะไม่ให้มันออกมากวนตีน ในสายตาคนที่ติดนิสัยส่งยิ้มสดใสแจกจ่ายไปทั่วจนเคยตัว ก่อนจะทำเป็นกลับมาอ่านชีทต่อ
ว่าแต่ -- นี่มันชีทเรื่องเหี้ยอะไรผมยังไม่รู้เลย
ปลายสายตาของผมเห็นว่าเขาขยับตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น แล้วขยับมายืนอยู่ตรงเก้าอี้ตรงหน้าผมซะอย่างนั้น
เชี่ยแม่ง แล้วกูจะมือเย็นทำไมวะเนี่ย?
เป็นโรค...
“เอ่อ... ขอนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ คือ...ไม่ได้เอาสายต่ออะแดปเตอร์มาอ่ะ เสียบปลั๊กไม่ถึงเลย"
เขาพูดกับผม ใช่ครับ -----
เขา พูด กับ ผม!แล้วส่งยิ้มแห้งๆมาให้ นี่ขนาดยิ้มแหะๆแม่งยังโคตรน่ารักเลย...
“อืม นั่งไปดิ"
โอ้ย! ไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนเลย!
แม่งเอ้ยไม่ไหวละ! ระหว่างที่ผมกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์ข้อความไปหาไอ้เพื่อนเวรอีกครั้ง
น้ำเสียงทุ้มหวานของเขาก็ดังขึ้น... ไอโฟนแม่งเกือบหลุดมือ!
“ขอโทษนะ รบกวนอีกนิดนึง เสียบปลั๊กสายชาร์ตให้หน่อยได้ไหมครับ?"
ถ้ามาตรวจสุขภาพประจำปีตอนนี้
ร่างกายกูคงเหมือนคนป่วยใกล้ตาย...“เอามาดิ" ผมพูดพลางยื่นมือไปรับอแดปเตอร์ในมือเขา แล้วก้มลงเสียบเข้าที่ปลั๊กไป
พอเงยหน้ามาก็เจอรอยยิ้มใจละลายรออยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ"
เขาตอบรับเบาๆ ก่อนจะเปิดแม๊คบุ๊คขึ้นทำงานไปเงียบๆ ส่วนผมก็หยิบมือถือขึ้นมา เปลี่ยนจากพิมพ์ไลน์ไปหาไอ้เพื่อนชั่วเป็นการเข้าแอพพลิเคชั่นการจดบันทึก ก่อนปลายนิ้วจะพิมพ์เนื้อเพลงที่ผุดขึ้นมาในใจผมในช่วงเวลานี้ ลงไป ผมกดถ่ายรูปภาพหน้าจอ ก่อนจะเอาภาพนั้นไปอัพเดทในอินสตาแกรม
ฝันรึเปล่าวะ?... มันดีเกินจริง แต่ก็ยังไม่ชัวร์ ทันทีที่รูปภาพถูกโพส ยอดไลค์ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆครับ ก่อนจะตามมาด้วยคอมเม้นแรก
fun piek?
“สัด!”
อ่านจบผมก็อุทานออกมาเบาๆ พอรู้ตัวว่าหลุดปากอะไรออกไป สายตามันก็ถูกดึงดูดไปหาคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
เขาหลุดยิ้มออกมา เพราะได้ยินสิ่งที่ผมพูด ก่อนจะกลับไปขยับปลายนิ้วพิมพ์งานของตัวเองต่อไปเงียบๆ
ผมดึงความสนใจกลับมาที่จอมือถืออีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าไอ้เพื่อนชั่วมันมาเม้นแล้ว
fun hia rai wa! update now!!!
เห็นอย่างนั้น ผมก็กลับไปเปิดไลน์อีกครั้ง แล้วรีบพิมพ์บอกมัน
* มึงง เหี้ยแล้วแม่งงงง
* เค้านั่งอยู่ตรงหน้ากู!!!!
* ไอ้สัดดดดดดดดดดดดดด
* สัดเอ้ยสัด สัดของสัดของความห่าเหี้ยยย
* กูแม่งงงงงงงง
นาทีนี้ก็พิมพ์เก่งโคตรมาก บอกเลย...
ตึ๊งตึง!แม่ง เสียงไลน์เด้งกูยังตกใจ!
ใกล้บ้าละ! ผมรีบกดปรับมือถือให้อยู่ในโหมดเงียบ
เหมือนกำลังกลัวว่าถ้าคนตรงหน้าได้ยินเสียงเตือนแล้วจะรู้ว่าผมกำลังพูดถึง
* เหี้ยย ทำไมวะ?* โต๊ะแม่งเต็มสัด
* พนักงานเลยให้เค้ามานั่งกับกู
* แม่งโคตรน่ารักเลยแม่ง สว่างมาก
* ยิ้มที ตากูนี่อย่าพร่าไอ้สัดดด
เหี้ย
* แม่งน่ารักว่ะ
* มองใกล้ๆแก้มแม่งอย่างใสเลยมึง
* แม่งต้องนิ่มโคตรอ่ะ กูสัมผัสได้
* แต่ปากแม่งต้องนิ่มกว่า
* ตัวหอมด้วยว่ะแม่ง สถานการณ์พลิกแล้วครับ ตอนนี้ผมพิมพ์ยาวมาก ส่วนมันมีหน้าที่แค่รับรู้พอ
* ฆวยยยย
* มึงมันหมอเหี้ย หมอหื่น
* เป็นหนักขนาดนี้กูว่าจีบเหอะ * -_-
* แม่ง
* จีบไงดีวะ * เรื่องของมึง
* เอาสมองเทพของมึงคิดเลยแม่ง
* พ่อกูตามละ กูต้องไปเล่นฟิตเนสกับพ่อ
* โชคดีเหี้ยหมอ
* go on without me!* -_-
* สัด กลับมาก่อน!!!!
* ไม่ช่วยหรอกแม่ง
* เวลาได้กัน ยังกะกูจะได้ไปหอมแก้มใสๆของเค้ากับมึงนี่
* ปากอีก....
* ไอ้สัดดดดดดดด
* ห้ามความคิดจัญไรของมึงเดี๋ยวนี้!
* เงี่ยนมากก็ไปยกเวทแม่ง
มันไม่ต่อล้อต่อเถียงผมต่อ แล้วส่งสติ๊กเกอร์ bye! มาอันเดียวแล้วเงียบไป
กูต้องสู้ต่อเพียงลำพังแล้วสินะ
แต่ละวินาทีที่เดินไปมันช่างทำให้ผมรู้สึกกดดัน แม่งเครียดยิ่งกว่าตอนเตรียมสอบเข้ามหาลัยอีกครับ
ตอนนั้นถ้าโง่ก็ยังรู้ว่าต้องอ่านหนังสือเพิ่มตรงไหน
ตอนนี้แม่งโง่มาก – แล้วไม่รู้ด้วยว่าต้องทำยังไงถึงจะหาย
หรือผมจะไลน์ไปถามน้องสาวผมดี?
นี่กูตกต่ำถึงขนาดต้องให้น้องสาวช่วยจีบหนุ่ม(น้อย)เลยเหรอวะ?
ผมไม่รู้เลยครับว่าเวลาแม่งผ่านไปนานกี่นาทีแล้ว นาทีนี้่กลัวแค่ว่าจะมีใครสักคนในร้านลุกขึ้น ซึ่งมันจะทำให้เขาต้องย้ายไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นทันที -- ต้องขาดใจตายแน่ๆ
ครืด...แล้วเสียงลากเก้าอี้ก็ดังขึ้นมาจากโต๊ะตัวที่อยู่ถัดไปทางด้านซ้ายของผม
แม่ง พอกูคิดปุ๊บก็ลุกขึ้นปั๊บเชียวนะ...
สิ่งที่ผมทำต่อมาคือมองตรงไปยังคนตรงหน้า
เขาหยิบหูฟังขึ้นมาใส่เรียบร้อยแล้ว เมือมือคู่นั้นก็ขยับพิมพ์ลงบนคีย์บอร์ดไม่หยุด
ผมเห็นเขากัดปากเบาๆ กลั้นรอยยิ้ม ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็กลับไปยิ้มอีกครั้ง
แล้วผมก็ยิ้มออกมาอีกแล้ว รอบที่เท่าไหร่ก็ลืมนับไปแล้วว่ะตอนนั้น
...เขายังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นย้ายที่นั่งไปไหน ถึงแม้ว่าโต๊ะตัวนั้นจะถูกทิ้งให้ว่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ขอนั่งต่อนะ ตรงนั้นไม่มีปลั๊กไฟ"
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากคอคอมพิวเตอร์แล้วก็ยิ้มกว้างสดใส(อีกแล้ว) ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ
โอ้ยย – จะยิ้มเก่งไปไหน!
ผมว่าผมแม่งรอไม่ได้ละ เอาสติปัญญาที่พาตัวเองเข้ามาเรียนคณะนี้ได้ขึ้นมาใช้เดี๋ยวนี้
ผมจะเริ่มจีบเขายังไงดีวะ?
จะว่ายังไงดีล่ะ?
ผมไม่ใช่พวกเฟรนลี่น่ะ ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะส่งยิ้มกว้างๆแล้วโปรยไปให้ทุกคนรอบตัวได้เหมือนเขา
ผมมันกวนตีน ชอบทำหน้านิ่ง แถมยังพูดสามคำสบถคำนึงอีกต่างหาก
เราอยู่คนละขั้วกันมากเกินไป
ถ้าผมอัธยาศัยดีอย่างเขาสักนิด...
ผมคงส่งยิ้มไปให้แล้วเริ่มถามเขาว่าเรียนคณะอะไร ม.ไหน ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเราอยู่มหาลัยเดียวกัน
หรือถ้าเขาจะมีความกวนตีนปนอยู่ในนิสัยเหมือนอย่างผมบ้าง ผมก็คงหาเรื่องคุยกับเขาได้ง่ายกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ผมพอจะพาเรื่องมาถามเขาได้ เช่น ขอคำแนะนำเรื่องแม๊คบุ๊คหน่อย เพราะผมกำลังจะซื้ออยู่พอดี
...การไปกวนสมาธิเขาจากการทำงานก็ไม่ใช่มารยาทที่ดีเท่าไหร่ป่ะวะ?
,
สองชั่วโมงครึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก -- ผมเองก็ใกล้บ้าจริงครับ อันนี้ไม่โกหก
ความรู้สึกกดดันของผมเพิ่มขึ้นมากพอๆกับยอดไลค์ในอินสตาแกรม
และความกลัวว่าเขาจะลุกเดินออกไปตอนไหนไม่รู้ ก็พุ่งตามยอดคอมเม้นท์มาติดๆ
มือข้างขวาของผมเริ่มหยิบปากกาที่วางอยู่ขึ้นมา แล้วหมุนควงเป็นวงกลมด้วยปลายนิ้ว พร้อมกับหัวสมองที่ทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ
เอาวะ!
ในที่สุดผมก็หยุด แล้วกดปลายปากกาลงไปบนพื้นที่ว่างข้างล่างวันที่กับชื่อวิชาของชีทแผ่นนี้ที่ผมจดเอาไว้ -- ก่อนจะเขียนตัวหนังสือภาษาอังกฤษสั้นๆลงไปบนนั้น
รอเวลาสักพัก ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไป...
ขอให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม...,
ผมขับรถวนมารอรับน้องสาวตัวดีตรงหน้าที่สถาบันสอนพิเศษ แล้วกว่าจะฝ่ารถติดกลับไปถึงบ้านได้คงจะก็เกือบจะบ่ายโมงโน่นแหละ
ระหว่างนั้นผมห้ามตัวเองไม่ให้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คไม่ได้เลย จากทุกสิบนาที มาเป็น ห้า สี่ สาม สอง... จนน้องสาวผมยังถามขึ้นมา ว่าผมรอโทรศัพท์อยู่รึเปล่า?
“พี่นัดเพื่อนไว้จะไปเล่นบาสกันน่ะ แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะเจอกันกี่โมง รอพวกมันตอบอยู่เนี่ย"
ก็ว่าไปเรื่อยครับ...
ผมว่าตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์นะ กะล่อนพอตัวซะด้วย แต่พอเป็นเรื่องของเขาน่ะ อะไรก็ยากไปหมดเลยจริงๆ
ให้ตายสิ....
ว่าแต่จะเงียบไปอย่างนี้จริงๆเหรอ?
ผม ถอยรถเข้าจอด ช่วยน้องถือเอกสารประกอบการเรียนตั้งใหญ่ๆที่ได้มาทุกสัปดาห์ แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ระหว่างที่กำลังหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์อยู่นั้น เสียง
ตึ่งตึ๊ง ก็ดังมาจากโทรศัพท์
ผมรีบโยนรีโมทลงบนโซฟา แล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
* ไอ้เชี่ย เป็นไงมั่งวะ
* ไหนอัพเดทดิ้!ไม่เคยอยากถีบเพื่อนตัวเองเท่านี้มาก่อน
ผมยังไม่มีอารมณ์จะอัพเดทอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ เลยตอบมันกลับไปแค่
* -_-แล้ววางโทรศัพท์กลับไปที่เดิม พร้อมกับเสียง ตึ๊งตึง ที่ 2 ที่ดังมา
กูจะบล๊อคไลน์แม่งละนะ! เชี่ยเอ้ย ขี้เสือกนักนะมึงเนี่ย!
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อค ก่อนจะพบว่าเสียงที่ดังแจ้งเตือนไม่ใช่เพราะมีข้อความใหม่เข้ามา
แอพพลิเคชั่นสนทนายอดฮิตบอกกับผมว่า มีใครคนนึงต้องการเป็นเพื่อนกันผม
... ทั้งๆที่ผมเนี่ย โคตรอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนกับเขาไปแล้ว
หน้าที่กดตอบรับคำขอเป็นเพื่อนเป็นของผม
แต่ถ้าวันนึงผมอยากจะขอเป็นอะไรที่มากกว่านี้
เขาคงต้องเป็นฝ่ายให้คำตอบผมบ้าง...
นั่นทำให้การแจ้งเตือนของผมดังขึ้นมาอีกครั้ง
(กูเริ่มจะหลอนกับไอ้เสียงตึ๊งตึงนี่ละ เปลี่ยนเสียงดีกว่าแม่ง...)
ข้อความ แรกที่เขาส่งมาหาผมเป็นรูปถ่ายกระดาษเอสี่สี่ขาวปึกนึง มันเป็นปึกกระดาษที่ผมคุ้นตา เพราะมันใช้ชีวิตอยู่กับผมมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แล้วผมก็เริ่มรู้สึกรักมันขึ้นมาสุดหัวใจในตอนนี้
* ลืมชีทไว้ที่ร้านกาแฟป่ะครับ?สิ่งแรกที่ผมทำคือยกมือขึ้น ทำท่า เยส!
โคตรอยากออกไปตะโกนหน้าบ้านเลยแม่ง! ชีวิตดีโคตร!
ยังครับ... ต้องตอบไลน์ก่อน
* เฮ้ย กำลังหาอยู่เลยเนี่ย
* ลืมไว้ที่ร้านกาแฟนี่เอง* อืม... เราเห็นมันมีไอดีไลน์เขียนอยู่ที่ชีทด้วยอ่ะ
* เลยแอดมาบอก
* เราเก็บชีทไว้ให้นะ
* อ๋อ ขอบคุณนะ
* เรียนม.เดียวกันใช่ไหม? เขาส่งสติ๊กเกอร์ตอบกลับมาเป็นคำว่า yes!
* เรียนคณะอะไร?* ถาปัตย์อะ ^^* จันทร์มีเรียนป่ะ?* มีๆ * งั้นเดี๋ยวตอนพักเที่ยงไปเอาชีทคืนที่โรงอาหารถาปัตย์แล้วกัน* อือ ^^ขนาดในไลน์ยังยิ้มเก่งเลยครับ ใจละลายหมดแล้วแม่ง
ผมปล่อยบทสนทนาของเราให้หยุดคู่แค่นั้น เพราะอีกข้อความที่จะส่งต่อไปนี่ยังค้างอยู่ตรงช่องสำหรับพิมพ์
แม่ง – กดส่งไปจะดีไหมวะ?
* เอาชีทเสร็จขอกินข้าวเที่ยงด้วยเลยได้ปะ?เอาจริงๆครับ – ไม่กล้า
โคตรจะปอดแหกเลยกูเนี่ย!
“พี่!! แม่เรียกกินข้าว!!”
เสียงแหลมแสบแก้วหูของยัยน้องสาวตัวแสบของผมดังขึ้น พร้อมกับแรงกระแทกที่ไหล นั่นทำให้นิ้วหัวแม่มือของผมเลื่อนไปกดส่งข้อความเข้าพอดิบพอดี
- _ - โลกแตกแล้วแม่งเอ้ย!
ผมปล่อยโทรศัพท์ให้ตกลงมาบนตักราวกับจับของร้อน แล้วมองตัวหนังสือสีอ่อนๆที่ขึ้นมาว่า เขาอ่านข้อความที่ผมส่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
.
.
.
.
* อืม เอาดิ ^ ^ไม่ทนแล้วครับ! ผมเขวี้ยงมือถือลงบนโซฟาพร้อมกับวิ่งออกไปตะโกนแหกปากหน้าบ้านหนึ่งรอบ พ่อแม่กับน้องผมต้องงงแน่ๆ แต่ใครจะไปสน...
*อยากกินไรเป็นพิเศษป่ะ?พิมพ์ข้อความเสร็จผมก็รอสักพัก
สักพัก...
และ สักพัก...
เห้ย...
เงียบใส่กันซะงั้น...
*...
* ไม่ตอบ...*เปล่า
* ^ ^
* ดีใจอยู่ เข้านอนตอนนี้แล้วตื่นมาอีกทีเป็นวันจันทร์เลยได้ปะวะ?
tbc.
- - - - -
เพิ่งเคยลงนิยายในนี้แฮะ ฝากตัวด้วยน้าา
เราแต่งเรื่องนี้ไว้ถึงตอนที่ 9 แล้วค่ะ จะทยอยเอามาลงเรื่อยๆแล้วกันน้า
เอ็นดูเด็กน้อยสองคนนี้มากๆนะคะ
ขอบคุณค่ะ