29 – ครั้งสุดท้าย
ใจเย็นจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แม้กับตอนที่ทันใจตายเขาก็จำไม่ได้แน่ชัดว่าตัวเองร้องไห้ ใจเย็นรู้แค่ว่าโลกที่เห็นและเป็นอยู่นั้นบิดเบี้ยว ทุกครั้งที่มีอะไรกระทบใจ เขาจะรู้สึกว่าโลกบิดเบี้ยวไปทุกที ทุกที และครั้งล่าสุดก็เพราะคุณเกษรา – แม่ของเขาเอง
หล่อนหักล้างทุกความเชื่อที่บอกกรอกหูเขามาตลอดชีวิต ที่ว่าครอบครัวเรารักกันดี เราตกลงกันได้ด้วยดี ความรักเป็นสิ่งที่ดี และอย่างไรก็ดี แตกต่างจากบ้านอื่นแล้วจะไม่ใช่ความรักหรือ?
ทุกถ้อย ทุกคำถามถูกหักล้าง ชำระสะสางจนสะอาดพอที่จะเห็นถึงเบื้องหลังของความเชื่อ เห็นถึงสิ่งที่เขาซ่อนไว้และตั้งใจหนีมาตั้งแต่เด็ก หนีตั้งแต่เรื่องที่ว่าแม่ของเขาโกหก หนีว่ามนุษย์ควรรักเดียวใจเดียว หนีว่าครอบครัวเขาไม่ปกติ หนีว่าทุกคนนั้นล้วนเห็นแก่ตัว หนีว่าเขารู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วซึ่งทุกอย่าง
กระนั้นใจเย็นก็ยังหนีความจริง ความจริงที่เป็นเหมือนพายุซึ่งเคยพรากเอาดวงชีวิตของทันใจไป พรากไปซึ่งความหมายที่เคยมีต่อสิ่งต่างๆ เขาไม่ใคร่ครวญยอมรับว่าตัวเองกำลังเสียใจ ไม่กระทั่งสำรวจตรวจค้นลงในจิตใจตนเอง หรือถ้าจะมองลึกลงไป เขาก็จะเห็นแต่ความว่างเปล่าเพราะไม่เคยใส่ใจจะเติมความรู้สึกแท้จริงใดลงไปเลย
และใจเย็นก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการถูกสวมกอดเอาไว้จะกลายเป็นการรินรดความรู้สึกจนเปี่ยมล้น เขารู้ในวินาทีนั้นเองว่าตนเองแหลกสลายหักพังแค่ไหน เพราะตัวตนที่แตกกระจายอยู่บนพื้นนั้นค่อยๆ ถูกหยิบขึ้นมาทีละชิ้น ทีละชิ้นอย่างเบามือ ก่อนโอบอุ้มเอาไว้ กอดเอาไว้ด้วยอ้อมแขนของคนตรงหน้า
ทั้งที่เนื้อตัวของเป็นไทเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน แต่ใจเย็นกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่น อาจจะอุ่นเหมือนน้ำตาที่เขาจำไม่ได้แล้วว่ารสสัมผัสมันเป็นอย่างไร พอๆ กับที่จำไม่ได้ว่ารับอ้อมกอดแบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อ้อมกอดที่ทั้งนานเหมือนชั่วนิรันดร์ และสั้นเหมือนชั่วพริบตา
ดังนั้นเมื่อคลายห่างออกไป ใจเย็นจึงดึงเป็นไทกลับมากอดอีกครั้ง ครั้งนี้เขาตั้งใจโอบอุ้มแหลกสลายของอีกฝ่ายไว้ดังที่ตนเคยได้รับ ตั้งใจจะประกอบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นให้เชื่อมต่อเนียนสนิทราวกับไม่เคยแตกร้าว แต่ทั้งที่ตั้งใจแบบนั้น เป็นไทก็ปฏิเสธเขามาก่อนด้วยคำไม่กี่คำ
ช่างมันเถอะ
ไม่มีอะไร
อีกแล้ว – ทันใดใจเย็นคิดคำนี้พร้อมกับเสียงฟ้าร้องครืนคล้ายไม่พอใจ อีกแล้วที่เป็นไทบอกกับเขาแบบนี้ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้ใจเย็นจะหนีความจริงแค่ไหนเขาก็รู้สึกได้ว่าเป็นไทกำลังโกหก โกหกจนเขานึกอยากโกรธ อยากจะดึงดันคั้นเค้นให้เจ้าตัวบอกความจริง อยากจะรู้ว่าทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย แต่พลันชิ้นส่วนแตกสลายของตนเองที่เคยถูกโอบอุ้มก็ร่วงกราวลงมาอีกครั้ง
ทุกอย่างมันก็เป็นเพราะเขาเอาแต่หนีไม่ใช่หรือ?
หนีกระทั่งว่าเขายังไม่เข้าใจอะไรเลยในความรัก แต่ก็ตะบี้ตะบันอยากจะไขว่คว้าเอามาไว้ในครอบครองก็เพียงเพราะตัวเองไม่อยากรู้สึกเจ็บปวด เขาหนี หนีจนรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกลายเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนา
เขาหนีกระทั่งเรื่องที่ว่าเป็นไทไม่อยากบอกอะไรกับเขาอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น ตอนที่ยอมเผชิญหน้าความจริงเขาก็ทำได้แค่มองเป็นไทเดินจากไป แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังปวดร้าวเขาก็ต้องทำแบบนั้น ตราบเท่าที่มันเป็นแบบที่เป็นไทต้องการ ตราบเท่าที่เขายังคงไม่เข้าใจอะไรในตัวเองเลยสักอย่าง และตราบเท่าที่เขายังคงหนีอยู่แบบนั้น
แต่สิ่งเดียว – สิ่งเดียวที่เขาหนีไม่ได้เลยก็คือความรู้สึก
อย่าไป
อย่าไปจากเขาแบบนั้นเลย
อย่าไปทั้งการเดินจากไปแบบนั้น และอย่าไปจากความสัมพันธ์ อย่าห่างไปกว่านี้เลย
ตอนนั้นเองที่ฝนหยุดตก ทั้งที่เขาอยู่ในรถแต่หยาดน้ำสองสามหยดกลับหล่นลงตัก มันเหมือนน้ำตามากพอที่จะทำให้เขาคิดสงสัยอีกครั้งว่าตนเองร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ก็เช่นเคย ไม่มีคำตอบ
ตั้งแต่วันนั้นใจเย็นจึงพยายามเผชิญหน้ากับความจริง ความจริงที่เป็นเหมือนพายุซึ่งพยายามเอาชนะมันกี่ครั้งก็ยังเหวี่ยงวนเขาให้ติดอยู่ที่เดิม คล้ายก้าวต่อไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ เขาไม่มีที่ให้ไปเลยสักที่ แม้กับบ้านที่เคยรู้สึกว่าปลอดภัย แต่บัดนี้บรรดาดอกไม้ในบ้านดูเหี่ยวเฉาลงทุกที ทุกที รอวันโรยกลีบให้พร่างพรมเต็มพื้นสวน ไม่ต่างจากคุณเกษราที่ค่อยๆ เผยความเศร้าออกมาทีละน้อย เหมือนว่าพอเฉลยความจริงกับเขาแล้วก็ปลดแอกทุกพันธนาการความลับ โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าความเศร้าเหล่านั้นกลับยิ่งทิ่มแทงลึกลงกลางใจของใจเย็น
หรือไม่ ก็เป็นกลางหลังที่เขาไม่เคยระวัง
แม้แต่กับคุณพิทักษ์พ่อของเขาเอง ใจเย็นรู้สึกว่าตัวตนของพ่อแทรกซึมอยู่ทุกวัตถุที่มอบให้เขา ทุกเงินตรา ทุกความสุขสบาย ทุกสิ่งปลูกสร้างที่โอ่โถง ทุกถนนหนทางในอนาคตที่ปูรอไว้ให้ แต่ใจเย็นกลับสัมผัสไม่ได้ถึงความรักที่แท้จริง ที่สัมผัสได้ดูจะมีแต่การที่เลี้ยงเขาให้เติบโตมาด้วยวัตถุและการสอนให้อยู่กับวัตถุเหล่านั้น ทั้งที่ใจเย็นอยากอยู่กับชีวิต ชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยความรัก และความสัตย์จริงของใจ
ทว่า ต่อให้พายุของความจริงจะทั้งผลักไส ทั้งฉุดรั้ง ให้เขาทรมานเล่น ระบบคิดของใจเย็นต่อเรื่องความรักก็ไม่ได้แปรเปลี่ยน เพราะเขาเชื่อไปแล้ว และเชื่อมานานว่าการรักใครหลายคนไม่ใช่เรื่องผิด ที่ผิดคงมีแต่การสร้างข้อตกลงบ้าๆ ขึ้นมาผูกมัดให้รักเดียวใจเดียวเองทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ ที่สำคัญการไม่เชื่อใจในข้อตกลงนั้นก็ดูงี่เง่า – ใจเย็นเห็นคู่รักที่หวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะนอกใจเป็นเรื่องงี่เง่าไร้สาระทุกครั้งไป
และเพราะเป็นแบบนี้ เพราะความคิดเขายังตลบหลังความรักในรูปแบบที่แม่เพิ่งเปิดเผย เพราะเขายังไม่เข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น เพราะยังจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ใจเย็นจึงยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้ไปไหน ยังเอาชนะพายุของความจริงไม่ได้ ยังไม่อาจเผชิญหน้ากับอะไรเลยสักอย่าง สุดท้ายแล้วเขาก็หนีอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาหนีไปหาเป็นไท
สักพักแล้วนับตั้งแต่ที่เป็นไทมาหาเขาและก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีก พูดคุยอย่างมากก็ทางโทรศัพท์ ทั้งที่อยากเจอ อยากพบ ไม่ต้องพูดคุยก็ได้แค่อยากเห็นหน้า แต่เขากลับไม่กล้าไปหา ที่ได้มาเจออย่างในตอนนี้ก็เพราะเขาตัดสินใจก้าวถอยหลัง ถอยจนแทบจะตกหน้าผาเพื่อหนีความจริงทั้งหมดและมาเจอหน้าคนแค่คนเดียว
ที่นั่งตรงลานหน้าคณะ เป็นไทยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งในทรงจำและตรงหน้าเขา มันเป็นเดือนมกราคมที่อากาศดีแต่ไม่รู้ทำไมเขานึกถึงวันที่อากาศร้อนอ้าว วันแรกที่ได้เจอกับเป็นไท สายตามักไปวางอยู่ที่ปุ่มกระดูกตรงข้อมือข้างที่ถือแก้วน้ำเย็นฉ่ำ แต่ตอนนี้เขามองเรือนผมคนตรงหน้า ผมยาวกว่าที่เคยเห็นผ่านมาๆ ใจเย็นรู้สึกอยากสัมผัส อยากลูบเหมือนที่เคยทำ ทั้งลูบเล่น ทั้งปลอบโยน หากตอนนี้เขาก็ทำได้แค่เก็บไว้ในใจ
และไม่รู้คิดถูกหรือผิด ใจเย็นตัดสินใจคุ้ยถามถึงเรื่องที่เป็นไทไม่ยอมบอก ถามอย่างหนีความจริงที่สุดว่าเป็นไทไม่คิดจะบอกอะไรเขาอีกแล้ว
“ไม่ใช่บอกมึงไม่ได้ มันแค่พูดไม่ออก”
และกลับพบว่าเขามีเรื่องให้ต้องหนีอีกเรื่อง
“บางทีการไม่พูดออกไปมันก็ง่ายกว่าด้วย”
ใจเย็นรู้สึกเหมือนถูกย้ำว่าเขากลายเป็นคนน่าสมเพช เป็นคนที่หนีความจริงจนไม่เหลือค่า ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเป็นไทคงบอกเขา ไม่ว่ายากต่อการพูดแค่ไหนก็จะบอกออกมา อาจไม่ใช่ถ้อยคำโดยตรงแต่อย่างน้อยก็การแสดงออก ผ่านท่าทางหรือแววตาให้เขาจับรู้สึกได้ ใจเย็นยิ่งหวนนึกก็ยิ่งปวดแปลบข้างในอก เขาไม่รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร ไม่รู้แล้วว่าผิดพลาดที่ตรงไหนบ้าง แต่ทั้งที่เป็นไทพูดแบบนั้น พูดสิ่งที่ไม่ปกติในสัมพันธ์เช่นนั้น เจ้าตัวกลับยังทำเหมือนทุกอย่างปกติดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ว่าแต่มึงเหอะ เป็นไงบ้าง”
ทั้งยังเอ่ยถามถึงตัวเขาแม้จะไม่ได้บอกเรื่องของตัวเอง ซึ่งเป็นตอนนั้นที่ใจเย็นเองก็รู้สึกว่าพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะมันง่ายกว่าที่จะไม่พูด แต่มันเป็นเพราะเขารู้สึกเจ็บจนไม่กล้าพูดเรื่องของตัวเอง
“ผมขอโทษ”
“...ขอโทษอะไรวะ”
ใจเย็นไม่ได้ตอบอะไรอีก แต่ในใจยังคงพร่ำคำว่าขอโทษ ขอโทษ ซ้ำอยู่อย่างนั้น
ขอโทษที่รักไม่เป็น
ทั้งที่เขาไม่ได้คบใครอื่นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ารักไม่เป็น
กลับมาจากวันนั้น ใจเย็นไม่รู้แล้วว่าเขาควรเดินไปทางไหนต่อ เขาสับสนร้อนรนเหมือนพยายามวิ่งหนีจากพายุของความจริง แต่แล้วก็พบกับทางตัน เขาหนีไปอีกครั้ง และก็พบกับทางตันอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนที่สุดแล้วใจเย็นก็เลือกทางที่เป็นไทอยากให้ไป ทางที่ก้าวไปข้างหน้า เผชิญกับพายุ ไม่หนี ไม่ขี้ขลาด แม้มันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
ใจเย็นตัดสินใจกลับไปอยู่เคียงข้างแม่แม้จะยังไม่เข้าใจสิ่งที่แม่ทำมาตลอดชีวิตของเขา ขับรถพาแม่ไปยังศาลในคดีความฟ้องหย่าที่ยังยืดเยื้อยาวนาน เข้าไปนั่งฟังการพิจารณาคดีอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำ พาตัวเองไปตกอยู่ในบรรยากาศอันน่าอึดอัด ครั่นคร้ามในวาจา ทั้งที่หลายต่อหลายอย่างเป็นเพียงคำพูดเอาดีเข้าตัว ไม่ว่าใครหรือแม้แต่แม่ของเขาก็จะพูดถึงแต่สิ่งดีงามของตัวเอง และโจมตีบกพร่องของอีกฝ่าย ทั้งสิ่งที่เขาเคยรู้และไม่รู้ ให้พรั่นพรึงในเรื่องราวตลอดชีวิตที่ผ่านมาเพราะไม่อาจบอกได้เลยว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดปลอม
หลังสิ้นสุดการสืบพยานในวันนั้น ใจเย็นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหนีอีกครั้งทั้งที่ไม่ตั้งใจจะหนีอีกแล้ว ทุกสับสนวนวิ่งสวนทางกันอยู่ภายในร่างเขา ปะทะปะทุเหมือนคลั่งแค้นของพายุ ใจเย็นอยากสำรอกสิ่งที่อยู่ในร่าง สำรอกออกมาให้หมด กระนั้นเมื่อไปยืนอยู่ในห้องน้ำ กลับไม่มีอะไรตีขึ้นมาสักอย่างในหลอดทางเดินอาหาร ใจเย็นรู้เพียงว่าเขาอึดอัด ไร้หนทางระบายออก ไม่มีที่ไป ไม่มีใครเลย
ทว่าเมื่อถึงถ้อยสุดท้ายเขาก็คิดได้ไม่เต็มคิด ที่ว่าไม่มีใครนั้นเขาก็ยังนึกถึงคนที่ห่างสัมพันธ์จากเขาไปทุกที เขานึกถึงเป็นไท เป็นไทที่มีชีวิตอยู่แม้กระทั่งในความรู้สึกของเขา เคลื่อนไหวในฉากหลังอันว่างเปล่าที่เขามักจะจับวางพื้นที่อันเป็นครอบครองของตนเองเข้าไป เป็นไทคนที่มักจะหมุนควงปากกาเล่นเวลาคิดอะไรสักอย่าง เป็นไทคนที่คลี่ยิ้มเวลาคิดเรื่องยากๆ ออก เป็นไทคนที่ดูขี้หงุดหงิดแต่ก็หายเร็ว เป็นไทคนที่ทำให้เขาค่อยๆ เป็นตัวเองอย่างเต็มตัว คนคนนั้น คนที่อยากจะรับฟังเขา และเขาเองก็อยากจะรับฟังอีกฝ่ายในทุกเรื่องราว
คนที่ไม่มีอะไรแทนที่ได้อีกแล้ว
พลันรู้สึกปวดร้าวเหมือนถูกพายุซัดกระหน่ำหักพังหัวใจให้ย่อยยับ และคำถามที่ว่าตนเองร้องไห้ครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่ก็แล่นผาดเข้ากลางคิดเหมือนเล่นตลก แต่ที่ตลกกว่านั้นคือเขาได้คำตอบแล้ว
ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้ก็คือตอนนี้ ตอนที่คิดถึงเป็นไท คิดถึงจนทรมาน และร้าวราน