ตอน 43
อันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าการปลอบใจคนกำลังคิดมากด้วยการมอบ ‘ลูกสนแห้ง’ ที่เปรียบเสมือนกล่องแห่งความทรงจำระหว่างเราจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน
แต่มันคงจะดีกว่าผมไม่ลงมือทำอะไรเลย“ดูเหมือนจันทร์จะชอบดอกพญาเสือโคร่งนะมึง” ไอ้แนนเปรยขึ้นขณะที่เรากำลังมุ่งตรงไปยังลานจอดรถเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ รับคำบอกเล่าดังกล่าว
“แถมปีนี้ยังบานเร็วกว่าปกติด้วย ทำเอาโรงพยาบาลน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง” สิ้นการแสดงความคิดเห็น จิตแพทย์สาวก็ยักคิ้วให้ผมหนึ่งที พร้อมกับยกยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะแยกตัวไปยังมุมที่รถของเธอจอดอยู่ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม เพราะความคิดกำลังติดตรึงอยู่กับรูปประโยคสุดท้ายที่มันอาจจะถอดรหัสได้ว่า..
ความสวยงามของดอกไม้.. กำลังช่วยพัดพาให้จิตใจอันหม่นหมองของจันทร์ค่อยๆ มลายหายไปแต่ดูเหมือนระยะหลังผมมักจะคิดบวกมากเกินไป เพราะอันที่จริงจันทร์ยังคงกังวลเกี่ยวกับการรักษาเหมือนอย่างเคย จึงทำให้ทีมรักษาต้องร่วมหารือกันว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะหากตึงมากเกินไปคนไข้ก็จะยิ่งเครียดสะสม แต่ถ้าหากหย่อนมากเกินไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการรักษาได้
ซึ่งผมไม่รู้ว่าพวกเขาปรึกษาหารือกันอย่างไร ผลสุดท้ายถึงได้ยอมให้จันทร์ตกอยู่ในความดูแลของผมเพียงชั่วคราว ดังนั้นเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจึงกำลังนั่งห้อยขาอยู่ตรงสระน้ำหน้าบ้าน ขณะที่ผมก็ได้โอกาสทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างการว่ายน้ำหลังจากไม่ได้ใส่ใจไปเสียนาน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปลดปล่อยให้จิตใจลอยละล่องไปตามความคิดเหมือนทุกครั้ง เพราะผมยังคงหวาดกลัวว่าการสลับตัวอาจจะเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำอันเงียบสงบ
“ที่จริงแล้วกว่าจันทร์จะได้ออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ จันทร์ต้องเจรจากับคุณหมออยู่หลายครั้ง” เด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่ริมสระกล่าวขึ้น ขณะที่ผมก็ยังคงแช่ตัวอยู่ในน้ำแน่นิ่งเพื่อตั้งใจฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่าย
“แม้ว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะเท่ากับศูนย์ แต่จันทร์ก็ยังพยายามต่อไป เพราะยิ่งจันทร์อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ๆ จันทร์จะยิ่งรู้สึกเหนื่อย แถมวันเวลาก็ยังผ่านไปอย่างเชื่องช้า”
“ไม่เหมือนกับตอนที่มีพี่ภัทรอยู่สักนิด..”
“สำหรับจันทร์แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้มันน่าเบื่อมากเลยใช่ไหม ?” ผมเอ่ยถามพลางเอี้ยวตัวเข้าหาอีกฝ่าย พร้อมกับจับมือเล็กที่วางแหมะอยู่ตรงขอบสระมากอบกุมไว้
“ครับ.. ทุกอย่างมันน่าเบื่อไปหมด น่าเบื่อแม้กระทั่งตัวเอง เพราะตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์เหมือนเป็นโรคหวาดระแวง” จันทร์กล่าวเพียงแค่นั้นแล้วเจ้าตัวก็แน่นิ่งไป ซึ่งผมพอจะเข้าใจนิสัยในส่วนนี้ของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาเวลาที่จันทร์ประสบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต จันทร์มักจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
ดังนั้นการแบ่งปันความทุกข์ใจจึงเป็นหนทางที่จันทร์ไม่ค่อยคุ้นเคย“จันทร์ยังจำที่พี่เคยบอกได้หรือเปล่า ?” ผมขยับตัวมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับบีบกระชับฝ่ามือเล็กอย่างแนบแน่น พลางมองจ้องเข้าไปยังดวงตาไหวระริกอย่างจริงจัง
“…”
“ถ้าหากจันทร์มีเรื่องไม่สบายใจ จันทร์สามารถระบายให้พี่ฟังได้ ถึงแม้พี่อาจจะช่วยจันทร์ไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนที่เราไว้ใจ คอยรับฟังเรื่องราวพวกนั้น ก็ทำให้เราอุ่นใจได้ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ.. คุณหมอก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้มันทำให้จันทร์กลัวว่าพี่ภัทรจะรับไม่ได้ หรือถ้ารับได้จันทร์ก็กลัวว่าพี่ภัทรจะคิดมากจนป่วยหนักแบบที่ผ่านมาอีก” คนป่วยพูดไปก็ก้มหน้ามองสองมือของเราที่กำลังกอบกุมกันไว้ ขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ความเห็นแก่ตัวของจันทร์ทำร้ายพี่ภัทรมากเกินไป จันทร์เลยไม่อยากทำให้พี่ภัทรต้องมาทุกข์ใจเพิ่มขึ้นอีก”
“จันทร์.. ฟังพี่นะ เรื่องที่พี่ป่วยคราวนั้น มันเป็นผลมาจากการกระทำของพี่ล้วน ๆ” ผมกล่าวพลางเช็ดน้ำตาให้กับเด็กชายตรงหน้าที่ไม่ว่าจะเติบโตไปมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรในสายตาของผม จันทร์ก็ยังคงเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่ผมทั้งรักและเอ็นดูอยู่ดี
“แต่ถ้าหากจันทร์ไม่ตัดสินใจแก้ปัญหาแบบนั้น พี่ภัทรก็คงไม่ต้องทำงานจนป่วยหนัก”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราทั้งคู่เสมอกันดีไหม ไม่มีใครถูกแล้วก็ไม่ใครผิด ต่อไปพี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก พี่จะดูแลตัวเองให้ดีแล้วก็จะรักตัวเองให้มาก ๆ เพราะฉะนั้น จันทร์ลองเปิดใจแล้วระบายความไม่สบายใจ หรือความหวาดกลัวทั้งหมดให้พี่ฟังอีกสักครั้งได้ไหม?”
“ตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์มักจะหวาดระแวงว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาทำร้ายจันทร์ จนจันทร์ไม่สามารถข่มตานอนได้ เพราะในหัวของจันทร์มโนไปเองว่าอาโชคกำลังไขกุญแจเข้ามาหาจันทร์..”
“…”
“จันทร์ยังจำความเจ็บปวดพวกนั้นได้ มันน่าขยะแขยงมาก ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะปะปนไปกับเลือดของการฉีกขาด จนจันทร์คิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว แต่สุดท้ายจันทร์ก็ยังไม่ตาย เพราะอาโชคชอบบังคับให้จันทร์ดูแลตัวเอง ตอนนั้นจันทร์ไม่อยากทำตามสักนิด แต่จันทร์กลัวอาโชคจะโมโห เพราะจันทร์ไม่อยากเจ็บตัวเพิ่มขึ้นอีก” คนป่วยเริ่มบอกเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยแววตาเลื่อนลอย จนกระทั่งต้องลงลึกในความรู้สึก อาการแพนิคก็เริ่มจะก่อเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เราต้องห่างกัน ด็อกเตอร์อาจจะให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาในส่วนนี้ จันทร์ก็เลยสามารถควบคุมตัวเองได้ดีกว่าแต่ก่อน
“แล้วจันทร์ได้บอกกับน้าเข็มบ้างหรือเปล่าว่าจันทร์ถูกทำร้ายมากมายขนาดนี้” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับลูบเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ โดยไม่ลืมเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงไหลริน
“จันทร์เคยคิดจะบอกน้าเข็ม แต่จันทร์ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง พอจันทร์หาโอกาสคุยกับน้าเข็มบ่อยเข้า อาโชคก็เริ่มรู้ว่าจันทร์คิดจะทำอะไร”
“หลังจากนั้น.. อาโชคก็เลยใช้เซ็กส์ที่รุนแรงขึ้น เพื่อข่มขู่ให้จันทร์หวาดกลัวจนไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปอีก พี่เข้าใจถูกไหม ?”
“ครับ” เด็กชายตัวน้อยที่ในเวลานี้ช่างดูบอบบางยังคงโฟกัสสายตาไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ขณะที่น้ำเสียงตอบรับกลับแผ่วเบาราวกับสายลมเอื่อย ๆ ในยามค่ำคืน
“จริง ๆ แล้ว พี่คิดว่าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่หอมหวานสำหรับคู่รักนะ เพราะมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง รวมถึงการจูบก็ด้วย แต่อาโชคคงจะทำให้จันทร์นึกถึงมุมมองพวกนี้ไม่ออกใช่หรือเปล่า”
“ครับ เพราะตอนที่จันทร์ยังจำอะไรไม่ได้ ภาพที่จันทร์เห็นก็คือภาพของจันทร์กับอาโชค จันทร์ถึงได้กลัวสัมผัสจากพี่ภัทร”
“ตอนนั้นพี่เองก็ขาดสติด้วยแหละ เลยทำให้จันทร์ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่”
“แต่มันน่าแปลกใจตรงที่ ถ้าหากจันทร์เป็นคนเริ่ม จันทร์จะไม่รู้สึกขยะแขยงแบบนั้น”
“มันคงเป็นเพราะจันทร์รับรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นจะไม่ทำให้จันทร์ตกอยู่ในอันตราย” ผมแสดงความคิดเห็นพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตรงหน้าที่กำลังเปลี่ยนวิถีสายตามายังผม จากนั้นเราสองคนก็เลิกพูดถึงเรื่องราวในอดีต และหันกลับมาหาความสุขส่งมอบให้แก่กัน
เพราะเราต่างก็สามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้แค่เพียงค่ำคืนนี้ “พี่ภัทรเดี๋ยวจันทร์ตก จันทร์ขี้เกียจอาบน้ำอีกรอบ” เมื่อเด็กชายตัวเล็กจำต้องย้ายตัวเองมานั่งคล่อมอยู่บนบ่าของผม เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินไปเสียนานก็เริ่มดังกังวานมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอผมแกล้งเดินเป๋ไปเป๋มาไม่หยุด คนในความดูแลจึงเริ่มร้องประท้วงขึ้นมา
“เวลาที่พี่คิดถึงจันทร์ พี่ชอบมองพระจันทร์จากตรงนี้..”
“แล้วก็เริ่มคิดไปว่าจันทร์จะเข้านอนหรือยัง จันทร์จะเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นไหม แล้วจะรู้วิธีหายใจของคนที่เป็นโรคแพนิคหรือเปล่า”
“…”
“พูดตรง ๆ ว่าพี่ค่อนข้างจะหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์” ผมกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล
“เรื่องเล่าของพี่ภัทรให้ความรู้สึกอบอุ่นดีจัง..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก้มลงมองผม พร้อมกับออกปากชมด้วยรอยยิ้มอันสดใสที่มักจะเห็นข้างแก้มยุบลงไปเสมอ
“แล้วเวลาจันทร์มองลูกสนที่พี่ให้ จันทร์นึกถึงเรื่องอะไร ?” ผมเอ่ยถามพลางมองจ้องไปยังดวงจันทร์อันเจิดจ้าท่ามกลางท้องนภาในยามราตรี
“จันทร์นึกถึงวันที่เราทดลองความลับของป่าสน” สิ้นคำตอบของอีกฝ่าย ริมฝีปากของผมก็คลี่เป็นรอยยิ้ม เพราะเราต่างก็นึกถึงเรื่องเดียวกัน
มิหนำซ้ำ.. ความสุขจากวันวานยังช่วยปลอบประโลมใจของเราทั้งคู่ได้ไม่ต่างกันกระทั่งได้เวลาเข้านอน เราทั้งคู่ต่างก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะจับจองพื้นที่ว่างบนเตียงคนละด้าน จากนั้นความเงียบสงัดก็นำพาให้เราหลงใหลเข้าสู่วังวนแห่งนิทรา ซึ่งผมก็ทำเวลาได้ดีเกินคาด
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จันทร์กำลังเกิดอาการแพนิคขึ้นมากลางดึก“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
ผมลูบศีรษะของอีกฝ่ายพลางเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้า พร้อมกับนับเลขให้คนในความดูแลใช้เป็นจังหวะในการหายใจ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าอาการแพนิคจะสงบลง
“ดื่มน้ำสักหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ลงไปเอามาให้” ผมเสนออย่างห่วงใยพร้อมกับตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง
“จันทร์ไปด้วย” สิ้นคำขอ ผมก็ตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ พร้อมกับแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปตรงหน้าจันทร์ จากนั้นฝ่ามือของเราก็ผสานกันอย่างแนบแน่น โดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ต้องคอยถือแท่งเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปยังห้องครัว
“จริงสิ พี่เคยซื้อชาวาเลอเรี่ยนติดบ้านเอาไว้นี่..” ผมอุทานเพียงเบาๆ พลางเปิดตู้นั้นตู้นี้เพื่อหาชาดังกล่าวที่เคยซื้อเก็บไว้ เพราะเดิมทีผมก็ชอบดื่มชาเป็นประจำอยู่แล้ว
“รอพี่ต้มน้ำสักพักนะ” ผมหันไปบอกใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวและมองมาที่ผมอย่างสนใจ
“เหนื่อยใจจังเลยพี่ภัทร” เมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า คนป่วยก็โน้มตัวเข้ามากอดเอวผม พร้อมกับบอกเล่าด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ผมจึงได้แต่ลูบเรือนผมและแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ
“ทำไมความทรงจำบ้าๆ พวกนั้น ต้องคอยตามมาหลอกหลอนจันทร์ด้วย”
“หรือเพราะจันทร์ฆ่าทุกคนใช่ไหมพี่ภัทร จันทร์ถึงต้องมาคอยรับกรรมอยู่แบบนี้..” ผมทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบข้างแก้มของคนที่พยายามจะไม่ร้องไห้
“จันทร์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ ทั้งจันทร์และจิม ไม่มีใครตั้งใจให้มันลงเอยแบบนี้” ผมกล่าวอย่างหนักแน่น เพราะเรื่อง ‘ไฟไหม้’ ไม่มีใครผิดเลยสักนิด แม้ต้นเหตุครึ่งหนึ่งจะมาจากการที่คุณแม่ของจันทร์ ไม่เคยสนใจใยดีลูกในไส้เลยก็ตาม แต่เพราะที่ผ่านมาท่านเองก็ต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นการละเลยจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายวัยอนุบาลนำไม้ขีดไฟมาเล่นอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“ตามหลักแล้วการจะทำโทษใครสักคน ต้องดูที่กฎระเบียบหรือเจตนาของผู้กระทำผิด ดังนั้นการเล่นซนของน้องจิม ในมุมมองของพี่มันคือ ‘อุบัติเหตุ’ เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ หรือการไม่รู้ความของเด็กคนหนึ่งที่ถูกปล่อยปละละเลยจากผู้ปกครองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ส่วนอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเพราะจันทร์กำลังป่วย และโดยปกติแล้วคนเราก็มักจะจดจำเรื่องราวแย่ๆ ได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะมันกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเรามากที่สุด ฉะนั้นมันไม่ใช่บทลงโทษจากใครสักคนอย่างที่จันทร์เข้าใจหรอกนะ” ผมอธิบายพลางลุกขึ้นไปจัดการชาร้อนๆ ให้จันทร์ได้ดื่มก่อนนอน
“ชาวาเลอเรี่ยนเป็นชาสมุนไพร ช่วยให้เราหลับสบายและยังช่วยคลายเครียด รวมถึงลดความวิตกกังวลได้ดี” ผมกล่าวพลางวางแก้วชาไว้ตรงหน้าจันทร์ จากนั้นผมก็ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ทางฝั่งตรงกันข้าม โดยมีแก้วชาที่บัดนี้กระไอควันยังคงพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ
“ดีจังที่คืนนี้พี่ภัทรอยู่ด้วย” หลังจากความเงียบเริ่มปกคลุมเราทั้งคู่ พอจันทร์จิบชาร้อนจนพอใจแล้ว น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าก็ดังก้องขึ้น
ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มรับคำชมเชยนั้นอย่างเต็มใจ..เพราะผมก็คิดตรงกันว่าค่ำคืนนี้มันดีจริง ๆ ที่ผมมีโอกาสได้ดูแลดวงจันทร์ดวงนี้พอจันทร์เริ่มสบายใจขึ้น เราสองคนก็เตรียมตัวจะเข้านอน เพราะวันพรุ่งนี้ผมยังต้องไปทำงานแต่เช้า และจันทร์ก็ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของทางโรงพยาบาลตามตารางเดิม ผมจึงตัดสินใจย้ายลงมานอนที่โซฟาด้านล่าง เพื่อที่จันทร์จะได้ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับกลอนประตู จนนำไปสู่ฝันร้ายด้วยเรื่องเดิม ๆ อีก
“ป..ปล่อย!” แรงดีดดิ้นพร้อมเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกทำให้ผมตื่นจากความฝัน ขณะที่ใครอีกคนเมื่อได้รับอิสระก็รีบดีดตัวออกห่างจากผมทันควัน แต่เพราะปลายขาของเจ้าตัวดันเตะเข้ากับขาโต๊ะที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆ โซฟา จึงทำให้ร่างตรงหน้าเซถลาลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ ส่วนผมก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ แต่พอจะก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ร่างเล็ก ๆ ก็รีบถอยกรูดจนหัวซุกหัวซุน
“จันทร์..”
“นี่พี่เอง.. พี่ภัทรไง” ผมกล่าวแสดงตัวพร้อมกับจุดเทียนให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เพราะก่อนหน้านี้ผมแอบดับเทียนตอนช่วงที่จันทร์เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว
“หมอ..” สิ้นคำเรียกขานของคนที่หนีไปซุกตัวอยู่ตรงข้างกำแพง สายตาของผมก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างละเอียด
จนกระทั่งค้นพบว่า..คนตรงหน้าไม่ใช่อัตลักษณ์ที่ผมคุ้นเคย.. ゚゚❀゚゚
[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
มาต่อแล้วจ้า พอดีโน๊ตบุ๊กเราเสีย จนต้องซื้อใหม่ ก็เลยต้องมานั่งอ่านทวนนิยายตั้งแต่ต้นจนจบอีกที เพราะโพยที่เราใช้จดปมต่างๆ แล้วก็เนื้อเรื่องในตอนต่อๆ ไป มันปลิวหายไปกับโน๊ตบุ๊กเดี้ยงๆ แล้ว แต่กำลังให้ช่างช่วยดึงข้อมูลให้อยู่ เลยอาจจะทำให้อัพนิยายช้านิดนึงนะคะ เพราะเราอยากรอโพยของเราก่อน T_T ดูเหมือนพอแต่งเรื่องนี้ คอมเราตายไปสองรอบแล้ว 555
เอาล่ะ สำหรับตอนนี้ก็มีฉากเซอร์วิสเล็กน้อย เพราะทั้งเรื่องแทบไม่มีเลย แล้วก็เป็นการเปิดตัวอัตลักษณ์ใหม่ (?) ไปด้วยเลย คึคึคึ
ปล. 1 ตอนนี้นิยายวายเรื่องแรกของเรากำลังจะคลอดในงานหนังสือแล้ว ใครสนใจผลงานของเรา สามารถทดลองอ่านได้นะคะ แต่โทนเรื่องจะไม่เหมือนเรื่องนี้หรอก มันจะเป็นแนวมหาลัย ที่สอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มคนที่บกพร่องทางการได้ยิน และการเรียนการสอนภาษามือ ขอขายตรงเลยละกัน เรื่อง Fall in you ค่ะ 555
ปล. 2 พอดีตอนนี้เรามีเขียนเรื่องเกี่ยวกับไฟไหม้ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายอาทิตย์ก่อน (มั้งนะ) มีคนมาบอกเราว่า มีคนสงสัยว่าเราลอกพล็อตซีรีย์เกาหลีมาหรือเปล่า เพราะมีเรื่องไฟไหม้เหมือนกันเลย เอาจริงๆ เราลังเลมาก ว่าจะออกมาพูดอะไรดีมั้ย เพราะเราค่อนข้างฝังใจกับการแสดงความคิดเห็นในมุมมองของตัวเอง เพราะเราเคยเจอคนอ่านไม่ยอมรับความคิดเห็นในมุมมองที่เราสื่อออกไป จนมารีวิวออกแนวกระทบกระทั่งในความรู้สึกของเรานิดๆ เพราะเราเคยคุยกันในคอมเมนต์ก่อนหน้าที่จะมีรีวิวอันนี้ มันเลยกลายเป็นแผลใจของเราไปเลย ทำให้เราไม่ค่อยกล้าจะอธิบายอะไรอีก ง่ายๆ คือเราเริ่มกลัวการพูดคุยกับนักอ่านแบบตอบโต้ทางคอมเมนต์ไปเลย แต่สำหรับกรณีที่มีคนสงสัยว่าเราลอก ก็ค่อนข้างแรงเหมือนกันนะ เพราะการลอกมันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แย่ในสายตาของเรา เพราะเราเคยเจอคนมาลอกฟิคเรา เรายังจำความรู้สึกแย่ๆ ได้ดี ฉะนั้นเราคงไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่พูด เราก็กลัวคนที่มาเจอข้อความนั้น อาจจะคิดเหมารวมว่าเออ เราทำแบบนั้นจริงๆ (เราอาจจะคิดมากไปเอง แต่ก็นะ เราขอพูดเพื่อความสบายใจของตัวเองแล้วกัน)
เราเคยดูเรื่อง Kill me Heal me จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเอาพล็อตเค้ามานะ เพราะเราวางโครงเรื่องก่อน ถึงค่อยไปดูซีรีย์เพื่อเอาแนวทางการรักษา (แต่มันไม่ค่อยมีเลย) แล้วอัตลักษณ์รองของพระเอกเรื่องนั้น ถ้าจำไม่ผิด ตั้งใจจะเผาห้องใต้ดินนะ แตกต่างกับนายเอกของเราเลย แล้วเหตุผลของการเกิดอัตลักษณ์ก็ต่างกันด้วยค่ะ พระเอกเรื่องนั้น สร้างอัตลักษณ์เพราะเห็นพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายนางเอกในห้องใต้ดิน สื่อถึงการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ตามงานวิจัย ส่วนของเรา มันน่าจะเรียกได้ว่าความล้มเหลวของสถาบันครอบครัวนะ เพราะจุดเริ่มต้นคือการขาดความอบอุ่นจากแม่ จึงทำให้ไม้ขีดไฟที่เป็นของต้องห้ามถูกเด็กนำมาเล่น แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างต่อมาเรื่อยๆ โดยมีสาเหตุที่เราเอามาจากงานวิจัย และความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เราอยากจะบอกว่า หนังสือของคุณบิลลี่คือข้อมูลเดียวที่เราเอามาใช้จริง แต่เราก็เอามาแค่วิธีการรักษา รวมถึงมุมมองความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ทำให้คนอ่านเชื่อว่า อะไรถึงทำให้คนไข้กลุ่มนี้มองว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น มันไม่ผิดปกติ ซึ่งเราจะยกกรณีที่เราเอามาใช้ ก็เช่น การออกมายืนอยู่บนเวที หมายถึงการควบคุมจิตวิญญาณ (ของคุณบิลลี่จะเห็นเป็นเวทีเล็กๆ มีสปอร์ตไลท์ส่องลงมา) การอธิบายเรื่องการปั่นผลไม้ สื่อถึงการหลอมรวม (ของคุณบิลลี่จะอธิบายถึงน้ำที่ถูกนำมาเทรวมกัน) เวลาที่หายไป ตรงที่ป้าเข็มบ่นว่าทำไมเวลามันหายไปหมด เราก็อ้างอิงมาจากหนังสือของคุณบิลลี่ (จริงๆ ทั้งหมดที่เราพูดมา เราเคย Talk ไปหมดแล้วนะเนี่ย แต่หลายคนอาจจะไม่ได้อ่าน Talk เราก็ได้เนอะ เอาเป็นว่าเราออกมาพูดอย่างบริสุทธิ์ใจละกันค่ะ T_T)
และความจริงแล้ว ปมไฟไหม้ เราวางแผนเอาไว้สองทาง คือทางแรกแม่ฆ่าตัวตาย ซึ่งคดีมันจะพลิกผันไปเลยว่า แม่ไม่เคยรักจันทร์ และไม่ต้องการจันทร์ เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านั้น แม่เคยคิดที่จะทำแท้งมาก่อน
ส่วนอีกทางนึงคือทางที่เรานำมาใช้จริง คือจิมเล่นไม้ขีดจนไฟไหม้ สื่อให้เห็นว่า แม่รักจันทร์นะ และมันคืออุบัติเหตุ
ปล. 3 บ่นยาวมากจริงๆ แต่อ่านกันเถอะนะ แล้วตอนอื่นๆ เราบ่นอะไรไม่ต้องสนใจก็ได้ 555 เพราะเราถือว่าเราเคลียร์จบในตอนนี้แล้ว และสุดท้ายนี้ ลองไปดูซีรีย์เรื่องที่เราพูดถึงได้เลยค่ะ สนุกดีนะ และดูเหมือนจะทำออกมาตรงกับความเป็นจริงมากกว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ DID เลยมั้ง 55