B20 **** The End****
เช้าอีกวันแล้วที่ผมต้องตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากจะตื่น ผมไม่อยากไปรร. ผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้นแค่เพราะผมทำใจไม่ได้นี่แหละ จากที่คิดว่าจะต้องตัดใจจากมันให้ได้แต่กลายเป็นว่าผมยิ่งนึกถึงแต่มันมากขึ้นเรื่อยๆจนทุกวันนี้ผมไม่อยากไปเห็นมันด้วยซ้ำ
ทุกเช้าที่เข้าแถว ทุกเที่ยงที่โรงอาหาร ทุกเย็นที่มันเคยมาดูผมซ้อมบอลแต่หลังจากนี้ผมคงได้แต่หลบหน้ามันเพราะว่าถ้าผมต้องเห็นมันผมอาจจะทนไม่ได้และวิ่งเข้าไปขอร้องให้มันรักผมและเลือกผมเหมือนเดิม แต่มันก็คงเท่านั้นเพราะมันเลือกไอ้ทักไปแล้ว ผมหมดหวังทุกอย่างซึ่งก็สมควรแล้ว
" ใกล้สอบแล้วใข่มั๊ยลูก หือ..." อาวดีเอ่ยถามตอนนั่งกินข้าวเช้าแล้วมองหน้าผมเหมือนจับสังเกตอะไรอยู่
" เอ่อ... ครับ อีกสองอาทิตย์ครับ"
" จ้ะ... อาลองถามดูน่ะ เห็นช่วงนี้เราดูซึมๆไปนะ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าล่ะ"
" ก็ไม่มีอะไรหรอกครับอา เอ้อ... งั้นเดี๋ยวผมรีบไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวสาย... " ผมรีบตัดบททันทีแล้วไหว้ลาอาวดีจากนั้นก็วิ่งออกมาที่รถ เรื่องนี้ผมอยากปิดอาวดีไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้เค้าไม่สบายใจ ไว้อีกสักหน่อยผมค่อยบอกละกัน
ไปถึงรร.ก็เกือบเข้าแถวแล้ว ผมพยายามเดินไปที่แถวตามองตรงไปเลยไม่มองไปทางไหนทั้งนั้น ไม่งั้นผมก็ต้องเห็นมันเข้าแถวอยู่กับเพื่อนๆมัน
และผมไม่อยากต้องไปเห็นว่ามันอยู่กับไอ้ทัก เป็นยังงี้มาตลอดเป็นเดือนแล้วที่ผมต้องทนแบบนี้ทุกครั้งที่มารร.
ทุกๆเย็นผมก็จะทุ่มเทซ้อมบอลอย่างหนักเพราะผมรู้สึกว่าการที่เราได้ทุ่มเททำอะไรไปมันก็พอจะช่วยให้ผมคิดถึงมันน้อยลงไปได้บ้าง แค่ช่วงเวลานึงก็ยังดี เพราะผมบอกตรงๆว่าผมเหนื่อยมากที่ต้องทนแบบนี้ ไม่นึกว่าการจะตัดใจจากใครสักคนที่รักจริงๆมันจะยากได้ขนาดนี้แต่ผมก็คงต้องทำให้ได้ เพราะผมไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว
-
-
วันนี้วันเสาร์ผมตัดสินใจนัดเจอไอ้ป่านไอ้วินไอ้โด่งให้มันมาหาที่บ้านผมเพราะผมจะได้บอกพวกมันเรื่องการตัดสินใจของผม
" เฮ้ย... กูมีเรื่องต้องบอกพวกมึงว่ะ"
" อะไรวะเฮ้ย... นี่แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญดิ ถึงเรียกพวกกูมาชุมนุมกันเนี่ย" ไอ้โด่งถามผม
" เออดิ... คือว่าหลังจากเทอมหน้าเนี่ย กูคงต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯแล้วล่ะว่ะ...." ผมพูดไปก็ยังไม่ทันจะจบดีหรอก
" หา... อะไรนะ มึงจะไปเรียนต่อในกรุงเทพเลยเหรอ" ไอ้วินตะโกนลั่นขึ้นมาก่อน
" เออ... เชี่ยอะไรกันวะ นี่นึกยังไงของมึงเนี่ย" ตามด้วยไอ้ป่าน
" ใช่... เรียนอยู่นี่ก็ดีแล้วมึงจะไปต่อที่อื่นทำไมวะ ให้มันจบม.6ที่นี่ก่อนดิแล้วค่อยไปต่อมหา'ลัยที่กรุงเทพนู่น หรือว่าช้ำใจจนทนอยู่นี่ไม่ได้ นี่มึงเป็นเอามากนะเนี่ย" ตามด้วยไอ้โด่ง ไอ้เวรนี่สาธยายยาวเลยครับ
" ไม่ใช่เว้ย... ลุงวัฒน์เค้ามาขอตัวกูกับพ่อกูแล้วไง เค้าอยากให้กูไปเรียนต่อที่โน่นเพราะมันเป็นโควต้าอ่ะ จบแล้วก็ต่อจุฬาฯได้เลยว่ะ ไม่ต้องสอบ"
" เหรอวะ เออ... มันก็ดีนี่หว่า แต่ก็น่าเสียดายว่ะ มึงไปอยู่ตั้งกรุงเทพฯ ยังงี้ก็เจอกันยากดิวะ" ไอ้ป่านบ่นแล้วส่ายหน้า
" มันก็ใช่... เจอกันยากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วซะหน่อย มึงอย่ามาทำเป็นดราม่าน่ะ แล้วกูจะกลับมานี่บ่อยๆละกัน" ผมให้สัญญาไปพวกมันก็เริ่มยิ้มออก
" เออ... มึงไม่ต้องห่วงหรอก มาคิดอีกทีมึงก็ตัดสินใจถูกแล้วล่ะ ทุกอย่างทำไปก็เพื่ออนาคตมึงเองทั้งนั้น ดีแล้วว่ะ พวกกูซะอีก ยังไม่รู้อนาคตตัวเองเล้ย" ไอ้วินบ่นออกมาบ้าง
" นั่นดิ... กูเองคงเรียนต่อจนจบแล้วถ้าโชคดีกูคงขอพ่อกูไปเรียนต่อกรุงเทพฯเหมือนมึงว่ะ แต่ไม่รู้จะแอดมิสฯได้รึเปล่าอ่ะนะ" ไอ้โด่งว่าแล้วก็เอนนอนลงไปบนเตียงผม
" เอาน่า... พวกมึงจะกลัวอะไรวะ พวกเราก็ยังพอมีเวลาตัดสินใจกันอีกนี่หว่า เหลืออีกตั้งปี เข้าม.ของรัฐไม่ได้ก็เอกชนสิวะ จะกลัวทำไม"
" ถูก... ฮ่าๆ งั้นตกลงมึงไปก่อน แล้วพวกกูจะตามไปทีหลัง โอเคนะเว้ย" ไอ้วินยิ้มแล้วยื่นมือมาจะให้ผมจับ ไอ้ป่านก็เอาตาม ส่วนไอ้โด่งก็รีบลุกพรวดขึ้นมาจับมือด้วย ผมก็ยิ้มแล้วยื่นมือไปจับรวมกับพวกมัน
" โอเคเว้ย สัญญาลูกผู้ชาย พวกเราจะไปเจอกันที่กรุงเทพฯให้ได้เว้ย ฮ่าๆๆ" นั่นเป็นคำสัญญาที่พวกเราให้กันไว้ อีกแค่หนึ่งปีจากนี้พวกเราคงได้มีโอกาสไปเจอกันที่กรุงเทพฯได้ถ้าไม่มีปัญหาอะไรซะก่อน ผมหวังยังงั้นนะ
-
-
วันรุ่งขึ้นผมรีบมาหาเฮียเจ้าของร้านอุปกรณ์กล้องแต่เช้าเลยครับ เพราะวันนี้แล้วที่เค้าจะประกาศผลของงานประกวดภาพถ่ายที่ผมส่งไปประกวด
" เอ้อ... ดีๆ มาพอดี กำลังรออยู่เลย ยินดีด้วยเว้ย มาๆ มาดูผลงานตัวเองเลยมา" เฮียแกรีบกวักมือเรียกผมทันที พลางยื่นหนังสือนิตยสารเกี่ยวกับกล้องเปิดหน้านึงมาให้ผมดู
" เฮ่ย... เฮีย.... นี่มัน.... " ผมช๊อคทันที เพราะที่ผมเห็นคือ ผลงานของผมแต่คำบรรยายในนั้นบอกว่าเป็นผลงานรางวัลชนะเลิศอันดับสาม
ผมนิ่งอึ้งไปเพราะนึกไม่ถึง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง นี่ผมได้ที่สามเลยเหรอ
" อึ้งเลยดิ อึ้ง... ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้ว รับรองว่าเอ็งน่ะต้องได้สักรางวัลแน่ๆอยู่แล้ว เป็นไงล่ะ ได้ซะที่สามเลย ทีนี้ก็เตรียมตัวซะให้ดีๆ เค้าต้องให้เอ็งเข้าไปรับรางวัลที่กรุงเทพโน่นล่ะ แล้วก็ได้ติดผลงานที่พารากอนด้วย ดังแน่ๆเว้ยงานนี้ ฮ่าๆๆ" เฮียแกยิ่งหัวเราะชอบใจ แต่ผมดิยังอึ้งๆอยู่ สับสนอยู่ว่านี่มันจริงหรือฝันวะ ผมเนี่ยนะ ได้ที่สาม
" โอเคครับเฮีย ผมขอบคุณเฮียมากๆเลยที่ช่วยเป็นธุระให้ผมตลอดเลยอ่ะ ไม่งั้นผมคงไม่ได้รางวัลหรอก"
" เออ... ไม่ต้องมาขอบใจอะไรหรอก เห็นงานเจ๋งๆแบบของเอ็งแล้วเฮียอดไม่ได้ว่ะ ต้องสนับสนุน เอ้อ... นั่นน่ะ เอาไปอ่านซะ บทวิจารณ์ผลงานเอ็งน่ะ ดูซิว่าเค้าเขียนว่าไง" เฮียบอกแล้วก็ยื่นหนังสือที่เปิดหน้าคอลัมน์นั้นมาให้ผม ผมก็รับมาแล้วไหว้ขอบคุณแกก่อนจะออกมาขึ้นรถขับกลับไปบ้าน
พอผมกลับไปเปิดอ่านบทวิจารณ์อันนั้นที่บ้านผมก็ยิ่งต้องอึ้ง พี่ตากล้องชื่อดังคนนึงที่เป็นกรรมการเค้าเขียนชมเอาไว้ว่า เค้าชอบรูปผมมากเพราะอารมณ์ของภาพนั้นเหมือนสะกดใจเค้าได้ ไม่ว่าจะสายตาหรือรอยยิ้มของคนในภาพยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีชีวิตจริงๆทั้งๆที่เป็นแค่ภาพขาวดำ แสดงถึงความสามารถของช่างภาพที่ตั้งใจจับอารมณ์ของบุคคลในภาพนี้เอาไว้ได้แทบจะเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ และยิ่งประทับใจมากที่ได้รู้ว่าช่างภาพอายุแค่สิบเจ็ดเท่านั้นเอง
อ่านถึงตรงนี้แล้วผมบอกไม่ถูกอ่ะ ทั้งปลื้มใจภูมิใจสารพัดที่เค้าชมผมซะขนาดนี้ แต่แล้วมันก็ทำให้ผมต้องนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่เขื่อนกับมันจนได้ รูปนี้ผมก็แค่ตั้งใจถ่ายไว้เล่นๆไม่ได้จริงจังอะไรเลย แต่ผมน่ะจำความรู้สึกเมื่อมองมันผ่านเลนส์ได้อย่างไม่มีวันลืม และก็คงจะตอนนั้นเองล่ะมั๊งที่ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าผมรักมันมากจริงๆ
เพราะงั้นรูปนั้นผมก็ไม่แปลกใจที่มันจะสื่ออารมณ์ออกมาได้มากยังงั้น ถ้าจะพูดว่าผมสร้างมันออกมาด้วยใจผมเองก็คงไม่เว่อร์เกินไปหรอกเพราะผมรู้สึกยังงั้นจริงๆ แต่ถ้าตอนนี้ฮิ้นท์มันมาเห็นรูปนี้มันจะว่ายังไงบ้างนะ
นั่นดิมันจะว่าไงล่ะ ที่ผมเอารูปมันไปลงประกวดนี่ผมก็ไม่ได้บอกมันเลยนี่หว่า ซวยล่ะสิกู เฮ้อ... มันจะโกรธผมมั๊ยนะ ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้ตั้งที่สาม ตอนแรกผมก็หวังนิดๆแค่ขอให้ได้ไปติดบอร์ดเป็นหนึ่งในผลงานที่เข้าประกวดในงานที่พารากอนก็แค่นั้นเอง ผมอยากให้มีคนอื่นๆทั่วไปได้เห็นผลงานของผมบ้าง อยากได้ฟังความคิดความรู้สึกของคนอื่นๆที่ได้ดูรูปผมว่าเค้าคิดยังไงก็แค่นั้นล่ะ
ถ้างั้นผมก็คงต้องปิดเรื่องนี้ไว้ก่อนละกัน คงยังไม่บอกใครดีกว่าเพราะไม่งั้นก็ต้องรู้ถึงหูไอ้ฮิ้นท์มันด้วยแน่ๆ ไว้แล้วผมจะไปบอกมันเองละกัน มันคงไม่โกรธผมอะไรมากมายหรอกมั๊ง หวังว่านะ
แต่คิดอีกทีบอกพวกไอ้ป่านไอ้วินหน่อยก็ได้ ไม่งั้นมันจะหาว่าไม่บอกมัน ไอ้เวรพวกนี้มันจะชอบน้อยใจครับเวลาผมทำอะไรแล้วไม่บอกมัน มันจะหาว่าผมไม่เห็นความสำคัญ น่าถีบจริงๆ
-
-
ช่วงนี้เป็นช่วงสอบที่ผมเองก็ไม่มีกะใจสักเท่าไหร่ อ่านหนังสือไปก็งั้นๆไม่ค่อยเข้าสมองเพราะมัวนึกถึงแต่เรื่องมันตลอด แบบนี้ผลสอบที่ออกมาจะเป็นไงผมว่าผมคงรู้แล้วล่ะ
" เย่ส.... เสร็จซะทีเว้ยวิชาสุดท้าย เดี๋ยวต้องไปฉลองกันเว้ยพวกเรา" ไอ้ป่านชวนผมกะไอ้วินทันทีที่ออกจากห้องสอบกัน
" แหมๆ จะรีบไปฉลองกันเลยนะยะ เก็บกดมากนักเหรอพวกแกน่ะ" แหวนขัดขึ้นมาเพราะหมั่นไส้ไอ้ป่าน
" อ่ะ แน่นอนครับ คร่ำเคร่งกันมาเป็นอาทิตย์ๆแล้วอ่ะ ยังงี้มันต้องไปปลดปล่อยซะหน่อย เนอะๆ" เอาอีกละครับ มันหันไปเนอะๆกับไอ้วินที่รอรับมุขอยู่เหมือนเคย
" เออ... เดี๋ยวไปแดกหมูกระทะดีกว่าเว้ย แชร์กันเหมือนเดิม โอเคป่ะ" ไอ้วินเสนอ
" ก็ดี แต่เออ... เดี๋ยวกูมาว่ะ ขอไปหาอ.สุพจน์แป๊บนึง" ผมบอกมันสองคนแล้วก็เดินไปที่ห้องศิลปะ อ.สุพจน์เค้านั่งทำงานอยู่พอดีผมก็เข้าไปไหว้แก
" อ้อ... นายบุญณรงค์ มาหาครูมีอะไรเหรอ หือ..." อ.สุพจน์ขยับแว่นมองหน้าผม
" คือผมอยากมาบอกลาอาจารย์น่ะครับ แล้วก็อยากขอบคุณคำสอนคำแนะนำทุกๆอย่างที่อาจารย์สอนผมน่ะครับ"
" อ้าว... ยังไงกันหือ... จะลาไปไหนล่ะเรา" อ.สุพจน์ดูตกใจเล็กน้อยที่ได้ฟังผมว่า
" คือตอนนี้พ่อผมเค้าอยากให้ผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯน่ะครับ พอดีว่าผมได้ทุนที่รร.นึงที่นั่นแล้วก็ได้โควต้าที่จะไปต่อที่จุฬาด้วยครับ"
" อ้อ... เหรอ อืม... มันก็ดีนะครูว่า แต่ครูก็เสียดายเหมือนกันนะที่เธอต้องไปเรียนที่อื่นซะแล้ว ถ้างั้นครูขอให้เราโชคดีละกัน ไปอยู่ทางโน้นก็ตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ ครูเชื่อว่าอย่างเธอน่ะอนาคตดีแน่ๆ" อ.สุพจน์ถอดแว่นออกแล้วอวยพรผม รอยยิ้มของเค้าดูอบอุ่นเหมือนเคยจนผมต้องยกมือไหว้แกด้วยความตื้นตัน
" ขอบพระคุณมากนะครับ ต่อไปผมรับรองว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีเลยครับอาจารย์" ผมก้มกราบอ.สุพจน์อีกครั้ง เค้าก็ลูบหัวผมเบาๆ
" ดีมาก... ครูเชื่ออยู่แล้วว่าเธอจะต้องทำได้ ก็ขอให้เธอโชคดีแล้วกันนะ" อ.สุพจน์กล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะไหว้ลาแกออกมา เป็นความรู้สึกดีๆที่ผมได้รับและมันทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาอีกมาก ว่าต่อไปนี้ผมจะต้องเดินต่อไปเพื่ออนาคตของผมเอง มีอะไรมากมายรอผมอยู่และผมจะต้องทำให้ได้
-
-
ตอนนี้พวกเรามีผม ไอ้ป่าน ไอ้วินพากันมาที่ร้านหมูกระทะเพื่อฉลอง ส่วนแหวนพอโดนไอ้วินไอ้ป่านแซวมากๆเข้าก็งอนไปกับเพื่อนอีกกลุ่มซะงั้น เหลือแค่ผมกับไอ้วินไอ้ป่านสามคนแต่พอมาถึงที่ร้านผมก็ต้องชะงักเพราะเห็นคนบางคนมานั่งกินกันอยู่ก่อนแล้ว มีไอ้ฮิ้นท์มันมากับวิวแจง แต่แปลกที่ไม่เห็นไอ้ทักมาด้วย
" เฮ้ย... แม่ง... โลกไหงมันกลมจังวะ แถวนี้มีอีกตั้งสองสามร้านยังมาเจ๊อะกันได้อ่ะ" ไอ้วินเอ่ยขึ้นมาก่อน นั่นดินะ มันจะบังเอิญไปมั๊ยเนี่ย
" เออ... งั้นกูว่าไปร้านข้างๆนี่แทนละกันนะ" ผมว่าแล้วก็หันหลังเดินออกจากร้านทันที มันสองคนก็ตามผมมาติดๆ
" เฮ้อ... กูว่ามึงทำแบบนี้ไปมันก็ไม่เข้าท่านะเว้ย จะต้องไปหลบหน้ามันทำไมวะ"
" กูก็ไม่ได้อยากหรอกนะเว้ย แต่กูมันอ่อนแอเองว่ะ กูเห็นมันแบบนี้แล้วกูคงทนไม่ได้แน่ๆว่ะเพราะงั้นก็ขอเวลากูหน่อยเหอะ กูจะพยายามทำใจให้ได้คงไม่นานมากหรอกว่ะ" ผมหลับตาแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างท้อๆ ก็นั่นสินะผมไม่ควรหลบหน้ามันแบบนี้จริงๆนั่นแหละ แต่ผมเองก็ทนไม่ได้เหมือนกันถ้าต้องเผชิญหน้ากับมันตอนนี้
" เออ... พวกกูเข้าใจ อย่าเศร้าไปเว้ย ยิ้มไว้สิวะ วันนี้พวกเราจบม.5กันแล้วนะเว้ย มันต้องร่าเริงไว้" ไอ้ป่านตบบ่าผมเบาๆปลอบใจผม จากนั้นพวกมันก็กอดคอผมแล้วพาเดินไปอีกร้านนึง
เราสั่งของมานั่งกินกันไปคุยกันไปเรื่อย พวกมันก็พยายามชวนผมคุยไปเพราะไม่อยากให้ผมกร่อยส่วนผมเองก็พยายามทำใจให้มันเบิกบานเพราะจากวันนี้ไปผมก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว จบจากที่นี่ไปผมก็จะไปเริ่มชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯโน่น เพียงแต่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำใจให้ลืมมันได้รึเปล่า
-
-
ตอนนี้ข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ของผมถูกเก็บลงกระเป๋าและเป้เรียบร้อยแล้ว ตามหมายกำหนดการที่ผมวางไว้นั้นทุกๆอย่างมันก็โอเคดี คืนนี้ผมจะไปขึ้นรถบขส.เข้ากรุงเทพ จากนั้นอีกสองอาทิตย์ผมก็จะต้องไปรับรางวัลที่งานนิทรรศการภาพถ่ายที่พารากอนและชีวิตใหม่ของผมจะเริ่มที่นั่น รร.ใหม่ เพื่อนใหม่และสังคมที่เปลี่ยนไปกำลังรอผมอยู่
แต่สิ่งสุดท้ายที่ผมจำเป็นต้องทำก่อนจะไปก็คือ ผมอยากให้ฮิ้นท์มันได้รู้ความในใจทั้งหมดของผมและคงไม่มีอะไรดีไปกว่าบอกมันด้วยไดอารี่เล่มนี้ของผมแล้วล่ะ ทุกๆภาพและทุกๆคำบรรยายที่มาจากใจผมคงบอกมันได้ดีแม้ว่ามันจะสายไปแล้วก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมว่ามันคงเข้าใจผมได้ซะที กับทุกอย่างที่ผ่านมาที่ผมเคยทำให้มันต้องเสียใจมันเป็นเพราะอะไร และผมหวังว่าถ้ามันได้รับรู้มันจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง
ขณะนี้ผมมาอยู่หน้าบ้านมันแล้ว บ้านเงียบมากคงเพราะดูทีวีกันอยู่หรือไม่ก็นอนกันไปแล้ว ถ้างั้นผมคงแค่เอาไดอารี่ของผมวางไว้ตรงบันไดบ้านมันนี่แล้วกัน พรุ่งนี้เช้ามันคงมาเห็นเองแหละ
ตอนเดินออกมาผมยืนมองบ้านมันอีกครั้ง คงเป็นครั้งสุดท้ายล่ะมั๊งเพราะต่อไปผมอาจจะไม่ได้มานี่อีกแล้วก็ได้ นึกถึงตอนนั้นที่ผมกับมันนอนค้างด้วยกันและคืนสุดท้ายที่ผมได้นอนกอดมันไว้ แต่ เฮ้อ... ช่างเถอะว่ะ ยังไงผมก็ต้องทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่อยู่แล้ว ถึงตอนนี้คิดเสียดายไปก็เท่านั้น
ผมขับมอไซค์กลับมาบ้านแล้วขึ้นไปเอาของทั้งหมดลงมา พ่อผมบอกว่าเดี๋ยวจะขับรถไปส่งที่สถานีรถเอง อาวดีก็เอาของกินใส่ถุงยื่นให้ผมเอาไปกินระหว่างทาง
" ไปดีๆนะลูก ถึงแล้วก็โทรมานะ" อาวดีบอกเสียงสั่นๆแล้วก็กอดผม จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยต้องจากบ้านไปไหนนานๆแบบนี้เลย อาวดีเค้าก็คงไม่อยากให้ผมไปหรอก
" ครับ แล้วผมจะกลับมาบ่อยๆนะครับ อาไม่ต้องห่วงผมนะ ผมจะดูแลตัวเองดีๆ"
" จ้ะลูก... ดูแลตัวเองดีๆนะครับ" อาวดีกอดผมอีก แต่ผมเองไม่อยากให้บรรยากาศเศร้าไปกว่านี้แล้วเลยเดินตามพ่อออกไปที่รถเลย
พ่อขับพาผมมาส่งที่สถานีแล้วกำชับว่าให้ผมทำตัวดีๆเชื่อฟังลุงวัฒน์เค้าเพราะเราต้องไปอยู่กับเค้าอีกนานมาก ก็อีกเป็นปีๆนั่นแหละที่ผมคงต้องไปอยู่กับลุงเค้าตลอดจนเรียนจบโน่นเลย แต่ผมก็เบาใจเพราะลุงวัฒน์เค้าใจดีกับผมมาก รักผมซะยังกะลูกเค้าอีกคนเลยล่ะ
หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีกแต่ผมรู้ดีว่าพ่อก็คงใจหายมากเหมือนกันที่ผมต้องจากไป และคงอีกนานกว่าจะได้เจอกันเพียงแต่ว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมรู้สึกห่วงเลยไม่แสดงอาการอะไรออกมา
รถที่ผมนั่งออกจากสถานีไปแล้วผมได้แต่มองพ่อที่ยังยืนส่งผมห่างออกไปทุกทีๆจนลับตาไป นาทีนั้นผมรู้ได้ทันทีว่าชีวิตผมกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ต่อไปผมคงต้องไปเจออะไรใหม่ๆที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะดีหรือร้ายยังไงมั่ง ก็คงต้องลุ้นกันไปล่ะนะ
-
-