• •* หาคู่*• •วันที่3สังคมของมนุษย์วุ่นวายกว่าที่คิดมาก...ในวันแรกที่เจอทั้งกลิ่นของอาหารปนเปกันจนแสบจมูก ทั้งเสียงตะโกนพูดคุยกันแต่นั่นเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ไม่ยากแค่ใส่หน้ากากอนามัยกับหูฟังก็เป็นอันใช้ได้ไม่เหมือนกันเหตุการณ์ที่ต้องมาเผชิญอยู่ตอนนี้...
“พี่อานโน่คะ...พี่คบกับหนูได้ไหมคะ?”เสียงหวานจากเด็กสาวรุ่นน้องพูดด้วยใบหนน้าที่แดงก่ำ
คนถูกถามอย่างผมถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอแบบนี้...ก่อนหน้านี้ผมก็เข้าเรียนคลาสปกติแต่พอออกมาก็เจอกับเด็กสาวคนหนึ่งดักรออยู่พร้อมขอเวลาสักแป๊บซึ่งผมก็ยินดีเพราะสังคมของมนุษย์นั้นการขอความช่วยเหลือกันเป็นเรื่องปกติแม้ว่าคำขอของเธอจะทำให้ผมถึงกับเครียดก็ตาม
มาเรียนได้ไม่กี่วันก็มีคนมาสารภาพรักซะแล้ว
จะดีใจหรือเสียใจดีนะ
ก่อนมานี่แม่ก็ย้ำเรื่องพวกนี้แล้วว่ามนุษย์นั้นส่วนมากมักชอบมีความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยแบบนี้...ไม่มีการเข้ามาทำความรู้จักหรือพูดคุยกันมาก่อน
ไม่มีแม้แสดงออกถึงตัวตนของตัวเอง
ทั้งแบบนั้นก็ยังกล้ามาสารภาพรัก
ต่างกับไดโนเสาร์อย่างพวกเรา จริงอยู่ว่าจะมีช่วงผสมพันธุ์แต่เรื่องคู่ครองเป็นสิ่งที่เลือกไว้ก่อนแล้ว ตัวเมียบางตัวอาจมีตัวผู้หลายตัวแย่งจนเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงใครที่เก่งกว่าก็ได้ตัวที่หมายตาไปครอบครอง
ในความรู้สึกผมเด็กสาวตรงหน้าคงมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้มองถึงภายใน...การคบคนที่ดูดีอาจทำให้พวกเธอมีความสุขเพียงชั่วครู่แต่ถ้าคบกันไปนานๆสิ่งที่ไม่ดีก็จะปรากฏขึ้นจนสุดท้ายก็จะแยกกันไปตามทาง
“ขอบคุณในความรู้สึกนะ...แต่คงต้องขอปฏิเสธ”ผมพยายามอย่างมากในการคิดคำพูด ต้องพูดยังไงไม่ให้อีกฝ่ายเสียใจมากเกินไป...เห็นว่าจิตใจมนุษย์นั้นอ่อนแอมากถ้าบอกไปตรงๆคงได้ร้องไห้
“ทำไมล่ะคะ?”เธอถามเสียงสั่น
“เรายังไม่รู้จักกันมากพอและพี่ก็ไม่ได้มองเธอในแง่นั้น”จริงอยู่ที่เด็กสาวตรงหน้าสวยมากและผมก็มีสิทธิ์ที่จะคบกับเธอแต่ความรู้สึกมันยังไม่ใช่
การเลือกคนรักก็ยากพอๆกับการหาคู่หูล่ะนะ
“ฮึก...ทำไมใครๆก็ต้องปฏิเสธหนูทั้งที่มีแต่คนบอกว่าหนูสวย...ทั้งที่สวยและน่ารักขนาดนี้แต่ทั้งพี่และพี่เชสก็ปฏิเสธหนูกันหมด...ฮึก...”เด็กสาวตรงหน้าปล่อยโฮออกมาพร้อมทรุดตัวลงกับพื้นดิน
เชสเหรอ?
แปลว่าเธอเคยสารภาพกับเชส?
“สักวันเธอจะเจอกับคนที่พร้อมจะตอบรับความรู้สึกและพร้อมจะดูแลเธอ”ผมให้กำลังใจไป
การที่เด็กสาวตรงหน้ากล้าที่จะสารภาพกับเจ้ามนุษย์น้ำแข็งนั่นก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว...ถ้าผมเป็นผู้หญิงเชสจะเป็นคนสุดท้ายที่คิดจะสารภาพเพราะเปอร์เซ็นที่จะได้นั้นมันต่ำมาก ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยพูดจาแต่ยังไม่ชอบเกี่ยวข้องกับใครด้วย
นั่นเป็นภาพลักษณ์ที่หมอนั่นแสดงออกมาเพื่อกั้นคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้ตัวเอง...เพราะทำเป็นประจำเลยพานให้นิสัยจริงค่อยๆกลายเป็นแบบนั้นไปด้วยทั้งที่ความจริงเขาออกจะเป็นคนที่ใจดีขนาดนั้น
ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ยอมโดนสัตว์ป่ากัดเพื่อจะรักษาพวกมันหรอกส่วนมากมีแต่จะใช้ยาสลบที่มีผลข้างเคียงทำให้มึนงง
ผมเดินออกมาปล่อยให้เด็กสาวที่สารภาพรักตนร้องไห้อยู่คนเดียว...ยิ่งเข้าไปปลอบก็ยิ่งทำให้เศร้ามากขึ้นเปล่าๆ
ระหว่างทางเดินกลับหอพักร่างของผมก็เซเล็กน้อยเพราะรู้สึกปวดหัวเล็กๆ...ร่างกายเหมือนยังไม่สามารถปรับสภาพให้ชินกับสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ทั้งที่มาอยู่เกือบเดือนแล้ว
ความวุ่นวาย เสียง กลิ่นหรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยสำหรับคนปกติคงไม่มีปัญหาแต่สำหรับผมที่มีประสาททั้งห้าดีกว่าคนปกติอยู่หลายร้อยเท่าทำให้เสียงเล็กน้อยดังลั่นเข้ามาในหู ไม่ต้องพูดถึงเสียงเพลงที่เปิดตามสายเวลาพักหรือเลิกเรียนเลยแค่หูฟังเอาไม่อยู่จริงๆ
ผมก้าวไปตามทางไปยังสถานที่เดียวที่ทำให้รู้สึกสงบและไม่มีเสียงวุ่นวายเข้ามารบกวน...สถานที่ที่ค้นพบด้วยความบังเอิญเมื่อแอบตามชายคนหนึ่งเข้าป่าไป ใช้เวลาสักพักผมก็มาหยุดอยู่ในป่าด้านหลังหอพักของตัวเอง
ที่นี่ไม่มีเสียงรบกวนที่วุ่นวาย
ไม่มีกลิ่นผสมปนเปกันจนแสบจมูก
คงเป็นเพราะหอพักนี่อยู่ด้านหลังสุดของมหาวิทยาลัยทำให้มีความเงียบสงบมากที่สุดก็ได้
พอเดินมาถึงผมก็พิงหลังเข้ากับต้นไม้แล้วนั่งลงพร้อมหลับตาเพื่อซึมซับบรรยากาศของธรรมชาติรอบๆกาย...สายลมอ่อนๆกับเสียงพูดคุยของนกตัวเล็กๆเรียกรอยยิ้มของผมขึ้นมาก่อนรอยยิ้มนั้นจะหุบลงอย่างรวดเร็วๆเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าและกลิ่นของคนที่คุ้นเคยกำลังเดินตรงมาทางนี้
“เชส...วันนี้มาเร็วนะ”กลิ่นของมนุษย์ที่หอมกว่าคนอื่นที่เคยได้กลิ่นทำให้รู้สึกสบายจนไม่อยากลืมตาขึ้นเลยทำแค่หันไปหาตามเสียงฝีเท้าแล้วเอ่ยทักทายทั้งๆแบบนั้น
“รู้ด้วย?”เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ...ไหล่ของเรากระทบกันเล็กน้อยเป็นปกติเหมือนทุกๆครั้งที่เจอกัน
“อืม...บอกแล้วไงว่ากลิ่นของนายฉันชอบ”ผมพูดทั้งๆที่ไม่ลืมตา
“จีบฉันรึไง?”อีกฝ่ายถามต่อ
“ได้ไหมล่ะ?”ผมปรือตาขึ้นมองดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นอย่างหลงใหล
ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงรู้สึกสนใจคนตรงหน้าขนาดนี้...ช่วงเวลาที่ได้เจอกันแม้จะไม่นานคำพูดที่คุยกันก็ถามคำตอบคำอย่างที่เห็น ทั้งที่เป็นแบบนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจริงๆของผมออกมาได้ทุกครั้ง
“หึ...”
“อะไรล่ะ?...แปลว่ายอมให้จีบเหรอ?”ผมยังแหย่ต่อไป
“นอนไปเถอะ”คนข้างกายตอบพรางหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาเปิด
“...นายเรียนแพทย์เหรอ?”
“เปล่า”เสียงทุ้มตอบกลับมาทันที
“แต่หนังสือที่อ่านมันเป็นเรื่องการผ่าตัดนี่”ผมมองไปยังปกหนังสือในมือเชส
“ก็ใช่”
“งั้นยังไงล่ะ?”
“...”
“เงียบอีกล่ะ”ผมแกล้งทำเสียงไม่พอใจที่ไม่ได้คำตอบ ก็ถ้าทำแบบนี้อีกเดี๋ยวก็จะได้รับคำตอบที่ต้องการออกมาจากอีกฝ่ายแน่
“ฉันเรียนบริหาร...แค่อ่านเล่นเท่านั้น”
เห็นไหมล่ะ?
คนเย็นชาเหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง ทั้งหยิ่ง ทั้งไม่น่าคบในสายตาคนอื่นแต่พอถูกผมแกล้งทำเสียงไม่พอใจก็ยอมหมด...
อ่อนโยนขนาดนี้
จะให้ผมเกลียดลงได้ยังไงล่ะจริงไหม
แม้เหตุผลนั่นจะไม่จริงก็ตามที
“...โกหก”ผมพึมพำก่อนจะเอียงหัวไปพิงไหล่เชส
“ทีนายล่ะ?”เชสย้อน เขาคงหมายถึงคำพูดหลายๆอย่างของผมที่บอกไม่หมดนั่นแหละ
จะให้บอกเรื่องเกี่ยวกับไดโนเสาร์ได้ยังไงกัน
“เอาคืนรึไง?”
“แล้วแต่จะคิด”พอพูดจบพวกเราก็ทำหน้าตึงใส่กัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมาทอประกายอย่างขบขันก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นพร้อมๆกัน
เชสเป็นมนุษย์ที่พิเศษ
พิเศษที่ว่าคือในแง่ของความสามารถในการรับรู้และสังเกต
เขารู้ได้เหมือนที่ผมรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปคือความจริงหรือคำโกหก
แม้จะรู้ว่าโกหกก็ไม่มีทีท่าว่าจะถามอะไรต่อเหมือนอย่างที่ผมไม่คิดจะถามเขากลับเช่นกัน...ช่องว่างของเรามันห่างมากการที่จะให้บอกความจริงทุกอย่างมันไม่มีทางเป็นไปได้
เหมือนเราต่างรู้ในจุดนี้จึงไม่เอ่ยถามซอกแซกให้ลำบากใจ
“นอนแบบนี้ได้ไหม?”ผมเปลี่ยนเรื่องพรางขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆตามธรรมชาติทำให้รู้สึกดีจริงๆถ้ามีเชสอยู่ตอนที่ไปโรงอาหารก็ดีสิ
“ตามใจ”
คำตอบนั่นถือเป็นคำอนุญาตผมเลยจัดการพลิกตัวให้นอนได้ถนัดโดยใช้ไหล่ของเจ้าชายน้ำแข็งเป็นหมอน...การสัมผัสเนื้อต้องตัวกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่กระดากใจเพราะถูกแม่สอนมาตั้งแต่เด็กด้วยวัฒนธรรมที่ต่างกันทำให้ต้องใช้ความเข้าใจมาก
บางที่การแตะเนื้อต้องตัวเป็นเรื่องธรรมดา
ในขณะที่บางที่ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
สำหรับประเทศที่เป็นบ้านเกิดของแม่การแตะต้องตัวเป็นเรื่องธรรมดาโดเฉพาะกับเพื่อนผู้ชายด้วยกันแบบนี้
“...วันนี้มีรุ่นน้องมาสารภาพรักฉันด้วยล่ะ?”ผมบอกก่อนจะค่อยๆปิดตาลง
“อืม”
“เห็นว่าเห็นสารภาพรักกับเชสด้วยจำเธอได้ไหมรุ่นน้องที่ไว้ผมยาวย้อมสีเทากับดวงตาสีเขียวน่ะ”ผมลืมตาขึ้นแล้วถามด้วยความอยากรู้
“ไม่ได้”
“ตอบเร็วไปแล้ว...คิดบ้างสิ”ผมบอกเสียงเข้ม
“...”
“แปลว่ามีคนสารภาพรักเยอะล่ะสิ?”ผมพูดสิ่งที่คิดออกไป
“...เปล่า”
“โกหก”
“ทำไมคิดงั้นล่ะ?”หนังสือในมือถูกปิดก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจะหันมาสบด้วยความอยากรู้
“เพราะนายหล่อ...ดูดี...เก่ง...อืม...ตาสวย...กลิ่นหอม...”
“หลังๆไม่ใช่มั้ง”
“ใช่สิ...โดยเฉพาะสีตาของนายน่ะ”
“สีตา?”
“ใช่...สีตานายเหมือนกับ...”พอพูดถึงตรงนี้ก็ต้องชะงักเมื่อตัวเองเกือบหลุดคำว่าสีเดียวกับสีผมของตัวเองออกไป
“เหมือน?”
“...เหมือน...ทะเล”เป็นอีกครั้งที่ผมต้องโกหกออกไป
“โกหก”
“นี่...เราคิดจะพูดคำนี้กันทั้งวันเลยใช่ไหม?”ผมหันไปถามจริงจัง เจอกันไม่กี่นาทีเราพูดคำว่าโกหกออกมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ
“ไม่รู้สิ”
“งั้นมาแข่งกันใครพูดอีกคือแพ้แล้วต้องเลี้ยงข้าวด้วย”ผมพยายามเลี่ยงแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“หึ...”เชสไม่พูดอะไรต่อแต่เปิดหนังสือเล่มเดิมออกแล้วเลื่อนสายตาไปยังตัวหนังสือด้านหน้าแทน
“ขอบคุณ”ผมพึมพำเบาๆก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
เขาไปถามอะไรให้ผมลำบากใจเพราะยิ่งถามสิ่งที่ตอบกลับไปคงมีแค่คำโกหกเท่านั้น
บรรยากาศสบายๆค่อยๆทำให้สติที่มีหายไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย สัมผัสสุดท้ายก่อนจะไม่รับรู้อะไรคือมืออุ่นๆที่ลูบวิกผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน
แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์เรียกสติที่หายไปกลับเข้าร่าง...ดวงตาสีแดงอ่อนใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลของผมค่อยๆปรือขึ้นก่อนจะยกหัวขึ้นแล้วขยับไปมาให้หายเมื่อย การนอนท่าเดียวตลอดแบบนี้ก็ปวดกล้ามเนื้อไม่น้อยเลย
“ขี้เซา”เสียงทุ้มด้านข้างทำให้ผมหันไปมองคนข้างกายที่หันหน้ามาโดยที่หนังสือเล่มหนาไม่ได้อยู่ในมือแล้ว
“อ่านจบแล้วเหรอ?”
“อืม”
“เร็วมาก”ผมพูดอย่างอึ้งๆเล่มหนาขนาดนั้นไม่น่าจะอ่านจบใน2-3ชั่วโมงหรอก
“อ่านช้าเองน่ะสิ”
“เปล่านะ...ฉันอ่านเร็วจะตายขนาดแม่ยังชมเลย”ผมรีบแก้ตัวทันที เห็นแบบนี้แต่เรื่องการอ่านหนังสือผมไม่เป็นลองใครหรอกนะเพราะมีแม่ที่ชอบอ่านหนังสือเลยทำให้ติดเป็นนิสัยไปถ้าเทียบกับหลายๆคนผมถือว่าอ่านเร็วในระดับหนึ่งเลย
“หึ...”
“เชส”
“อะไร?”
“โทษที”ผมบอกพรางมองไปยังไหล่ข้างที่ตัวเองซบหลับไปนานหลายชั่วโมงตอนนี้คงจะชาแน่ๆ
“เรื่อง?”
“นายก็น่าจะรู้นี่”
“ไม่รู้”
“โกหก”ผมสวนกลับก่อนจะนึกได้ว่าพลาดแล้ว
“นายแพ้”เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนมุมปากนั้นจะปรากฏรอยยิ้มเล็กๆขึ้น
“นี่มันแกล้งกันชัดๆ”ผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้แน่
เขาจงใจให้ผมพลาดชัดๆ
“ใครแกล้ง...ไม่มีสักหน่อย”
“เจ้าชายน้ำแข็งกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย?”นิสัยนี่ทำไมไม่มีใครรู้ล่ะ?
“...ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่สบมาตอนพูดนั่นแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆ
ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะ...ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นทำให้มีไม่ใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ดีใจนิดหน่อยแฮะ”ผมพึมพำพร้อมรอยยิ้ม
“ดีใจอะไร?”
“ก็ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ว่านายเป็นแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”
“คิดงั้น?”
“อืม”
“หึ...อยากกินฟัว กรา”
“ออกเองเถอะ!”ผมแทบจะกระโดดเข้าไปกัดคออีกฝ่ายด้วยซ้ำ
อยากกินฟัว กรา...ไอ้อาหารแสนแพงนั่นน่ะนะ
เงินที่ได้มาไม่เยอะขนาดนั้นนะเฟ้ย!
“คนแพ้ต้องเลี้ยงนี่”
“ขอถูกกว่านี้นะครับ...นะ”ผมลองใช้ลูกอ้อนดู
เห็นพ่อใช้กับแม่แล้วได้ผลเพราะงั้นอาจจะใช้กับเชสได้ผลก็ได้
“...”ความเงียบเป็นเรื่องปกติที่ได้จากเชสแต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะอีกฝ่ายหันหน้าหนีผมอย่างที่ไม่เคยทำ
“เชส?”
“...อย่าไปทำแบบนี้กับใคร”เสียงทุ้มบอกโดยที่ยังไม่หันหน้ามา
“ทำไม?”
“...น่าเกลียดชะมัด”
“โกหก...อ๊ะ!...ครั้งนี้ไม่นับนะ”ผมรีบปิดปากตัวเองอย่างเร็ว
“ไม่นับก็ได้แต่ต้องสัญญาก่อน”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นหันมาสบอย่างจริงจัง
“สัญญาก็ได้”ผมพยักหน้าตอบ
“ไปกันสักทีเถอะ”พูดจบเชสก็ลุกขึ้นเดินไปโดยไม่รอเลยสักนิด
“รอด้วยสิ”คนถูกทิ้งรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามคนด้านหน้าไปเรื่อยๆ
เดินไปสักพักผมก็รู้ว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายจะไปคือที่ไหน...เส้นทางนี้ที่มากับเพื่อนร่วมห้องแทบทุกวันอยากจะเปลี่ยนที่บ้างแต่ก็ไม่ได้ท่าเดียว
กลิ่นของอาหารและเครื่องปรุงที่ผสมปนเปกันเริ่มแรงขึ้นจนต้องยกแขนขึ้นมาปิดจมูก...
เสียงของนักศึกษาหลายร้อยชีวิตส่งเสียงเจี๋ยวจ๊าวดังออกมาจนถึงบริเวณที่ผมอยู่…
สถานที่นั้นคือโรงอาหารนั่นเอง
มือผมคว้าชายเสื้อสีฟ้าอ่อนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัวทำให้คนที่เดินนำหันกลับมามองอย่างไม่เข้าใจ...เห็นแบบนั้นผมเลยรีบชักมือกลับมาแล้วพยายามคิดคำแก้ตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะคิดได้ว่าถ้าทำให้อีกฝ่ายพูดว่าโกหกได้ก็คงจะเปลี่ยนเรื่องไปได้
“อ่อ...ไม่มีอะไร?”
“ไม่เชื่อ”คำที่อีกฝ่ายตอบมาทำให้ผมอ้าปากค้าง...ทั้งที่ความหมายเหมือนกันแต่ถ้าพูดคนละคำแบบนี้คงไม่นับแน่ๆ
“นายมันขี้โกง”
“อะไร?”
“เล่นใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันแบบนี้ก็แย่น่ะสิ”
“อ้อ...นี่วางแผนไว้?”รอยยิ้มมุมปากนั่นสร้างความอับอายให้ผมได้ดีจริงๆ
รู้แล้วจะถามทำไม!
“...ก็ใช่”
“เลิกเปลี่ยนเรื่องอานโน่”
“...”ผมถึงกับอึ้งที่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากคนตรงหน้าไม่ใช่แค่อึ้งแต่หัวใจมันเต้นเร็วขึ้นด้วยความดีใจปนตื่นเต้น ตั้งแต่รู้จักกันนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกชื่อ
“เงียบทำไมอีก?”
“นายเรียกชื่อฉัน”
“แล้ว?”
“...เปล่า...แค่ดีใจ”
“เลิกเลี่ยงสักที”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างจริงจังอีกครั้งทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจ
การโกหกคนที่สามารถจับได้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
“ฉันไม่อยากไปกินที่โรงอาหาร”
“ทำไม...บอกได้ไหม?”
“...ขี้โกงนี่”เล่นพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นใครจะกล้าปฏิเสธกัน
“...”
“ข้างในมันวุ่นวายเสียงก็ดังไปหมด...แถมกลิ่นยังปนกันทำให้ฉันแสบจมูกไปหมด”
“ก็แค่นี้”
หมับ!
เชสพูดจบก็คว้าข้อมือผมแล้วดึงให้เดินไปอีกทาง...ทางที่เขาพาเดินเป็นเส้นทางที่ไม่เคยไปมาก่อนผ่านทั้งตึกเรียนหลายตึกที่ไม่รู้จักชื่อ ผ่านทั้งสนามกีฬาขนาดใหญ่มาเรื่อยๆจนกลิ่นของอะไรบางอย่างเข้ามาในจมูก
กลิ่นของอาหาร
แต่ไม่เหมือนกับที่โรงอาหารที่หลายกลิ่นปนเปกันไปหมด...กลิ่นนี้เป็นกลิ่นเดียวเหมือนน้ำซุปเลย
หลังได้กลิ่นไม่นานป้ายร้านราเม็งขนาดเล็กก็ปรากฏต่อหน้าผม...ร้านเล็กๆที่มีต้นไม้ล้อมรอบดูเหมือนร้านที่ตั้งอยู่กลางป่าเลย พอเข้าไปภายในร้านเชสก็สั่งทันทีโดยไม่ดูเมนูผมเลยรู้ว่าเขาคงมากินร้านนี้บ่อยแน่เลยสั่งเหมือนกันอีกชาม
ราเม็งร้อนที่มาเสิร์ฟกลิ่นหอมน่าทานมากเรียกความอยากอาหารผมออกมาได้จนสุด...ไม่อยากบอกว่าผมฟาดเรียบไปตั้ง10ชามโดยมีสายตาอึ้งๆของเชสและเจ้าของร้านมองมา
ความจริง10ชามยังไม่เรียกว่าเยอะหรอกนะแต่ขืนกินจนอิ่มเงินที่มีอาจไม่พอที่จะอยู่ทั้งเดือน...ถึงจะโทรไปบอกแม่ได้แต่ก็รู้สึกเกรงใจอยู่เพราะด้วยเงินที่ส่งมาในแต่ละเดือนก็ถือว่ามากพอสมควรแล้ว
กินขนาดนี้ก็คงแปลกสำหรับมนุษย์แต่สำหรับผมที่มียีนไดโนเสาร์ถือว่าไม่มากไป...ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ส่วนมากก็กินเยอะแบบนี้เหมือนกันหมดแหละ
“เชสพักหอไหนเหรอ?”ผมถามระหว่างทางเดินกลับ
“คิดว่าไงล่ะ”
“ไม่คิดแล้ว...ตอนนี้ง่วงมากจะกลับไปนอนแล้ว”ผมตอบกลับ ตอนนี้ไม่อยากคิดอะไรแล้วขอเฉลยเลยเถอะ
“กินขนาดนั้นเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”ผมยืมคำของอีกฝ่ายมาใช้จนสังเกตว่าคิ้วของเชสถึงกับกระตุกที่ถูกย้อนแบบนี้
น่าขำจริงๆ
“หึ...หาเองสิ”คนข้างกายตอบก่อนจะเดินไปอีกทางหนึ่งพอผมจะวิ่งตามก็ต้องชะงักเพราะตอนนี้ผมอยู่หน้าหอพักของตัวแล้วซะแล้ว
ความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นทำให้ผมรีบหันกลับไปมองตามทางที่เชสเดินไปด้วยคิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันแน่น...
ทำไมถึงรู้ว่าผมอยู่หอนี้ล่ะ?
ผมเดินขึ้นไปยังห้อง505ที่เป็นห้องพักของตัวเองและรูมเมทอีกคนหนึ่งด้วยความสงสัยที่ยังไม่หายไป...คีย์การ์ดส่วนตัวถูกรูดโดยที่คิ้วสองข้างขมวดเข้ากันแน่นเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ผิดปกติภายในห้อง ไม่สิ ไม่ใช่แค่ในห้องผมเท่านั้นแต่ได้ยินมาจากหลายห้องเลยเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นเลยไม่ได้ทันสังเกต
“เกิดอะไรขึ้นเจฟ?”พอเข้าไปในห้องผมก็ถามรูมเมทเพียงคนเดียวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า
“อานโน่?...มาพอดีเลยกำลังคิดอยู่เชียวว่าจะบอกนายยังไง”
“ทำไมเหรอ?”
“ก็นั่นน่ะ”เจฟชี้ไปยังห้องน้ำที่ถูกเปิดประตูอ้าไว้โดยมีน้ำนองออกมา จะว่าไปก็นองจนถึงพื้นที่ผมยืนเลยนี่นา
“นายลืมปิดน้ำ?”
“ไม่ใช่เฟ้ย!ถึงจะเคยลืมก็เถอะ...แท็งก์น้ำข้างบนมันรั่วแล้วไหลลงมาจนถึงห้องพวกเราน่ะสิห้องข้างๆก็โดนเหมือนกันเห็นว่าเรียกช่างมาจัดการอยู่แต่ต้องให้เราย้ายออกสักเดือนเพื่อจัดการซ่อมครั้งใหญ่”เจฟอธิบาย
“แล้วย้ายไปไหนล่ะ?”
“ฉันจะไปนอนหอเพื่อน...จะไปนอนด้วยกันไหมอานโน่?”
“เพื่อนคนไหน?”
“ก็เฟตไง”
“...ไม่ล่ะ...ขอบคุณ”ผมตอบแทบจะทันที่ได้ยินชื่อเพื่อนของเจฟคนนี้
ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าคนที่ชื่อเฟตเป็นยังไง...เจฟที่ว่าพูดมากพูดไม่หยุดยังต้องยอมให้กับชายที่ชื่อเฟตคนนี้ ด้วยดรีกรีหนุ่มหน้ามลของคณะนิเทศทำให้มีทักษะการพูดแบบสุดๆเจอกันแต่ละครั้งก็มักจะพูดอยู่เสมอแล้วยิ่งมาจับคู่กับเจฟ
ถ้าไปอยู่ด้วยคงไม่ต้องนอนกันพอดี
“งั้นนายไปนอนไหนล่ะอานโน่?”รูมเมทถามกลับ
“นั่นสิ...โอ๊ะ...”ระหว่างที่กลุ้มใจภาพของเจ้าชายน้ำแข็งแห่งมหาวิทยาอันเลื่องชื่อก็ผุดเข้ามาในหัว
ผมลืมเพื่อนคนนี้ไปได้ยังไงกัน
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันทีที่รู้ว่าคืนนี้จะไปอยู่ไหนดี
“อะไรๆ...มีที่ให้ไปแล้วใช่ไหม?”เจฟถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่...นายไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันเก็บของเสร็จแล้วจะตามไป”
“ให้อยู่ช่วยไหมของนายเยอะจะตาย”
“ไม่ต้องหรอก...แค่นี้สบายมาก”
“จริงเหรอ?”อีกฝ่ายดูจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดผมเท่าไหร่
“จริงสิ...ไปเหอะ”
“งั้นไปก่อนนะ”
“บาย”
พอเจฟออกไปจากห้องแล้วผมก็จัดการย้ายเสื้อผ้ามากมายจัดลงใส่กระเป๋าหนังที่วางอยู่ใต้เตียง...โชคดีที่น้ำยังไม่นองท่วมพื้นเลยสามารถเช็ดน้ำที่เปื้อนออกไปได้ ใช้เวลาสักพักกระเป๋าเสื้อผ้าทั้ง4กระเป๋าก็ถูกย้ายออกมานอกหอเรียบร้อย
“เอาล่ะ...นายอยู่ไหนนะเชส?”ผมพึมพำด้วยรอยยิ้มก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดกลิ่นของทุกสิ่งรอบกายเข้าปอดโดยเพ่งสมาธิไปยังกลิ่นของเชส
กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์
กลิ่นของธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง
“...เจอล่ะ”ผมถึงกับยิ้มกว้างออกมาเมื่อรู้ที่อยู่ของคนที่ต้องการแถมยังอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย
กระเป๋าหนังถูกวางซ้อนกันก่อนจะลากเข้าไปยังหอพักที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล ก่อนจะเข้าไปก็มีคนมาถามว่ามีธุระอะไรพอบอกว่าที่หอเกิดเรื่องทางผู้ดูแลก็ไม่ว่าอะไรแถมยังเปิดทางให้ผ่านไปอย่างง่ายๆ
กลิ่นของเชสเริ่มชัดขึ้นและชัดเจนที่สุดเมื่อสองเท้ามาหยุดอยู่หน้าห้อง610...มือที่จะเคาะประตูชะงักเล็กน้อยเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าการมาขอพักโดยไม่บอกล่วงหน้าจะเป็นการเสียมารยาทรึเปล่า ไม่แน่ว่าเชสอาจมีรูมเมทอยู่ถ้าผมเข้ามาเพิ่มอาจดูไม่ดี
เพื่อความแน่ใจผมเลยดมกลิ่นของคนที่อยู่ภายในสุดท้ายกลิ่นที่ได้ก็มีเพียงกลิ่นของเชสคนเดียวเท่านั้น
“อยู่คนเดียว?”จากที่ฟังเจฟเล่าเห็นว่าแต่ละห้องต้องมีรูเมทอย่างน้อย1...บางห้องที่ไม่มีอาจเป็นเพราะคนในหอน้อย
“เอาน่า...ถ้าไม่เคาะวันนี้ก็ไม่ได้นอนพอดี”ผมบอกตัวเองก่อนจะเคาะที่ประตูห้อง610สามครั้งแล้วรอคนด้านในออกมาเปิดให้
เสียงฝีเท้าที่เดินมาใกล้ทำให้ผมเริ่มเกร็งขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดแบบไหนขอเชสมาอาศัยอยู่ด้วยดี
แกร็ก!
“...อานโน่?”เจ้าของห้องเรียกชื่อผมอย่างไม่เชื่อสายตา คิ้วสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเส้นผมขมวดเข้าหากันแน่นอย่างสงสัย
“เอ่อ...สวัสดี”
“มาได้ไง?”
“ห๊ะ?”
“ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่นี่?”คำถามที่ชัดเจนดังขึ้น
“...ตามกลิ่นนายมา”ผมตัดสินใจบอกความจริงเพราะถ้าโกหกคงจะถูกจับได้แน่
ตอนนี้ผมไม่อยากเถียงกับเชส...ง่วงจะตายอยู่แล้ว
“หึ...เป็นหมาจริงๆสินะ”
“หอฉันมีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องย้ายออกสักเดือน...ถ้ายังไงขอพักที่นี่สักพักได้ไหม?”พอถามเสร็จก็เงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า
“ถ้าไม่ให้ล่ะ?”
“เชส...นายเป็นคนใจดีและอ่อนโยนเพราะงั้นให้อานโน่คนนี้พักด้วยนะครับ...นะ”ตอนนี้ตาผมแทบปิดแล้ว
“...จงใจสินะ”
“จงใจอะไร?”ผมถามเมื่อได้ยินคนตรงหน้าพึมพำเสียงเบา
“เปล่านี่...”เชสตอบก่อนจะขยับตัวออกแล้วเปิดประตูห้องกว้างขึ้น นั่นทำให้ผมที่ยืนอยู่หน้าห้องยิ้มกว้างแล้วลากกระเป๋าตัวเองเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณนะ”
กระเป๋าลากถูกวางไว้ติดผนังห้องสีขาวสะอาดตาก่อนที่ผู้มายืนอย่างผมจะมองซ้ายขวาเพื่อหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอสายตาหันไปเห็นเตียงขนาดใหญ่ดวงตาสีแดงอ่อนใต้คอนแทคเลนส์ก็ตาลุกวาวด้วยความดีใจก่อนก้าวเข้าไปยังเตียงที่ถูกปูด้วยผ้าปูเตียงสีน้ำเงินลายจุดสีเงินแล้วทิ้งตัวลงโดยไม่สนใจเสียงรั้งของเจ้าของห้องสักนิด
“ลุกเดี๋ยวนี้อานโน่!”เสียงทุ้มพูดก่อนเดินเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้น
“ไม่ไหวแล้ว...ไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ”ผมปรือตามองเชสที่ทำหน้ายุ่งข้างเตียง
“คุยวันนี้แหละ...ไปนอนโซฟาเลย”
“อื้ออ...ฉันง่วง”
“อย่าดื้อ”เชสบ่นก่อนจะพยายามดึงผมให้ลงจากเตียงแต่ผมก็เกาะเตียงแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกซะอีก
“น่าเชส...ขอนอนนี่นะ...เตียงนายนุ่มจัง”ผมบอกพรางซุกใบหน้าลงที่เตียงกว้าง
ไม่ใช่แค่นุ่มแต่กลิ่นของเชสที่ติดอยู่บนเตียงทำให้ผมเผลอสูดดมอย่างไม่รู้ตัว...กลิ่นนี้ช่างดูดสติผมซะจริงๆ
มนุษย์ที่มีกลิ่นแบบนี้มันขี้โกงนี่นา
“อานโน่!”
แม้เสียงทุ้มจะตะโกนเรียกชื่ออีกสักกี่รอบผมก็ไม่สน...ดวงตาสีสวยปิดสนิทและเข้าไปในโลกแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว ฝันที่สงบไม่มีเสียงเรียกตะโกนชื่อผมอีก...สิ่งที่มีคือสัมผัสอุ่นๆของฝ่ามือที่คุ้นเคยและเสียงทุ้มที่เอ่ยบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติ...
“ฝันดีอานโน่”
...........................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้ว
ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายที่เอื่อยๆแล้ว
ตอนหน้าไดโนเสาร์มาแล้วค่าาา (เย้!)
มีใครรอฉากเจอไดโนเสาร์อยู่บ้างเอ่ย?
ไม่ค่อยถนัดการแต่งพวกเรื่องในมหาลัยจริงๆด้วย
ถึงตอนนี้จะเรียนอยู่แต่ก็ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมเท่าไหร่เลยไม่มีข้อมูลมาแต่งอะไรมากมาย
ตอนนี้อานโน่รุกเข้าไปนอนถึงเตียงพระเอกเลยทีเดียว...
ใจกล้าเกินไปแล้วววว
คงไม่ลืมใช่ไหมว่าตัวเองเป็นนายเอกน่ะ! 555+
ช่วงนี้ใครเรียนมหาลัยคงอยู่ในช่วงสอบเหมือนเรา...
ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจที่มีให้ด้วยนะคะ^^
ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้า
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>
nicedog<<
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪