ตอนที่ 6
• เรื่องเดียวที่ขอ •กวินหอบขนมถุงใหญ่ขึ้นไปให้คนป่วยเป็นของว่างแล้วพบว่าห้องว่างเปล่า…
สุทธิรักษ์หายตัวไปเหลือเพียงเจ้าแมวอ้วนที่หันมามองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะเอนตัวหงายท้องแล้วนอนหลับต่อ เมื่อตั้งใจจะโทรหาก็พบว่าเขาไม่ได้รับหนึ่งสายจากคนที่ไปโดยไม่บอกกล่าวกับหนึ่งข้อความอธิบายที่ไม่มีอื่นใดเพิ่มเติม พอโทรกลับไปก็คล้ายว่าอีกฝ่ายจะปิดเครื่อง
นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าจะมีปัญหาเรื่องเพื่อนตามที่ส่งข้อความบอก หรือ... กวินเหลือบตามองเจ้าขนปุยบนที่นอน หรือว่าปัญหาจะเกิดจากเจ้าขี้เกียจตัวนี้
“เป็นเพราะแกใช่ไหมเจ้าเหมียว” เขาหันบริภาษเจ้าเหมียวที่น่าจะเป็นตัวการทำให้สุทธิรักษ์หนีไป ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่โต้ตอบเป็นคำพูดกลับมานอกจากส่งเสียงร้องสั้นๆ แล้วพลิกตัวหงายเก๋งนอนต่อไป
สัตวแพทย์หนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดตัดสินใจหิ้วถุงขนมที่เป็นม่ายลงมาให้พนักงานกินแทน ส่วนตัวเองก็กลับไปทำงานอย่างหงอยๆ
เขาคิดว่าหลังจากคืนที่ผ่านมาจะได้ขยับเข้าใกล้คนขี้อายได้อีกสักหน่อยแล้วเชียว แค่คิดว่าจะได้นอนห้องเดียวกัน อาจจะตื๊อขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน อาจจะแสร้งละเมอไปกอดบ้าง เขาก็แค่อยากจะชื่นใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ยังไม่ได้คิดเกินเลยไปกว่านั้นแท้ๆ เฮ้อ~
“คุณหมอ! สติค่ะ!!”
“เฮ้อ~ การจีบใครสักคนนี่มันยากจังเนอะคุณแอ้ม”
“ตื่นค่ะ! เด่นชัยฉี่ใส่คุณหมอใหญ่แล้วค่ะ”
ในที่สุดสติเขาก็กลับมาอยู่กับการทำงาน... ไม่ใช่เพราะเสียงของผู้ช่วยหรอกที่เรียกสติ แต่เป็นกลิ่นฉุนและความเปียกชื้นที่อยู่บนตัวต่างหาก
คุณหมอที่ถูกลอบทำร้ายมองเจ้าของกระสุนน้ำ เจ้าบูลเทอร์เรียนามเด่นชัยยืนตาตี่แลบลิ้นสีชมพูจ้องเขาอย่างไร้เดียงสา เขาผิดเองที่จับมันไว้ในท่านี้แล้วดันเหม่อลอยแต่มันก็ไม่ควรปล่อยเรี่ยราดหรือเปล่า?
“จิตใจทำด้วยอะไรนะเด่นชัย หมอเป็นคนแท้ๆ ยังไม่คิดฉี่รดหมาเลยนะ”
“โฮ่ง!”
“แน่ะ ว่าแล้วยังจะเถียงอีก”
“คุณหมอ~” ลงท้ายเขากับคุณลูกค้าเด่นชัยก็ถูกคุณผู้ช่วยกรอกตาใส่อย่างเอือมระอาไปหนึ่งที
หลังจากเลิกงานเขาก็หอบจิตใจบอบช้ำไปหาเพื่อนด้านในหมู่บ้าน ลมเย็นๆ ที่โชยพัดเข้าร่างยามปั่นจักรยานช่วยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เขาลงจากเมื่อถึงที่หมาย เลื่อนประตูรั้วออกแล้วไถจักรยานคันเก่งเข้าไปจอดเสมือเป้นเจ้าของบ้าน แต่พอสองตาได้เห็นบ้านของสุทธิรักษ์ที่เปิดไฟสว่างอยู่ก็พาให้จิตใจห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกรอบ คนในบ้านมีธุระเรื่องเพื่อนจริง หรือแค่หาเรื่องหลบเลี่ยงเขากันนะ
“ยืนทำหน้าเป็นพระเอกไปได้ คิดว่าหล่อมากรึไง!”
เสียงเหยียดหยามจากด้านหลังทำให้กวินละสายตาจากบ้านฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ชายหนุ่มตัดใจเดินไปหาเจ้าของเสียงซึ่งเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน นึกอยากจะถองมันสักหนึ่งศอก แต่ก็ให้เกียรติที่มันเป็นเจ้าบ้านและเจ้ามือมื้อค่ำถึงได้เดินตามเข้าบ้านไปอย่างว่าง่าย
“มึงไปห่อเหี่ยวมาจากไหนวะ”
กวินถอนหายใจให้คนถามไปหนึ่งเฮือก ก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทานอาหารที่มีของว่างวางระเกระกะอยู่ เขาหันไปมองเพื่อนที่เดินตามมาติดๆ ที่มีฐานะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในช่วงนี้
ธนานพ คือเพื่อนตั้งแต่สมัยประถม แต่พอช่วงขึ้นม.ปลายก็มีเหตุให้ต้องแยกกันไป แล้วความบังเอิญก็เหวี่ยงกลับมาเจอกันอีกครั้งในรั้วมหาลัยแต่ต่างคณะ แม้ต่างฝ่ายต่างมือกลุ่มเพื่อนของตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์แต่อดีตขาดสะบั้นลง
แถมตอนนี้ยังกลายมาเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านด้วยกันอีกต่างหาก
“ทำไมการจีบมันยากอย่างนี้วะนพ” ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจอีกหนึ่งรอบ ขณะมองเพื่อนจัดเก็บโต๊ะให้ว่างเพื่อเตรียมวางจานอาหารมื้อเย็น
ธนานพเหลือมองคนห่อเหี่ยวครู่เดียว ก่อนเอ่ยอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย “เบื่อรึยังล่ะ? ถ้าเบื่อก็พอ มีคนรอเข้าหามึงอีกเยอะแยะ”
“ไม่ได้สิไอ้นพ! กูชอบเขานี่” แต่เล่นเอาคนฟังต้องรีบแย้งเสียงเข้ม “ที่รักแม่งน่ารักขนาดนั้นกูจะเบื่อได้ยังไง กูยังไม่ได้ขบแก้มแดงๆ นั่นเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างนะ ฝีมือทำกับข้าวก็เด็ดดวงมาก เนี่ย! มีแต่เรื่องทำให้กูหลงอย่างนี้จะไปเบื่อได้ยังไง”
“โอย~ กูจะอ้วก”
“อาหารเป็นพิษเหรอเพื่อน?”
“คำพูดมึงเนี่ยแหละเป็นพิษ!”
กวินหัวเราะที่ยั่วต่อมแข็งกระด้างของเพื่อนได้ “มึงเป็นคนไม่หวานเลยนพ อีกไม่นานพลอยต้องเลิกกับมึงแน่ๆ”
“ไม่ต้องแดกมันแล้วข้าวน่ะ” ธนานพหมนุตัวไปยังถังขยะในทันที หมายทิ้งข้าวกล่องที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาฝากอย่างไม่เสียดายเงิน เดือดร้อนให้คนมาพึ่งใบบุญชาวบ้านต้องรีบลุกขึ้นไปแย่งจากมือมาถือไว้ตามกรรมสิทธิ์ “ปากดีจริงๆ กูกับพลอยจะแต่งงานกันต้นปีหน้าแล้ว มึงสนเรื่องตัวเองก่อนดีไหม?”
“กูสนสิ แต่ที่รักไม่ค่อยให้ความร่วมมือนี่หว่า” เมื่อเห็นเพื่อนชักจะพร้อมขับไล่เขาได้ทุกเมื่อแล้ว ก็จำต้องเป็นฝ่ายเตรียมจัดโต๊ะเองเพื่อให้เจ้ามือใจเย็นลงบ้าง “วันนี้กูก็หว่านล้อมจนเขายอมตกลงค้างด้วยได้แล้วแท้ๆ แต่พอกูคล้อยหลังได้ไม่เท่าไหร่ก็เผ่นหนีกูไปซะงั้น”
“ไปเงียบๆ แบบไม่ลาเลยเหรอ?”
“เขาโทรหาหนึ่งสายแต่กูตรวจอยู่ไงเลยไม่ได้รับ เขาเลยทิ้งข้อความไว้ว่าเพื่อนมีปัญหาขอกลับก่อน” กวินเล่าพลางแกะถุงสลัดผักเพื่อสุขภาพลงจานเพื่อแกล้มกับกระเพราะหมูกรอบไข่ดาว จากนั้นจึงหันไปเปิดตู้เย็นเตรียมน้ำใส่แก้ว
“อาห๊ะ... กูก็ไม่อยากพูดให้มึงเสียกำลังใจหรอกนะ แต่ตอนกูกลับมาก็เห็นเขายืนรดน้ำต้นไม้ดูมีความสุขดี”
“มึงทำกูเสียกำลังใจแล้วนพ แต่เล่ามาเถอะกูอยากฟัง” กวินวางแก้วลงตามตำแหน่งแล้วนั่งลง จับช้อนจ้วงข้าวเข้าปากได้ก็เคี้ยวไม่รอเจ้าบ้าน อย่างน้อยหมูกรอบอร่อยๆ ก็พอจะเยียวยาจิตใจเขาได้ล่ะนะ
“ก็แค่นั้นแหละ กูไม่ใช่มึงนะวินที่จะได้ตามติดชีวิตเขาขนาดนั้น” ว่าแล้วเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ออกเงินค่าอาหารทั้งหมดก็ตักข้าวเข้าปากบ้าง เคี้ยวไปสักพักก็เหมือนจะนึกเรื่องเล่าเพิ่มเติมได้ “ตอนกูออกไปรดน้ำต้นไม้ก็เห็นพวกแมวๆ เดินเข้าบ้านเขาตามปกตินะ แต่คราวนี้แปลกว่ะ...”
กวินมองหน้าเพื่อด้วยความอยากรู้เต็มที่
“ปกติแล้วที่รักของมึงชอบนั่งมองแมวกินข้าวใช่ไหม? คราวนี้นอกจากไม่นั่งรอแล้วยังร้องโวยวายแล้ววิ่งเข้าบ้านไปเลยด้วย เล่นเอาแมววิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงเลย”
“เกิดอะไรขึ้นวะ? แล้วจากนั้นล่ะ” ความกังวลของคนฟังเริ่มฉาบบนใบหน้า
“ก็เดินกลับเข้าไปกินข้าวกันใหม่นะ กูสงสัยเลยเดินไปดูก็เห็นนอนกลิ้งกันในสวนสบายใจเฉิบ”
“คนสิมึง ไม่ใช่แมว” กวินเดาะลิ้นดังจิ๊ เกือบจะคว่ำจานสลัดใส่คนไม่รู้ความให้แล้วถ้าไม่ติดว่ามันรสชาติพอใช้ได้ล่ะก็
“อันนั้นพอเขาวิ่งเข้าบ้านก็เกินขอบเขตหน้าที่เพื่อนบ้านอย่างกูแล้วล่ะ”
เขาถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก แต่ความหิวก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาวางช้อนส้อมแม้มันจะรู้สึกตื้อในอกก็ตาม สมองก็หลุดออกจากการสนทนาที่ธนานพเปลี่ยนเข้าไปสู่ผลบอลคู่เมื่อวาน เขาอยากรู้ว่าต้องมีขอบเขตหน้าที่แค่ไหนถึงจะสามารถบุกเข้าไปหาสุทธิรักษ์ในตอนนี้ได้ ฐานะคนจีบอย่างเขาได้สิทธิ์นั้นหรือยัง? แล้วถ้าจะเดินไปกดกริ่งถามด้วยความห่วงใยตอนนี้จะโดนหลบหน้ารึเปล่า?
“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้วะ ทั้งที่กูออกจะมั่นใจว่าคุณรักเขาก็ชอบกูเหมือนกัน”
“มึงไปทำหน้าหื่นใส่จนเขากลัวรึเปล่า?”
“เวลาอยู่กับเขากูเป็นผู้ชายอบอุ่นเถอะ”
“โถ๊ะ! สร้างภาพเนอะ” กวินยักไหล่ไม่สนใจคำเสียดสี ธนานพจะว่ายังไงก็ช่าง เขาไม่ได้อยากอบอุ่นอ่อนหวานกับมันก็แล้วกัน
“แล้วนี่คุณผู้ชายแสนดีจะไปเยี่ยมสุดที่รักรึเปล่าล่ะครับ?” ธนานพถามขึ้นอีกครั้งเมื่ออาหารทุกจานบนโต๊ะหมดเกลี้ยง
“ไม่ดีกว่า กูให้เวลาเขาปรับตัวอีกวันนึง”
“หลอกตัวเองเก่งไปอี๊ก~ มึงกลัวเขาปิดประตูบ้านใส่หน้ามากกว่า”
“..........”
“หรือที่จริงมึงก็คิดไปเองเรื่องที่เขาชอบมึงวะ?”
กวินหรี่ตามองเพื่อนอย่างเจ็บปวด ความคิดที่จะสนองคุณโดยการล้างจานให้พลันหายเกลี้ยง มันคงไม่เคยเห็นสินะว่าการกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเป็นยังไง ถึงเขาจะปีนขึ้นไปขี้บนหลังคาไม่ได้ แต่เขาวิ่งไวนะเอ้อ!
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้วิน!! ไอ้หมอหมามึงจะไปไหน!”
แชมป์วิ่งระยะสั้นสมัยมัธยมไม่ได้มาเพราะดวงหรอกนะเพื่อน
กวินอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอวิ่งไปทางประตูบ้านด้วยความรวดเร็ว กว่าที่ธนานพจะตั้งสติได้ทันเขาก็เปิดประตูรั้วบ้านปั่นจักรยานออกไปแล้ว
เป็นไงเล่า! ปากเป็นตะขอจิกใจเขาดีนัก เดินมาปิดรั้วเองเถอะมึง!
• • •• • •
สุทธิรักษ์นอนไม่หลับแทบทั้งคืน
เขาตื่นไปทำงานด้วยความงัวเงีย สภาพร่างกายเหมือนคนขาดพลังงานแถมจิตใจยังย่ำแย่เอามากๆ การหนีหมอกวินกลับมาเมื่อวานก็นับว่าทำลายแหล่งน้ำเลี้ยงในหัวใจตัวเองไปแล้ว เขาแค่หวังว่าจะกลับมาพักฟื้นสติตัวเองเงียบๆ เพื่อตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไปกับความประหลาดที่เกิดขึ้น
แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่ใช่แค่เจ้าสองตัวที่บ้านคุณหมอเท่านั้นที่เขาได้ยินเสียง
เมื่อวานเขารดน้ำต้นไม้ จัดการอาหารของพวกแมวๆ อย่างทุกที ไม่นานนักเจ้าพวกนั้นก็พาเลทกันเดินมาอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ เจ้าแมวดำตัวหัวหน้าเดินนำมาก่อน ตามด้วยเจ้าลูกแมวตัวเล็กที่ยังคงกลัวเขาเหมือนเคย โดยมีคณะแมวต่างสีอีกสามตัวเดินปิดท้าย
เมื่อตัวหัวหน้าเห็นเขา มันมักจะส่งเสียงร้องคล้ายทักทาย ...วันนี้มันก็ทำแบบเดิม เพียงแต่เสียงที่เขาได้ยินมันไม่ใช่เสียงร้องตามธรรมชาติของแมว
‘หวัดดีนุด วันนี้ก็ขอรบกวนเหมือนเดิมนะ’เขาไม่รอยืนฟังให้แน่ใจหรอก เพราะทันทีที่ได้ยินจบก็ตกใจจนเผลอร้องโวยวายออกไป พวกแมวพากันตกใจวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ส่วนเขาก็วิ่งเข้าบ้านจนลื่นพื้นกระเบื้องล้มก้นกระแทกให้เจ็บตัวเข้าไปอีก เขาไม่รู้ว่าพวกแมวจะกล้ากลับมากินข้าวอีกหรือเปล่า เพราะเขาก็คลุมโปงหมกตัวอยู่บนที่นอนแม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กินเหมือนกัน
แน่นอนว่าตอนพักเที่ยงเขากินข้าวไปถึงสองจานใน ตามด้วยขนมหวานอีกหนึ่งถ้วยและน้ำหวานเพิ่มความสดชื่น
งานในช่วงเช้าทำให้เขาวุ่นวายอยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปแผนกไหนนัก เพราะมีงานค้างจากเมื่อวานที่เขาลาหยุดรวมอยู่ด้วย เขารอให้ช่วงบ่ายที่น่าจะพอมีเวลาว่างจะเดินไปเยี่ยมๆ มองๆ แผนกจิตเวชบ้างเพื่อดูลาดเลาว่าจะสามารถเข้าไปปรึกษาได้บ้างหรือไม่ แต่อีกใจเขาก็กลัวถ้าคนอื่นจะรู้ แม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลแต่ก็เป็นที่ทำงานของเขาเช่นกัน การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเป็นคนไข้ในแผนกจิตเวชนั้นดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักกับการพิจารณาขั้นเงินเดือน
สุทธิรักษ์ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน เขาถึงขนาดทำใจแข็งไม่รับสายของคุณหมอ ไม่อ่านข้อความที่ส่งมา เขาอยากอยู่กับตัวเองให้มากที่สุดแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะบอกใครก็ไม่ได้ จะระบายกับใครก็คงถูกคิดว่าเขาป่วยทางจิต ความกลัวที่จะต้องบอกกับที่บ้านว่าตัวเองเป็นเกย์ดูจะเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกัน
เขาจิตใจไม่สงบไปตลอดบ่าย ความคิดมากมายตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ขนาดที่เผลอแฟกซ์เอกสารด่วนไปผิดหน่วยงานจนถูกต่อว่าเพราะงานล่าช้า
ให้ตายเถอะ! เขาเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
กว่าจะได้เริ่มเก็บของก็เลยเวลาเลิกงานไปชั่วโมงกว่า ไอ้งานที่ค้างก็เสร็จไปได้สักพักแล้วแต่เขาก็ยังหาเรื่องทำนั่นนี่ไปเรื่อยเพราะยังอยากอยู่ในสถานที่ที่ปลอดจากบรรดาสิงห์สาราสัตว์ให้นานที่สุด แต่ในเมื่อที่ทำงานมันนอนค้างไม่ได้เขาก็ต้องจำใจกลับบ้าน
สุทธิรักษ์ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก สุดท้ายก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องแล้วล็อคประตูให้เรียบร้อย หากจังหวะที่หมุนตัวเพื่อเตรียมจากไปนั้น บางสิ่งบางอยู่จากหางตาก็พลันดึงดูดความสนใจ เขาหันมามองภาพนั้นให้ชัดเจนอีกครั้ง คราวนี้เกือบจะหลุดอุทานเมื่อรับรู้ว่า ‘ใคร’ ที่มานั่งกอดอกหลับพิงเสาปูนอยู่หน้าห้องธุรการอยู่
“หมอกวิน!”
แม้จะไม่ได้ร้องเสียงดังจนเกินเหตุ แต่มันก็ดังพอให้คนที่ระยะห่างกันเพียงหนึ่งเมตรนี้ได้ยินแต่กลับกลายเป็นว่าคุณหมอหนุ่มยังนั่งหัวพิงเสาไม่รู้เรื่องอยู่ท่าเดิม สุทธิรักษ์มองคนหลับสนิทอย่างสับสนระคนขบขัน หมอกวินอยู่ในชุดสบายๆ อย่างที่เข้าใจว่าพอถอดเสื้อกาวน์ก็คงพร้อมเดินทางไปไหนต่อไหน แต่ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่?
“คุณหมอ?” สุทธิรักษ์เดินไปเขย่าหัวเข่าคนขี้เซาเบาๆ และโชคดีที่อีกฝ่ายปลุกง่ายกว่าที่คาด
คุณหมอหนุ่มลืมตาขึ้นมองคล้ายคนงัวเงียอยู่ไม่กี่วิก็ดีดตัวผึงขึ้นนั่งตัวตรง ใบหน้าละมุนละไมที่เขาชื่นชอบมีแววเก้อเขินไม่น้อย แถมยังเผยรักยิ้มให้คนมองใจไหวๆ อีกต่างหาก “สวัสดีครับคุณรัก”
“สวัสดีครับ ทำไมมานอนตรงนี้ได้ล่ะ” สุทธิรักษ์ถามเจือรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจนั้นแอบคิดเข้าข้างตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือแค่อยากได้ยินจากปากผมกันแน่ครับ” หากอีกคนก็ช่างรู้ทันนัก เล่นเอาคนถูกยอกย้อนต้องเม้มปากอย่างจนด้วยคำโต้ตอบ
“ผมมารับคุณ”
“...คือ เราไม่ได้นัดกันไว้นี่ครับ”
“ก็ถ้าคุณรักรับสาย หรืออ่านข้อความจากผมสักนิด ผมก็คงจะยื่นใบนัดให้คุณไปแล้ว” สุทธิรักษ์ปิดปากฉับเมื่อคนพูดนั้นแฝงความไม่พอใจในน้ำเสียงไม่น้อย
“ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ! ไม่ใช่แบบนั้นเลย”
สุทธิรักษ์ปฏิเสธอย่างร้อนรน เรื่องที่เกิดกับเขานั้นไม่ใช่เพราะคุณหมอ แต่ไอ้ตัวการที่ทำให้เขากึ่งจะเป็นบ้าแบบนี้ดันเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณหมอก็เท่านั้น แต่จะพูดยังไงดีเล่า! มันไม่ใช่เรื่องปกติสามัญนี่นา ถ้าเขาบอกความจริงออกไปว่าตอนนี้เขาได้ยินสัตว์มันพูดคุยอะไรกันบ้างคุณหมอมิมองว่าเขาจิตไม่ปกติหรอกเหรอ?
คนเป็นหมอที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์น่ะ จะไปเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
“งั้นผมว่า...เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะ” ส่งเสียงเข้มๆ จบ หมอกวินก็ลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าจับมือเขาให้เดินตามไปแบบไม่แคร์สายตาใคร
“ปล่อยเถอะครับ ผมเดินไปเองได้” คนขี้อายกระซิบบอก แม้จะเป็นเวลาปิดทำการของตึกผู้ป่วยนอกไปแล้วทำให้คนไม่เยอะแต่ก็ยังพอมีผู้ใช้บริการที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง ไหนยังมีเจ้าหน้าที่ที่พากันหันมามองเขาด้วยความสนใจนั่นอีก
“คราวนี้คุณรักทำให้ผมหงุดหงิดนิดๆ นะครับ เพราะฉะนั้น...” คุณหมอลากเสียงเข้มให้คนดิ้นรนหยุดขัดใจ ซ้ำยังพาใบหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาสบกันในระยะประชิด
“อย่าดื้อนะที่รัก”
“..........”
ข...เขาต้องโมโหสิ! เขาต้องไม่พอใจที่คุณหมอทำเสียงดุใส่ ต้องไม่ชอบที่ถูกฉุดกระชากลากถูกแบบนี้สิ แต่ทำไม...ทำไมหน้ามันร้อนเหมือนแก้มจะระเบิดแบบนี่เล่า!
ตลอดการเดินทาง คุณหมอไม่พูดคุยอะไรเลยพาให้ภายในห้องโดยสารเงียบสนิทจนน่าอึดอัด เขาเองก็ไม่รู้จะทำลายบรรยากาศขมุกขมัวนี้อย่างไรดีจึงทำได้แค่นั่งเงียบตามกันไป จนกระทั่งคุณหมอเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านเขาก็เริ่มลุ้นว่าไอ้ที่อยากจะคุยกันเนี่ยจะไปที่ไหน แต่พอหมอกวินขับเลี้ยวอีกครั้งสุทธิรักษ์ก็อยากจะ ‘ดื้อ’ ขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหมครับ?” น้ำเสียงแทบจะเป็นการขอร้อง แต่อีกคนแค่ปรายตามามองแล้วหักพวงมาลัยชิดข้างทางหยุดจอดตรงหน้าบ้านพอดิบพอดี สุทธิรักษ์น้ำตาเกือบจะไหลอยู่รอมร่อ
“ทำไมครับ?” หมอกวินดับเครื่องแล้วค่อยหันมาถาม
“คือผมไม่...” ไม่อยากเข้าไป เขาต่อประโยคในใจแต่ไม่กล้าส่งเสียงออกไปเพราะกลัวคุณหมอจะรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าจะให้เขาเข้าไป เขาก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนี่!
“คุณรักรำคาญผมรึเปล่าครับ?”
สุทธิรักษ์เบิกตามองเจ้าของคำถาม ยังไม่ทันจะได้ตอบปฏิเสธ คนพูดก็ยิงคำถามเพิ่มขึ้นอีก
“อยากให้ผมยอมแพ้ เลิกจีบคุณรึเปล่าครับ?”
“..........”
เมื่อมองสบสายตาจริงจัง กับฟังน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่การตั้งคำถามเล่นๆ สุทธิรักษ์จึงตกอยู่ในห้วงจำยอม แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรำคาญหมอกวิน และการจะต้องตัดใจจากคุณหมอในตอนนี้ก็ยากเย็นไม่น้อย
“ผมจะถือว่าคุณปฏิเสธทุกคำถามนะครับ” หมอกวินรวบรัดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ พาร่างสูงใหญ่อ้อมมาเปิดประตูฝั่งเขาเป็นการกดดัน
สุทธิรักษ์จำยอมลงจากรถ หากตลอดเวลาที่เดินตามร่างสูงต้อยๆ เขาซอยฝีเท้าถี่ยิบจนแทบจะสิงร่างอีกคน ทำเอาเดินชนกันอยู่หลายครั้งจนเจ้าของแผ่นหลังต้องหยุดถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไปครับ?”
“...คุณหมอ--” พูดยังไม่ทันจบประโยค เพราะทันทีที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้าไป เสียงของสุนัขก็ดังขึ้นทันที สุทธิรักษ์ตัวเกร็งเกาะแขนขุนหมอแน่นยามเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“โฮ่งๆ!!”
‘เจ้านาย! เจ้านายมีหนมกลับมาไหม?’สุทธิรักษ์เริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ใช่คนรักสัตว์ ไม่ได้อยากรู้ว่ามันพูด หรือว่านินทาคนอย่างไรบ้าง เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรนัก เป็นผู้ใหญ่ที่วุฒิภาวะยังเติบโตตามอายุไม่ทัน เขาขี้แงมาตั้งแต่เด็กถึงแม้จะดีขึ้นตามประสบการณ์ที่พบเจอแต่ก็ยังเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายอยู่ดี
มันไม่ใช่ลักษณะที่ดีของผู้ชายเขารู้! แต่ใครห้ามต่อมน้ำตาตัวเองได้บ้างล่ะ!
‘มนุษย์ใจดี!! มนุษย์ใจดีก็มาด้วยเหรอ? มีหนมไหม?’เจ้าหมาขนสีน้ำตาลทองเปลี่ยนเป้าหมายมาเกาะก่ายเขา นั้นทำให้สุทธิรักษ์ยิ่งอยากจะฝังร่างเข้าไปในตัวคุณหมอให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่กระนั้นเขาก็ยังเผลอส่ายหน้าโต้ตอบมัน
‘แย่จังๆ แต๊กหิวหนม เจ้านายลงโทษแต๊กจริงๆ ด้วยนะ แต๊กแค่พูดไปงั้นเอง คนอะไรใจแข็งจริงเชียว’ทำไมเจ้าหมาตัวนี้ถึงได้จ้อเก่งขนาดนี้เล่า! สุทธิรักษ์กำเสื้อหมอกวินแน่นขึ้นไปอีก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำตัวเข้มแข็งให้ได้มากที่สุดแม้ขอบตาจะเริ่มแดงก่ำแล้วก็ตาม
“คุณรัก...เป็นอะไรไปเนี่ย?” จังหวะที่คุณหมอหันมามองเขาเต็มตา ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สองตาของเขาเห็นเจ้าแมวอ้วนเดินส่ายก้นออกมาจากในบ้าน