กล้า...สวย
ภาพของเด็กหนุ่มในวันนั้น วันที่ต้นกล้าแต่งเป็นเด็กผู้หญิงเพื่อล่อหลอกไอ้ปุ่นออกมาฆ่า กลิ่นกายหอมหวานกว่ามนุษย์คนไหน กลิ่นที่ไอ้โจ๊กคุ้นเคยเป็นอย่างดี มือนุ่ม ๆ ที่คอยลูบสัมผัสหัวของมันทุกครั้งที่ภารกิจลุล่วง ภาพทั้งหมดกำลังฉายอยู่ในห้วงเวลาแห่งความฝัน
สัตว์ประหลาดก็มีความฝัน....
และในคืนนี้....ความฝันของมันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
ขณะที่ร่างกายของมันยืดขยายในยามหลับ ความรู้สึกของไอ้โจ๊กก็โตขึ้นด้วยเช่นกัน จากฝันแบบเด็ก ๆ เมื่อหลายวันก่อน กลับกลายเป็นฝันของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์
ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่คืนเท่านั้น....
ตรงนั้นของมันตื่นตัวอย่างเห็นไอ้ชัด แท่งเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเดือยแหลมกับถุงอัณฑะที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าคืออวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้เจริญเติบโตขึ้นพร้อม ๆกับขนาดตัว รูปร่างคล้ายของมนุษย์ แต่ทว่าสีสัน ขนาดและเส้นเลือดที่ปูดโปนทำให้ดูแล้วน่ากลัวและเป็นอันตรายคล้ายปลิงประหลาดจากดาวดวงอื่น ชุ่มไปด้วยเมือกเหนียวใสและพลั่งพรูออกมาเรื่อย ๆ อีกทั้งร่างกายของไอ้โจ๊กยังไร้ซึ่งเส้นขนปกปิด เจ้าสิ่งนั้นกำลังแข็งขึง เตรียมพร้อมเพื่อการสืบพันธุ์
สัตว์ประหลาดกำลังฝันถึงมนุษย์ที่มันหลงรัก
และมันไม่สามารถควบคุมความต้องการทางเพศอันเป็นธรรมชาติได้
ในความฝัน ไอ้โจ๊กปรารถนาที่จะฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายของอีกฝ่ายออกให้หมด อยากลูบไล้ผิวเนื้อเนียนนั้นให้ทั่วทุกตารางนิ้ว เลียชิมความหอมหวานและอ่อนนุ่มในทุก ๆส่วน...
สูดดมกลิ่นหอมนั้นให้เต็มปอด โอบกอดและบดเบียดร่างกายจนหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน.....
แต่ในความฝัน....มันทำได้เพียงยืนจ้องอีกฝ่ายเท่านั้น ทำได้เพียงฝันซ้อนฝัน นั่นเพราะสำนึกความเป็นนายและสัตว์เลี้ยง ที่สั่งให้มันทำได้เพียงคิด สำนึกที่ร้องสั่งให้ระงับความต้องการนั้นโดยอัตโนมัติ สำนึกที่คอยย้ำเตือนมันอยู่เสมอ
ว่าสัตว์ประหลาดอย่างมันมีสิทธิ์แค่ไหน
วันที่ 13
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มหัดให้ไอ้โจ๊กออกล่าเหยื่อด้วยตัวเอง.....
ต้นกล้ากำลังมีความคิด สำหรับเหยื่อรายต่อไป.....
ที่ซ่อนนั้นแม้จะมิดชิดแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่ามันจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ หากว่าได้ที่ซ่อนดี แต่ผู้ซ่อนนั้นเอาแต่หลบซ่อน คงยากที่จะเปลี่ยนที่ซ่อนให้เป็นฐานที่มั่นของผู้ล่า เขาต้องสอนมันล่าและหาอาหารด้วยตัวเอง รู้จักหลบหลีกอย่างชาญฉลาด เผื่อวันข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นมา และเขาไม่อาจอยู่รับมือกับปัญหาได้ทุกครั้ง ไอ้โจ๊กควรจะเอาตัวรอดได้ด้วยตัวของมันเอง และต้องช่วยเหลือเขาได้หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา
สำหรับสัญชาติญาณในการล่า เขาเชื่อว่ามันมีอยู่เต็มเปี่ยม สัตว์ประหลาดอย่างมันเกิดมาเพื่อทำลายล้าง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า
คงถึงเวลาแล้วกระมัง ที่ยอดปิระมิดจะไม่ใช่ที่ยืนของมนุษยชาติอีกต่อไป หากควบคุมมันได้ เขาต่างหากล่ะที่จะเป็นหนึ่งเดียวที่อยู่เหนือห่วงโซ่อาหาร....
‘หึหึหึ.....คิดไปได้นะต้นกล้า
ไร้สาระชะมัด’
“วันนี้พวกแม่งหายไปหมดเลย ห้องสงบแท้” ลูกเต๋าเอ่ยยิ้ม ๆ ต้นกล้าหันไปดูที่นั่งของพวกไอ้เสือที่ว่างเปล่า ถึงขนาดนี้แล้วอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ป่านนี้พวกเหี้ยนั่นคงกำลังตามล่าหาคนที่จับตัวเพื่อนของมันไป ซึ่งเขาจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เขาเองก็เป็นอีกหนึ่งที่พวกมันสงสัย
‘ถ้ารู้แล้วยังไง.....แจ้งความสิ ตำรวจคงจับพวกมึงส่งโรงพยาบาลบ้า’
“ตกลงวันนี้ไปเดินห้างแม๊ะ”
“เอาดิ”
“เย็นนี้กล้าไปกินข้าวบ้านเราสิ....ซื้อของไปทำกินกัน”
“ก็ดีนะ แต่เราทำกับข้าวไม่เป็น”
“นายกำลังพูดอยู่กับใคร นี่ลูกเต๋านะเว้ย.....ผู้เคยชินกับชีวิตตัวคนเดียว ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร”
“กินไม่ได้แน่ ๆ”
“ถะรุ้ยยยย!!!!”
ชีวิตเด็กหนุ่มมันก็แบบนี้แหละ ต้นกล้าคิด มีจริงมีเล่นบ้าง ถึงการวางแผนฆ่าคนจะสำคัญมากแค่ไหน แต่คนเราก็ควรแบ่งเวลาให้เรื่องอื่นบ้าง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ.....
ความสุขสำหรับเขาก็เหมือนคนที่ห่างไกล ใช่ว่าจะได้พบเจอกันบ่อยๆ
อีกอย่างเขาควรทำตัวเป็นปกติสิ แบบคนปกติที่ไปไหนมาไหนกับเพื่อนบ้าง ไม่ใช่เลิกเรียนแล้วก็ตรงดิ่งไปห้องใต้หลังคาบ้าง ตึกร้างบ้าง โรงงานร้างบ้าง สถานที่พวกนั้นมีแต่กลิ่นคาวเลือด กับกลิ่นเหม็นของซากศพ อดทนไว้เถิดไอ้สัตว์ประหลาด มึงได้กินสมใจแน่ ๆ อีกอย่างเพื่อป้องกันให้ใครก็ตามสะกดรอยเขาได้ยากขึ้น อย่าให้การไปฐานที่มั่นนั้นดูเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องผ่านเส้นทางเดิม ๆ
“คืนนี้ค้างห้องเราอีกก็ได้นะ....”
“ต้องกลับไปเอาชุดหรือเปล่า”
“ไปทำไม....ตัวเราก็พอ ๆกัน ยืมเสื้อพละเราใส่ก็ได้นี่”
“กางเกงในล่ะ”
“ใส่........ของเราก็ได้.....หรือกล้าจะไม่ใส่”
ต้นกล้าหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว.....
ทำไมนะ พอเป็นเรื่องของลูกเต๋าทีไร เขาพร้อมที่จะโยนทิ้งปัญหาทุกอย่าง แลกกับช่วงเวลาความสุขอันแสนสั้น
เขาก็คนนะ เขามีหัวใจ แล้วลูกเต๋าก็ไม่ใช่ความลุ่มหลง เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครง่าย ๆ และไม่ได้สนใจเพียงแค่รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย มิหนำซ้ำในตอนแรกเขายังนึกรำคาญคน ๆนี้ด้วยซ้ำไป ทว่าตอนนี้ความดีของลูกเต๋าเอาชนะหัวใจของเขาได้
ถึงจะได้แค่เพื่อนคนหนึ่ง มันก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม......
ชั่วโมงเรียนตอนบ่ายนั้นน่าเบื่อเกินกว่าจะทนนั่งเรียนอยู่ได้ ลูกเต๋าและต้นกล้าจึงชวนกันโดดเรียนไปนอนเล่นกันบนดาดฟ้าของอาคารเรียนใหม่ ไม่เป็นปัญหาสำหรับประตูที่ปิดล็อคเอาไว้ ต้นกล้าอดทึ่งไม่ได้กับความสามารถของอีกฝ่ายที่เขาเพิ่งได้เห็น คนหน้าทะเล้นค่อย ๆใช้คลิปลวดหนีบกระดาษแหย่เข้าไปในรูกุญแจ แค่ไม่กี่นาทีพวกเขาก็ถึงฐานทัพลับ ๆ แหล่งที่สองของต้นกล้า
“ลมเย็นจัง”
“มาตรงนี้ดิ....แดดไม่ส่อง”
“พวกเรากลายเป็นเด็กเกเรกันแล้วใช่ไหม.....”
“ต้องบอกว่าเป็นคู่เกรียนน่าจะเหมาะสมกว่านะ”
แผ่นหลังผอมบางพิงผนังตึก แม้สายลมยามบ่ายชวนให้เคลิ้มหลับ แต่หัวใจที่กำลังเต้นแรงราวกับรับคาเฟอีนเข้าไปมากเกินปกติ ทำให้ต้นกล้ายังลืมตาได้อยู่ ทั้งคู่หันมาสบตากัน ใบหน้าใกล้กันเพียงคืบ ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดกันทำให้เกิดความรู้สึกวาบหวิวในช่องท้อง
“เราว่ากล้าเนี่ย.....มอง ๆไปแล้วก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”
“เหมือนคนโรคจิตมากกว่า”
“กล้ารู้มั้ย....ที่โรงเรียนเก่า เรากับเพื่อนสนิทพูดกูมึงกันทั้งกลุ่มเลย”
“งั้นพวกเราคงยังไม่สนิทกันล่ะมั้ง”
“เรารู้สึกสนิทกับกล้าแล้วนะ.....แต่เราไม่อยากพูดแบบนั้นกับกล้าเลยว่ะ”
“นายสงสารเราใช่ไหม”
“เพราะกล้าพิเศษต่างหาก”
“เหรอ”
“แถมเข้าถึงยาก บางทีเราก็รู้สึกเหมือนคนบ้าที่พูดคนเดียว กล้ามากกว่าที่ไม่สนิทกับเรา”
“ถ้าไม่สนิทเราจะกล้าจูบเต๋าเหรอ”
คราวนี้ลูกเต๋าเป็นฝ่ายหน้าแดงบ้าง ต้นกล้าค่อย ๆเคลื่อนมือมากอบกุมมือของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ล่อตาล่อใจเขาเสียเหลือเกิน เขาจูบลูกเต๋าอีกแล้ว และอีกฝ่ายก็ไม่ขัดขืนเช่นเคย นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสับสน
ตกลงลูกเต๋าคิดกับเขาแค่เพื่อนจริง ๆน่ะหรือ หรือเพราะความรู้สึกอื่น ทำให้ไม่กล้าขัดขืน กลัว? สงสาร? เขาควรจะหยุดไหม
“ถ้าเต๋ารังเกียจ.....ก็บอกเราตรง ๆเถอะนะ” น้ำเสียงเศร้า ๆเอ่ยขึ้นหลังจากถอนจูบออกจากริมฝีปากของอีกฝ่าย
“ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่รังเกียจ”
“เราจะเป็นมากกว่าเพื่อนกันได้ไหม”
“เพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่ากล้าพิเศษ”
“หมายความว่าไง”
“คิดเองสิวะครัช”
“ถ้าให้เราคิดเองงั้นเราปล้ำนายนะเต๋า.....หึหึ”
“เย้ยยยย.....กล้าแม่งลามก”
ต้นกล้าไม่อยากสรุปอะไรทั้งนั้น ไม่อยากคิดไปเองหากอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยออกมา เขาขอแค่ช่วงเวลาอันแสนสุขแบบนี้ ความสุขที่เป็นของจริง ไม่ใช่หลอกตัวเอง ไม่ว่าเขากับลูกเต๋าจะคบกันในฐานะอะไรก็ตาม
แค่ได้อยู่ใกล้ ใช้เวลาร่วมกัน ได้ถึงเนื้อถึงตัวนิดหน่อย อาจจะฟังดูมักน้อย ทั้งที่อีกฝ่ายเปิดช่องด้วยคำตอบอันแสนกำกวม....
แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับต้นกล้า
เด็กหนุ่มผู้ขาดซึ่งความรัก
แต่ถ้าได้มากกว่าจูบก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“อยากได้ตุ๊กตาเหรอกล้า เราเห็นนายยืนจ้องนานแล้ว”
เด็กหนุ่มนึกถึงไอ้โจ๊กอีกแล้ว
คราวก่อนก็ในร้านขายของขวัญ พอมาคราวนี้เดินผ่านแผนกของเล่นเด็ก สายตาของเขาก็หยุดชะงักที่เจ้าตุ๊กตาหน้าตาประหลาด สะดุดกับดวงตาโตบ้องแบ๊วดูแล้วเหมือนมันกำลังออดอ้อนเชิญชวนให้ซื้อ
แถมยังสีเนื้อเหมือนไอ้โจ๊กอีกต่างหาก ถึงเจ้านี่จะดูน่ารักกว่ามากก็เถอะ
“มันตลกดี”
“ซื้อป่ะล่ะ”
“อืม.......สองร้อยห้าสิบเลยนะ....เงินเราไม่พอว่ะเต๋า”
“หยิบมาดิ เราออกให้ก่อน”
“ไม่เป็นไร”
ลูกเต๋าส่ายหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะฉวยเจ้าตุ๊กตาสัตว์ประหลาดนั้นโยนลงรถเข็นเสียเอง เจ้าตัวประหลาดนั้นดูไม่เข้าพวกเอาเสียเลย ในรถเข็นมีแต่อาหารกับขนมเต็มไปหมด
“พรุ่งนี้เราคืนให้”
“ไม่ต้อง เราซื้อให้กล้า.....สำหรับเพื่อนคนพิเศษ”
“เพื่อนคนพิเศษ.....ฟังดูไม่เลวนะ”
“ถ้าน่ารักไปตลอดแบบนี้เราจะเลื่อนตำแหน่งให้”
“เป็นแฟนใช่ไหม”
“เปล่า....เป็นพ่อ.....ไหน ๆพ่อเราก็ไม่ค่อยโผล่มาแล้วอ่ะนะ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
“ตลกใช่ไหม....ถ้าตลกนายต้องรู้จักหัวเราะออกมาดัง ๆแบบนี้....ฮั้วะว๊ะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“พอแล้วเต๋า มนุษย์ป้ามองแล้ว”
พรุ่งนี้ไอ้โจ๊กคงดีใจกับของเล่นใหม่ ต้นกล้านึกถึงหน้าของมันตอนที่กำลังดีใจ ฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมทุกซี่ มันคงทำเขาสยองโดยการกระโจนเข้ากอดอีกตามเคย
ค่ำคืนนี้ของไอ้โจ๊กนั้นมืดมิดกว่าคืนไหน ๆ ไม่มีท้องฟ้าให้มันมองออกไปนอกตึกร้างอีกแล้ว ไฟสปอร์ตไลท์นั้นดับไปแล้วตั้งแต่ตอนรุ่งสาง คืนนี้กล้าคงไม่มา มันเริ่มเรียนรู้กับคำว่าผิดหวัง
กับคำว่าเสียใจ....
“โจ๊กคิดถึงกล้า.....คิด.....ถึง”
มันกัดแทะร่างกายที่เต็มไปด้วยเนื้อและไขมันของไอ้อู๋ ประทังความหิวโหย ต้นกล้าคงกำลังหาอาหารให้มันอยู่สินะ เจ้าสัตว์ประหลาดพยายามคิดในแง่บวก วันไหนที่เด็กหนุ่มหายไป วันต่อมาเด็กหนุ่มมักมีของมาฝากมันเสมอ ไม่อาหารก็ของเล่น ไอ้โจ๊กคิดถึงแมวสีเทาด้วยเช่นกัน ถ้ามันยังได้อยู่ที่บ้านกับต้นกล้า มันก็ยังมีเพื่อนคลายเหงา
บางครั้งมันก็ไม่ต้องการที่จะโต
“พรุ่งนี้กล้าคงมาเนอะ”
เจ้าตัวประหลาดพูดคุยกับซากศพที่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของมันในยามนี้
ซากศพที่ไม่อาจคุยโต้ตอบมันได้
“เฮ้ยยยย.....หน้าตาดีทุกอย่างเลยว่ะเต๋า”
“เฮ้ยยยย.....กินก่อนมั้ยกล้า รสชาติมันอาจไม่ดีเหมือนหน้าตานะเฮ้ย”
“หมาไม่รับประทาน....”
“ถะรุ้ยยย.....จะบอกว่าอร่อยกว่าที่ตาเห็นต่างหาก”
บนโต๊ะกินข้าวมีอาหารหลายอย่าง ต้มยำทะเลน้ำข้น ยอดฟักแม้วผัดกับกุ้ง ต้มจืดเต้าหู้ขาว ลูกเต๋ายืนมองอาหารบนโต๊ะอย่างภูมิใจ ลูกเต๋ากับชุดกันเปื้อน.....ก็น่ารักไปอีกแบบนะ
“อร่อยวะ”
“ใช่มั้ยล่ะ ขนาดทำส่ง ๆ ยังได้ขนาดนี้”
“เหรอเต๋า.....ที่เห็นคือยังไม่ทุ่มสุดตัวใช่ไหม”
“เราชอบที่นายเริ่มพูดเล่น....เริ่มแซวเรากลับบ้าง....ค่อยคุ้มเหนื่อยหน่อย กินเยอะ ๆเลยนะ”
“นายก็มากินด้วยกันสิ”
“กินสิครับ ผมก็หิวนะแหม่”
ต้นกล้าตักข้าวให้อีกฝ่าย อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นลูกเต๋าถูมือไปมาก่อนจะลงมือกินอย่างน่าอร่อย นึกไปถึงก่อนหน้านี้ว่าลูกเต๋าต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตนี้อย่างโดดเดี่ยว มีคนมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสองครั้ง พ่อบังเกิดเกล้านั้นยิ่งแล้วใหญ่ นาน ๆถึงจะโผล่มาสักครั้งหนึ่ง
ทั้งชีวิตนั้นอบอวลไปด้วยความเหงา แต่คน ๆนี้กับร่าเริงและมีรอยยิ้มให้ทุกคนเสมอ
ก่อนหน้านี้อยากถามเหมือนกันว่าเหนื่อยบ้างไหมที่ต้องทำตัวมีความสุขตลอด
แต่ตอนนี้ต้นกล้าได้สัมผัสอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่การเสแสร้งว่ามีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการคิดบวกเพื่อให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุขต่างหาก
ไม่ใช่อย่างเขา.....ที่ทุกข์คนเดียวไม่พอ ยังแผ่กระจายออร่าความระทมทุกข์ให้คนรอบข้างอีก
ถ้าไม่มีลูกเต๋า เขาคงไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร
หลงรักคน ๆนี้.....
มากขึ้นทุก ๆวัน
“ใครสอนนายทำอาหาร”
“แม่เราน่ะ”
“นายเก่งมากเลยนะที่อยู่คนเดียวได้”
“แต่ก็เหงามากเลย.....ตอนมาอยู่แรก ๆ ก็แชทคุยกับเพื่อนเก่าทุกวัน.....แต่ตอนนี้มีกล้าแล้วไง”
“เราทำให้นายหายเหงาได้เลยเหรอ คนอย่างเราเนี่ยนะ”
“คนอย่างนายเนี่ยแหละ....ทำให้ชีวิตเราตื่นเต้นขึ้นแยะ ก็อย่างเวลาเล่นมุกเงี้ย.....ต้องคอยลุ้นว่ากล้าจะหัวเราะไหม เลเวลในการหัวเราะต่างกัน ถ้า...หึ แปลว่าโคตรฝืด หึหึ....เกือบขำแล้ว หึหึหึ....ขำนิดหน่อย ถ้าหึสี่ครั้ง....แสดงว่ามุกเราผ่าน”
“ขนาดนั้น.....”
“รู้ไหม.....บางครั้งเราก็อิจฉากล้านะ”
“อิจฉา.....เราเนี่ยนะ?”
“อิจฉาที่ได้กินข้าวฝีมือแม่ทุกวัน.....แหะ ๆ แต่วันนี้เราแย่งนายมานอนเป็นเพื่อนอีกแล้ว แม่นายจะด่าไหมวะ”
“นายคงไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวทั้งที่มีคนอยู่ด้วยสินะ.....”
“กล้า.......”
“ถ้ามีแม่แล้วเหมือนไม่มี เรายอมอยู่คนเดียวดีกว่า”
“งั้น.....นายกับเราก็ไม่ต่างกัน....เพราะงี้เราถึงได้ลงตัวกันไง”
“จริงของนาย”
“กล้าไปดูทีวีไป....เดี๋ยวเราเก็บล้างเอง”
“เราช่วยนะ”
ลูกเต๋าไม่เคยถามถึงครอบครัวเขา ไม่เคยอยากรู้ปัญหา คน ๆนี้มีแต่จะมอบความสุขความสบายใจให้เขาเสมอ....
เขาไม่เคยต้องการคำปลอบใจสวยหรู และอีกฝ่ายก็ไม่เคยให้สิ่งเหล่านี้กับเขา ถึงเคยก็น้อย....และไม่ถือเป็นสาระอะไร
แต่ลูกเต๋าก็เป็นคนเดียวที่ยืนข้างเขามาตลอด ปกป้องเขา....ทำให้เขายิ้มได้
เป็นแบบนั้นแหละดีแล้ว
ปล่อยเรื่องเลวร้ายให้เป็นหน้าที่ของเขาแต่เพียงผู้เดียวเถอะ
to be con
ตอนนี้ชิว ๆ พักเรื่องจิต ๆไปก่อนนะคะ ได้ฆ่าได้แกงกันแน่ค่ะ ในตอนต่อ ๆไป
กิ๊