บทที่ 30
ตำนานรักสองราชวงศ์ : สิ้นสุด...
ระหว่างที่พระชายาคาเซียทรงพักฟื้นพระวรกายตามรับสั่งขององค์ทริสเซย์อยู่นั้น ทางองค์ชายโซเทเรียและองค์ชายโซเนล์ก็เตรียมการที่จะเสด็จมายังเฟรนเซีย
องค์ทริสเซย์ทรงสั่งปูพรม ให้เหล่าทหาร นางข้าหลวงที่ไว้ใจได้ตรวจค้นทุกพื้นที่ในพระราชวังและภายในที่พักของเหล่าขุนนาง เพื่อค้นหาผู้ที่ปองร้ายพระชายา
การตามจับผู้ประสงค์ร้ายครั้งนี้ พระองค์ไม่อะลุ้มอล่วยเลยแม้แต่น้อย แม้เป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดปลายแถว พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้จับมาขังทั้งหมด เตรียมรอรับโทษ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังจับตัวการใหญ่ที่สุดยังมิได้ พระองค์ทรงรับสั่งให้เรลตามหาตัวการใหญ่ให้เร็วที่สุด และเงียบที่สุด เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ไหวตัวหนีหายไปเสียก่อน
และแน่นอนว่าเรลยินดีที่จะรับหน้าที่นี้อย่างเต็มใจ นางควานหาตัวของผู้บงการใหญ่อย่างเต็มความสามารถที่มีอยู่...
ระหว่างที่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในวังหลวงกำลังดำเนินไปนั้น เซทและเซเรลคอยอยู่กับพระชายาภายในห้องบรรทมเพื่อดึงความสนพระทัยของพระองค์ให้อยู่กับเด็กทารกสองคน เพื่อให้บุคคลข้างนอกทำงานได้อย่างสะดวก...
การลงโทษผู้ปองร้ายพระชายาคาเซียนั้น พระราชาทรงพระราชทานโทษสถานหนักให้กับทุกคนที่ร่วมกันกระทำ และโทษสถานเบาให้กับผู้ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งทีรับรู้แผนชั่วมาตลอด แต่ไม่ปริปากบอกกับพระองค์
ผู้ต้องอาญาในครานี้มีไม่มากนัก แต่ก็มีเสนาที่ทรงไว้วางใจรวมอยู่ด้วย...
“เสนาคลัง เราผิดหวังในตัวของเจ้าจริง ๆ”พระเนตรคมฉายแววกราดเกรี้ยว “เจ้ารู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจดีว่าทำเช่นนี้แล้วต้องโทษสถานหนัก ยังกล้าจะกระทำอีก”
“ฝะ. ฝ่าบาท”ใบหน้าอวบอูมซีดขาว เสนาบดีการคลังก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตากับองค์ราชา “กระหม่อม...”
“พาสนมไลเยลมา ขับนางออกจากอาณาจักร ประหารเสนาคลังในวันพรุ่ง”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
การตัดสินโทษเป็นไปอย่างรวดเร็วและหนักหนายิ่งนัก ไม่มีการลดหย่อนโทษลงเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด การตัดสินโทษทัณฑ์ครั้งนี้หนักหนายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ สำหรับทุก ๆ คน
แต่สำหรับองค์ทริสเซย์และผู้ที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนั้น การลงโทษเพียงเท่านี้ถือว่าเบาเป็นอย่างยิ่ง... เมื่อเทียบกับการที่ต้องสูญเสียพระราชธิดาองค์แรกไป...
“ข้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่รับรู้เลยแม้แต่น้อย...”เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบา ๆ เรียกให้คนที่หันหลังให้อยู่ต้องหันหน้ามาหาตัวเขา “ข้าไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ”เสียงใสเอ่ยกลับอย่างงุนงง “เจ้าไม่อยากจะเชื่อเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าน่าจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว... สิ่งที่เจ้ากระทำลงไป สิ่งที่เจ้าทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“ไม่ต้องมีเสแสร้งกับข้า... เจ้าสามารถหลอกคนอื่นได้ แต่เจ้าไม่สามารถที่จะหลอกข้าไปอีกต่อไป...”เรลตวาดลั่น “ข้าต้องนับถือในการเล่นละครของเจ้าจริง ๆ เก่งยิ่งนักที่ทำให้ทุกคนหลงเชื่อเจ้าได้เช่นนี้”
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดนะ เรล”
“เจ้ารู้อยู่แก่ใจดีมิใช่หรือ”
“เรล เจ้าพูดอะไรน่ะ”
“พูดความจริงไงล่ะ ทำไม รับความจริงไม่ได้หรืออย่างไร”
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้า เจ้าถึงพูดกับข้าเช่นนี้”
“เจ้าทำให้นายของข้าต้องเจ็บปวด ทำให้พระองค์ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป เจ้ากล้าดีอย่างไร”
“เจ้าเอาอะไรมาพูดกัน เรล ข้ามิได้กระทำอันใดเลยแม้เพียงน้อยนะ”
“ใช่ เจ้ามิได้ทำอันใดด้วยมือของเจ้าเอง แต่เจ้าหลอกใช้พวกพระสนมที่โง่งมและขุนนางละโมบทำแทนทั้งหมด คิดว่าจะปัดความผิดทั้งหมดนั่นพ้นตัวเช่นนั้นหรือ ไม่มีทาง”
“เจ้ามาหลักฐานอะไรมากล่าวหาข้าน่ะ เรล”
“นี่ไงหลักฐาน”กระดาษจำนวนไม่น้อยและห่อยาถูกโยนไปให้หญิงสาวตรงหน้า “ข้ารวบรวมมาให้หมดแล้วนี่ไง”
“จะ. เจ้า”
“ไม่มีอันใดจะแก้ตัวแล้วล่ะสิ... เอลน่า!!!!”
“เหอะ แล้วยังไงล่ะ”เอลน่าแสยะยิ้มออกมา “มันก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กับสิ่งที่มันกระทำเอาไว้”
“พระชายาไปทำอันใดให้กับเจ้า เอลน่า พระองค์ทรงดีกับเจ้าทุกอย่าง มิเคยล่วงเกินเจ้าแม้เพียงสักครั้ง ทั้งยังคอยปกป้องเจ้าอยู่ตลอด เพราะเหตุใดกัน”เรลเอ่ยถามเสียงดังลั่น “เพราะเหตุใดกันเจ้าถึงทรยศต่อความไว้ใจของพระชายาเช่นนี้”
“เจ้าไม่รู้อะไร เรล”เอลน่าตวาดกลับเสียงสูง “เจ้าไม่เคยรู้อะไร... ข้าน่ะ อยู่เคียงข้างฝ่าบาทมาตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะทรงได้รับตำแหน่งรัชทายาท คอยดูแลพระองค์มาตลอด อีกทั้งตัวข้า... ยังเป็นเมียคนแรกของพระองค์ พระชายาคาเซียกับพวกพระสนมมีสิทธิ์อะไรมาแย่งฝ่าบาทไปจากข้า ทั้ง ๆ ที่ข้าได้พบกับพระองค์ก่อนใคร ได้ร่วมหลับนอนกับพระองค์ตั้งแต่พระองค์เพิ่งย่างเข้าวัยกำดัด ทำไม!”
เอลน่ากำมือแน่นด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมา นางมองเรลด้วยแววตามุ่งร้ายอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก ทั้ง ๆ ที่ข้า สมควรจะได้เป็นพระมารดาของลายพระโลหิตองค์แรกของฝ่าบาท ทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งผู้เป็นที่รักของพระองค์สมควรเป็นข้าแท้ ๆ แต่มันก็แย่งทุกอย่างไปจากข้า พวกสนมอีก พวกมันแย่งฝ่าบาทไปจากข้า พรากทุกอย่างไปจากข้า พวกมันทำให้ข้าต้องแท้งลูก ทำให้ข้าหมดสิ้นหนทางขึ้นสู่ตำแหน่งดวงหฤทัยของฝ่าบาท”
น้ำตาแห่งความแค้นและความเจ็บปวดไหลรินออกมาจากดวงตาของเอลน่า นางกรีดร้องความในใจออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“เอลน่า... เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลย”เสียงหวานใสดังขึ้นในเงามืด ก่อนที่ร่างของเมร่าจะก้าวเดินออกมา “เจ้าไม่น่าคิดเช่นนั้นเลย เอลน่า...”
“เมร่า... เจ้าก็รู้เรื่องนี้ไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ว่าข้ารักฝ่าบาทมากแค่ไหน...”เอลน่าหันไม่หาเพื่อนสนิทของนาง “เจ้าก็รู้... ว่าจ้าต้องสูญเสียลูกไปเพราะใคร”
“นั่นมันใช่ความผิดของพระชายาเช่นนั้นหรือ เอลน่า”เมร่าส่ายหน้าน้อย ๆ “เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าพระชายามิได้ทำอะไร เจ้าเอาความแค้นที่เจ้ามีหลอกใช้พระสนม... มาทำร้ายพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่เคยรู้เห็นเรื่องอันใดเลย เจ้าคิดว่ามันถูกแล้วเช่นนั้นหรือ”
“เมร่า...”
เอลน่าทรุดตัวลงไปกองอยู่กับพื้น... ใช่ พระชายาไม่เคยทำร้ายนาง ไม่เคยเลย แต่ที่นางทำร้ายพระองค์ไปนั้น เพราะตัวนางทนไม่ได้ ที่จะเห็นพระชายามีความสุขกับองค์ราชา... นางทนไม่ได้กับการถูกทิ้งโดยมิใยดี แม้การร่วมหลับนอนกับองค์ราชาในครานั้นก็เพราะพระองค์ทรงร่ำน้ำจัณฑ์จนเมามาย พระองค์ทรงมิเคยรู้ด้วยซ้ำว่าได้ตัวนางไปแล้ว... ถึงเป็นเช่นนั้น นางก็รักพระองค์เหลือเกิน รัก... จะมิอยากที่จะยกให้ใครไป
“เจ้าทำเช่นนี้มันสามารถสลายความแค้นของเจ้าได้ไหม”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับที่วรกายสูงใหญ่จะเสด็จออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง “เจ้าคิดว่าข้าจะมาสนใจเจ้า เมื่อไม่มีคาเซีย ไม่มีเหล่าสนมเช่นนั้นหรือ เอลน่า”
“ฝ่าบาท...”
“เจ้าไม่ได้เจอข้าก่อนใครคนอื่น เอลน่า”พระโอษฐ์หนายกยิ้มขึ้นน้อย ๆ “ตัวข้าเองต่างหากที่ได้พบกับคาเซียก่อน... และข้าก็รักเขามาตั้งแต่ตอนนั้น”
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ... ฝ่าบาท หม่อมฉันรับใช้พระองค์มาตั้งแต่มีพระชนมายุ 14 ชันษา หม่อมฉันเป็นนางกำนัลสาวคนแรกของพระองค์...”
“ใช่ เจ้าเป็นนางกำนัลวันสาวคนแรกของข้า แต่ข้า ได้พบกับคาเซียก่อนที่เจ้าจะเข้ามารับใช้ข้า... ข้าได้พบเขาตั้งแต่เขายังมีอายุเพียงแค่สามขวบ ตอนนั้นข้ายังอุ้มเขาอยู่เลย...”
พระองค์อดที่จะยิ้มอย่างอ่อนโยนมิได้เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้... เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เดินเตาะแตะเข้ามาหาพระองค์ มือน้อย ๆ ดึงชายฉลองพระองค์เบาๆ แล้วยิ้มกว้างส่งให้อย่างน่ารัก
นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน... พระองค์ประทับใจในความสดใส ร่าเริงขององค์ชายน้อยยิ่งนัก แม้ในเวลานี้ เด็กน้อยน่ารักคนนั้นจะหายไปด้วยกาลเวลาแล้วก็ตาม... แต่ความขี้อ้อนและรอยยิ้มอันน่าหลงใหลก็ยังคงอยู่คู่กับคนที่พระองค์รักเสมอมา
“ฝ่าบาท...”เสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างแหบแห้ง เอลน่าหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจออกมาแอบแก้มเนียน “พระองค์เคยมีหม่อมฉันอยู่ในพระหฤทัยบ้างไหมเพคะ...”
องค์ทริสเซย์ทอดพระเนตรนางกำนัลที่รับใช้พระองค์มานานด้วยแววพระเนตรเฉยเมย
“ใจของข้ามีเพียงคาเซียคนเดียวมานานแล้ว”พระองค์ตรัสตอบตามที่นางกำนัลต้องการ “ไม่มีใครมาแทนที่รักแรก และรักเดียวของข้าได้”
เอลน่าลงไปนอนหมอบกองอยู่กับพื้น... ร่างของนางสั่นสะท้าน เสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจดังก้องห้องอักษรแห่งนี้
ระหว่างการสนทนาในห้องทรงอักษรที่ทุกคนคิดว่าเป็นส่วนตัวที่สุดนั้น... มีใครหลายคนยืนนิ่ง ฟังบทสนทนานั้นอยู่หน้าห้อง
องค์คาเซียทรงอุ้มพระโอรสเอาไว้ ประทับยืนฟังบทสนทนามาตั้งแต่ต้น... ในเวลานี้พระอารมณ์ของพระองค์นั้นตีกันไปหมด ทั้งเจ็บปวด ดีพระทัย เสียพระทัย ตกพระทัย ตีกันมั่วอยู่ในพระอุระ
เนลทอดมองร่างของผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง นางมิอยากให้พระองค์ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย นางมิอยากให้พระองค์ต้องคิดมาก ต้องเสียพระทัย อีกต่อไปแล้ว เมื่อใดกันนะ ความสุขจะมาหาคนดี ๆ อย่างนายเหนือหัวของนางเสียที
เรฟยืนโอบเซทที่อุ้มลูกอยู่นิ่ง พวกเขาต่างรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกับการดีรับรู้เรื่องนี้... พวกเขาต่างเห็นเอลน่าเป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้... ในวันนี้ ทุกอย่างกับไม่เหมือนอย่างที่คิด
ความรู้สึกของผู้เป็นแม่สื่อถึงลูกน้อยในอ้อมแขน เซเซียช้อนตาขึ้นมองพระมารดาน้อย ๆ พระองค์เบ้พระโอษฐ์ ก่อนที่จะส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น
“แง๊ ๆ ๆ ๆ ๆ อุแว๊ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เสียงร้องขององค์ชายดังไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจของคนภายในห้องได้ชะงัก
“อ๊ะ... โอ๋ ๆ เซเซีย ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง เจ้าชายน้อยของแม่”องค์คาเซียทรงปลอบโอรสตัวน้อยอย่างอ่อนโยน แม้ในดวงหฤทัยยังคงว้าวุ่นมากแค่ไหนก็ตาม
“อึก ๆ แง๊ ~ ”องค์เซเซียยังคงร้องไห้ไม่หยุด ไม่ว่าพระชายาจะทรงปลอบโยนพระองค์เพียงไร เสียงร้องก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
องค์เซเซียน้อยคงมิหยุดร้องเป็นแน่แท้... ถ้าพระองค์ยังคงสัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองในพระทัยของพระมารดาเฉกเช่นนี้
องค์ทริสเซย์ทรงเปิดบานทวารออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงของโอรสที่รัก... พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระชายาทรงปลอบโยนองค์เซเซียอยู่ด้วยพระเนตรที่ฉายแววสับสน นางกำนัลเนลที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล และสององครักษ์ที่เบนสายตา ไม่สบกับพระองค์
พระหัตถ์แกร่งยื่นมาโอบอุ้มลูกน้อยเอาไว้ เมื่อองค์ชายน้อยเข้าสู้อ้อมกอดของพระบิดา เสียงร้องไห้ก็ค่อย ๆ สงบลงก่อนจะเงียบหายไป
“แอ๊ ~ ”องค์เซเซียยิ้มกว่างให้พระราชบิดา แล้วปิดพระเนตรลง ก่อนที่จะบรรทมไป...
องค์ทริสเซย์ส่งองค์ชายไปให้เนลอุ้มกลับห้องบรรทมขององค์คาเซีย ก่อนที่พระองค์จะทรงพาพระชายาไปยังห้องบรรทมของพระองค์เอง
“เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่ไหม... คาเซีย”พระองค์ตรัสถามแผ่วเบา... ทั้ง ๆ ที่ทรงคาดเดาไว้แล้วว่าพระชายาของพระองค์นั้นจะต้องได้รับฟังบทสนทนาที่น่าสะเทือนใจนั้นเป็นแน่
“พะยะค่ะ... ฝ่าบาท”เสียงที่ตอบกลับพระองค์นั้นช่างเลื่อนลอยยิ่งนัก
“ไม่เป็นไรใช่ไหม...”พระองค์ทรงทรายดีว่าคนรักของพระองค์นั้น ไว้ใจนางกำนัลของพระองค์มาแค่ไหน เชื่อใจมากเพียงไร... แต่เมื่อโดนทรยศหักหลังเช่นนี้ คงเจ็บปวดมิน้อย
“ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ ทริสเซย์”ร่างบางโถมเข้ากอดวรกายหนา พระพักตร์งามซุกเข้ากับพระอุระแกร่ง “ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ...”
“เข้มแข็งนะ คาเซีย ยอดดวงใจของข้า”องค์ทริสเซย์ทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อได้ยินพระนามของพระองค์หลุดออกมาจะพระโอษฐ์ของพระชายา
ร่างขององค์คาเซียสั่นเทา พระองค์ทรงเจ็บปวดพระหฤทัยยิ่งนัก กับการโดนคนที่ทรงไว้พระทัยทรยศเช่นนี้ น้ำพระเนตรหลั่งรินด้วยความเสียพระทัยอย่างหนัก
ทำไม... ทำไมกัน... ทำไมถึงทำเช่นนี้กับเรา ทำไม...+++++++++++++++
มาแล้วค่ะ... มีใครเดาตัวร้ายของเรื่องนี้ถูกไหมนะ...
ใกล้จบแล้วนะคะ^^V ดีใจ~
ขอบคุณค่ะ
//
กลับหลืบ...