“เป็นไง”
คนข้างๆ ถามเมื่อคอนเสิร์ตจบ คราวนี้ผมเป็นคนขับ เขาอ้างว่าเพราะขามานำทางแล้ว อยู่ๆ ก็ลืมทางกลับที่ซุกหัวนอนเฉย หลังงานเลิกรถไม่ติดแล้ว เขาพาผมกินก๋วยเตี๋ยวง่ายๆ แถวที่จัดคอนเสิร์ตจนอิ่ม แต่ที่สาหัสกว่าค่าก๋วยเตี๋ยวกับบัตรคอนฯ รวมกันคือค่าซีดีเพลงที่เปิดอยู่ ผมฮัมตามในท่อนฮุก เป็นงานรวมเพลงของศิลปินวันนี้ที่รีมิกซ์ขึ้นใหม่แบบลิมิเต็ดอิดิชั่น ไอ้สัดเข็มไม่เปย์ เขาสั่งให้ผมซื้อแล้วมาฟังด้วยกันบนรถแทน
“ดี ไม่ค่อยได้มาแบบนี้ ปกติไปงานใหญ่ๆ”
“อือ งานนี้มันเล็กๆ เฉพาะกลุ่มจริงๆ ค่ายใหญ่บางค่ายก็มาส่องหาเด็กตามงานนี่แหละ”
“ยูทูปแชนแนลก็มีแล้วปะครับ”
“ได้ฟังร้องสดมันก็ดีกว่าปะล่ะ” เข็มทิศว่า ซึ่งขัดไม่ได้จริง ผมเออออไปกับเขาทุกอย่าง “ถ้าคราวหน้ามีงานแบบนี้อีกอยากมาไหม”
“มาดิๆ”
“อืม ไว้มาด้วยกัน เดี๋ยวชวน”
เยกเข้ เชื่อไหมประโยคเบสิคเมื่อกี้ทำหัวใจผมเต้นตุบๆ ตุบๆ เร่งปรับแอร์ขึ้นให้ลมตีหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาเฉยๆ ผมเหลือบมองคนพูด เขาโยกหัวมองออกไปนอกกระจก แสงไฟตามถนนเป็นสีส้มกระจายมาจากหลอดไฟเป็นจุด เมื่อเรียงกันบนถนนยาวเป็นเส้นประคล้ายไฟประดับในงานเทศกาล แวบเดียวก็มองตรงกลับมาบนถนนสายหลัก พร้อมกับโทรศัพท์ของคนข้างๆ ดังขึ้น
เข็มทิศที่อมยิ้มตั้งแต่ออกจากงานเริ่มมีสายตาเหมือนเก่า มันว่างเปล่าจนผมนึกถึงเข็มทิศคนที่มีกำแพงของตัวเองเป็นหินจากดาวอังคารที่ไม่มีวัสดุไหนทำลายได้ยกเว้นหาประตูสักบานแล้วเคาะโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าถ้าเปิดให้เข้า เขาจะได้รับของขวัญคืออะไร
“ป้าจอยเหรอ”
“เปล่า”
เขาหงายโทรศัพท์ให้ดู แม่ผลไม้ร้อยเม็ดนั่นเอง ผมเริ่มฉุนแล้วเหมือนกัน ทำไมกูเดาว่าแม่แล้วต้องเป็นอีนี่ตลอดเลย “รับดิ”
“ไม่อะ โทรมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวก็วาง”
“ถ้าไม่อยู่กับผม คุณจะรับใช่ปะ”
ดวงตาคู่นั้นแสดงนัยยะออกมาถึงความลังเล ผมเปิดไฟเลี้ยว จอดรถข้างทาง
“ทำให้เด็ดขาดไปดิ ก็ลังเล ใจอ่อนแบบนี้ไงถึงได้กลายมาอยู่ในสถานะนี้มาตลอด คุณควรได้รับความรักที่ดีกว่านี้นะเว้ย นี่มันไม่ใช่รัก มันเห็นแก่ตัว”
“ก็พยายามอยู่”
“พยายามก็รับ เปิดลำโพง แล้วเงียบ”
ผมรำคาญ อยากพูดว่ารำคาญสักสิบแปดล้านรอบแต่นับถึงสิบห้าก็ลืมแล้วว่าทำอะไรอยู่ ตัดปัญหาให้เด็ดขาดง่ายกว่านั้นเยอะ เข็มทิศมองหน้าชั่งใจ สุดท้ายก็ทำตาม เขาวางโทรศัพท์แล้วเงียบ ผมหยิบมาให้พอได้ยินเสียงพูดของตัวเองลอดเข้าไปในสายแบบไม่จงใจนัก หรี่เสียงเพลงให้เบาลงสร้างบรรยากาศ
“พี่เข็ม น้อยโทรหา...”
“อื้อ!!!เข็ม...รับโทร...อื้อ....โทรศัพท์......”
ขยับตัวบนรถ จอโทรศัพท์เข้ากับสปริงเบาะให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด จงใจหายใจหืดหาดใส่ลำโพงเป็นจังหวะ บีบเสียงเบาหวิว ส้่นพร่า
“อื้อ...จะเสร็จแล้ว...อื้อ....แตกเลย...อื้ออ...แตกในตัวเค้าเลย...”
ปลายสายตัดไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ รัวข้อความด่าสารพัดส่วนใหญ่เป็นคำว่าไอ้ทุเรศเด้งขึ้นหน้าจอจนไม่เห็นแบ็คกราวน์โทรศัพท์ เจ้าของเครื่องตาเหลือก หน้าถอดสี คงคิดไม่ถึงวิธีนี้ ผมว่าคนอื่นก็คงคิดไม่ได้ แต่นี่ก็อปปี้ไรเตอร์มือขวาของพี่รูญนะครับ
“ทำอะไรของนายวะ...”
“ทำเสียงเยกันไง ผู้หญิงที่ไหนจะอยากเป็นชู้กับเกย์” ผมหมายถึงผู้หญิงประเภทที่ชอบผู้ชายที่หน้าตา ลักษณะภายนอก แบบควงไว้อวดชาวบ้านคนหนึ่ง เก็บไว้เป็นคู่ชีวิตอีกคนหนึ่ง “ทำไม คุณมีปัญหาอะไร โทรไปง้อก็ได้นะว่าเพื่อนแกล้ง”
ผมคืนโทรศัพท์ให้เขา เร่งเสียงเพลงอีกครั้ง สตาร์ทรถก่อนเคลื่อนตัวออก ที่เหลือก็แล้วแต่เขา แล้วแต่จริงๆ ถ้าโทรไปง้อกูเก็บของกลับบ้านคืนนี้แน่ ไม่รอให้ใครมาฉีกอกหรอก
เข็มทิศกดอ่านข้อความทั้งหมด สีหน้าเรียบเฉย ผมไม่เห็นเนื้อหา พักใหญ่กว่าจะพิมพ์ตอบอะไรสักอย่างแล้วพูดออกมา
“เราพิมพ์บอกไปว่าขอโทษ แต่พยายามบอกเป็นนัยหลายครั้งแล้วว่าตอนนี้คบกับคนที่อยู่ด้วยกัน”
อันนี้ก็เหนือความคาดหมายไปหน่อย แต่น่าพอใจ เลิกให้กูเห็นสักทีเถอะเรื่องนี้ หงุดหงิดฉิบหาย
เพลงป๊อบวงโปรดของเขาเล่นถึงท่อนฮุกพอดี เขาถามผมเบาๆ แต่ได้ยินชัด
“ถามหน่อย เวลาเอากับคนอื่นครางแบบนี้จริงดิ”
ชายหนุ่มหัวเราะ จากในลำคอค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ผมร้อนที่หูอีกแล้ว แต่ก็หัวเราะตามจนได้
“บ้าปะ เป็นผู้ชายต้องขรึมๆ สิวะ”
“เสียงแม่งโคตรได้จังหวะกับตอนโยกเบาะ”
“ผมเซียนนะครับ ทำเป็นเล่นไป”
ข่มพอเป็นพิธีก่อนร้องแหกปากกับท่อนที่ไม่ได้มันเหี้ยอะไรเลยด้วยกัน
“...หรือเพียงที่ผ่านมา ฉันเองที่ผิดไป ที่รักเธอจนหมดหัวใจอย่างง่ายดาย”
“มึงร้องโคตรเพี้ยน”
“มึงเสียงดีตายล่ะ” ผมสวนกลับทันที เข็มทิศหายใจแรง ก่อนเกิดเสียง ปึง!!!
หมัดหนักๆ ฟาดลงบนคอนโซลหน้ารถก่อนคนต่อยรถจะฟุบลง ไม่ใช่เพราะโกรธที่ผมว่าเขาเสียงไม่ดีหรอก แต่กำลังข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ต่างหาก ผมเหมือนกัน ดีนะที่รถกูแข็งแรง ถ้ามึงต่อยแล้วพลาสติกลูกชายกูแตกเนี่ยกูจะบอกผัวอีน้อยหน่าให้มายิงมึง ไอ้เวร
“จอดรถแป๊บดิ”
อีกสี่ร้อยเมตรจะถึงคอนโดอยู่แล้ว แต่ผมยอมทำตามโดยไม่ถาม ตีไฟระวังเอาไว้ ระวังตำรวจล็อกล้อ ไม่ใช่ระวังคันหลังมาเสย ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง และก็เลือกพูดในสิ่งที่จริงที่สุดของชีวิต
"เข็มทิศ...เป็นมะเร็งก็ต้องผ่า ผมรู้นะว่ามันเจ็บ แต่ว่า..."
“............”
วินาทีที่ยังพูดไม่จบนั้นเป็นช่วงเวลาที่ถูกคว้าคอเข้าหา เข็มทิศจูบผมรุนแรง หนักหน่วง จูบแบบคนต้องการปลดปล่อยพันธนาการทั้งหมดของตัวเองออกมา ผมนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูกครู่หนึ่งก่อนกัดปากเขาแล้วจูบกลับไปอย่างอ่อนโยน
กลิ่นลมหายใจเราปนกัน ไอระอุทำให้แก้มร้อนผ่าวเสียงของน้ำลายและจังหวะกลีบปากยามบดเบียดและถอนออกดังในรถสี่ประตู จูบทั้งที่ไม่รู้ว่าจูบทำไม จูบทั้งๆ ที่ไรหนวดมันขูดครากจนผมแสบริมฝีปากไปหมด
“โทษว่ะ...แค่รู้สึกอยากจูบ”
“อือ”
ผมตอบเมื่อผละตัวออกมา ผมก็อยากจูบเขาเหมือนกัน และก็ไม่รู้ว่าทำไม
“กลับได้ยัง ง่วงแล้ว”
ไม่มีการสื่อสารใดต่อจากนั้น เราต่างเงียบและจมในภวังค์ของตัวเอง ภวังค์ที่ทั้งเต็มตื้นและว่างเปล่าคละคลุ้งสับสนปะปนกันไป ผมไม่ปลอบเขาต่อ และดูคล้ายเข็มทิศได้รับรางวัลที่ดีมากพอสำหรับการหั่นเฉือนชิ้นส่วนมะเร็งของความรู้สึกไปแล้ว
"ขอบใจ ทุกอย่างเลย"
เจ้าของห้องพูดทิ้งไว้เมื่อถึงที่หมาย เข็มทิศลงจากรถ เดินจ้ำไปในสวนหย่อมของคอนโด ผมไม่ตามไป แต่คิดว่าคงเป็นอีกคืนที่หนักสำหรับเขา
อาจเป็นเพราะเราต่างรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ..
พรุ่งนี้จะดีขึ้นเอง
.
.
#westonwednesday มาแว้วววว
เริ่มมีความคืบหน้าแล้วค่ะ ความสัมพันธ์ของเพื่อนชายนี่มันกรุ๊งกริ๊ง งุ้งงิ้งดีเหมือนกันเนาะ
เรื่องนี้อีเบ๊บตัวแสบจะเป็นผู้ชายสายปากจัดๆ เชื่อว่าในชีวิตต้องเคยเจอคนแบบนี้กันแน่ๆ เป็นกำลังใจให้จ่าอีกคืน ได้รางวัลไปแล้วห้ามชิ่งนะเออ
เริ่มมีคนอ่าน คนคอมเมนต์มากขึ้นก็ยิ่งเขียนสนุกขึ้นไปเรื่อยๆ เลย ดีใจจัง
อันนี้เอาเพลงมาฝาก เนื้อหาที่หยิบเอานักร้องมาเป็นเรื่องสมมติ แต่วงนี้มีจริงนะ
ส่วนคนแนะนำให้เรารู้จักคือ -JittiRain- ค่ะ นังฟังมาจากร้านเหล้า น้องมีภารกิจที่ร้านเหล้าค่ะ น้องกำลังบวมเป็นถังเบียร์เลยได้ยินเพลงนี้มา