บทที่ 2 หลบหนี จู่ๆผมรู้สึกหนาวสั่นหลังขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์ของผมกำลังร้องเตือนถึงเรื่องอันตรายบางอย่าง ลางของผมค่อนข้างเชื่อถือได้เกินแปดสิบเปอร์เซ็น และส่วนใหญ่ลางสังหรณ์ของผมก็มักถูกต้องเสมอ ดูท่าจะไม่ดีซะแล้ว ผมผละจากเตาในห้องครัวและเดินไปที่ข้างหัวเตียง เพื่อหยิบกุญแจสีเงินดอกเล็กขึ้นมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากในห้องน้ำ ดวงตาของผมจ้องมองไปยังทิศทางนั้นและพยายามมองทะลุเข้าไปถึงข้างใน ผู้ชายอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง ดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่ ดอนในหมู่ดอนด้วยกันยังต้องเกรงใจ
ซวย คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ชื่อของผู้ชายคนนั้น ผมก็แค่มีความสามารถเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ใช่ว่าผมจะประมาทมากเกินไป แค่ไม่นึกว่าคนระดับนั้นจะมานอนจมกองเลือดต่อหน้าผมเท่านั้นเอง
แอด
เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาด้วยท่าทางมั่นคง ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้บาดเจ็บสาหัสมาก่อน แม้ท่าเดินยังขัดๆอยู่บ้างแต่ก็ยังเดินเหินได้เกือบปกติ ผมผายมือเชิญเขานั่งที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ที่มีไข่ดาว แฮม และไส้กรอกอย่างง่ายๆให้ทาน
“ทานได้ไหมครับ” ผมถามเขา หลังจากเห็นเขานั่งมองอาหารเช้าที่ผมทำให้
“ได้” เขาจัดการลงมือทานอาหารอย่างเงียบๆ ผมก็เช่นเดียวกัน ไม่มีบทสนทนาใดใดระหว่างพวกเรา แต่บรรยากาศก็ไม่อึดอัดอย่างที่คิด เสียงช้อมส้อมกระทบกับจานจนเกิดเสียงขึ้นบ้างบางครั้ง แต่ตลอดมื้อเช้านั้นทั้งผมและเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย จนกระทั่งเขารวบช้อนและวางไว้อย่างเรียบร้อย ผมจึงลุกขึ้นเพื่อเอาจานของเขาไปล้าง โดยทุกการกระทำของผมอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา
ในระหว่างที่ผมกำลังล้างจานอยู่นั้น ดราโกก็ทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยคำถามที่ว่า
“เธอชื่ออะไร” เขาถามแบบเดิม และผมก็ตอบแบบเดิมเช่นเดียวกัน
“มาร์ตินครับ”
“ชื่อจริงๆเธอล่ะ” ผมรู้แล้วล่ะครับว่าเขาไม่เชื่อผมจริงๆ แต่ผมก็ยังยืนยันชื่อที่ผมพึ่งคิดขึ้นมาสดๆร้อนๆต่อไป
“มาร์ตินครับ”
“อายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบแปดครับ” ผมโกหกออกไป โดยเพิ่มอายุให้ตัวเองอีกสองปี
“โกหกซินะ เธอดูเด็กกว่านั้น” ดราโกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ “แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมเช็ดมือที่เปียกจากการล้างจาน และหันไปคว้าอุปกรณ์ทำแผลที่วางไว้บนโต๊ะเล็กขึ้นมาและเดินไปหาเขา ดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่ “ผมจะทำแผลให้ครับ”
ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูร้ายกาจพยักหน้ารับ เขาหันตัวออกมาด้านข้างโดยเบี่ยงตัวออกห่างจากโต๊ะกินข้าวเล็กน้อย ผมจึงลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ เพื่อง่ายต่อการทำแผล ดราโกปลดกระดุมเสื้อออกเผยแผงอกสีแทนแน่น และมีผ้าก็อตปิดแผลอยู่ตรงหัวไหล่ หลังจากทำแผลตรงนั้นเสร็จ ผมก็เลื่อนลงมาตรงช่วงท้องน้อยของเขาที่มีซิกแพคแน่นๆขึ้นรูปชัดเจน ใช้เวลาไม่นานแผลทั้งสามก็ทำความสะอาดและใส่ยาจนเสร็จเรียบร้อย ผมเก็บอุปกรณ์ไว้ที่เดิม และลากเก้าอี้มาเก็บไว้ตรงฝั่งตรงข้ามที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะผละจากไป เขาก็พูดขึ้นมา
“นั่งก่อนซิมาร์ติน” ดราโกพูดเสียงเรียบ แต่ปลายเสียงที่เอ่ยชื่อปลอมของผมกลับมีแววเยาะเล็กน้อย ผมคิ้วกระตุก จับน้ำเสียงและแววเสียดสีเล็กๆนั้นได้ เอาเถอะ อยากประชดก็ประชดไป ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามและรอมาเฟียหนุ่มเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา
“ทำไมเธอถึงช่วยฉัน” เขาเริ่มต้นถามคำถามที่ค้างคาใจตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา โดยทั่วไปคนปกติไม่มีทางช่วยเหลือคนที่โดนยิงและเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง ถ้าให้ตัวเองปลอดภัยก็ต้องโทรเรียกตำรวจหรือไม่ก็เรียกรถพยาบาล แต่เด็กคนนี้ กลับเลือกที่จะเอาตัวเข้ามายุ่งวุ่นวายและช่วยเหลือคนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเช่นเขา
“ไม่อยากช่วยเท่าไหร่ แต่คุณบอกไม่อยากตาย ผมเลยช่วย” ผมตอบเสียงเรียบตามความจริง
“ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจหรือโทรไปโรงพยาบาลล่ะ” ดราโกถามต่อ และคำถามนี้ทำให้ผมเลิกคิ้วแปลกใจ
“คุณจำไม่ได้เหรอครับ? คุณบอกผมเองว่าไม่ให้โทรเรียก”
“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มผมสีดำสนิทนิ่งเงียบไป “เพราะแค่ฉันพูดว่าไม่อยากตาย เธอเลยช่วยฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ แค่นั้น”
“เพราะอะไร?” มาเฟียหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ ดวงตาสีทองแววาวพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาของผม
“ไม่ขอตอบครับ” ผมไม่ไว้วางใจเขามากพอที่จะพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวผมออกไป คนที่เป็นถึงดอนในหมู่ดอนด้วยกันยังหวั่นเกรง เขาคนนี้จึงไม่ธรรมดา แค่นี้ทำผมเหงื่อซึมแผ่นหลังไปหมดแล้วล่ะครับ แม้หน้าตาผมจะนิ่งขนาดไหนก็เถอะ ผมยังกลัวเป็นนะ
“คุณ จะติดต่อใครไหมครับ ผมรักษาเท่าที่ทำได้ ยังไงคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที” ผมพูดขึ้นบ้าง โดยไม่ลืมที่จะเลื่อนโทรศัพท์มือถือของผมให้เขา ดราโกรับมือถือไปแต่ก็ยังลังเลไม่ยอมกดเบอร์โทร ผมเห็นดังนั้นเลยลุกขึ้นเพื่อเลี่ยงออกไปให้เขาคุยโทรศัพท์ได้สะดวก แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเขาก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคที่ทำให้ลางสังหรณ์ของผมยิ่งส่งสัญญาณร้องเตือนอย่างหนัก
“เรื่องที่เธอช่วยชีวิตฉัน ฉันอยากจะตอบแทนเธอ” ชายหนุ่มพูดคุย ดวงตาคมสีทองราวกับสัตว์ป่าจ้องมองเหยื่ออย่างไม่ละสายตา เพียงแต่ว่าเหยื่อที่เขาคิด ไม่ได้ง่ายดายหรือโง่งมจนหลงเชื่อคำพูดของเขา
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบปฏิเสธ แต่เขาก็ยังตื้อไม่เลิก
“ฉันอยากตอบแทนเธอจริงๆ ต้องการอะไรบอกฉันได้เลยนะ”
“แค่ไม่ทำให้ผมเดือดร้อนแค่นั้นก็พอครับ” ใช่ครับ ผมต้องการแค่นี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวาย และไม่ต้องมีใครมาตามรังควานผม แค่นี้ล่ะครับที่ผมต้องการ
“ได้ซิ” ดอนคอลิโอเน่ตอบรับ แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั้นกลับไม่น่าไว้วางใจ คำพูดของเขาเชื่อได้แค่ไหนกัน ผมตอบได้เลยว่า ไม่ได้เด็ดขาด!!! ผมพนันด้วยผมทุกเส้นบนหัวของจอห์นเลยครับ
ผมโดยหมายหัวแล้วแน่นอน!!!
ผมแสร้งขอบคุณเขาทันที และแสร้งทำสีหน้าโล่งอกออกมา โดยการถอนหายใจออกมาแรงๆนั่นแหละครับ เพราะผมแสดงละครไม่เก่งเหมือนจอห์นหรอกนะ
“ขอบคุณครับ คุณคุยโทรศัพท์ตามสบายนะครับ” ผมบอกเขา แกล้งเหลือบตามองนาฬิกาบนผนังที่ชี้เลขสิบเอ็ด “ผมจะไปซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้าม ใกล้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมกลับมาครับ” ผมบอกเขาให้รับรู้ เลี่ยงออกไปเพื่อหยิบกระเป๋าเงินที่วางไว้บนหัวเตียง ผมยังรับรู้ถึงสายตาของเขาที่จับจ้องอย่างไม่วางตา ผมพยายามทำท่าทางไม่ให้มีพิรุธเพื่อกลบเกลื่อน และเดินออกไปนอกห้อง
เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ทำให้ดวงตาของดราโกยอมละสายตาไปจากบานประตูสีน้ำตาล เขาพาร่างสูงใหญ่เคลื่อนไปที่ริมหน้าต่างเพื่อมองหาร่างเล็กของเด็กหนุ่ม เพียงไม่นานก็เห็นเทวดาตัวน้อยท่ามกลางผู้คนเดินเข้าไปยังซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้ามจริงๆอย่างที่เจ้าตัวว่าไว้ เมื่อได้เห็นคนที่มองหาเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงก้มลงไปที่มือถือเครื่องเล็กและกดเบอร์โทรฉุกเฉินที่เขาจำได้ขึ้นใจ รอสายเพียงไม่นาน อีกฝั่งก็รีบรับสายอย่างรวดเร็ว
“ดอนครับ!!!” น้ำเสียงจากปลายสายดูตื่นเต้นดีใจ “ดอนเป็นยังไงบ้างครับ บาดเจ็บรึเปล่า ตอนนี้ดอนอยู่ที่ไหนครับ ผมจะรีบไปรับ”
“ใจเย็นๆ จาคอบ” ดราโกเอ่ยปรามมือขวา “ฉันสบายดี นายมาที่ฝั่งเหนือ อพาทเมนต์บล็อคสองห้อง 303”
มาเฟียซิซิเลียนอย่างดอนคอลิโอเน่บอกจุดหมายปลายทางให้อีกฝ่าย และเน้นย้ำให้อีกฝั่งนำกำลังคนมาให้เพียงพอและระวังข่าวสารรั่วไหล และไม่ลืมเน้นย้ำสิ่งสำคัญสำหรับเขาในตอนนี้
“เตรียมเครื่องบินให้พร้อมเราจะกลับบ้านกัน”
“ครับดอน” จาคอบรับคำ
“นายเตรียมที่นั่งให้ฉันอีกหนึ่งที่ ฉันจะพาเทวดากลับบ้าน” น้ำเสียงหมายมั่นของเดรโกสะกิดใจคำพูดของมือขวาได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะสงสัยขนาดไหน แต่เขาก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น มือขวาของดอนคอลิโอเน่รับคำและเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมในเวลาอันรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมมาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องเช่าคับแคบที่ดอนอาศัยอยู่
“ดอนรักษาตัวที่นี่หรือครับ” จาคอบขมวดคิ้วมุ่น ไม่ค่อยพอใจกับสภาพแวดล้อมที่เจ้านายรักษาตัวเท่าไหร่นัก “ใช่” เขาตอบเสียงราบเรียบ ดวงตาจับจ้องไปทางประตูเพื่อเฝ้ารอใครบางคนให้เดินเข้ามา เมื่อดอนไม่พูดอะไรต่อ จาคอบและลูกน้องอีกห้าคนก็ยืนนิ่งเพื่อเฝ้ารอคนที่เจ้านายต้องการตัวอยู่เงียบๆ เสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบาอยู่ตรงทางเดินและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มาแล้ว!!!
“อย่าทำเขาบาดเจ็บ” ดราโกพูด เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆรีบกระชากร่างนั้นเข้ามาแล้วจับล็อคตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา เสียงโอดโอยและตกใจดังลั่นจนแสบแก้วหู ดอนแห่งคอลิโอเน่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เท่าที่สัมผัสกับเด็กหนุ่มมาร์ตินคนนั้นมาตลอดทั้งเช้า เรื่องแค่นี้กลับทำให้เด็กคนนั้นร้องตกอกตกใจขึ้นมาได้ ไม่นึกว่าเด็กคนนั้นจะขวัญอ่อนขนาดนี้
จาคอบเดินเข้าไปหาคนที่ถูกจับตัวเอาไว้ แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าชัดๆ กลับต้องเบิกตากว้างและผงะถอยหลังเล็กน้อย คะ คนๆนี้คือเทวดาของดอนหรอกหรือ ผิดคาดไปหน่อย เอิ่ม ไม่หน่อยล่ะ มากเลยทีเดียว ชายคนนี้ร่างเล็ก หลังค่อม ผมล้านเตี่ยน ผมที่เหลืออยู่ก็ขาวโพลน ใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาฟ้าฝาง เทวดาที่ดอนพูดถึง ทำไมถึงใกล้จะลงโลงอยู่รอมร่อ
“ดอนครับ” จาคอบตั้งสติและเบี่ยงตัวหลบให้ดอนได้ยืนยันตัวบุคคล ตอนแรกดอนยังยกยิ้มอย่างชอบใจ แต่พอดวงตาสีทองได้เห็นใบหน้าของชายแก่คนนี้ชัดๆ แววตาดีอกดีใจแวววาวเมื่อครู่กลับหายวับ เหลือเพียงรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ แค่เห็นสีหน้าและอารมณ์ของดอนที่เปลี่ยนไปอย่างฉันพลับ มือขวาอย่างจาคอยที่อยู่กับดอนมานานก็เข้าใจในทันที
ผิดคน!!!
“ลุงเป็นใคร!!!! มาทำอะไรที่นี่!!!” จาคอบหันไปสวมบทโหด ตะคอกเสียงดังลั่นจนชายแก่สะดุ้งตกใจจนตัวโยน มือเหี่ยวย่นสั่นระริก รีบยกถุงจากซูเปอร์มาเก็ตมาให้ชายตรงหน้า จาคอบรีบรับมาแล้วยื่นไปให้ดอนที่นั่งกดดันอยู่
“ดอนครับ” จาคอปยื่นถุงให้ดราโกอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มรับถุงมาและเปิดออก แววตาสีทองเย็นเยียบเมื่อครู่หายไปเหลือเพียงแววตาขำขันที่หาได้ยากจากดอน ภายในถุงนั้นมีเพียงมาม่าสองซองและกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆเท่านั้น ซึ่งโน๊ตที่ได้รับจากเด็กหนุ่มเขียนไว้ว่า
ต้มน้ำร้อนและรอสามนาทีครับ ถึงจะกินได้
และผมไม่ต้องการของตอบแทนใดๆ
แค่คุณไม่มาวุ่นวายกับผม ผมก็ขอบคุณแล้ว
ลาก่อนครับ
-- มาร์ติน สมิธ --
ดราโกยากจะบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่อ่านโน๊ตแผ่นเล็กๆนั้นจบลง เพราะตอนนี้เขาทั้งรู้สึกตื่นเต้น หงุดหงิด และไม่สบอารมณ์กับแผนที่ไม่เป็นดั่งใจ ความรู้สึกนั้นปะปนกันจนเขาไม่รู้ว่าต้องแสดงออกอย่างไรต่อไปนอกจากหันไปถามชายแก่คนนั้นแทน
“เล่ามา” ดวงตาสีทองมองไปยังร่างของชายแก่ที่ยังคงตัวสั่นระริกชวนสงสาร แต่เขาไม่ใช่พ่อพระที่จะมาเห็นใจใคร ในเมื่อเทวดาตัวน้อยๆของเขาบินหนีไปเสียแล้ว ก็ได้เวลามาสอบปากคำชายแก่คนนี้เสียที “เล่ามาให้หมด”
“ดะ เด็กคะ คนนั้น ให้มาส่งของกินให้คะ ครับ” ชายแก่ตอบคำถามจนเสียงสั่นไหว
“เขาพูดอะไรบ้าง” ชายหนุ่มถามต่อ
“บะ บอกวะ ว่า หะ ให้คุณ กะ กินข้าว ก่อนไปด้วย คะ ครับ”
“งั้นหรือ เอาเถอะ ไปได้แล้ว” ดราโกยกมือเสยผมสีดำสนิทที่ปรกหน้าขึ้นลวกๆ ถึงจะแค่นถามชายแก่คนนี้ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดวงตาสีทองขุ่นมัวอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนึ่งนั่งเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างที่เหลือก็เคาะโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะ และนั่งมองลูกน้องของเขาโยนชายแก่ออกไปนอกห้องอย่างไม่ปราณี เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ก็เหลือเพียงเสียงเคาะโต๊ะจากดอนคอลิโอเน่เท่านั้น แต่เสียงเล็กๆที่ดังกึก กึก เป็นจังหวะ กลับทำให้จาคอปและลูกน้องอีกห้าคนที่เหลือเหงื่อซึมตามแผ่นหลังไปตามๆกัน พวกเขาต่างอึดอัดและกระวนกระวายอยู่ภายในใจลึกๆ แต่ภายนอกก็ยังรักษาอาการสงบนิ่งเพื่อเฝ้ารอคำสั่งต่อไปของชายหนุ่มผู้เป็นนายเหนือหัว
“จาคอป นายไปสืบมา มาร์ติน สมิธ ชื่อปลอม สูงหนึ่งร้อยหกสิบกว่า อายุสิบกว่าปี ไม่สิบห้าก็สิบหกปี ผมและตาสีน้ำตาลอ่อน ลูกครึ่งเอเชีย ใช้วิธีการยังไงก็ได้ให้ตามหาเด็กคนนี้ให้พบและพามาหาฉันเร็วที่สุด อย่าให้ได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด” น้ำเสียงเฉียบขาดและแววตาที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นท้าทายนั้นปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเขาให้ตื่นขึ้น ท้าทาย น่าสนใจ และลึกลับน่าค้นหา หึหึ เทวดาตัวน้อย เธอจะหนีฉันได้อีกนานแค่ไหนกันนะ
“ครับ แล้วดอนจะกลับเลยไหมครับ”
“ไม่ล่ะ รออีกสักพัก” ดราโก้เอ่ยปฏิเสธ “ฉันจะกินมาม่าก่อนไป”
หลังจากที่ผมเดินเข้ามาในซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้ามกับห้องเช่าของผม ผมก็เดินซื้อมาม่ามาสองซองและให้ชายแก่คนหนึ่งเดินไปส่งพร้อมกับเงินค่าจ้างจำนวนมาก โดยกำชับว่าอีกครึ่งชั่วโมงค่อยเดินเข้าไปส่งถึงหน้าห้องพักของผม สาเหตุที่ผมให้เงินไปหลายยูโรก็เพื่อปลอบขวัญชายแก่ผู้น่าสงสารคนนี้ เพราะเมื่อเขานำมาม่าไปส่ง คงต้องตกอกตกใจ จับไข้หัวโกร๋นไปหลายวันเชียวล่ะ เพราะถ้าผมคาดเดาไม่ผิด ป่านนี้ห้องของผมคงเต็มไปด้วยลูกน้องของดอนแห่งคอลิโอเน่แล้วแน่นอน ผมจะบาปไหมนะ เหมือนรังแกคนแก่เลย
เมื่อผมมอบหมายภารกิจระดับชาติให้ชายแก่คนนั้นไป ก็ถึงเวลาหนีของผมแล้วล่ะครับ ผมเปิดประตูหลังร้านซูปเปอร์และหนีเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่อิตาลีนี่ดีอย่างนะครับ ตรอกเล็กตรอกน้อยเยอะแยะมากมายจนสามารถหลบสายตาของใครต่อใครได้ ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็โผล่มายังถนนอีกฝั่งที่ห่างออกไปอีกสามบล็อค ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจทิศทางและมองหาป้ายบอกทางไปสถานีรถไฟ แต่รู้สึกว่าแถวนี้จะอยู่ห่างออกไปมากเลยทีเดียว
ผมไม่มีทางเลือก และไม่มีเวลามากพอที่จะเดินไป ผมจึงได้แต่รีบมองหาแท็กซี่ว่างๆซักคันเพื่อพาผมไปส่งที่สถานีรถไฟของกรุงโรม ตอนนี้ผมรีบมากๆเลยนะครับ แต่ทำไมถึงไม่มีแท็กซี่ว่างเลยซักคันนะ ผมต้องแข่งกับเวลาซะด้วยซิ ถ้ามัวแต่มายืนรอแบบนี้แล้วผู้ชายคนนั้นตามหาผมเจอล่ะ ผมจะทำยังไงต่อไป แต่เอ๊ะ!! ในที่สุดผมก็รีบร้อนเหมือนคนอื่นๆแล้วนี่ อืม ผมคงเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิตขึ้นมาอีกหน่อยแล้วล่ะมั้ง
ผมยืนรอแท็กซี่อีกสักพัก ก็เห็นแท็กซี่ว่างคันหนึ่งพอดี จึงโบกแท็กซี่และบอกโชเฟอร์ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ เพียงไม่นานผมก็เดินทางมาถึง ผมจ่ายเงินเสร็จก็รีบร้อนเดินเข้าสถานีไป แต่ทางที่ผมเดินลงไปไม่ใช่ทางที่ไปซื้อตั๋วรถไฟนะครับ แต่เป็นตู้ล็อคเกอร์ที่เรียงยาวเป็นแถวอีกฝั่งหนึ่งต่างหาก ผมหยิบกุญแจดอกเล็กๆที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาและมองหาล็อคเกอร์ฝากของของผม ผมเตรียมพร้อมไว้แล้วสำหรับกรณีฉุกเฉิน หลังจากที่ช่วยเหลือดราโกเอาไว้ผมก็เตรียมพร้อมไว้ตลอด เก็บเสื้อผ้ามาบางส่วนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เอกสารเช่นพาสปอร์ตและเงินส่วนใหญ่ก็นำมาไว้ในกระเป๋า
ถึงเวลาผมก็แค่หนีออกมาด้วยท่าทางปกติ และหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าผมทำได้นะครับ ผมไม่กล้าคิดเพ้อฝันมากเกินไป คนๆนั้นคือดอนคอดิโอเน่เลยนะครับ ข่าวสาร ข้อมูล เครือข่ายต่างๆอยู่ในกำมือของผู้ชายคนนั้น แค่เขาจะตามหาผมคงง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก อย่างน้อยผมต้องถ่วงเวลาเอาไว้ ถ้าเขารู้เขาคงเตรียมคนไปดักรอผมแน่นอน สถานที่แรกที่เขาจะไปดักรอก็คงเป็นสนามบิน แต่ผมจะไม่ไเลือกไปที่นั่นแน่นอน ถึงผมจะอยากไปแต่เที่ยวบินเต็มหมดในช่วงวันหยุดแบบนี้ ผมจะไปทางรถไฟและออกนอกประเทศไปทางสวิตเซอร์แลนด์ด้วยรถไฟความเร็วสูง จากโรมไปมิลานแค่สามชั่วโมง หลังจากนั้นผมจะต่อรถไฟอีกสายเพื่อไป Domodossola และข้ามไปสวิสทันที อย่างน้อยชื่อที่ผมบอกเขาก็เป็นชื่อปลอม คงถ่วงเวลาได้สักพักกว่าเขาจะหาชื่อจริงของผมพบ
ผมจัดการซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง โชคดีที่อีกสิบห้านาทีรถไฟจะออกพอดี แม้ซื้อตั๋วในราคากระชั้นชิดแบบนี้จะแพงจนเขาอยากกระอักเลือด แต่ก็ดีกว่าต้องไปพัวพันกับดราโกแน่นอน แค่คิดก็ชวนเหนื่อยใจแล้วล่ะครับ คนอันตราย อย่ายุ่ง อย่าพัวพันได้จะดีที่สุด
เมื่อถึงเวลาผมก็กระชับกระเป๋าเป้และเดินขึ้นรถไฟไป ลางสังหรณ์ของผมยังกระตุ้นเตือนถี่ยิบจนหวาดระแวง แต่เอาเถอะ ผมหวังว่าทุกอย่างจะดี เมื่อรถไฟออกจากชานชาลา ผมก็เริ่มเบาใจ รีบเปิดกระเป๋าเป้หยิบโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็กบางเฉียบออกมา แต่ถึงจะเล็กแต่ประสิทธิภาพก็เต็มเปี่ยม และมันคือคู่หูของผมที่อยู่ด้วยกันมานาน
ผมจัดการเชื่อมต่อข้อมูลพร้อมเปิดโปรแกรมป้องกันไว้ จัดการเชื่อมต่อเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายสถานีรถไฟและจัดการลบช่วงเวลาที่มีผมเดินผ่านกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆไปจนหมด และแทนทีด้วยภาพช่วงเวลาอื่นเพื่อไม่ให้ใครสงสัย และนำวิดีโอที่แฮคเข้ากับสนามบินในตอนที่ผมไปทำธุระที่นั่นเพื่อนำภาพมาใส่แทนในระบบเครือข่ายรักษาความปลอดภัยของสนามบินแทน
ผมแอบใส่ชื่อผู้โดยสารมาร์ติน สมิธลงไปกับสายการบินหนึ่งไว้ด้วยครับ โดยสร้างข้อมูลปลอมและเลือกเก้าอี้ว่างซักที่ลงไป นี่คือกลยุทธ์หลอกล่อให้หลงทาง ฝ่ายดราโกคงมีซักคนสองคนที่เชี่ยวชาญทางเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่อยากเสี่ยง ไม่ว่าผมจะประเมินเขาสูงเกินไปหรือไม่ ผมก็ต้องเตรียมพร้อมและหาลู่ทางให้กับตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน พ่อผมเคยบอกว่า กันไว้ดีกว่าแก้ และผมเชื่อพ่อแน่นอน
ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาที่อ่อนล้าจากการใช้สายตาเมื่อครู่ แต่หลับลงได้ไม่นานก็ต้องโทรหาเพื่อนเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในโรม จาห์น คาเตอร์
“คิตตี้ๆๆๆๆๆๆ มายสวีทฮาร์ท ไอเลิฟยู” คำทักทายแบบเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน พร้อมเสียงแหลมแสบแก้วหูดังทะลุออกมาจนผมนึกรำคาญ
“พอแล้วครับจอห์น” ผมเอ่ยปรามและรีบเข้าเรื่องสำคัญ “ตอนนี้ผมไม่อยู่ที่โรมแล้วครับ ผมกำลังเดินทางไปที่อื่นต่อ ห้องเช่าที่ผมเคยอยู่คุณอย่าไปอีกนะครับ ถ้าให้ดีลาพักร้อนซักเดือนสองเดือนด้วยครับ”
“มีปัญหาเหรอคริสติน”น้ำเสียงขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจัง แต่ก็ยังเจือไปด้วยความเป็นห่วง
“นิดหน่อยครับ ผมจะกลับบ้านแล้ว ไว้มีเวลาผมจะติดต่อกลับอีกที” ผมตอบกลับและโกหกอีกฝ่ายนิดหน่อย ผมยังคงกลับบ้านไม่ได้เร็วๆนี้แน่นอน ก็ผมโดนไล่ออกจากบ้านอยู่นี่นา
“อืม ดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย” หมอหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นห่วง “คุณไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ พรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปอบรมที่ต่างประเทศพอดี คงไม่กลับมาสักพัก”
“ดีแล้วครับ แล้วเจอกันครับจอห์น” ผมวางสายและหักซิมทิ้งทันที ตัดช่องทางการติดต่อไปก่อน รอให้เหตุการณ์ต่างๆสงบมากกว่านี้ผมคงจะติดต่อจอห์นอีกครั้ง อย่าหาว่าผมระแวงเลยนะครับ กันไว้ดีกว่าแก้ คำพ่อสอนครับ
จาคอปนำเอกสารมาให้กับกับดอนแห่งคอลิโอเน่หลังจากใช้เวลาค้นหาข้อมูลอยู่หลายชั่วโมง แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อมาร์ติน สมิธนั้นกลับเหมือนบุคคลปริศนาที่ไม่มีที่มาที่ไป หายเข้ากลีบเมฆและตามหาตัวไม่ได้แม้แต่น้อย มือถือที่เป็นเบาะแสสุดท้ายที่อยู่กับดอนนั้นคือความหวังเล็กๆ แต่พอสืบค้นก็พบว่าเป็นเบอร์โทรใหม่ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ มือถือก็ซื้อมาจากร้านมือสองมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พอค้นห้องก็ไม่มีเอกสารสำคัญ บัตรประจำตัว พาสปอร์ต ตั๋วอะไรไม่มีเลยแม้แต่น้อย ขนาดชื่อที่เช่าห้องก็เป็นชื่อปลอมเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขามืดแปดด้าน โดยเฉพาะดอนที่ทำหน้าทะมึนดำคล้ำไม่พูดไม่จาตั้งแต่ได้รับเอกสารจากเขาไป
“หาข้อมูลมาให้เจอจาคอป ฉันต้องได้เด็กคนนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” น้ำเสียงราบเรียบของดราโกเอ่ยขึ้นนิ่งๆ แต่คำสั่งของดอนนั้นคือที่สุด มือขวาของดอนรับคำและขอตัวเดินออกไปอีกครั้ง ทิ้งไว้แต่เจ้าของห้องทำงานหรูที่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างและดวงตาสีทองแวววาววเท่านั้น