[ต่อจากด้านบนค่ะ]
“นาย?” ในความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ เขาได้ยินเสียงของใครซักคน คนที่มาพร้อมกับน้ำเสียงอันอบอุ่น เหมือนแดดยามเช้า นายปรือตามองเมื่อมีแสงเล็ดลอดเข้ามาในบ้านมืดๆ นี่ แต่เพราะสายตาเขายังพร่ามัว เขาจึงได้แต่ยกมือบังแสงนั้นเอาไว้
“นาย...”
ฝ่ามือข้างหนึ่งของคนๆ นั้นแตะข้างแก้มเขาแผ่วเบา สัมผัสคุ้นชินจนเขาค่อยๆ ลดมือลง เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเองจนไม่รู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริง
...พี่ปั้นหรอ?...
อา...แค่นึกถึงเขาก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
มนุษย์ที่น่าสงสารอย่างเขายังโชคดีที่เจอพี่ปั้น คนที่เขาอยากยิ้มให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จนต่อมาพี่ปั้นคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา คนที่ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมดทุกอย่าง คนที่ทำให้เขารอคอยทุกวันศุกร์เสมอๆ คนๆ นั้นเป็นแสงสว่างของเขา
ใช่ เขาเจอแล้วแสงสว่างที่เขาตามหา
“นาย?” แรงเขย่าที่ไหล่ขวาทำให้คนที่กึ่งตื่นกึ่งฝันขมวดคิ้ว “ตื่นแล้วลืมตามองเราหน่อยได้ไหม” เขาลดมือขวาลง แล้วทำตามเสียงนั้นอย่างว่าง่าย เผื่อว่าเมื่อลืมตาขึ้นเขาจะเห็นพี่ปั้นในความฝัน
“พี่ปั้น” ทันทีที่ลืมตา เขาเรียกคนตรงหน้าแผ่วเบา แม้จะดีใจที่เห็นหน้าพี่ปั้นเป็นคนแรกแต่เพราะใบหน้าของพี่ปั้นดูเศร้าสร้อยนั่นจึงทำให้เขาเศร้าตามไปด้วย
“เราเอง”
...ใครทำพี่ปั้นร้องไห้... เขาถามกับตัวเองเงียบๆ แต่ก็ยกมือไปปาดคราบน้ำตาที่หางตาให้อย่างเบามือ
“พี่ปั้นเป็นอะไร”
“ฮึก”
ไม่บ่อยนักที่คนๆ นี้จะร้องไห้ และเขาก็ไม่ยินดีที่จะเห็นเท่าไหร่นัก
“นายตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วครับ”
เขาขมวดคิ้ว ตื่นหรอ? นายเบิกตาขึ้นนิดๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เขาหันไปมองรอบๆ ตัว ที่ๆ เขานั่งอยู่ตอนนี้คือห้องนั่งเล่นมืดซึ่ง มีแสงจากหน้าต่างสาดเข้ามา
“พี่ปั้น...มาได้ยังไงครับ”
เขาพูดออกไปอย่างนึกแปลกใจ และนายพึ่งจะค้นพบ เขาไม่ได้ฝัน คนตรงหน้าคือพี่ปั้นของเขาจริงๆ
“เราไปหานายที่หอ แต่นายไม่อยู่ แดมบอกว่านายอาจจะมาที่นี่” พี่ปั้นสูดจมูก ส่วนเขาก็พยายามประมวลผล
“นายไม่สบายทำไมถึงมาที่นี่คนเดียว ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” พี่ปั้นนั่งลงข้างๆ เขาบนโซฟา เพราะสีหน้าเป็นกังวลบวกกับจมูกแดงๆ นั้นทำให้เขาเผลอจ้องมอง ไม่ได้สนใจเรื่องที่ตัวเองหนาวๆ ร้อนๆ ซักเท่าไหร่ แค่เป็นไข้น่ะเรื่องเล็ก คนตรงหน้าเขาสำคัญกว่ามาก
“พี่ปั้นร้องไห้ทำไมครับ”
เขาอยากรู้เรื่องเดียว ใครทำให้พี่ปั้นของเขามีน้ำตา “ก็นาย...”
“ครับ?” เขาก้มหน้าถาม เมื่อเห็นพี่ปั้นเม้มปากเหมือนกลั้นความรู้สึกบางอย่าง “พี่ปั้น?”
“เพราะนายนั่นแหละ! เราเรียกนายแล้วนายไม่ตอบเราเลย เหมือนนายไม่ได้อยู่ที่นี่ เราถึงกลัว...” เขาจับมือพี่ปั้นไว้
“เรากลัว...นายไม่กลับมา” แรงกระชับที่มือเขาแน่นขึ้น พี่ปั้นเป็นฝ่ายกอบกุมมือของเขา ตาโตแดงช้ำมองเขาอย่างวอนขอ และเป็นเขาเองที่ชะงักงัน ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาซะอย่างนั้น...
“ผมจะไม่กลับมาได้ยังไง...ก็พี่ปั้นอยู่ตรงนี้ทั้งคน”
...เขาอาจจะยังไม่เคยบอกพี่ปั้น
เพราะมีพี่ปั้น
เพราะตั้งแต่ที่เจอพี่ปั้น
เขาถึงเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่...
“นาย”
“ครับ”
นายกลั้นยิ้มที่เราเอาแต่เรียกชื่อนายทุกๆ สิบนาที ...ก็กลัวนี่... ตัวเองไม่รู้ตัวรึไงว่าไม่มีสติขนาดไหน นายเหมือนหลุดลอยไปโลกอีกใบหนึ่งที่เราเข้าไปหาไม่ได้ เราพยายามยกตัวนายขึ้นแต่ก็ไม่ไหว กลัวจนเผลอร้องไห้ออกมา พอเล่าให้เขาฟังนายกลับล้อเราว่าที่เราร้องไห้เพราะยกตัวเขาไม่ขึ้นซักทีต่างหาก
“นาย”
“ครับ”
“กินยารึยัง”
“ยา? ยังครับ”
“ข้าวล่ะ”
“ยังครับ”
“งั้นเราทำอะไรให้กินรองท้อง” เขาชะงัก มองเราด้วยสายตาสั่นไหว เรายิ้มไม่อยากให้บรรยากาศแย่ลงไป “ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่ต้องกลัวเราทำไม่อร่อยหรอกน่า”
“เปล่านะครับ”
“งั้นนายนั่งรอก่อน เราทำแป๊บเดียว เอ...เมื่อกี้เหมือนจะเห็นข้าวนะ” เราเดินเข้าครัว เราตัดสินใจซื้อไข่ไก่กับข้าวสวยในเซเว่นตอนที่รอแท็กซี่ หลังจากรู้ว่านายไม่อยู่ที่หอพัก แดมบอกว่าบ้านหลังนี้นายจะเข้ามาอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีของสดแน่นอน
เราทำอาหารไม่เก่งหรอก แต่ข้าวไข่เจียวก็ทำได้ไม่ยากอะไร เราหากระทะ จานชามแล้วก็เริ่มต้นทำอาหารเที่ยงให้คนป่วย
“ข้าวไข่เจียวได้ใช่ไหม”
เราถามเมื่อเห็นนายเดินตามเข้ามาในครัว “อะไรก็ได้ครับ” เขาตอบเสียงเบาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร เราสังเกตว่าเขามองเราไม่วางตา
“หิวใช่ไหมล่ะ” เราเอ่ยถามไป ไม่อยากให้เขาคิดอะไรเงียบๆ แม้แต่วินาทีเดียว
“...”
แต่นายไม่ตอบอะไรกลับมา เราใช้เวลาทำไม่นาน และรู้สึกว่าสายตาเขามองตามเราตลอดเวลา จากนั้นเราก็ตักข้าวไข่เจียวใส่จานที่มีข้าวสวยที่อุ่นร้อนๆ อยู่ตรงนั้น
“เสร็จแล้ว ไม่ใช่ข้าวห่อไข่ แต่ก็คล้ายๆ กันนะ” เรายิ้มให้ก่อนจะเลื่อนจานไปตรงหน้านาย
นายเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก้มหน้า เรามองเขาตักไข่เจียวเข้าไปคำแรก คำที่สอง คำที่สาม คำที่สี่ เราพึ่งสังเกตว่ามือที่จับช้อนสั่นแปลกๆ กำลังจะเอ่ยถามแต่ก็เห็นอะไรบางอย่างข้างแก้มคนที่ตักกินข้าวอยู่ตรงหน้า ใจเราวูบโหวงไปชั่วขณะ
...นายร้องไห้?...
“เป็นอะไร” เรารีบถาม ย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ เขา ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นใดๆ เขาน้ำตาไหลเงียบๆ เพราะแบบนั้นทำให้ขอบตาเราเริ่มร้อนตามทันที เขามองเราด้วยสายตาที่พาลให้ใจกระตุก...พาลให้รู้สึกเศร้า
ร้องไห้ทำไม
“ขอบคุณครับพี่ปั้น” ภายนอกเขาอาจจะเป็นคนขี้เล่น แกล้งแหย่เราได้ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วนายกลับอ่อนแอมากกว่าที่เราคิด
“ขอบคุณเราทำไม” เราถามออกไปเสียงเบา
“พี่ปั้นรู้ไหม ตั้งแต่ที่...ที่พ่อแม่ผมเสียก็ไม่เคยมีใครทำอาหารให้ผมกินเลย...” เขายิ้มบางๆ ให้กับความคุ้นชินที่เขาไม่อยากจะได้รับ เราไม่รู้จะพูดอะไรเลย ไม่สิ มันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เขา
“เวลา...ไม่สบายก็นอนพัก เดี๋ยวตื่นมาก็หาย หิวก็หาอะไรกินเอง”
เราคิดตามจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้...เวลานี้อยากเป็นคนที่เข้มแข็งให้เขาพักพิงได้ เราเลื่อนมือไปกุมมือเขาไว้ นายซบหน้าผากกับลาดไหล่ของเราเหมือนคนหมดแรง ประโยคสุดท้ายที่เบาจนเป็นเสียงกระซิบดังแว่วมา
“ไม่มีใครเลยเนี่ย มันเศร้าจังนะครับ”
…ใครบอกกันล่ะนาย...
เราปลอบใครไม่เป็น ทั้งๆ ที่รู้สึกสงสารเขาจับใจ เข้าใจเหตุผลที่เขาไม่เคยอยู่ทานข้าวที่บ้านเราขึ้นมาทันที เพราะนายไม่เคยเผยความทุกข์ใจของตัวเองออกมาเลย และนั่นยิ่งทำให้เราเศร้าใจ มนุษย์อย่างเราจะเเบกรับความโดดเดี่ยวได้มากเเค่ไหนกัน
เราทั้งคู่เงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ปล่อยให้เขาได้ปล่อยความเศร้าออกมาผ่านน้ำตา จากนั้นก็เป็นเราที่ทำลายความเงียบนั้นลง
“อยากกินข้าวเค็มๆ ก็ไม่บอก” เราก้มหน้าลง ก่อนยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง นายเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาไหลกว่าเดิม
“ไม่ต้องร้องนะ เราอยู่ทั้งคน ต่อจากนี้ถ้านายอยากกินอะไร เราทำให้หมดเลย” เราพูดพร้อมกับยิ้ม ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ นายผละจากไหล่เราก่อนจะใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาตัวเองสองสามที
“ขอบคุณนะครับพี่ปั้น”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่อย่าขอเมนูยากล่ะ เราน่ะมือใหม่”
เขาส่ายหน้า ดูเหมือนว่านายคนเดิมจะกลับมาแล้ว แต่อย่างน้อยเราก็ดีใจที่อ่อนแอให้เราเห็นบ้าง
“อะไรอย่าบอกนะว่านายคิดเมนูยากๆ ไว้แล้วน่ะ” เราแกล้งทำตาโตตกใจจนเขาหลุดหัวเราะ นายไล้นิ้วโป้งที่ข้างแก้มเราเบาๆ
“ขอบคุณ...ที่พี่ปั้นอยู่กับผมตรงนี้ต่างหากครับ”
เรามองรอยยิ้มเขานิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มตาม
“อื้ม”
...ขอบคุณที่นายอยู่ตรงนี้เหมือนกัน...
“ร่ม”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เสื้อแขนยาว”
“ใส่แล้วครับ”
“งั้นใส่หมวกแทนร่มแล้วกัน”
“พี่ปั้น”
“หือ”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมน่ะแข็งแรงจะตาย”
“ไม่ได้! นายเป็นไข้นะ” เราส่งเสียงดุเขา นายจะออกไปสุสานคริสตจักรแต่ว่าเขายืนกรานที่จะเดินไป เพราะสุสานอยู่ในบริเวณของคริสตจักรซึ่งไม่ไกลจากบ้านเขานัก ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แดดกรุงเทพฯ ขนาดนี้ เป็นไข้หนักขึ้นมาจะทำยังไง
“คิ้วยุ่งหมดแล้ว” นายจับต้นคอเราก่อนจะนวดเบาๆ
“นายไม่ฟังเราเลย” เราถอนหายใจ หยีตามองท้องฟ้า ...เกือบจะห้าโมงแล้วก็ยังมีแดดอยู่เลย...
“พี่ปั้นน่ารัก”
“อะไรนะ”
“ผมจะบอกว่าผมใส่หมวกแล้วครับ เสื้อคลุมก็ใส่แล้ว ทีนี้ก็ตาพี่ปั้นบ้าง...ใส่ด้วย” เขาสวมหมวกแก๊ปของเขาให้เรา มันหลวมโพรกจนปีกหมวกปิดตาเราหมด
“ไม่เอาหรอก เราสบายดี” เราจะถอดออกแต่ฝ่ามือหนักๆ ของนายก็ทับไว้ซะก่อน
“พี่ปั้นไม่ดื้อกับผมสิครับ”
“เราไม่ได้ดื้อ เราไม่ได้ป่วยแบบนาย”
“อย่างน้อยก็ใส่หมวกเถอะครับ” เรามองเขาอย่างชั่งใจแต่เพื่อไม่ให้เสียเวลาไม่มากกว่านี้เราเลยยอมใส่ต่อไป
...เห็นไหมเราไม่ดื้อ...
“จับมือด้วยครับ” นายยื่นมือมาตรงหน้า
“จับทำไม”
“ก็ถ้าผมหน้ามืดหรือเป็นลม พี่ปั้นจะได้รู้ทันทีไงครับ” เรารีบยื่นมือไปจับทันที กลัวเขาหน้ามืดอย่างที่ว่า นายกระชับมือเราแน่นก่อนจะอมยิ้ม
...เอ๊ะ เมื่อกี้นายบอกว่าแข็งแรงไม่ใช่หรือไง...
เรามองแผ่นหลังของนายก่อนจะเลื่อนสายตามองมือที่จับกันไว้
...เอาเถอะ ก็เรา...กลัวเขาล้มจริงๆ นี่นา...
เรามาถึงสุสานในสิบห้านาทีให้หลัง นอกรั้วมีแต่ความวุ่นวาย แต่เมื่อเข้ามาด้านในที่นี่กลับดูร่มรื่น และมีสีเขียวเต็มไปหมดซึ่งตัดกับสีขาวนวลของหินอ่อนที่เรียงรายทอดยาวไปไกล เราเดินตามนายเงียบๆ เขาไม่ได้มีดอกไม้หรืออะไรมาด้วย มีแต่ผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขาตั้งใจจะทำความสะอาดที่พักพิงของพ่อและแม่ของเขา
เราเดินเข้ามาบล็อกที่สี่จากซ้ายสุด นายหยุดอยู่ตรงกลางของแถวนั้น เขามองนิ่งไปที่ป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อของพ่อแม่เขาไว้ข้างๆ กัน เห็นแบบนั้นเราเลยจะถอยหลังมาเพื่อให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อและแม่ ขณะที่ก้าวถอยหลังนายก็หันมาทันที
“พี่ปั้นไม่ต้องไปไหนหรอกครับ” เขาว่าก่อนนั่งคุกเข่าที่ผืนหญ้า ลงมือปัดฝุ่นเป็นอย่างแรก เราเดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขาแล้วใช้มือเปล่าปัดฝุ่น
“เปื้อนหมดแล้วพี่ปั้น”
“ไม่เป็นไร”
“...”
นายจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกแล้ว เรามองเขาอย่างเป็นกังวล ผ้าขนหนูผืนสะอาดเริ่มมีคราบฝุ่นประปราย เราหยิบมาเช็ดแทน และเหลือบมองเขาเป็นระยะๆ นานทีเดียวที่นายนั่งนิ่งๆ จ้องไปที่ชื่อของพ่อแม่บนแผ่นหินอ่อนสีขาวเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดใดๆ
“พี่ปั้น”
“หือ” เรารีบหันไป นึกว่าเขาเรียกแต่ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่าง เขาพึมพำกับตัวเองแต่เพราะทั่วบริเวณนั้นไม่มีใคร เราจึงได้ยินอย่างชัดเจน เราเม้มปากไล่ความร้อนที่ตาตั้งแต่ที่เขาเริ่มพูด
“วันนี้ผมพาพี่ปั้นมาด้วยครับ”
“...”
“ไม่ได้มาคนเดียวเหมือนปีก่อนๆ”
“...”
“พี่ปั้นทำอาหารให้ผมด้วยล่ะ”
“...”
“บังคับผมกินยาเหมือนเด็กๆ”
“...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงผมแล้วนะครับ”
“...”
”...คิดถึงเสมอนะครับ”
ลมพัดมาสัมผัสผิวแผ่วเบาราวกับพวกเขารับรู้ มองแสงสีส้มกระทบเสี้ยวหน้าของเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้ายามเย็น
...ขอให้ความเศร้าไม่พานายไปไหน...
เราอธิษฐาน เเล้วค่อยๆ หลับตาลง ไม่ทันเห็นว่าคนข้างๆ หันมายิ้มบางๆ แล้วมองเราด้วยสายตาแบบไหน
______________________
เพลงนี้...จากนายถึงพี่ปั้น
You’re the right time at the right moment
You’re the sunlight keeps my heart going
Know when I’m with you Can’t keep myself from falling
Right time at the right moment
It’s you
-คิดถึงทุกคนมากมาย-
ตอนนี้ใส่พลังไปกับนายมากทีเดียว
นายเป็นคนที่เข้มเเข็งนะสำหรับเราเเต่อ่อนเเอกับคนๆ เดียว
ฮืออ น้องงง
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิมมม
ช่วงนี้อย่างที่บอกไว้ในทอล์คเรื่องคุณชายคือเราเปลี่ยนงานใหม่
หลายอย่างไม่เข้าที่มากๆ หายไปนานเลยต้องขอโทษทุกคนจากใจจริงด้วยนะคะ
อัพเรื่องคุณชายไปวันก่อนใครยังไม่ได้อ่านไปอ่านคลายเครียดกันนะคะ
เเล้วเจอกันใหม่
#เรากับเขา