ขอตบพิชญเรียงพยางค์ พิด!-ชะ!-ญะ!-มุง!-น่า!-รำ!-คาญ!-มาก!
ตอนที่เถียงแว้ดๆๆๆ แหมมันอยากจะ ! ! !
นายเอกผมเขาออกน่ารัก แต่คุณ sakuracity อยากตบพิชญเหรอเนี่ย
อาทิตย์อัสดง บทที่ 11
แดดอ่อนๆ ยามเช้าส่งกระทบเสี้ยวหน้าด้านข้างของพยุตม์ แต่เมื่อพลิกหน้าเขาก็ขมวดคิ้ว เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ แล้วหยีตาเพราะแดดส่อง เขานอนนิ่งอยู่ท่านั้นครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามอ่อน นกนางนวลฝูงหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือเสากระโดงเรือสีขาว ลมทะเลพัดมาเอื่อยๆ บรรยากาศยามเช้าสดชื่นยิ่งนัก
ยามเช้า! เมื่อคืนเขาหลับอยู่บนพื้นเรือตอนนอนชมดาวกับคนที่เขา...เอ่อ...คนที่...
คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา!
พยุตม์มองใบหน้าขาวสะอาด จมูกโด่งคม คิ้วเข้ม ปากแดงระเรื่อซึ่งกำลังนอนตะแคงอยู่ในอ้อมกอดของเขา ความรู้สึกหลายอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมา พยุตม์ถอนหายใจเบาๆ ด้วยรู้ว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน
และแม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก
“นี่คุณ...ผมชื่อพยุตม์นะ” พยุตม์กระซิบ อดใจไม่ไหว ก้มลงจูบเบาๆ ที่ปากแดงระเรื่อของอีกฝ่าย คนที่นอนอยู่ทำปากจิ๊กจั๊ก ดิ้นขลุกขลัก ถอนหายใจเบาๆ แล้วหลับต่อ ทำให้พยุตม์อมยิ้ม
ดูเอาเถอะ ขนาดนอนยังถอนหายใจ อะไรนักหนาของเขาเนี่ย
แปลก เมื่อคืนเขานอนหลับสนิทมากจนไม่น่าเชื่อ
พยุตม์ไม่เคยลืมคืนแรกที่นอนบนเตียงกับชายหนุ่มคนนี้ คืนนั้นเขาแทบไม่ได้หลับเพราะฝ่ายนั้นนอนดิ้นและประเคนทั้งศอกและเข่าใส่เขาตลอดคืน
พอมีคนนอนกอดกลับนิ่ง นอนขดตัวเหมือนเด็ก
พยุตม์พยายามไม่ขยับตัวเพราะกลัวคนที่อยู่ในอ้อมแขนจะตื่นขึ้นมา เขาอยากจะหลุดเวลาบนโลกนี้เอาไว้ในนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
และเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้ว่าความรู้สึกนี้มีสาเหตุจากอะไร
“อือ” เสียงของคนที่ยังไม่ตื่นดังขึ้นเบาๆ จากนั้นร่างอุ่นๆ ก็ดิ้น คราวนี้พยุตม์ตัวงอเพราะอีกฝ่ายกระทุ้งศอกเข้าท้องของเขาอย่างแรง
“อูย” พยุตม์ครางเบาๆ รู้สึกจุกไม่ใช่น้อย แต่ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งคืออาการปวดหนึบๆ ที่องคาพยพกลางลำตัวซึ่งกำลังแนบอยู่กับก้นงอนๆ ของคนที่เริ่มขยับตัวแสดงให้เห็นว่ากำลังจะตื่น
“โอยยย...” พยุตม์ครางอีกครั้งเมื่อคนที่เขากำลังกอดอยู่ดิ้นพลิกตัวแรงๆ และเหวี่ยงศอกซ้ายกระแทกเข้าที่ลิ้นปี่ของเขาเต็มๆ
พยุตม์ค่อยๆ ขยับตัวออกห่าง
ไม่ใช่เพราะกลัวเจ็บ แต่เพราะไม่อยากมีเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับคนที่กำลังจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่น
พยุตม์กลั้นยิ้ม นอนตะแคงมองร่างที่อยู่ข้างๆ ดิ้นไปดิ้นมาเหมือนปลาโดนทุบ
ดูแล้วก็เพลินดีเหมือกัน คนอะไร จะตื่นนอนแต่ละทีต้องพลิกตัวท่านั้นท่านี้ ทำเหมือนเล่นกายกรรม
“อือ...” เสียงครางของคนที่กำลังจะตื่นดังขึ้นอีก
“อรุณสวัสดิ์”
“อึม...”
“อรุณสวัสดิ์ครับ” พยุตม์พูดอีกครั้ง คราวนี้คนที่นอนอยู่ข้างเขาลืมตาขึ้นมา นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า
“กี่โมงแล้ว”
“ผมไม่รู้ ไม่ได้ดูนาฬิกา”
“ทำไมคุณไม่ปลุก” เมื่อลืมตาพิชญก็ตำหนิคนที่นอนตะแคงมองเขาอยู่ด้วยสายตายิ้มๆ
“คุณนี่หาเรื่องผมแต่เช้าเลย”
“แล้วทำไมคุณไม่ปลุก”
“ผมเห็นคุณกำลังนอนหลับสบาย กลัวโดนว่ารบกวนการพักผ่อนนอนหลับ” พยุตม์ให้เหตุผล
“คุณก็รู้ว่าผมอยากจะรีบกลับกรุงเทพฯ แล้วนี่เราลอยเท้งเต้งกันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” พิชญหันไปหันมา
“กลางทะเลไงครับ”
“ตลกตายล่ะ” พิชญเบ้ปากแล้วลุกขึ้น เดินไปที่กราบเรือและมองออกไปยังทะเลเวิ้งว้าง พยุตม์เดินตามไปยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามว่า
“เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมครับ”
“ก็ดี ไม่ฝันร้าย คุณล่ะ” พิชญตอบแล้วถามกลับ
“ก็ดีเหมือนกัน แต่ผมฝันร้ายเกือบทั้งคืน” พยุตม์อมยิ้ม
“ฝันว่ายังไง”
“ฝันว่าโดนต่อย โดนถีบ โดนถอง”
“ช่วยไม่ได้ คุณอยากมานอนใกล้ผมเอง” พิชญยักไหล่
“คุณรู้ด้วยหรือว่าตัวเองนอนดิ้น” พยุตม์เลิกคิ้วถาม รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายยอมรับตรงๆ
“ผมเป็นคนยอมรับความจริง ผมนอนดิ้นผมก็ยอมรับ ว่าแต่คุณเถอะ นอนกรนรบกวนคนอื่นแล้วกล้ายอมรับหรือเปล่า”
“ผมน่ะหรือนอนกรน” พยุตม์แกล้งขมวดคิ้วทำเป็นไม่อยากจะเชื่อเพราะเขารู้ดีอยู่ว่าตัวเองนอนไม่กรน
“อือ”
“ว่าแต่ผมโกหก” พยุตม์พูดพึมพำแล้วหันไปมองด้านข้าง
“แล้วนี่เราจะกินอะไรเป็นมื้อเช้า” พิชญถาม ทำเป็นไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดกวนอารมณ์
“เดี๋ยวผมจะไปดูว่าในครัวมีอะไรบ้าง แต่ถ้าไม่มีก็คงต้องหากินในทะเล”
“หมายความว่ายังไง ให้กระโดดลงไปแล้วอ้าปากงับอะไรไปเรื่อยเหมือนปลางั้นหรือ” พิชญประชด
“เปล่าคร้าบคุณผู้ชาย” พยุตม์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ผมจะลงไปดำน้ำยิงปลาเอามาปรุงเป็นอาหารเช้าเลิศรสให้คุณต่างหากเล่า”
“อ๋อ” พิชญแกล้งพยักหน้าทำเป็นเข้าใจแล้วมองไปรอบๆ เลิกสนใจคนตัวโตที่เดินหายไปทางด้านหลังของเรือ
ครั้นอยู่คนเดียว พิชญจึงได้โอกาสสำรวจเรือลำนี้ เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องควบคุมเรือ เห็นสติกเกอร์หลากสีติดอยู่ที่กระจกหน้าห้องเรียงกันเป็นแถว แต่ละแผ่นเป็นชื่อเมืองและรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ
มัลดีฟส์เป็นแผ่นที่อยู่ท้ายสุดของแถว มีตัวหนังสือบอกวันและเวลาเขียนอยู่ล่างสุดของภาพ พิชญจึงย้อนกลับไปดูสติกเกอร์แผ่นแรกอีกครั้ง
เอ๊ะ ถ้าสติกเกอร์เหล่านี้คือเมืองต่างๆ ที่เขาแวะ ผู้ชายคนนี้ก็เดินทางเกือบจะรอบโลกแล้วสิ และใช้เวลาเกือบหนึ่งปี
หลังจากสำรวจเรือจนเป็นที่พอใจ พิชญก็กลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้อาบแดดใกล้กับจุดที่เขานอนหลับเมื่อคืนนี้ ความจริงเขาอยากลงไปสำรวจชั้นล่างของเรือซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นห้องนอน แต่เมื่อคิดอีกทีแล้วจึงล้มเลิกความคิดนั้นไป
ไม่นาน พิชญก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้นเดินถืออาหารมาสองจาน คราวนี้สวมเสื้อกล้ามเก่าๆ ตัวโคร่งสีเทาซึ่งแทบจะปิดบังร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไม่ได้เลย
“อย่าบอกนะว่าเป็นข้าวผัด” พิชญพูดขึ้น
“อย่าบอกนะว่าคุณจะเลือกกิน” อีกฝ่ายตอบ
“ผัดมักกะโรนี” พิชญรับจานอาหารมาจากพ่อครัวกล้ามโต
“ได้ดีที่สุดแค่นี้ล่ะครับ” พยุตม์ยิ้มมุมปาก “อ้อ แล้วก็หมดแค่นี้นะครับ มื้อเที่ยงอยู่ในทะเล”
กว่าจะทานอาหารเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเก้านาฬิกาสามสิบนาที พอท้องอิ่ม พิชญก็เริ่มบ่นเรื่องเดินทางกลับ
“คงถึงกระบี่เย็นๆ” พยุตม์พูด
“เย็นๆ” พิชญอุทานเสียงดัง “คุณหมายถึงตอนพระอาทิตย์ตกดินใช่หรือเปล่า กว่าผมจะเช่ารถไปส่งสนามบิน ตั๋วเครื่องบินคงหมดพอดี”
“คุณก็รอไปพรุ่งนี้เช้าสิครับ” พยุตม์แนะนำ
“หมายความว่าต้องนอนบนเรือนี่อีกหนึ่งคืนงั้นหรือ พูดเป็นเล่น”
“กลับไปนอนที่บ้านก็ได้ เพราะยังไงก็ต้องกลับบ้านไปเอากระเป๋าคุณก่อนไม่ใช่หรือ เราก็ตื่นแต่เช้าแล้วก็ออกเดินทางเลย ไปถึงฝั่งก็เที่ยงหรือบ่าย คุณมีเวลาถมเถ”
“เมื่อเช้า ถ้าไม่ตื่นสายก็คงไปถึงไหนต่อไหน”
“คุณตื่นสายเองนะ”
“คุณไม่ปลุกผม” พิชญหันไปเอาเรื่องคนที่ตื่นก่อนอีกครั้ง
“นี่คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าอยู่ดีๆ ก็ชวนผมทะเลาะ” พยุตม์ลุกขึ้น ถอดเสื้อกล้ามออกแล้วหยิบแว่นตาว่ายน้ำ พิชญรีบถามขึ้นมาว่า
“นี่คุณจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าจะ...”
“ว่ายน้ำย่อยอาหาร”
“แต่คุณต้องไปส่งผม คุณต้องไปหาน้ำมันมาเติมเรือซะก่อน แล้วไปส่งผม”
“ยังไงคุณก็ไปไม่ทันเครื่องบินอยู่ดี จะรีบไปทำไม ถือซะว่าวันนี้เป็นวันเดินทางทางเรือ พรุ่งนี้เป็นวันเดินทางทางบกและทางอากาศ”
“นี่คุณ ไม่ได้นะ” พิชญรีบห้าม แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะอีกฝ่ายกระโดดลงน้ำเสียงดังตูม
“บ้าจริงๆ เลย คนผีทะเล” พิชญเดินไปยืนนกอดอกมองร่างที่กำลังว่ายน้ำห่างออกไปจากเรือ “แถวนี้น่าจะมีฉลาม จะได้คาบอีตาท่อนซุงนี่ไปกินซะให้สิ้นเรื่อง”
'อีตาท่อนซุง' ใช้เวลาว่ายน้ำถึงครึ่งชั่วโมงก่อนจะปีนขึ้นมายืนหอบอยู่ที่ท้ายเรือ พิชญเดินเข้าไปหาและยืนกอดอกมองด้วยสายตาโกรธๆ ในใจคิดเสียดายอยู่ว่า
น่าจะดึงบันไดขึ้นมา ไม่ให้อีตายักษ์ใหญ่ขึ้นเรือได้ ปล่อยให้แช่น้ำอยู่อย่างนั้น ดูซิว่าจะเป็นยังไง คอยดูนะ ถ้ากระโดดลงน้ำอีก เราจะดึงบันไดข้างเรือขึ้นมาจริงๆ ด้วย
“รู้สึกเหมือนเป็นปลาฉลามเลยล่ะ เย็นสบายดีจริงๆ” ฉลามหนุ่มยักคิ้วแล้วเดินไปเปิดฝักบัวล้างตัวก่อนจะทำท่าดึงกางเกงลง พิชญรีบหันหลังให้ ได้ยินแต่เสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“เพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้คุณรอ พอเปลี่ยนกางเกงแล้วผมจะเร่งความเร็วเต็มที่เหมือนแข่งเรือให้นะครับ ไม่ต้องห่วง อ้อ ทีนี้คุณหันไปทางด้านขวาเพราะผมจะเดินไปทางด้านซ้าย หรือถ้าอายกลัวว่าจะเห็นผู้ชายเปลือยกาย เอาชัวร์ๆ คุณหลับตาไว้ก็ได้”
“ทะลึ่ง ผมแค่ไม่อยากเห็นอะไรอุจาดตา”
“อย่างผมนี่นะเรียกอุจาด”
“คุณไปซะทีเถอะ ไม่อยากเห็นหรอก แบบที่คุณมีผมก็มีเหมือนกัน จะดูไปทำไม”
“มีน่ะใช่ แต่รูปร่างและขนาดอาจไม่เหมือนครับ” เสียงห้าวดังขึ้นใกล้หู และตามมาด้วยเสียงหัวเราะชอบใจดังห่างออกไป
พิชญกัดฟัน ยังคงก้มหน้ามองพื้นอยู่ด้วยความอดทน รอใจแน่ใจว่า 'ชีเปลือย' เดินหายเข้าไปในเรือแล้วจึงเดินกลับมาที่ด้านหน้าเรือและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่โดน 'กวน'
อย่าได้กระโดดลงน้ำอีกนะอีตายักษ์ ไม่งั้นได้ลอยคลอเฝ้าทะเลแน่ๆ แล้วถ้าแก้ผ้าอีกทีละก็ จะถ่ายรูปเอาไปโพสในอินเตอร์เน็ตให้อายไปเลย
ไม่นาน เสียงเครื่องยนต์ของเรือยอท์ชก็ดังขึ้น คนขับออกเรือช้าๆ และไม่กี่นาทีก็เร่งความเร็ว พิชญถอนหายใจเพราะได้ออกเดินทางเสียทีแทนที่จะนั่งอยู่บนเรือที่ลอยลำนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน
พรุ่งนี้บ่ายเลยหรือถึงจะได้กลับกรุงเทพฯ ช้ากว่ากำหนดถึงสามวัน ป่านนี้พี่ปานคงเป็นห่วงเขาแย่แล้ว น่าสงสาร เป็นผู้จัดการส่วนตัวเขาได้ไม่กี่เดือน ต้องวิ่งวุ่นเหมือนทำงานมาเป็นปีๆ
ทั้งที่หงุดหงิดและกังวล ทว่าความเร็วคงที่ของเรือและลมทะเลเย็นๆ ทำให้พิชญง่วงและผลอยหลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงหวูดของเรือดังขึ้นถี่ๆ จึงสะดุ้งตื่น
“นี่คุณ มาทางกราบเรือด้านขวาสิครับ” เสียงคนขับเรือตะโกนเรียก
“ทำไม” พิชญตะโกนตอบ
“บอกให้มาก็มาเถอะน่า”
“ก็แล้วทำไมล่ะ”
“ไม่มาแล้วคุณจะเสียใจ”
“เสียใจเรื่องอะไร” พิชญถาม
“เฮ้อ คุณนี่นะ ทำไมเรื่องมากจริงๆ มาเถอะครับ ก่อนที่จะพลาดอะไรเด็ดๆ”
“ปลาโลมางั้นสิ” พิชญเลิกคิ้ว “คุณไม่ต้องมาหลอกผมเลย ผมไม่ใช่เด็กที่พอเห็นปลาโลมาแล้วจะตื่นเต้นดีใจจนคุมสติไม่อยู่”
“ว่าตัวเองก็เป็นแฮะ”
“อะไรนะ” พิชญตะโกนถามเพราะไม่ยินไม่ชัด
“ผมบอกว่ามาดูเอาเองเถอะ”
“ไม่ใช่ เมื่อกี้คุณไม่ได้พูดแบบนี้”
“นี่คุณ ถ้าอยากทะเลาะกับผมก็รอไว้ก่อน ตอนนี้มาดูทางขวาของเรือก่อน ผมรับประกันความพึงพอใจ”
พิชญลุกขึ้นและเดินไปยังกราบเรือทางด้านขวาอย่างเนือยๆ แต่เมื่อเห็นว่ามีปลาโลมาฝูงหนึ่งกำลังว่ายน้ำตามเรือด้วยความเร็วเท่ากันจึงร้องโวยวายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่นะไม่ตื่นเต้นจนคุมสติไม่อยู่” พยุตม์พูดแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ รู้สึกขำกับท่าทางของคนที่กำลังเกาะราวเหล็กดูปลาโลมา
“นี่คุณ อย่าชะโงกออกไปมากนักนะ ตกทะเลลงไปผมไม่ตามเก็บด้วยนะเออ” พยุตม์อดเย้าไม่ได้
คนที่กำลังตื่นเต้นไม่สนใจคำพูดของคนขับเรือ แต่กับผละจากกราบเรือวิ่งมาที่เก้าอี้และหยิบเอาโทรศัพท์ไปเพื่อถ่ายรูปปลาโลมา
พิชญถ่ายภาพจนหนำใจทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ลืมไปสนิทว่าต้องประหยัดแบตเตอรี่ของโทรศัพท์เอาไว้เพื่อใช้เวลาฉุกเฉินเมื่อกลับถึงฝั่ง
ฝูงปลาโลมาว่ายน้ำเคียงคู่มากับเป็นเวลาเกือบห้านาทีและเริ่มจะเปลี่ยนทิศทางห่างไปจากเรือ พิชญรีบตะโกนบอกให้คนขับเรือตามปลาโลมาฝูงนั้น
“ไม่ได้นะครับ ถ้าทำยังงั้นก็จะออกนอกเส้นทาง”
“แล้วค่อยยูเทิร์นกลับก็ได้ ตามเขาไป” พิชญสั่ง
“คุณคิดว่าจะยูเทิร์นง่ายๆ เหมือนรถเลยหรือ”
“เหอะน่า ตามไป ผมอยากรู้มันจะไปไหน”
“โอ้โห ความอยากรู้ของคุณนี่ไม่มีขีดจำกัดจริงๆ”
“เร็วสิคุณ ตามไป” พิชญหันไปส่งสายตาดุๆ ให้คนที่กำลังขับเรือ
“คุณจะตามไปทำไม ปลาโลมามันก็ว่ายของมันไปเรื่อย มันทักทายเราขนาดนี้ก็ถือว่านานแล้วนะครับ”
“ผมอยากเห็นที่มันอยู่” พิชญพูด
“มันก็อยู่ในทะเลนั่นล่ะครับ คุณอย่าบอกนนะว่าอยากตามไปดูบ้านของปลาโลมา”
“นี่คุณ จะตามหรือไม่ตาม” พิชญเริ่มหมดความอดทน
“ถ้าน้ำมันหมดล่ะ” พยุตม์ขู่
“ก็...” พิชญอึ้งไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นมา “ก็ได้ ตามไปแค่ซักสิบห้านาทีก็ได้แล้วค่อยหยุด”
“โธ่ คุณ ยังมีแบบนี้อีก”
“นะคุณนะ คุณแล่นเรือมาเกือบจะรอบโลก คุณคงเคยเห็นอะไรแบบนี้จนเบื่อ แต่สำหรับผม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต และอาจเป็นครั้งสุดท้าย เห็นใจกันหน่อยเถอะ ตามไปเร็วๆ” พิชญพูดขอความเห็นใจ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“คนอะไร ขนาดขอร้องยังเสียงดุเลย” พยุตม์บ่นแล้วเปลี่ยนทิศทางเรือตามฝูงปลาโลมา
พยุตม์ 'แถม' ให้คนชอบดูปลาโลมาอีกห้านาทีแล้วลดความเร็วเรือลงพร้อมกับที่ฝูงปลาโลมาดำดิ่งหายใปใต้ท้องทะเล
“ทีนี้กลับกันได้หรือยังครับ” พยุตม์ถามคนที่เกาะราวเหล็กของกราบเรือตาละห้อย “หรือคุณอยากกระโดดตามลงไป ผมจะได้เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำให้”
“อย่าชวนทะเลาะนะคุณ”
“น้ำมันจะเหลือพอไปให้ถึงเกาะปะดีหรือเปล่าก็ไม่รู้” พยุตม์บ่น
“เกาะอะไรนะ” พิชญถาม
“เกาะที่เราจะไปซื้อน้ำมัน”
“ถ้าไม่ถึงจะเป็นยังไง”
“อ้าว คุณ ถามออกมาได้ เราก็ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลนะสิครับ อาหารก็ไม่มี น้ำก็มีแค่อยู่ได้สี่วัน”
“หารสองแล้วใช่ไหม” พิชญถาม
“ยัง” พยุตม์ตอบสั้นๆ ทำให้คนฟังต้องเม้มปากสะกดอารมณ์ก่อนจะพูดออกมาว่า
“คุณก็แล่นเรือช้าๆ ขับให้ความเร็วคงที่ น่าจะประหยัดน้ำมันได้” พิชญแนะนำพลางกดดูรูปภาพในโทรศัพท์ของตัวเอง
“เหมือนขับรถใช่หรือเปล่า ขอบคุณนะครับสำหรับคำแนะนำการขับเรือยอท์ช”
“ด้วยความยินดีครับ” พิชญค้อมศีรษะรับคำขอบคุณ
พยุตม์ลดความเร็วของเรือลงตามที่ได้รับ 'คำแนะนำ' ตามองไปข้างหน้าสลับกับการหันไปมองคนที่นอนหลับตากระดิกเท้าซึ่งเขาคิดว่าฝ่ายนั้นคงกำลังฮัมเพลงอยู่ในใจ
บ่ายแก่ๆ พยุตม์ก็เดินทางมาถึงจุดหมาย คนที่นอนฮัมเพลงหลับไปนานแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะตื่น พยุตม์รู้สึกแปลกใจเพราะคนที่นอนหลับนั้นนอนนิ่งตลอดการเดินทาง
หรือเพราะนอนขณะที่เรือกำลังแล่นถึงได้นอนนิ่ง แต่ถ้านอนขณะที่เรือลอยลำอยู่เฉยๆ หรือนอนบนเตียงกลับดิ้น แปลกคนจริงๆ
พยุตม์เทียบเรือที่ท่าเทียบเรือ มีคนเดินมายืนรออยู่ข้างเรือและตะโกนถามอะไรบางอย่างซึ่งเขาได้ยินไม่ถนัดจึงตะโกนบอกให้รอสักครู่ เสียงดังคงทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ดูงัวเงีย ใช้นิ้วขยี้ตาตัวเองทั้งสองข้างเหมือนเด็กกำลังตื่นนอน
พยุตม์อมยิ้ม
ดูแบบนี้ก็น่ารักดีนะ เหมือนคนไม่มีฤทธิ์เดชอะไร
พยุตม์คิดอยู่ในใจแล้วเดินไปคุยกับคนที่ยืนรออยู่ข้างเรือ เขาบอกว่าต้องการซื้อน้ำมัน ชายคนนั้นรับจัดการให้แต่บอกว่าต้องใช้เวลาพอสมควร พยุตม์จึงตัดสินใจที่จะลงจากเรือไปซื้ออาหารและน้ำ
“คุณจะไปไหน” เสียงคนที่เพิ่งตื่นนอนถามขึ้น
“ซื้อของ” พยุตม์ตอบสั้นๆ
“ที่นี่จะมีโทรศัพท์หรือเปล่า”
“ผมไม่รู้”
“คุณไปถามให้หน่อยสิครับ”
“ทำไมคุณไม่ลงจากเรือแล้วเดินไปดูด้วยกัน” พยุตม์เอียงหน้าถาม
“ผม...”
พยุตม์ขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายดูลังเลและกระสับกระส่าย แต่ก็เป็นเวลาเพียงครึ่งนาทีเท่านั้นก็หันไปหยิบหมวกซึ่งวางอยู่ข้างๆ และบอกว่าขอยืมสักครู่ จากนั้นก็กระโดดลงจากเรือแล้วเดินลิ่วไปตามสะพานโดยไม่รอเขาแม้แต่น้อย
“เฮ้อ คิดเร็วทำเร็วจริงๆ เลย” พยุตม์พึมพำและอมยิ้มเมื่อใกล้จะทันคนที่เดินนำหน้า
“ผมไม่ใช่คนอืดอาดยืดยาด” พิชญตอบ
“ยังได้ยินอีก”
“ผมหูดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนนินทา”
“คร้าบ เข้าใจแล้วคร้าบ” พยุตม์ลากเสียงล้อ “ใครจะไปนินทาคุณกับใครที่ไหนกัน อยู่กันแค่สองคน”
“ไม่มีสัญญาณ โอ๊ย” เสียงของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าบ่น มือยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วโบกไปมาประหนึ่งจะช่วยให้ค้นหาคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ได้
“ไกลขนาดนี้ไม่มีสัญญาณหรอกคุณ”
“ไหนว่าคลอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทย โกหกตอแหลนี่นา เบื่อจริงๆ เลยคนโกหก” พิชญถอนหายใจหนักๆ แล้วหยุดเดิน พยุตม์มายืนอยู่ข้างๆ และพูดว่า
“เรื่องเดียวเท่านั้น พูดไม่เลิก ผมกำลังทำงานไถ่โทษอยู่นี่ไง”
“ใครไปว่าอะไรคุณ”
“ลองไปที่ร้านขายของ เขาอาจจะมีโทรศัพท์ แต่ผมขอถามหน่อยเถอะ คุณต้องโทรศัพท์ตอนนี้ให้ได้เลยหรือ”
“ไม่เข้าใจหรือไง ผมก็ต้องโทรศัพ์ไปบอกที่กรุงเทพฯ ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ฆ่าตัวตายหนี...”
“หือ” พยุตม์เลิกคิ้ว
“ก็โทรไปบอกที่กรุงเทพฯ ว่าผมกลับช้าสองสามวันเพราะเรือไม่มีน้ำมัน”
“เรือไม่มารับคุณต่างหาก”
“แต่คนที่มีเรือกลับทำเป็นอมพะนำ” พิชญจ้องหน้าพยุตม์
“เอาล่ะ ผมขอยอมรับผิดอย่างเป็นทางการว่าผมคิดอะไรช้าไปหน่อย แต่ตอนนี้ผมก็กำลังช่วยคุณอยู่ เพราะฉะนั้น คุณทำใจเย็นๆ”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้น้ำมันล่ะครับ”
“เราเพิ่งลงจากเรือได้ไม่ถึงห้านาทีเลยนะครับคุณ นี่ไม่ใช่ปั๊มน้ำมัน ปตท กลางกรุงเทพฯ จะได้บริการทันใจ” พยุตม์พูดขึ้นแล้วลงจากสะพาน มุ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านชาวประมง ปล่อยให้อีกฝ่ายืนนิ่งด้วยความฉุนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามมา
“หวังว่าไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนะ” พิชญเดินมาจนทันคนตัวโต
“น่าจะประมาณนั้น” พยุตม์พยักหน้าช้าๆ “เติมน้ำมันเรือยอท์ชนะครับ ไม่ใช่...”
“อย่าๆ” พิชญยกมือขึ้นห้าม “พอที ไม่ต้องมาประชดผม”
“ผมแค่จะพูดว่า...”
“ผมรู้ว่าเติมน้ำมันเรือยอท์ช ไม่ใช่เติมน้ำมันรถตุ๊กตุ๊ก”
“ตุ๊กตุ๊กใช้แก๊สครับ” พยุตม์แก้คำพูดอีกฝ่าย
“นี่คุณ...” พิชญกระชากเสียง
“ผมก็แค่พูดไปตามความเป็นจริง” พยุตม์ยักไหล่แล้วหยุดยืนหน้าร้ายขายสินค้าเบ็ดเตล็ดและหันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ผมจะเข้าไปซื้อของกินกับน้ำ คุณจะเข้าไปด้วยไหม”
“ไม่ คุณถามด้วยก็แล้วกันว่าเขามีโทรศัพท์หรือเปล่า ถ้ามีให้ยกมือส่งสัญญาณให้ผมรู้ ถ้าไม่มีให้แบะแขนออก”
“แบบนี้ใช่ไหมครับ” พยุตม์แสดงท่าทาง
“ใช่” พิชญพยักหน้าแล้วกรอกตาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทำท่าทางประชด
พยุตม์เดินอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีเข้าไปในร้าน รู้สึกขำชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่กับเขามาเป็นเวลาถึงสิบหกวันยิ่งนัก
นี่คือสีสันใหม่ๆ ในชีวิตของเขา พยุตม์ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เขาเป็นคนชอบชีวิตที่เงียบสงบ เรียบง่ายและสันโดษ ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะมีใครสักคน แต่เวลาสั้นๆ กับชายหนุ่มคนนี้ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา
ไม่เหงา!
เขาไม่อยากให้เวลาช่วงนี้ผ่านไป
แต่ว่าเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ชายหนุ่นคนที่จนป่านนี้เขายังไม่รู้จักชื่อกำลังจะกลับกรุงเทพฯ และท่าทางอยากกลับมาก ส่วนเขาเองก็ต้องออกเดินทางต่อเพื่อไปให้ถึงซิดนีย์ และจบการเดินทางรอบโลกครบหนึ่งปีตามกำหนด
::: End of chapter 11:::
พรุ่งนี้จบครับ