...................
.......
..
“ใครไม่มาแสดงตัวด้วยเว้ย จะได้นับว่าครบคนไหม”
“มึงเล่นมุกหรือจริงจังวะถามไม่คิด” ไอ้คิมพูดพร้อมตบหัวไอ้ธามไปป้าบใหญ่ๆ ดูจากหน้าตามันตอนถามแล้วกูว่าจริงจังว่ะ
“กูนับเอง ใครหายไปยกมือขึ้น”
“มันใช่เวลาเล่นไหมไอ้นนท์ ใกล้จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว” ไอ้คิมพูดจริงจัง วันนี้มันมาแปลกเว้ย เห็นทุกทีคนไร้สาระจะเป็นมันคนแรก ตอนนี้พวกเราอยู่สนามบินดอนเมืองหลังจากที่ไปรวมตัวกันที่บ้านพี่แทนแล้วยกโขยงกันมาที่สนามบินต่อโดยมีบริการรถตู้ฟรีจากบ้านพี่ท่านพร้อมคนขับรถและคนถือกระเป๋าให้พร้อม คิดว่าถ้าพี่มันยอมให้บอดี้การ์ดตามไปด้วยคงได้วุ่นวายกันมากกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี คิดว่าน่าจะไปรอที่บ้านพักก่อนแล้ว ค่าตั๋วเครื่องบินรวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดแน่นอนพวกผมไม่มีปัญญาออกเองกันหรอกครับ ก็ได้สปอนเซอร์หลักกระเป๋าหนักบ้านรวยทั้งสามท่านนั่นแหละเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด งานนี้ไปแต่ตัวจริงๆครับ คิดว่าเสียอย่างเดียว...เสียตัว
“กูนับนะ นนท์มา ไนท์มา ธามมา พี่แทนมา พี่มินมา พี่เหนือมา เมียพี่เหนือก็มา โอเคครบ ปะเข้าเกทได้” จริงจังไม่ทันไรก็เริ่มกวนตีนแล้วไอ้คิม เรียกชื่อกูก็พอตำแหน่งไม่ต้อง เห็นรอยยิ้มร้ายๆนั่นไหม มันหมายความว่าชอบใจที่เห็นกูอาย
“เสียดายไอ้ต้นกับไอ้แบท ไม่ได้มาด้วย” เพราะไอ้ต้นวางแพลนไปเที่ยวประจวบบ้านไอ้แบทมาตั้งแต่แรกมันสองคนเลยไม่ได้มาด้วย ผมว่ามันชักจะยังไงๆแล้วไอ้คู่นี้ ประธานกับเลขาทำตัวน่าสงสัยขึ้นทุกที
“ว่าแต่เกาะไล่ปี้นี่ใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมงวะ”
“เดี๋ยวๆๆไอ้คิม กูว่าชื่อเกาะมันไม่ใช่ว่ะ” ไอ้ไนท์รีบแย้งขึ้นมาทันที ผมก็เห็นด้วยนะ มีชื่อเกาะจังไรขนาดนั้นเลยหรอวะ
“ถูกของไอ้คิมแล้วมึง ในโบรชัวร์เขาก็เขียนไว้ว่าไล่ปี้ที่สตูลกูดูแล้ว” ไอ้ธามพูดเสริมขึ้นพร้อมทำหน้ามั่นใจเกินร้อย ผมเห็นไอ้พี่มินแอบขำก่อนจะยื่นมือมันมาบิดแก้มไอ้ธามไปที สงสัยคงหมั่นเขี้ยว
“ชื่อเกาะเชี่ยไรของพวกมึงไหนเอามาอ่านดิ” ไอ้นนท์พูดก่อนจะกระชากโบรชัวร์จากมือไอ้ธามไปอ่าน
“ไงวะ ไล่ปี้ที่สตูลจริงหรอมึง” ผมที่ลุ้นอยู่นานเห็นไอ้นนท์ตาโตเท่าไข่ห่านตอนอ่านก็ตกใจ ตกลงไล่ปี้จริงดิ ไม่ต้องไล่กูก็โดนแทบจะทุกวันอยู่แล้วมึง ไม่ต้องไปถึงสตูลก็ได้
“พ่องดิ แอลไอพีอี L-I-P-E มึงอ่านว่าอะไร?”
“เชี่ย! ไล่ปี้จริงๆ” ผมสบถออกมาอย่างตกใจ อยู่มาจนอายุขึ้นเลขสองยังไม่เคยรู้ว่าประเทศไทยมีเกาะนี่อยู่ด้วย แล้วไอ้พี่มินมันนึกยังไงถึงไปมีบ้านพัก ไปทำรีสอร์ทอยู่ที่นั่น แค่ชื่อก็ต้องขึ้นป้าย18+แล้ว
“ไอ้นี่ก็อีกคน มึงไปอยู่รวมกับไอ้คิมไอ้ธามเลย ห่า อ่านยังไงของมึง Lipeเขาอ่านว่าหลีเป๊ะ หลีเป๊ะ อ่านปากนนท์ชัดๆนะคะ หลีเป๊ะค่ะ ไม่ไล่ปี้นะ ไล่ปี้นั้นไว้พวกมึงไปกันเองสัด” อะไรวะอ่านแบบนั้นได้ด้วยก็ไม่บอก
“ตามที่นนท์บอกนั่นแหละครับ เดินทางก็ราวๆชั่วโมงกว่าไปถึงสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นจะมีรถที่รีสอร์ทมารับเราไปที่ท่าเรือ ต่อเรือไปที่เกาะอีกทีครับรวมแล้วประมาณสองชั่วโมงก็ถึงบ้านพักที่เรากำลังจะไป ธามเมาเรือไหมครับ?” ยืนกันหัวโด่อยู่นี่ก็หลายชีวิตพี่มินดันไม่ถาม หันไปถามแต่ไอ้คนบ้าที่แม้แต่ทินเนอร์มันยังไม่เมาอยู่คนเดียว
“ไม่ว่ะพี่ แต่อยากเมารักนะ เรือไม่อยากเมา ฮิ้ววววว” ชงเอง ตบเองเสร็จสรรพไม่ปรึกษาใคร
“หึ ได้เมาสมใจแน่ครับ” เหมือนเห็นสายตากับรอยยิ้มของพี่มินแปลกไป สงสัยผมคงตาฝาดไปเองอีกแล้วแน่ๆ เบลอกับไล่ปี้มากไป
“ไปกันเถอะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ถึงสตูลมึงโดนแน่ไอ้ไนท์ กูบอกไม่ให้ใส่เสื้อกล้ามมาแล้วนี่อะไร” พี่แทนพูดขึ้นพร้อมลากแขนไอ้ไนท์ให้เดินเข้าเกทไป
“มึงก็ใส่ขาสั้น กูบอกไม่ให้ใส่ยังเสือกใส่” ไอ้ไนท์เถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ไม่ใช่คู่กัดธรรมดาแล้วมั้ง ถึงได้ห้ามอะไรไร้สาระแบบนี้ เลิกปากแข็งกันเมื่อไหร่ คงได้รู้จากปากพวกมันเองแหละ ผมเบื่อจะถาม ถามทีไรก็ได้คำตอบเดิมว่าไม่มีอะไรๆ เห็นๆอยู่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“อยู่บนเครื่องนอนไปเลย” ไอ้พี่เหนือขยับแว่นตาดำราคาเหยียบหมื่น ก่อนจะยิ้มมุมปาก เบื่อความหล่อบนหน้ามันจังครับ ทำเอาผู้หญิงทั้งพนักงาน ทั้งแอร์โฮสเตสรวมถึงผู้โดยสารที่ผ่านไปมาต้องเหลียวมองกันเป็นว่าเล่น หวงนะเว้ย แปะป้ายว่า “คนนี้ของผม” ได้กูทำไปนานแล้ว ใครใช้ให้ใส่เสื้อกล้ามดำสวมทับด้วยเชี้ตสีขาวไม่ติดกระดุมแบบนี้วะ ไหนจะกางเกงขาสั้นสีเทากับรองเท้าผ้าใบสีครีมนี่อีก ชอบโชว์นักรึไง ห้ามคนอื่นแต่ตัวเองใส่ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน กูนี่เสื้อยืดตอนออกค่ายกับกางเกงวอร์มแถมคีบแตะ จะใส่สามส่วนมาก็บอกว่าบนเครื่องอากาศเย็นบังคับกูใส่กางเกงวอร์มอีก ถ้าไม่อยู่สนามบินนี่ก็คิดว่าตัวเองจะไปวิ่งจ็อกกิ้งที่สวนตอนเช้า ถูกสกัดความหล่อตั้งแต่ยังไม่ไปถึงไหน
“ผมนอนมาเยอะแล้ว ไม่ง่วงว่ะพี่”
“กูให้มึงเก็บแรงไว้” ยัง ยังไม่หยุดยิ้มแบบนั้นอีก พนันได้เลยว่าสายตาภายใต้แว่นดำนั่นต้องเจ้าเล่ห์มากแน่ๆ
“ทำไมวะ ที่จะไปมันใช้พลังงานมากเลยหรอ”
“ก็เห็นว่ามึงอยากโดนไล่ปี้ กูเลยจะจัดให้”
“ไม่ต้องไล่มึงก็ปี้ไหม สัด!” อ่านผิดครั้งเดียวกูต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่บนเส้นได้ขนาดนี้เลยหรอ ไอ้ธามนะไอ้ธาม เพราะมึงคนเดียว
ไม่ได้เชื่อฟังที่พี่เหนือมันพูดไว้หรอกนะครับ ที่หลับเพราะง่วงเองล้วนๆ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่สนามบินหาดใหญ่แล้ว ไม่ต้องรอเพราะมีรถตู้ที่รีสอร์ทพี่มินมารับพวกเราไปท่าเรือปากบาราทันที พี่แทนกับพี่เหนือสบายๆไม่ตื่นเต้นอะไรเพราะเคยมาบ่อยแล้ว ผิดกับพวกผมที่แหกปาก แถมยังถ่ายรูปทุกอย่างที่ขวางหน้ากันเป็นว่าเล่น ตื่นเต้นมากครับยอมรับแบบแมนๆ ปกติเวลาไปเที่ยวก็เที่ยวกันแบบมีงบจำกัด ไม่ได้สะดวกสบายมีรถรับส่งแถมยังได้ขึ้นเรือเฟอร์รี่หลายล้านที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้นั่ง แน่นอนว่าเป็นเรือของพี่มินอีกนั่นแหละ คราวนี้พี่มินอาสาขอขับเอง เพราะไอ้ธามที่แค่เห็นเรือเฟอร์รี่มาอยู่ตรงหน้าก็แทบจะถลาเข้าไปกอด มันฝันอยากมีเรือเป็นของตัวเองและอยากเป็นกัปตันเรือเหมือนลูฟี่ในเรื่องวันพีชมานานแล้ว ถึงผมจะบอกว่านั่นเรือโจรสลัดมันก็เอาแต่บอกว่ายังไงก็กัปตันเหมือนกัน เอาที่มึงสบายใจเลย ตอนนี้เราเลยได้เห็นไอ้ธามจับพวกมาลัยเรือโดยมีพี่มินยืนซ้อนหลังโอบบังคับไว้เพื่อสอนมันขับเรืออีกที แจ็คกับโรสยังอายครับงานนี้ ภูเขานำแข็งไม่มีแค่อย่าพาพวกกูไปตายเพราะชนหินโสโครกเป็นพอ ไม่นานเราก็ถึงบ้านพักบนเกาะหลีเป๊ะที่แยกออกมาจากรีสอร์ทอีกที ที่นี่เงียบสงบสวยงามมากและห้ามนักท่องเที่ยวเข้ามาถ้าไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นชายหาดส่วนตัว ทันทีที่ถึงเราต่างก็แยกย้ายไปตามห้องที่พี่มินจัดไว้ ผมนอนกับพี่เหนือ ไอ้ไนท์โดนพี่แทนลากไปนอนด้วย ส่วนไอ้นนท์นอนกับไอ้คิมเพราะแต่ละห้องมีแค่สองเตียง
“นอนเบียดๆกันก็ได้ กูอยากนอนกับพวกมึงนี่หว่า” ไอ้ธามเริ่มงอแงขึ้นมาหลังจากตัวเองเป็นเศษเหลือ
“มึงอย่าเรื่องมาก เดี๋ยวก็มานอนกองรวมกันที่ห้องรับแขกอยู่ดี สายเหล้า สายพนัน สายดนตรี มากันครบขนาดนี้มึงคิดว่าจะได้นอนรึไง เอาของไปเก็บที่ห้องพี่มิน ว่าง่ายๆไม่ดื้ออย่างอแงไอ้ธาม”
“ก็ได้วะ พี่นำไปดิ” ทำหน้าไม่เต็มใจแต่ก็ยอมดินตามพี่มินไปแต่โดยดี เจ้าของบ้านลากกระเป๋าให้ขนาดนั้นยังเสือกเรื่องมากอีก สมแล้วที่โดนไอ้นนท์ดุ
“พี่เหนือไปเดินเล่นที่หาดกัน”
“ชอบไหม?” มันถามผมหลังจากเราเดินออกมาที่ชายหาดด้านหน้าบ้านพักที่ติดกับทะเล หาดทรายขาว น้ำทะเลใสสีเขียวมรกต ทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้กับโปรแกรมเที่ยวคร่าวๆที่พี่มินบอกไว้ เย็นนี้เราจะมีบาบีคิวริมหาดรอบกองไฟ เล่นดนตรี เมากันให้สุดเหวี่ยง เช้าตรู่ดูพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนจะล่องเรือไปดำน้ำ ปลูกปะการังในวันรุ่งขึ้น แค่คิดก็อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ ผมถอดรองเท้าแตะมาถือไว้ในมือ ปล่อยเท้าเปล่าให้สัมผัสผืนทรายกับน้ำทะเลที่ซัดเข้ามา เสียงคลื่น สายลม แสงแดด กลิ่นทะเลทำให้ผมผ่อนคลาย
“ชอบมากเลยครับ” ผมตอบก่อนจะส่งยิ้มกว้างไปให้คนตรงหน้าที่เอาแต่ยืนมองมาที่ผม
“กูก็ชอบ” พูดออกมาโดยไม่ละสายตาไปจากกัน ชอบของพี่เหนือกับชอบในความเข้าใจของผมไม่รู้จะตรงกันไหม รู้แค่ตอนนี้หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ
“ไอ้ปอนด์ พี่มินจะพาไปซื้อของที่ตลาดปลามึงจะไปด้วยไหม?” เสียงไอ้คิมตะโกนถามผม โดยมีทุกคนขาดแค่พี่เหนือ ผม และพี่แทนที่กำลังเดินเข้ามาหาเราสองคนรออยู่ก่อนแล้ว
“ผมอยากไป”
“อืมไปสิ กูรออยู่นี่” พูดจบผมก็วิ่งสวนกับไอ้พี่แทนที่น่าจะเดินมาหาพี่เหนือก่อนจะโดดขึ้นรถไปกับพวกพี่มินทันที
“ไม่ไปด้วยหรอวะไอ้เหนือ”
“แล้วมึง ทำไมไม่ไป”
“อยากให้มันอยู่กับเพื่อน”
“เหมือนกัน”
“ปีที่แล้วเรามากันสามคน ปีนี้ไม่ได้มีแค่เราสามคนแล้ว กูเพิ่งรู้สึกว่าทะเลที่นี่สวยก็ตอนนี้ มึงว่าไหมไอ้เหนือ”
“คงงั้น”
“เรื่องไอ้มิน กูไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่กูสงสารเหยื่อของมัน เพราะถ้าไอ้ไนท์มันทุกข์กูคงทุกข์ไปด้วย มึงก็รู้ว่ามันรักเพื่อนมากแค่ไหน”
“บางอย่างห้ามไม่ได้ แค่ดูแลคนของตัวเองให้ดีก็พอ...”
.........................................
.............................
............
..
“ไหม้ ไหม้ ไหม้ ไหม้” เสียงไอ้คิมที่ยืนถือจานรออยู่พูดกับไอ้ธามที่ยืนย่างอาหารทะเลอยู่หน้าเตากับผม
“เออกูรู้แล้วว่ามึงไม่เอาไหม้” ไอ้ธามตอบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากมือก็คีบกุ้งลงย่างบนเตา โดยมีเสียงกีตาร์จากไอ้ไนท์และเสียงเพลงจากไอ้นนท์ สามคนสุดหล่อเขาก็ยืนจับกลุ่มคุยกันเป็นพระเอกมิวสิกที่มีฉากหลังเป็นเปลวไฟอันร้อนแรง ทิ้งให้พวกกูเกรียมกันอยู่หน้าเตาสามคน
“กูจะบอกว่าไหม้แล้วไอ้ห่า มึงจะย่างให้เป็นเถ้าธุลีเลยไหมกูจะได้สวดส่งวิญญาณกุ้งหอยปูปลาหมึกเหล่านี้ให้ไปสู่สุคติ”
“ปากร้ายที่สุดธามรับไม่ได้” สะดีดสะดิ้งจบก็คีบกุ้งกับปลาหมึกตัวที่ไหม้ใส่ในจานของไอ้คิม
“กวนตีน”
“กูมีความสุข จนคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เลยว่ะ”
“ขนาดนั้นเลยหรอวะไอ้ธาม” ผมถามมันทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่หยุดยิ้มเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่ ทั้งตอนที่เราไปตลาดปลา ตอนที่ลงเล่นน้ำกัน จนมาถึงตอนนี้ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังไม่จางหายไปจากพวกเราเลย
“แล้วมึงละไอ้ปอนด์” ไอ้คิมถามผมขึ้นมาบ้าง
“ถ้าทำได้กูก็อยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้” ผมตอบมันแค่นั้นก่อนจะหันไปมองพี่เหนือที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ประโยคเกี่ยวกับเรื่องรถดังให้ได้ยินเป็นระยะ คงไม่พ้นเรื่องแข่งรถที่ทำให้พวกมันยิ้มและหัวเราะกันได้ขนาดนั้น มองมันอยู่นานจนมันรู้ตัวเลยหันมาสบตาผมบ้าง แก้เก้อโดยตะโกนถามมันไปว่า
“แดกหอยไหมพี่” พร้อมคีบหอยเชลล์ตัวใหญ่โชว์ให้มันดู ได้รับการส่ายหน้าตอบกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของไอ้สองตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“แอบมองแฟนตัวเองจนเขารู้ตัว ดันมาเขินเลยยัดเยียดหอยให้เขาแดกซะงั้นน่ารักนะมึงเนี่ย” เออ มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอก ไม่ว่าตอนไหนกูก็แพ้สายตาของพี่เหนือทั้งนั้นแหละ โดนมองเหมือนถูกกลืนกินไปทั้งตัวตลอดเวลาแบบนั้นใครจะไปชินวะ
ปาร์ตี้บาร์บีคิวยังดำเนินต่อไป ผลัดกันกินผลัดกันย่าง เหล้าไม่ขาดปาก เสียงดนตรีไม่ขาดหู มุขตลกก็เช่นกัน ขำบ้างแป้กบ้าง วีรกรรมสมัยก่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเล่า ทั้งจากปากคนอื่นและปากผม เพิ่งมารู้ตัวก็ตอนนี้ว่าพวกผมมันยิ่งกว่าเกรียนซะอีก เฟี้ยวพอตัว แต่ความกวนตีนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่นานก็เริ่มจะไม่ไหว อาจเพราะก่อนมาร่างกายยังพักผ่อนไม่เต็มที่เลยทำให้วันนี้อยู่กันไม่ถึงโต้รุ่ง ตกลงกันว่าจะตื่นกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นนัดแนะเสร็จสรรพก็แยกย้ายห้องใครห้องมัน
“อื้ม...ขอผลัดไปพรุ่งนี้ได้ไหม ผมกลัวตื่นไม่ทันดูพระอาทิตย์” ทันทีที่ถึงห้องผมก็โดนลากขึ้นเตียงจับถอดเสื้อผ้าออกจนหมด
“เดี๋ยวกูปลุก” โดนจูบไปอีกชุดใหญ่ จะพูดได้ก็ตอนมันสนใจที่ซอกคอผมนั่นแหละ
“แต่พรุ่งนี้มีดำน้ำด้วยนะ”
“แล้วไง?”
"มีไปปลูกปะการังด้วยนะ"
"ก็ไม่ต้องไป"
“ได้ไงมาเที่ยวทั้งที”
“ปอนด์” มาแค่ชื่อกับเสียงเย็นๆแบบนี้รู้เลยว่ามันเริ่มอารมณ์เสีย พี่เหนือโหมดนี้รับมือยาก แถมยังจะโดนทำแบบรุนแรง มีหวังอดโปรแกรมเที่ยวทุกอย่างแน่ๆ
“ระ...รอบเดียวนะพี่ กลัวเดินไม่ไหว”
“เดี๋ยวกูอุ้ม” ใจดีจนน้ำตาจะไหลเลยให้ตาย ตกลงจะเอาให้ได้เลยใช่ไหม
“เฮ้อ ตามใจพี่เลย แต่ห้ามรุนแรง ห้ามเจ็บ ห้ามท่ายาก” กูมาเป็นสโลแกนเลยไง เห็นใจกูหน่อยกูอยากไปเที่ยวกับเพื่อน
“ตามนั้น” พูดจบก็จับมือผมไปแปะส่วนนั้นของมัน หวัดดีไม่เจอกันนาน โตขึ้นรึเปล่านะเรา
“หะ...ห้ามใหญ่ด้วยได้ไหม?”
“ไม่ใหญ่ไม่ได้” ตามนั้นครับ ครั้งนี้ขอไม่ถ่ายทอดสดนะ รู้แค่คำพูดของมันไม่มีข้อไหนที่เชื่อถือได้ พูดอะไรไม่ออกได้ยินแค่เสียงหอบ เสียงคราง กับเสียงกระทบกันของร่างกายเราดังก้องไปทั่วทั้งห้อง กี่รอบไม่รู้เพราะไม่ได้นับ รู้แค่ผมจะไม่ดื้อหนีมันกลับไปนอนหออีกแล้ว คนจริงจัดหนักจัดเต็ม เต็มจนล้นออกมา ใจดีพาอาบน้ำก็ต่อในห้องน้ำอีกหลายรอบ สลบคาอกไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกอุ้มมานั่งบนตักที่ทุกคนนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดกันแล้ว
“เหมือนเพิ่งได้นอนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง” เห็นไอ้ธามกับไอ้คิมทำหน้าตากรุ้มกริ่มใส่แล้วอยากลุกขึ้นถีบติดแค่ไม่มีแรงจะยกขา
“นอนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพระทิตย์ขึ้นกูปลุก” มันกระชับเสื้อคลุมให้ผมพร้อมกอดผมแน่นอย่างไม่สนใจสายตาและเสียงฝูงหมาที่เห่าหอนอยู่ตลอด
“เห็นแสงแล้วเว้ย วู้ววววววววววววว” เสียงไอ้ธามตะโกนก่อนจะกระโดดโลดเต้นดีใจใหญ่ ไอ้ไนท์ที่ถือกล้องถ่ายรูปไว้ในมือกดบันทึกทุกช่วงเวลาไว้ ผมเห็นมันถ่ายรูปพวกเราไว้ด้วย เขาว่ากันว่ากล้องถ่ายรูปเป็นเหมือนเครื่องมือที่เอาไว้ใช้หยุดเวลาได้และเพราะแบบนั้นไอ้ไนท์มันถึงชอบถ่ายรูป
“ผมชอบพระอาทิตย์ขึ้น พี่เหนือผมก็ชอบ”
“...............”
“พี่เป็นเหมือนพระอาทิตย์ของผม” ทั้งอันตราย ร้อนแรง แผดเผาจนมอดไหม้ ทั้งยังให้แสงสว่างยามมืดมิด ให้ความอบอุ่นตอนที่เหน็บหนาว...
“..............”
“พี่เหนือ...ผมรักพี่นะ”
“กูก็รักมึง” พระอาทิตย์ของผมเวลายิ้มสวยงามกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้...ผมมองไปยังแสงสว่างตรงหน้า รุ่งอรุณแห่งวันใหม่มาเยือน การเริ่มต้นสำหรับทุกสิ่งนับจากนี้...เรื่องราวต่างๆในอดีตฉายขึ้นมาในหัว...บางเรื่องยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นมาเมื่อวาน...บางเรื่องเลือนราง...แต่ก็ยังคงติดอยู่ในห้วงความทรงจำ
ผมจำไม่ได้...ว่าอาการกระตุกวูบไหวบริเวณก้อนเนื้อที่อกซ้ายคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้ามากระตุ้นมันแบบฉับพลันเกิดขึ้นตอนไหน
ผมจำไม่ได้...ว่าอาการปวดหนึบบริเวณช่องท้องแล้วแผ่ขยายเป็นบริเวณกว้างลามทั่วร่างกายพาให้ลมหายใจติดขัดคล้ายกับคนตกลงจากที่สูงลงสู่เหวลึกนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่
ผมจำไม่ได้...ว่าเมื่อไหร่กันที่ผมอยากมีเวทมนต์ทำให้โลกทั้งใบหยุดหมุน ทำให้คนรอบกายทุกคนหยุดเคลื่อนไหวได้ในเวลาอันรวดเร็วพร้อมๆกับที่สามารถสร้างโลกกลวงๆของตัวเองที่ทั้งใบมีแค่ “คนๆเดียว” เข้าไปยืนอยู่ในนั้นขึ้นมา
ผมจำไม่ได้…ว่าสายตาของผมแคบลงตอนไหนเมื่อมันจับจ้องอยู่แค่ “คนๆเดียว” เท่านั้น
ผมจำไม่ได้...ว่าผมมีอาชีพเสริมนอกเวลาเรียนคือการเป็นโจรไปตั้งแต่ตอนไหนเมื่อผมอยากขโมยหัวใจของ “คนๆเดียว” มาไว้กับตัวตลอดเวลา
ผมจำไม่ได้…ว่าเมื่อไหร่กันที่ผมสูญเสียทุกความเป็นตัวของตัวเอง และกลายเป็นคนใฝ่รู้ที่ต้องมานั่งตอบคำถามตัวเองหรือหานิยามให้กับอาการเหล่านี้
ผมคิดว่าผมกำลังป่วย…เพราะ คนหนึ่งคน...ผมว่าอาการของผมตอนนี้เข้าขั้นโคม่า
แล้วผมจะนิยามอาการของตัวเองเหล่านี้ว่าอะไรดี ตอนนี้ผมคงตอบคำถามอาการเหล่านั้นให้กับตัวเองได้แล้ว...
หากเรื่องบังเอิญในวันนั้นไม่พาเราสองคนมาพบกัน...ตอนนี้เราอาจเป็นแค่คนแปลกหน้า...
และถ้ามันคือพรมลิขิตก็ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไป...ตลอดไปกับคุณ
END
เดินมาจนถึงตอนจบแล้วนะคะ
ใจหายเบาๆ ขอบคุณนักอ่านทุกคนค่ะ
I-AMใบ้ว่าเจอกันใหม่เรื่องหน้าสำหรับมินธาม เราจะดราม่าไปด้วยกันค่ะ อเลนพอได้ฟังเนื้อเรื่องคร่าวๆจากI-AMแล้ว น้องธามเจอหนักยิ่งกว่าจำเลยรักอีกค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ สำหรับเรื่องนี้ยังมีตอนพิเศษและบทสรุปของอีกคู่ให้ได้อ่านกันอยู่นะคะ
ขอให้มีความสุขกับนิยายเรื่องนี้
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจ
เช้านนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ