ป้าย่องมาลงครึ่งแรกให้ตกใจเล่น 9. (1/2) ทะเล?
ภัทรเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหู ก็จริงอยู่หรอกที่สุดสัปดาห์นี้ทั้งคู่ไม่มีธุระปะปังที่ทำให้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันไม่ได้ แต่แค่การที่จู่ๆเขาก็โดนชวนแกมบังคับให้มาค้างที่บ้านด้วยเมื่อคืนก่อนโดยไม่ได้เตรียมตัวก็ทำให้ประหลาดใจมากอยู่แล้ว พอมาได้ยินว่าวันนี้กำลังจะถูกพาไปทะเล ภัทรเลยยิ่งงุนงงหนักเข้าไปใหญ่ เพราะปกติเชษฐ์จะเป็นคนที่วางแผนในการทำอะไรล่วงหน้าเสมอ แต่คำชวนเมื่อครู่นั้นราวกับอีกฝ่ายก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้เอาเมื่อครู่นี่เอง แถมปุบปับก็จะทำตามที่เพิ่งคิดทันทีอีก จู่ๆนึกอะไรของเขาขึ้นมาเนี่ย?
"คุณเชษฐ์ เดี๋ยวก่อนครับ จะไม่ถามผมก่อนเหรอว่าจะไปด้วยหรือเปล่าน่ะ?"
ภัทรยื้อแขนที่กำลังโดนจูงเข้าบ้านไว้ เขาไม่ได้มีเรื่องติดขัดจนทำให้ไปเที่ยวไม่ได้ก็จริง แต่ดูเหมือนถ้าหากเขาไม่พูดอะไรบ้าง อีกฝ่ายคงย่ามใจว่าเขาว่าง่ายหัวอ่อน จะจูงไปทางซ้ายก็ไปทางซ้าย จะพาเลี้ยวไปทางขวาก็ไม่มีปากเสียงเสียกระมัง
เชษฐ์หยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"หมายความว่าเธอจะไม่ไป?"
"ก็...เอ่อ..."
พอถูกถาม ภัทรก็ตอบตะกุกตะกัก พลันมือใหญ่ก็ผละไปจากมือของเขา พอเงยหน้าขึ้นและเห็นสีหน้าเรียบเฉยของคนถาม คราวนี้คนที่ทำท่าอิดออดเลยจะชักร้อนใจขึ้นมาเสียเอง
อย่าบอกนะว่านี่เขายังโดนงอนเรื่องบ่ายวานนี้ที่ออฟฟิศอยู่น่ะ หรือว่า...จะเป็นเรื่องท่าทางของเขาตอนที่ได้เห็นคนรักเก่าเมื่อคืนกันแน่
ชายหนุ่มหลบตาลงมองมือที่โดนเชษฐ์เกาะกุมไว้จนถึงเมื่อครู่ ไออุ่นที่ยังห่อหุ้มมือเรียวเริ่มเจือจางจนภัทรใจหาย แล้วก็ให้นึกระอากับความเป็นคนช่างใจอ่อนของตัวเองขึ้นมา
"...ไปครับ"
ภัทรตอบแล้วก็เหลือบตาขึ้น ทำให้ทันเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนมุมปากและนัยน์ตาของคนตัวใหญ่ขณะที่กำลังหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มจึงฉุกคิดได้ว่าความจริงแล้วเชษฐ์ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจเขา แต่แกล้งหลอกถามเพื่อให้เขาออกปากว่าจะไปด้วยความตั้งใจของตัวเองต่างหาก
ร่างเพรียวยกมือขึ้นกอดอก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะยิ้มหรือจะทำหน้าบึ้งใส่คนตัวใหญ่ที่หยุดรอเขาอยู่หน้าบันไดดี เสียงเครื่องดูดฝุ่นที่เมื่อครู่ดังก้องอยู่ในห้องนั่งเล่นแผ่วลงไปแล้ว คงเพราะป้าแย้มย้ายที่ไปทำความสะอาดในห้องครัวแทนแล้วนั่นเอง
เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะ....คุณผู้จัดการ
ภัทรนึกค่อนแบบไร้เสียง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามขึ้นบันไดจนแซงคนตัวใหญ่และเข้าไปในห้องนอนได้ก่อน จากนั้นก็รีบฉวยกางเกงแสล็คที่ใส่ไปทำงานเมื่อวานซึ่งพาดไว้บนราวแขวนข้างตู้เสื้อผ้า ถึงแม้เขาสองคนจะกำลังคบกัน แถมเมื่อคืนยังนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วด้วย แต่ภัทรก็ยังทำใจถอดเสื้อผ้าเพื่อผลัดเปลี่ยนโดยมีคนตัวใหญ่ยืนอยู่ในห้องด้วยไม่ไหว เชษฐ์ที่เดินตามเข้ามาเลิกคิ้วเมื่อเห็นภัทรเดินสวนกับตนที่หน้าประตูเพื่อจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่โชคดีที่อีกฝ่ายดูจะเข้าใจความต้องการความเป็นส่วนตัวของเขาอยู่บ้าง จึงไม่ได้เอ่ยค้านแถมยังเบี่ยงตัวหลบให้ ถึงแม้รอยยิ้มที่สะท้อนในแววตาหลังเลนส์แว่นนั้นจะทำให้ภัทรนึกหมั่นไส้อยู่นิดๆก็ตามที
หลังเข้าห้องน้ำและปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย ร่างเพรียวก็ถอดกางเกงวอร์มออกแล้วเปลี่ยนเป็นกางเกงแสล็คที่หยิบมา ส่วนเสื้อนั้นก็ตัดสินใจใส่เสื้อยืดคอกลมตัวเดิมที่ใส่นอน เนื่องจากเนื้อผ้ายืดสีเทาอ่อนไม่ได้บางจนถึงกับไม่เหมาะจะใส่ออกไปข้างนอก และที่สำคัญ เสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ไปทำงานเมื่อวานก็ยับหลังจากโดนถอดตอนอาบน้ำไปแล้ว เมื่อเปลี่ยนกางเกงเสร็จเรียบร้อย ภัทรจึงพับกางเกงนอนที่ถอดออกแล้วก็ถือกลับไปที่ห้องนอน จากนั้นก็ผลักประตูที่แง้มไว้นิดๆเข้าไปเพราะคิดว่าเชษฐ์คงกำลังจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่ แต่แล้วคนที่เพิ่งเข้ามาก็ต้องชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
ดูเหมือนภัทรจะประเมินสปีดในการจัดของของเชษฐ์น้อยไป เพราะท่าทางเจ้าของห้องจะจัดเสื้อผ้าเสร็จไปนานแล้ว หลักฐานก็คือกระเป๋าผ้าใบซึ่งมีสองหูหิ้วแบบที่นักกีฬาชอบใช้กันซึ่งวางอยู่บนเตียง ซิปที่รูดปิดไม่สนิททำให้เห็นเสื้อที่ถูกใส่ไว้ข้างใน ส่วนแว่นตากรอบเงินที่เชษฐ์ใส่ประจำก็วางอยู่บนเตียงไม่ห่างจากกระเป๋านัก แต่สิ่งที่สะกดให้ภัทรยืนนิ่งคือร่างที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่กลางห้องและกำลังรูดซิปกางเกงยีนส์อยู่ต่างหาก
แม้แสงอาทิตย์ที่สาดเฉียงๆเข้ามาทางหน้าต่างจะทำให้ไม่เห็นรายละเอียดบนแผ่นหลังชัดเจน แต่แสงเงาที่เกิดขึ้นก็ช่วยขับเน้นเส้นสายของโครงร่างสูงใหญ่ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนโค้งนูนของมัดกล้ามตั้งแต่ช่วงคอไปจนถึงบ่ากว้าง ลาดต่อกับลำแขนแข็งแรง และแสงเงานั้นก็ยังทำให้เห็นร่องแนวกระดูกสันหลังที่ลากยาวลงจนหายไปใต้ขอบกางเกงยีนส์อีก ถึงแม้ร่างกายของเชษฐ์จะไม่ได้บึกบึนจนน่ากลัวเหมือนนักกีฬาเพาะกล้าม แต่ว่าก็ดูแข็งแรงและอัดแน่นไปด้วยพลังและเสน่ห์ของชายหนุ่มเต็มตัวอย่างที่คนเพศเดียวกันเห็นแล้วยังต้องอิจฉา
และนั่นก็รวมไปถึงคนที่กำลังหยุดยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูห้องตอนนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าการใช้คำว่าอิจฉาจะไม่ค่อยตรงเท่าไรนักก็ตาม จริงอยู่ว่าเมื่อคืนนี้ภัทรก็เห็นเชษฐ์เปลือยท่อนบนไปครั้งหนึ่งแล้ว แถมยังได้แนบชิดกับแผงอกอุ่นนั้นไปแล้วด้วย แต่เพราะแสงไฟสลัวในห้องนอนยามกลางคืน ประกอบกับความที่ภัทรเองก็เอาแต่เบนสายตาหนีอีกฝ่าย ทำให้เขาไม่ได้มีโอกาสสำรวจเรือนร่างของเชษฐ์ชัดๆเหมือนกับตอนนี้ และภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาภัทรรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนวูบวาบไปหมด ทั้งที่คนตรงหน้าก็เป็นบุรุษเพศไม่ต่างกับเขา และใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นร่างกายของผู้ชายคนอื่นมาก่อนแท้ๆ
ภัทรละล้าละลัง ขณะคิดว่าจะแอบถอยออกไปก่อนแล้วกะเวลาว่าอีกฝ่ายน่าจะใส่เสื้อเสร็จค่อยกลับเข้ามาดีไหม ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งที่ได้ยินเสียงคนตัวใหญ่หัวเราะเบาๆในคอ
"จะยืนอยู่หน้าประตูอีกนานมั้ย? เดี๋ยวป้าแย้มขึ้นมากวาดชั้นบนแล้วเห็นว่าฉันไม่ใส่เสื้อก็ได้นึกว่าเราทำอะไรกันอยู่หรอก"
"หา!?"
พอโดนทัก ภัทรก็รีบหันกลับไปปิดประตูทันทีเพราะเกรงว่าแม่บ้านสูงวัยจะเดินขึ้นมาเห็นแล้วสงสัยพวกเขาอย่างที่เชษฐ์บอกจริงๆ และถ้าหากทำให้คนแก่หัวใจวายขึ้นมาเขาคงรู้สึกผิดแน่ๆ แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็ต้องหันขวับไปหาคนตัวใหญ่ตรงกลางห้อง
"คุณเชษฐ์ รู้ตั้งแต่ตอนไหนว่าผมเดินเข้ามา?"
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะสาเหตุที่เขาเดินเข้าห้องมาเลยโดยไม่เคาะบอกก่อนก็เพราะอีกฝ่ายไม่ได้งับประตูให้สนิทนั่นแหละ เขาจึงไม่ทันเอะใจสักนิดว่าเชษฐ์อาจกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ แถมยังคิดว่าจะแอบออกไปโดยที่เจ้าของห้องไม่รู้ได้ด้วยซ้ำ
คนตัวใหญ่หันไปหยิบเสื้อแขนสามส่วนสีเขียวขี้ม้าซีดแบบเจาะกระดุมตรงคอแต่ไม่มีปกขึ้นสวม จากนั้นก็หยิบแว่นที่ถอดวางไว้บนเตียงขึ้นสวมพลางตอบคนถามยิ้มๆ
"ก็ตรงที่ฉันยืนอยู่นี่มันมองเห็นประตูจากกระจกโต๊ะแต่งตัวได้น่ะสิ ฉันเลยเห็นตั้งแต่ตอนเธอเดินเข้ามาแล้ว นี่ไง"
ไม่เพียงอธิบายด้วยคำพูด เชษฐ์เดินมาจูงภัทรให้ไปยืนตรงกลางห้องที่เจ้าตัวยืนเมื่อครู่ เพียงแต่คราวนี้ยืนซ้อนร่างเพรียวจากด้านหลังแล้วจับไหล่ทั้งสองข้างให้หันหน้าเข้าหากระจกเหนือโต๊ะแต่งตัวตรงๆ ไม่ใช่ยืนหันข้างให้กระจกเหมือนตอนที่เจ้าตัวยืนเปลี่ยนเสื้อผ้า ภัทรจึงได้เห็นว่าเพราะมุมที่แสงตกกระทบ คนที่ยืนตรงนี้จึงสามารถมองเห็นประตูได้จริงๆด้วย
ทั้งที่รู้ แต่ก็ยังปล่อยให้เขายืนใจหายใจคว่ำอยู่หน้าประตูได้ตั้งนานเนี่ยนะ ภัทรไม่อยากคิดเลยว่าอีกฝ่ายแอบเหลือบมองกระจกแล้วกลั้นหัวเราะอยู่นานแค่ไหนที่เห็นเขาทำท่าเก้ๆกังๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาให้ได้ยินจริงๆ ตาบ้า โรคจิต ไอ้ลุงลามก...
สรรพนามมีสีสันต่างๆนานาเรียงแถวอยู่ในหัวภัทรได้ไม่เท่าไหร่ ชายหนุ่มก็หายใจสะดุดเมื่อคนด้านหลังปล่อยมือจากไหล่ทั้งสองของเขา ทว่าแทนที่จะปล่อยสองแขนนั้นลงข้างตัว เชษฐ์กลับสอดแขนแข็งแรงทั้งสองข้างมาประสานไว้ตรงช่วงเอวผอมบาง ใบหน้าคมก้มลงจนคางเกยบ่าของคนตัวเล็กกว่า ขาแว่นที่สวมจึงสัมผัสกับผิวแก้มของภัทร รวมทั้งลมหายใจอุ่นที่พรูลงมาอย่างแผ่วเบาด้วย ภัทรพยายามจะคิดว่าอุณหภูมิอุ่นจัดที่รู้สึกบนบริเวณนั้นมาจากลมหายใจของคนตัวใหญ่ มากกว่าที่จะเป็นเพราะเลือดที่ไหลไปสูบฉีดรวมกันอยู่ใต้ผิวหน้าของเขา ถึงแม้ว่าภาพที่สะท้อนจากในกระจกจะฟ้องว่าเขาหลอกตัวเองไม่สำเร็จก็ตาม
"จะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโดเธอก่อนมั้ย? หรือจะไปกันเลยแล้วค่อยไปหาเอาที่โน่นดีกว่า เดี๋ยวฉันซื้อให้ก็ได้ ค้างคืนเดียวใช้เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นหรอก"
สัมผัสผะแผ่วจากริมฝีปากที่ขยับอยู่ไม่ห่างผิวแก้มทำให้ภัทรจั๊กกะจี้ แต่แล้วก็ให้รู้สึกใจไม่สงบกับประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมา อะไรบางอย่างในแววตากับน้ำเสียงของคนตัวใหญ่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง จึงรีบขืนตัวออกจากอ้อมอกอุ่นแล้วหันกลับไปหาคนด้านหลัง
เชษฐ์เลิกคิ้วกับท่าทางที่แปลกไปอย่างกะทันหันของคนตัวเล็กกว่า ภัทรจึงเม้มปาก ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือไม่ แต่ยังไงก็ควรจะป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
"ผมว่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของผมก่อนดีกว่าครับ อีกอย่างเลยคอนโดผมไปหน่อยเดียวก็ขึ้นทางด่วนออกนอกเมืองได้แล้ว คุณเชษฐ์จะได้ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เพิ่มให้ด้วย สิ้นเปลืองเปล่าๆ"
จริงอยู่ว่าภัทรเคยคบกับชายอื่นมาก่อน แม้จะห่างเหินความสัมพันธ์ทางกายไปถึงสองปีจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่ชินจนกระทั่งเชษฐ์ก้าวเข้ามา แต่เขาก็พอจะรู้ว่าความหมายของการที่ฝ่ายหนึ่ง 'ซื้อเสื้อผ้า' ให้อีกฝ่ายสื่อความหมายแบบไหน ถึงแม้ว่าแม้แต่เสื้อตัวที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นของที่อีกฝ่ายซื้อให้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากให้เชษฐ์คิดว่าเขาง่าย...เพียงเพราะเขาเคยมีประสบการณ์แล้ว เขายอมรับว่าความอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหว แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เขาถลำลึกไปกับความสัมพันธ์ทางกายโดยไม่นำความเจ็บปวดของรักแรกมาเป็นบทเรียน
เชษฐ์ยืนมองคนตัวเล็กกว่าอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนภัทรได้แต่ยืนนิ่งมองแผ่นอกกว้างตรงหน้า เสื้อยืดที่เชษฐ์ใส่ไม่ได้ถึงกับเข้ารูปจนเน้นสัดส่วนชัดเจน แต่เพราะเนื้อผ้าที่ทิ้งตัวแนบกับช่วงไหล่และแผงอกทำให้เห็นโครงร่างแข็งแรงที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อได้ลางๆ แรงผลักดันบางอย่างทำให้เขาอยากขยับเข้าไปหาและแนบหน้าลงกับแผงอกกว้างที่อบอุ่นนั้น แต่ภัทรก็พยายามเตือนตัวเองให้หยุดเอาไว้ เพราะถึงแม้การกระทำของเขาจะเป็นไปเพียงเพราะโหยหาความอบอุ่นจากอีกฝ่ายโดยไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น แต่นั่นอาจจะทำให้เชษฐ์ตีความหมายการกระทำของเขาผิดไปก็ได้
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ภัทรจะเงยหน้าขึ้นเพราะถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นบีบไหล่เบาๆ ชายหนุ่มจึงได้เห็นแววตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจของคนที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ งั้นก็ไปกันเถอะ จะได้รีบเดินทางกันก่อนจะบ่าย"
++------++
“อ้าว? จะไปแล้วเหรอคะคุณเชษฐ์? ป้านึกว่าจะออกกันตอนบ่าย ว่าจะถามอยู่เชียวว่าจะให้ทำข้าวกลางวันให้ก่อนหรือเปล่า”
หญิงชราทักขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองเดินลงจากบันได ดูจากตะกร้าผ้าในมือทำให้รู้ว่าคงกำลังจะเอาผ้าที่เพิ่งซักเสร็จออกไปตาก เชษฐ์จึงเดินเข้าไปหาแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกครับป้า เดี๋ยวพวกผมไปหาทานเอาข้างนอก ยังไงผมฝากเปลี่ยนเครื่องนอนในห้องผมกับซักผ้าเช็ดตัวให้ด้วยก็แล้วกัน แล้วถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอะไรป้าก็ไม่ต้องเข้ามาก็ได้ เพราะกว่าพวกผมจะกลับก็คงมืดแล้ว”
“อ๋อ งั้นเดี๋ยวป้าแวะมาให้อาหารปลาตอนเช้ากับตอนเย็นก็แล้วกันค่ะ นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาแค่แป๊บเดียวไม่ลำบากหรอก”
แม่บ้านสูงวัยยิ้มพลางถามเรื่องจิปาถะอีกนิดหน่อยจากเชษฐ์เกี่ยวกับงานบ้านส่วนอื่นๆ ภัทรสังเกตได้ว่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแม่บ้านที่ถูกจ้างมา แต่เชษฐ์ก็จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกำลังคุยกับญาติผู้ใหญ่ และงานที่เจ้าตัวเอ่ยฝากฝังนั้นก็เป็นเพียงงานบ้านง่ายๆที่ไม่ต้องใช้แรงมากมาย ส่วนท่าทางยิ้มแย้มและกระตือรือร้นของคนรับฝากก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเต็มใจจะทำงานที่เจ้าของบ้านบอกด้วยความยินดีเช่นกัน หลังจากลาผู้สูงวัยและขึ้นรถออกมาพ้นรั้วบ้านแล้ว ภัทรจึงหันไปชวนคนข้างตัวคุย
"ดูป้าแย้มแกชอบทำงานมากเลยนะครับ"
คนที่กำลังขับรถหยิบแว่นกันแดดสีเข้มขึ้นมาเปลี่ยนใส่แทนแว่นสายตา จากนั้นก็ตอบยิ้มๆโดยไม่ละสายตาจากถนน "แกเป็นคนขยันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ สมัยยังสาวกว่านี้แกก็ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ออฟฟิศของเรานั่นแหละ แต่พอลูกหลานเรียนจบมีงานทำกันหมดก็ขอให้แกหยุดอยู่บ้าน อีกอย่างเพราะว่ามันต้องเดินทางไกลด้วย แต่ป้าแย้มแกเคยทำงานมาก่อนก็เลยติดนิสัยอยู่เฉยๆไม่ได้ ฉันเลยจ้างให้มาช่วยดูแลบ้านให้นี่แหละ"
ภัทรนั่งฟังแล้วก็พยักหน้าโดยไม่ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติม แต่จากข้อมูลที่ได้ยินก็ทำให้เขาเรียนรู้ว่า ที่แท้คุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ที่ลูกน้องชอบบอกว่าดุและเข้มงวดนั้น ความจริงเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นกว่าที่ใครๆรู้
เพราะแม้แต่แม่บ้านที่เคยทำงานที่บริษัทและตอนนี้เกษียณอายุแล้ว อีกฝ่ายก็ยังช่วยหางานให้และไม่ได้ปฏิบัติด้วยอย่างถือตัวว่าเป็นคนที่มาจากคนละระดับชั้น ภัทรจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมป้าแย้มจึงให้ความชื่นชมและเคารพเจ้านายคนนี้อย่างจริงใจ แถมยังดูยินดีจะทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายบอกโดยไม่บ่นอีกด้วย
"ยิ้มอะไรน่ะ?"
คนกำลังขับรถเหลือบตามองคนตัวเล็กกว่าแล้วก็ถามขึ้น ภัทรถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังยิ้ม จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าก็ไม่สามารถหุบยิ้มบนใบหน้าได้อยู่ดี
"เปล่าครับ คุณเชษฐ์คิดไปเองน่ะสิ"
ภัทรได้ยินเสียงเชษฐ์หัวเราะในคอเบาๆ แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ไม่นานทั้งสองก็มาถึงคอนโดเนื่องจากการจราจรในวันเสาร์ไม่ค่อยติดขัด ภัทรจึงให้คนตัวใหญ่รอในรถระหว่างที่เขาขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า แม้จะรู้ว่าการไม่เชิญอีกฝ่ายขึ้นไปที่ห้องอาจจะดูเสียมารยาท แต่เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกล้าให้เชษฐ์เข้าไปเยี่ยมห้องตอนนี้ ก็ตั้งแต่วันหยุดที่แล้วเขาก็ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยนี่นา
เชษฐ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่ายืนกรานว่าจะให้รอในรถ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า ทว่าก่อนภัทรจะก้าวลงก็ยังไม่วายเอ่ยสำทับ
"ถ้าเกินสิบนาที ฉันจะขึ้นไปตามเองนะ"
ภัทรหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาพาดไหล่แล้วก็กลอกตา อดค่อนในใจไม่ได้ว่าไม่มีคีย์การ์ดแล้วจะเข้าไปได้ยังไงเล่า แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นขู่เพื่อล้อเล่นเท่านั้น ซึ่งก็คงจะมาจากความที่เขาเรื่องมากนั่นเอง แต่อีกใจหนึ่ง ภัทรก็อดคิดไม่ได้ว่าเชษฐ์คงจะนึกว่าที่เขาอิดเอื้อนนักก็เพื่อเอาคืนเรื่องที่โดนบังคับให้ไปนอนบ้านอีกฝ่ายเมื่อคืนนี้กระมัง
เมื่อเข้าไปในอาคารแล้ว ภัทรก็รีบกดลิฟต์ขึ้นไปที่ห้องซึ่งอยู่บนชั้นสิบสอง พอไขกุญแจเข้าได้ก็เห็นกองผ้าที่เขาซักแล้วแต่ยังไม่มีเวลาพับวางกองอยู่บนมุมหนึ่งของโซฟา และในบรรดาเสื้อผ้าพวกนั้นก็มีบางชิ้นที่ค่อนข้าง 'เป็นส่วนตัว' ทำให้เขาคิดได้ว่าดีแล้วที่ไม่ปล่อยให้เชษฐ์ตามขึ้นมาด้วย เพราะถึงแม้มันจะเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายที่ผู้ชายคนไหนๆก็ต้องใส่ แต่ก็เขายังไม่อยากให้อีกฝ่ายมาเห็นข้าวของพวกนี้นี่นา
ตั้งแต่ที่แพนแต่งงานและย้ายออกไปอยู่กับสามีชาวญี่ปุ่นเมื่อห้าปีก่อน ภัทรก็อาศัยในห้องนี้คนเดียวมาตลอด ความจริงพี่สาวเขาก็เคยแนะนำเหมือนกันว่าน่าจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้แบบรายสัปดาห์ แต่ภัทรเห็นว่าตัวเองอยู่คนเดียว ข้าวของก็ไม่ได้เยอะแยะมากมาย จึงตัดสินใจประหยัดค่าใช้จ่ายและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่เรียบร้อยไร้ที่ติเหมือนการมีแม่บ้านมืออาชีพมาทำให้ แต่ก็ถือว่าสะอาดและมีระเบียบในระดับหนึ่ง เพียงแต่เขาก็ยังเขินๆกับการจะให้เชษฐ์มาเห็นห้องของเขาเท่านั้นเอง
ความที่เกรงใจคนรอ บวกกับเขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะมาทำงานบ้านตอนนี้ ภัทรจึงเอาเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วทั้งหมดใส่ตะกร้ารวมกันไว้ก่อนแล้วเอาเข้าไปไว้ในห้องนอน หลังจากเปลี่ยนกางเกงแสล็คที่ใส่กลับมาเป็นกางเกงผ้ายีนส์แทนแล้วก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดสำหรับไปค้างทะเลหนึ่งคืนออกมา ขณะกำลังจะหยิบกางเกงสำหรับใส่นอนที่พับไว้ตรงมุมหนึ่งของตู้ขึ้นมานั่นเอง สายตาก็สะดุดเข้ากับกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งภายในบรรจุของขวัญปีใหม่ที่เขาจับสลากได้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ภัทรวางกางเกงลงที่เดิม จากนั้นก็หยิบกล่องกระดาษตรงมุมตู้มาเปิดออก กระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่ไม่เคยถูกนำมาใช้สักครั้งยังคงดูใหม่เหมือนตอนที่เขาแกะดูครั้งแรกไม่มีผิด
เอาไงดีนะ...
ภัทรเหลือบตามองเสื้อผ้าที่ตั้งใจจะเอาไปทะเลซึ่งวางอยู่ข้างตัว จากนั้นก็มองกระเป๋าหนังสีน้ำตาลในมืออีกครั้ง พอนึกถึงหน้าของคนที่รอเขาอยู่ในรถที่ลานจอดด้านล่าง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้
หลังจากจัดเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ภัทรก็หยิบอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำอีกสองสามชิ้นใส่ลงกระเป๋า หลังตรวจดูความเรียบร้อยของห้องอีกครั้งแล้วก็ปิดล็อกประตูและลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ส่วนรถยุโรปสีเทาควันบุหรี่คันใหญ่ก็ยังจอดรออยู่ที่เดิม ร่างเพรียวจึงรีบก้าวยาวๆเข้าไปหา
"มาแล้วครับคุณเชษฐ์ ขอโทษครับที่ให้รอ"
ภัทรเอ่ยหลังจากเปิดประตูรถและก้าวขึ้นนั่งประจำที่ พอวางกระเป๋าลงบนตักแล้วก็หันไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาด แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่เชษฐ์ไม่ได้เอ่ยทักเรื่องที่เขาใช้เวลาเกินสิบนาที แถมยังไม่ออกรถจากลานจอดทันทีอีก พอหันไปหาจึงทำให้ประสานสายตากับอีกฝ่ายที่มองเขาอยู่ก่อน เชษฐ์พยักหน้าไปที่กระเป๋าหนังสีน้ำตาลบนตักของภัทรแล้วก็ทักขึ้นยิ้มๆ
"กระเป๋าสวยดีนี่"
"อ๋อ..ครับ"
ภัทรตอบรับเสียงอุบอิบพลางหลบตาคนข้างตัว เพราะเชษฐ์คงจำได้ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็นว่ากระเป๋าที่เขาเอามาใช้ก็คือใบที่จับสลากได้เมื่องานเลี้ยงปีใหม่นั่นเอง ตอนแรกเขาก็ชั่งใจอยู่ว่าจะใช้ใบนี้ใส่เสื้อผ้าไปทะเลดีไหม ในเมื่อลักษณะรูปทรงมันดูเหมาะสำหรับใส่ของหรือเอกสารสำหรับไปทำงานมากกว่า แต่ในเมื่อคนซื้อของขวัญเองก็เคยบอกว่าอยากเห็นเขาใช้กระเป๋าใบนี้บ้าง และภัทรก็เห็นว่าเสื้อผ้าสำหรับไปทะเลคืนเดียวนั้นมีเพียงไม่กี่ชิ้น จึงตัดสินใจเอามาประเดิมใช้กับทริปนี้ไปเสียเลย
เชษฐ์ยิ้มแล้วก็เข้าเกียร์ออกรถ ซึ่งขณะนั้นหน้าจอนาฬิกาดิจิตอลในรถก็บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาจวนเที่ยงแล้ว หลังออกจากตัวเมืองกันได้ไม่นาน ทั้งสองจึงแวะทานอาหารกลางวันกันระหว่างทาง ปกติภัทรต้องถามแล้วว่าอีกฝ่ายจะพาไปไหน แต่ก็คิดได้ว่าไหนๆวันนี้ก็โดนลากตัวออกมาจากกรุงเทพฯโดยไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่ต้น คนพาจะพาไปไหนก็ตามใจแล้วกัน ทว่าเมื่อนั่งรถมาเรื่อยๆจนถึงป้ายทางแยกที่ชี้บอกเส้นทางระหว่างระยองกับจันทบุรี ร่างเพรียวก็ส่งเสียงในลำคอขึ้นมา เชษฐ์จึงหันมามองอย่างสงสัย
"มีอะไรหรือเปล่า?"
"เปล่าครับ ไม่มี..."
เชษฐ์ยังขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ ภัทรลอบระบายลมหายใจยาวเมื่อทิศทางที่อีกฝ่ายขับรถมุ่งหน้าไปคือทิศที่ไประยอง แต่จะด้วยความรู้สึกโล่งใจหรือเสียดาย...ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
หลังจากเข้าไปถึงอำเภอบ้านเพ คนตัวใหญ่ก็ขับรถตรงไปบนถนนที่สองข้างทางถูกขนาบด้วยแนวต้นสนร่มรื่น ฟากหนึ่งของถนนเป็นบ้านพักริมทะเลที่เรียงรายต่อๆกัน ส่วนอีกฟากเป็นชายหาดที่มีเกลียวคลื่นอ่อนๆกำลังม้วนตัวเข้าหาหาดทราย ผืนน้ำสีฟ้าล้อเปลวแดดยามบ่ายจนเป็นประกายระยิบระยับ ภัทรเคยมาเที่ยวทะเลระยองมาก่อนก็จริง แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้นั้นก็ค่อนข้างจะนานมากแล้ว ภาพทิวทัศน์ที่ได้เห็นจึงทำให้ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและปลอดโปร่งไปพร้อมกัน
หลังผ่านถนนที่ถูกโอบด้วยแนวต้นสนและมีต้นหูกวางขึ้นแซมได้ไม่นาน คนขับก็เลี้ยวรถเข้าไปยังรีสอร์ทแห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายทำจากไม้สีเข้มปักบอกไว้ที่ด้านหน้า ตรงทางเดินเล็กๆที่เชื่อมระหว่างลานจอดรถกับล็อบบี้นั้นมีรั้วไม้โค้งที่มีเถาไม้เลื้อยและดอกไม้สีขาวอมม่วงขึ้นปกคลุมจนแทบไม่เห็นโครงรั้ว ส่วนบรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นก็ช่วยกรองแสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องลงมา และช่วยบรรเทาความร้อนระอุให้คนที่เพิ่งออกมาจากรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไปนัก หลังจากหยิบกระเป๋าลงจากรถและเดินเข้าไปที่ล็อบบี้กันแล้ว ภัทรก็ได้เห็นว่ารีสอร์ทแห่งนี้มีชายหาดส่วนตัวด้วย ซึ่งต่างจากที่พักอื่นๆในละแวกเดียวกันซึ่งจะมีถนนคั่นกลางระหว่างชายหาดกับบ้านพัก แขกที่มาพักที่นี่จึงสามารถเดินลงไปเล่นน้ำได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องเดินข้ามถนน
เชษฐ์เดินนำภัทรเข้าไปที่เคาน์เตอร์สำหรับเช็คอิน พนักงานรีเซฟชันสาวที่นั่งประจำอยู่ซึ่งภัทรคาดว่าน่าจะอายุไม่ต่างจากตนนักยิ้มและเอ่ยทักทายเมื่อเห็นทั้งคู่ โชคดีว่าสุดสัปดาห์นี้ไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาว ทางรีสอร์ทจึง
มีห้องว่างหลายห้องสำหรับแขกที่ไม่ได้จองเข้ามาก่อน
หลังจากเชษฐ์บอกจำนวนวันที่จะพักแล้ว พนักงานสาวก็ยื่นกระดาษให้คนตัวใหญ่เขียนชื่อและเลือกวิธีชำระเงิน จากนั้นก็รับกระดาษแผ่นนั้นไปคีย์ข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ สักครู่ก็เงยหน้าขึ้นถาม
"ไม่ทราบว่าจะเลือกห้องแบบไหนดีคะ?"
เชษฐ์ปรายตามองโบรชัวร์ราคาและรูปตัวอย่างห้อง จากนั้นก็ชี้ที่รูปรูปหนึ่ง "ถ้าห้องบีชฟร้อนท์สวีทยังว่างก็ห้องนั้นครับ"
พนักงานสาวทวนคำแล้วก็คลิกเมาส์เพื่อเช็คข้อมูล จากนั้นจึงละสายตาขึ้นมาอีกครั้ง
"ว่างค่ะ งั้นตกลงเป็นห้องบีชฟร้อนท์สวีทนะคะ อาหารเช้าพรุ่งนี้จะเริ่มเสิร์ฟที่ห้องอาหารตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงสิบโมง เช็คเอ๊าท์ได้ตอนบ่ายโมง เดี๋ยวตามน้องเค้าไปที่ห้องได้เลยค่ะ”
พนักงานสาวยื่นกุญแจห้องซึ่งทำจากแผ่นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือและมีลูกกุญแจร้อยเชือกไว้ให้ จากนั้นทั้งสองก็เดินตามพนักงานโรงแรมที่ช่วยยกกระเป๋าและเดินนำไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ติดชายหาด แต่พอไปถึงและไขประตูห้องเข้าไปด้านใน ภัทรก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
เชษฐ์หันไปจ่ายทิปให้กับพนักงานโรงแรมก่อนจะปิดประตู พอหันไปเห็นสีหน้าของภัทรที่กำลังทำหน้ามุ่ยก็ยิ้มและเดาได้ทันทีว่ามาจากสาเหตุอะไร จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มลงกระซิบข้างหู
“ไม่ชอบเตียงควีนไซส์เหรอ? แต่เตียงห้องฉันที่นอนกันเมื่อคืนมันเล็กกว่านี้อีกนะ”
ภัทรนึกอยากให้เขาอายุเท่าเชษฐ์ขึ้นมาทันที เผื่อจะทำให้กล้าทุบไหล่คนช่างแกล้งที่อายุมากกว่าได้อย่างสะดวกใจ ไม่ใช่แค่ทำหน้างอใส่อย่างตอนนี้ ตอนที่อีกฝ่ายเลือกห้องเมื่อกี้เขาก็ไม่ทันฉุกคิดว่าปกติเตียงห้องสวีทจะเป็นแบบดับเบิ้ล แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คืนนี้พวกเขาสองคนก็ต้องนอนข้างกันอีกแล้วน่ะสิ คืนที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้หนักใจนักเพราะว่าต่างคนก็ต่างเพลีย แถมยังเรื่องที่เจอหลังจากทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารอีก พอกลับไปถึงบ้านของเชษฐ์แล้วต่างคนจึงต่างอยากพักผ่อนเท่านั้น แต่ท่าทางครึ้มอกครึ้มใจเหลือเกินของคนที่ตอนนี้ผละจากเขาไปเข้าห้องน้ำทำเอาภัทรต้องรีบห้ามตัวเองไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่าน
ใจเย็นไว้น่ะ คุณเชษฐ์แค่พามาเที่ยวทะเลเปลี่ยนบรรยากาศเฉยๆหรอก ว่าแต่ทำยังไงหัวใจมันถึงจะหยุดเต้นแรงได้สักทีล่ะเนี่ย...
tbc. in 2nd part