CHAPTER EIGHT
- I’ve written so many love stories with sad endings since I don’t know anything about the happy ones. -
“พี่ภัทรคะ ละครจบแล้วไปฉลองกันนะคะ” ประโยคเชิญชวนถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับการบีบเบาๆที่ไหล่ของผม น้องแจงไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบอะไร เธอกลับเดินตัดหน้าไปเพื่อเช็คไฟเวทีอีกครั้งก่อนเปิดการแสดงรอบสุดท้าย
ปกติแล้วการแสดงละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียนผมมีเพียงแค่สามรอบเท่านั้น แบ่งเป็นรอบมอต้นเข้าชม รอบมอปลายเข้าชม และรอบสุดท้ายเป็นรอบดึกที่จะเปิดให้คนนอกซื้อตั๋วเข้ามาดู ถือเป็นการทำรายได้ให้กับโรงเรียน ซึ่งปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ทำรายได้ได้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีงบในการประชาสัมพันธ์สูงกว่าทุกปี
ทุกคนตื่นเต้น ผมเองก็เช่นกัน
ผมเดินไปที่แถวปล่อยคิวเพื่อดูแลนักแสดงที่กำลังทำสมาธิ น้องบางคนดึงเอามือผมไปจับเพื่อลดความกังวล และมือของน้องเขาก็เย็นมากเพราะความตื่นตระหนก ผมพาพวกน้องๆนับเลขในใจหนึ่งถึงสิบวนไปมาอยู่อย่างนั้น
เมื่อม่านเปิด นักแสดงทุกคนต่างก็ทิ้งความกลัวเอาไว้หลังผ้าม่าน แล้วย่างก้าวออกไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ต่างอะไรกลับทีมงานเบื้องหลังทุกคน ฝ่ายฉากวิ่งยกของหนักวิ่งกันไปมาอย่างวุ่นวาย เช่นเดียวกับฝ่ายเสียงที่ยุ่งไม่แพ้กัน ส่วนผมที่ไม่มีหน้าที่อะไรแล้วจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ข้างเวทีเพื่อดูละครที่ผมเป็นคนเขียนขึ้นมาเองให้เต็มตา
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น และเป็นเพราะว่าพวกเราซักซ้อมกันมาอย่างดี การแสดงของพวกเราจึงไม่มีพลาดกันเลยสักจุด บทที่เขียนขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเอกในอนาคตที่ย้อนเวลากลับมาติดอยู่ในโลกปัจจุบัน ก่อนตกหลุมรักกับนางเอกซึ่งเป็นวิศวกรที่พยายามจะช่วยซ่อมไทม์แมชชีนของเขา
และเรื่องก็ดำเนินมาถึงจุดไคล์แมกซ์...
จุดที่เขาทั้งสองคนต้องลาจากกัน
“I’m going to miss you. (ผมจะคิดถึงคุณ)” นักแสดงฝ่ายชายว่า เขายืนอยู่ในเครื่องไทม์แมชชีนที่ซ่อมเสร็จแล้ว “And it’s going to hurt me real bad. (และมันคงจะเจ็บปวดมาก)” ฝ่ายชายขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิง แต่เธอก้าวถอยหนีพร้อมกับยิ้มบางที่มุมปาก
นางเอกไม่พูดอะไร
“I won’t forget you. (ผมจะไม่ลืมคุณ)” ฝ่ายหญิงยังเงียบ “Please, say something, anything. (ได้โปรด พูดอะไรหน่อยได้มั้ย อะไรก็ได้)”
ฝ่ายหญิงยังนิ่งงัน เธอดันฝ่ายชายเข้าไปด้านใน ก่อนจะกดปุ่มข้างนอกเพื่อทำให้เครื่องทำงาน ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบที่เต็มไปด้วยความเศร้า พร้อมกันที่ทีมงานฝ่ายฉากเดินเข้าไปค่อยๆเข็นเครื่องไทม์แมชชีนและตัวพระเอกออกมาจากหน้าเวที
ไฟหรี่ลง เพลงสากลจังหวะช้าดังขึ้น สายตานางเอกยังจับจ้องอยู่ที่เดิมที่เคยมีพระเอกแต่ทว่าตอนนี้มันกลับว่างเปล่า
[They can take tomorrow and the plans we made
They can take the music that we never played]
แล้วนางเอกก็พูดขึ้นมา “Don’t go (อย่าไป)”
[All the broken dreams take everything
Just take it away
But they can never have yesterday]
เมื่อม่านปิดลง เสียงปรบมือกระหึ่มขึ้นมาจนผมไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆอีก น้องนักแสดงบางคนกระโดดโลดเต้นกันอยู่หลังเวทีด้วยความโล่งใจ มีใครบางคนตะโกนขึ้นมาถึงร้านเหล้าที่พวกเขาจะไปฉลองกันหลังจากออกไปขอบคุณคนดูจบ
การปิดฉากละครเวทีภาษาอังกฤษประจำปีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีการขอบคุณนักแสดง ทีมงานหลังฉาก ผู้กำกับ คุณครูที่ปรึกษา สปอนเซอร์และผมที่อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ผมกล่าวออกไปหน้าเวทีเพื่อรับดอกไม้และถ่ายรูป แม้ว่าจะรู้ว่าไม่มีคนที่ผมรู้จักมักจี่มาดูในวันนี้ก็ตาม
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมกับพวกน้องๆก็พากันมาฉลองที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งมีครูอ้อเป็นหุ้นส่วน อาจจะฟังแปลกไปหน่อยนะครับ แต่ครูอ้อเป็นครูหัวสมัยใหม่มาก แกเลยใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นหุ้นส่วนในร้านของแกเปิดขวดเหล้าให้กับพวกผม แล้วมันจะไปมีใครขัดอะไรละครับ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันก็ชอบกันอยู่แล้ว
“ครูว่าเรื่องของปีนี้ดีนะภัทร ตอนจบทำเอาครูน้ำตาซึม” ครูแกว่าในขณะที่หยิบของแกล้มเข้าใส่ปาก
“ใช่พี่ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังเกือบร้อง” น้องผู้ชายฝ่ายเสียงอีกคนนึงสมทบขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมพี่ภัทรถึงชอบเขียนตอนจบเศร้าๆละ ปีที่แล้วก็คราวนึงแล้วนะ”
“เออว่ะ” ใครอีกคนว่าต่อ “ปีที่แล้วพี่สาวพระเอกก็พลั้งมือฆ่านางเอกนี่หว่า จบไม่สวยเหมือนกัน”
พอน้องคนนั้นพูดจบหลายคนก็พากันหันมาจ้องเพื่อขอคำตอบจากผม ผมเสตาไปมองทางอื่น ยกแก้วขึ้นกระดกน้ำเมาเข้าปาก ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบที่เหมาะสมให้คนรอฟังอย่างไรดี ผมถอนหายใจ “พี่ถนัดแบบนี้ เขียนแนวอื่นไม่ค่อยลื่น”
“เพลงที่ขึ้นตอนจบก็เพราะมาก เหมาะกับอารมณ์จากลาพอดีเลย” ครูอ้อหันไปคุยกับน้องหัวหน้าฝ่ายเสียง “ชื่อเพลงอะไรนะ”
“Yesterday ของ Leona Lewis ครับ” คนตอบหันมามองทางผม “เพลงนี้พี่ภัทรเป็นคนเลือก”
“ละเอียดอ่อนมาก” ครูอ้อพยักหน้าพลางชมเปราะ เธอเอื้อมมือมาตีไหล่ผมสองสามที “เก่งสมเป็นภัทรจริงๆ”
ผมยิ้มรับคำชม ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรไป
“พี่ภัทรเขียนเข้าถึงอารมณ์แบบนี้นี่ ประสบการณ์ตรงหรือเปล่าคะ” น้องแจงถามพลางหัวเราะคิกคักกับเพื่อน ผมนิ่ง ก่อนจะปล่อยมึน ไม่ยอมตอบเหมือนไม่ได้ยินที่เธอถาม โชคดีที่น้องแจงไม่ได้ถามแบบอยากรู้จริงจังอะไร ทุกคนจึงปล่อยผ่าน
บางอย่างในคำถามนั่นสะกิดใจผมเข้าอย่างจัง
‘
ประสบการณ์ตรง’ งั้นหรอ
ผมแค่นยิ้มก่อนจะกระดกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากรวดเดียวเหมือนเป็นน้ำเปล่า แล้วหยิบขวดเเหล้าและโซดามาชงเองใหม่เรื่อยๆ น้องบางคนผิดสังเกตขึ้นมานิดหน่อยที่ผมเงียบกว่าปกติ พวกเขาถามแต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบเช่นเคย มันเหมือนการถามไถ่ไปตามมารยาทเท่านั้น
ทุกคนสนุก ผมพูดคุยและยิ้มบ้าง แต่ส่วนมากก็จะเติมน้ำสีอำพันเข้าร่างกายมากกว่า
ใช่เวลาไม่นานเท่าไหร่ ผมก็เริ่มมึนหัวและจับใจความที่น้องๆพูดกันไม่ได้มาก ผมวางแก้วลง กวาดสายตามองไปทั่วร้านหลังจากที่นั่งก้มหน้ามานาน
แล้วผมก็เห็น...
เห็นใครบางคนที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวผมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
‘เต เตชภณ’
ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะนึง สมองผมที่เต็มไปด้วยเรื่องของเขากลับถูกเข้ามาแทนที่ด้วยความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที ผมหลับตาลงเพื่อตั้งสติ คิดว่านั้นเป็นภาพหลอนที่เกิดจากอาการเมา แล้วผมก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
แต่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ภาพหลอน
เตมองกลับมาที่ผม เขาดูไม่ได้ตกใจอะไร เหมือนเขาเห็นผมมาตั้งนานแล้ว
“ไอ้เต...” ผมครางเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หะ” น้องคนที่นั่งข้างผมเอ่ย “เมื่อกี้พี่ภัทรว่าไงนะครับ”
ประโยคที่ถูกคนข้างตัวถามขึ้นเบี่ยงความสนใจของผมออกจากเต ผมก้มหน้าลงมองตักตัวเอง กะพริบตาถี่ กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ย “เปล่า พี่ว่าพี่เมาแล้วว่ะ” ผมลุกขึ้นยืน ไม่ได้โฟกัสสายตาไปที่จุดใดจุดนึง เสียงในหูของผมเป็นเสียงดังก้องๆที่ผมจับใจความอะไรไม่ได้ “ขอตัวก่อนนะ”
ผมพูดโดยไม่ได้ระบุผู้ฟัง จากนั้นก็แทรกตัวออกมา มีน้องคนนึงเข้ามาพยายามจะช่วยพยุงแต่ผมก็สะบัดน้องเขาออกไปแล้วทำสัญลักษณ์มือไปว่าผมโอเค น้องเขาจึงปล่อยตัวผม ใครบางคนคาดการณ์ว่าผมคงจะไปห้องน้ำเพราะนั่นคงจะเป็นทิศทางที่ผมเดินมา แต่ทว่าผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตั้งใจจะพาตัวเองไปที่ไหน มีสติรู้แค่ว่าต้องเดินออกมาจากตรงที่นั่งอยู่ให้เร็วที่สุด
เพราะร้านนี้เป็นร้านแบบเอ้าท์ดอร์ พอผมเดินอย่างไม่มีจุดหมายมาเรื่อยๆผมจึงหลุดออกจากบริเวณตัวร้านในที่สุด ข้างหน้าของผมเป็นถนนเส้นนึงที่ก็ไม่รู้ว่ามันมุ่งหน้าไปทางไหน แต่ก็เพราะความเมามายจนไร้สติจึงทำให้ผมตัดสินใจก้าวขาเดินต่อไปโดยไม่สนใจดูรถที่วิ่งอยู่
และก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น...
ปริ๊นนนนนนนนนนน!
แสงไฟจากพาหนะที่เคลื่อนตัวอยู่บนถนนสาดเข้าที่ตาทันทีที่ผมหันไปมอง ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไร มือของใครบางคนก็กระชากจนผมเซไปปะทะกับแผงอกกว้าง ผมนิ่งไปครู่นึงด้วยความตกใจและความมึนจากฤทธิ์แอลกฮอล์ หัวใจของผมเต้นแรง และยิ่งแรงมากขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าเสี้ยววินาทีที่แล้วผมเกือบตาย
ผมเงยหน้าเพื่อจะกล่าวคำขอบคุณให้คนที่ช่วยชีวิตผม แต่ทว่า...
“พิณ! มึงอยากตายหรือไง! เมื่อกี้เกือบถูกรถชนแล้วเห็นมั้ย!” คนที่ช่วยผมกลับเป็นคนที่ผมเพิ่งเดินหนีมา
เตตะโกนขึ้นอย่างลืมตัว เขาจับแขนผมแน่นมากจนผมเจ็บไปหมด สรรพนามที่เขาเคยใช้เรียกผมอย่างคนห่างไกลก่อนหน้านี้หายไป เหลือทิ้งไว้แต่คำแทนชื่อที่เราใช้เรียกกันเมื่อสมัยสามปีที่แล้วเท่านั้น
นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงระคนไปกับความตกใจทำเอาผมพูดไม่ออก ตัวเขาสั่นมากพอๆกับผม เตกระชากผมเข้าไปกอด
“เกือบไป...” เขาพึมพำพลางลูบหลังผมไปมา “เกือบไปแล้ว”
เขาดูตกใจมาก เหมือนเขากลัว ทั้งๆที่คนที่ควรรู้สึกแบบนั้นควรจะเป็นผม
“เต” ผมเรียกชื่อเขา และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมใช้น้ำเสียงแบบนี้ “กูไม่เป็นอะไรแล้ว”
ผมไม่ได้กอดเตตอบ แต่ก็ไม่ได้ดันเขาให้ถอยห่าง ใจของเตเต้นเร็วและแรงจนผมรู้สึกได้ หัวใจของผมก็เช่นกัน ไม่รู้เหมือนว่าทำไมผมปล่อยให้เขากอดผมเอาไว้แบบนั้น นานพอสมควรอยู่เหมือนกันกว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา
“ปล่อย” ผมใช้มือดันเขาเบาๆ เตไม่ได้ขัดขืน เราทั้งสองยังยืนอยู่ในระยะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
เตใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่เป็นไรแน่นะ”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
เขายังไม่ละสายตาออกจากผม “นี่เมาใช่มั้ย” เตถาม “กินไปเยอะขนาดไหนถึงได้เมาขนาดนี้”
“ก็เยอะ” ผมตอบสั้น หลับตา ใช้มือเสยผมตัวเองและเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ความรู้สึกหลายหลากตีผสมปนเปกันไปมาในหัวของผม และยิ่งผมเมามันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นมันคงจะไม่ดีแน่หากผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้และสนทนากับคนตรงหน้าต่อไป “กูกลับแล้วนะ”
เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันหลังกลับ “เดี๋ยว” เตเอื้อมมือมายื้อไหล่ผมเอาไว้ “จะกลับไปไหน”
ผมเงียบไม่ตอบเขา
“จะหนีไปไหนอีก” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ย แต่เสียงของเตสั่น และความอ่อนไหวในเสียงนั้นมันก็กรีดลงในใจจนผมปวดลึก ผมขบริมฝีปากเข้าหากันเพราะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“หนีไปไหนก็ได้” ผมตอบ ทั้งที่ตัวเองไม่กล้าหันกลับไปมองเขาด้วยซ้ำ “ขอแค่ไม่ต้องเจอมึงก็พอ”
แรงบีบที่ไหล่ของผมคลายลงทันทีหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป แรงยื้อของเตมันเบาลงเสียจนผมรู้สึกได้ว่า หากจะสะบัดมือหนาออกในตอนนี้ผมก็คงทำได้
แต่ผมไม่ทำ
เตไม่ได้เขยิบเขามาใกล้ไปมากกว่านั้น เขาใช้เพียงแค่แรงอันน้อยนิดจับไหล่ผม แต่นั่นมันก็พอแล้วที่จะยื้อทั้งตัวของผมเอาไว้ “ต้องให้กูทำยังไง” เตพูด ภาพตรงหน้าของผมเริ่มเลือนลาง ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อให้อาการเหล่านั้นมันหายไป “ต้องทำยังไงมึงถึงจะไม่หายไปอีก”
มือหนาเลื่อนลงมาจับมือผม ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามของเขา
“มึงแค่บอก ขอแค่มึงบอกว่าอยากให้กูทำอะไร กูจะทำให้มึงทุกอย่าง” เตกระชับมือแน่นขึ้น “แต่ขอร้อง อย่าหนี...อย่าหนีกูไปอีกเลยนะ”
ผมรู้ดีว่าผมควรผลักไสให้เขาออกไปอย่างที่บอกตัวเองว่าควรทำมาตลอด แต่ความลังเลบางอย่างมันกลับทำให้ผมไม่กล้าทำแบบนั้น ความรู้สึกข้างในของผมมันหมุนคว้าง เช่นเดียวกันกับโลกทั้งใบที่ผมยืนอยู่ตอนนี้
“ทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอก” ผมดึงมือออก หันหน้าไปมองเขา “ทำไม”
“เพราะกูทนไม่ไหวแล้ว” ความมึนเมาจากฤทธิ์สุราเริ่มโจมตีผมหนักมาก จนตอนนี้สิ่งรอบตัวมันกลายเป็นเพียงแค่ภาพฟุ้งๆเหมือนดังในความฝัน เตเดินเข้ามาใกล้ สบหน้าผากลงที่ไหล่ข้างนึงของผม “กูทนที่จะไม่มีมึงอยู่ในชีวิตไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
ท่ามกลางจังหวะที่ถี่เร็วของหัวใจตัวเอง ผมกลับพบความสงบอยู่ในนั้นจากสิ่งที่เตพูดออกมา ผมไม่รู้ว่ามันคือคำโกหกดั่งเช่นที่เขาเคยทำในวันวานหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมก็ไร้สติเกินกว่าจะสนอะไรทั้งสิ้น
“กูก็ทนไม่ไหว” ผมยกมือขึ้นกอดเขา
เตนิ่งไป
จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ...
ขอเพียงเสี้ยววินาทีนี้แล้วกันที่ผมได้ทำตามใจตัวเอง
“ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” [สามปีที่แล้ว]
เพราะอากาศที่เย็นจึงทำให้พีรการต์ตัวรุมเหมือนจะเป็นไข้ แต่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์ตากลมหนาวเพื่อไปโรงเรียนอยู่แบบนี้ก็คือ เขาจะต้องไปรับเตชภณไปเรียนด้วยกันอย่างที่บอกกับเจ้าตัวไว้เมื่อวาน แม้ว่าเตเองจะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตามที
พีรการต์กับเตชภณไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่ที่แยกจากกันเมื่อวานตอนเย็น ทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาจะไลน์หากันไม่เคยขาด มีบางวันถึงขนาดโทรคุยกันจนฟ้าเกือบส่างด้วยซ้ำ มันน่าแปลกที่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเริ่มต้นบทสนทนาในช่องแชทของเมื่อคืนนี้
เตไม่ได้ไลน์มาถามว่าเขาถึงบ้านอย่างปลอดภัยหรือเปล่าอย่างที่เคยทำ และพิณเองก็ไม่รู้จะรายงานคนใจดำไปทำไมในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีกะใจที่จะถาม
พีรการต์ไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะเอาสิทธิ์อะไรไปเรียกร้อง
พาหนะสองล้อแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเตชภณอย่างนิ่มนวล พิณยันสองเท้าของตัวลงกับพื้นเพื่อประคองมอเตอร์ไซค์ก่อนจะชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน ลังเลใจว่าจะกดกริ่งดีหรือไม่
ไลน์บอกเอาแล้วกัน
พีรการต์คิด
แอ๊ด...!
“พี่พิณคะ” เสียงเล็กแหลมของคนที่เปิดประตูออกมาเรียกขัดก่อนที่ร่างบางจะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรลงไป พีรการต์หันไปมาตามต้นเสียง เด็กสาวที่เขาเจอเมื่อวานแต่งตัวอยู่ในชุดธรรมดาทั้งที่วันนี้ควรจะไปโรงเรียนเดินออกมาจากรั้วบ้าน
“มาเช้าจังเลยนะคะ” “อา...ครับ” พิณพยักหน้ารับ พลางนึกสงสัยว่าแตงรู้ได้อย่างไรว่าเขามาถึงแล้ว ทั้งที่เขายังไม่ได้กดกริ่งเรียกคนในบ้านด้วยซ้ำ
“พี่เตอยู่ในบ้านแน่ะค่ะ สงสัยกำลังทานข้าวอยู่” เด็กสาวเอ่ย พีรการต์ไม่สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นประโยคชวนคุยหรือไม่
“พี่พิณทานข้าวมาหรือยังคะ” “อ่อ ก็...” “ช่างเถอะค่ะ” คู่สนทนาพูดขัดขึ้นมาก่อนที่พีรการต์จะได้ตอบคำถามของเธอให้จบประโยค
“ที่จริงแตงก็ไม่ได้สนเรื่องนั้นมากเท่าไหร่” พิณนิ่งไป เขาไม่รู้จะหาคำตอบใดที่เหมาะสมกับคำพูดประหลาดของเด็กสาวที่เอ่ยมาเมื่อครู่นี้ ร่างบางจึงเงียบลง ดวงตากลมโตของคู่สนทนากะพริบถี่ แตงสาวเท้าเข้ามาใกล้เพื่อใช้ดวงตาคู่นั้นสำรวจวงหน้าเรียวจนพีรการต์รู้สึกอึดอัด
“พี่พิณเป็นเพื่อนกับพี่เตมานานแล้วหรือคะ” เธอถาม แต่ก็ไม่ได้เว้นช่วงให้พีรการต์ตอบ
“สนิทกันมาตั้งแต่พี่เตเข้าเรียนที่นี่เลยมั้ย”
พิณนิ่งนึก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“รู้จักกันได้อาทิตย์สองอาทิตย์หลังเตเข้าเรียน” เด็กสาวเงียบไปอึดใจนึง ดวงตาสีนิลของเธอที่ล่องลอยจนดูไร้แววและไร้ความรู้สึกทำให้พิณรู้สึกขนลุกแปลกๆ แตงกะพริบตาถี่อีกครั้ง ฉีกยิ้มแล้วถามขึ้น
“อยู่ที่นี่ พี่เตมีใครหรือเปล่าคะ” คำถามของเธอทำให้พีรการต์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แตงจึงตีความไปเองว่าร่างบางไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
“หมายถึงแฟนน่ะค่ะ อยู่ที่นี่พี่เตมีแฟนหรือเปล่า” พิณเงียบไปหลังจากฟังสิ่งที่แตงอธิบายเพิ่ม เขาไม่รู้จะตอบคำถามของเด็กสาวตรงหน้าอย่างไร เพราะหากจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ตัวพีรการต์เองก็ไม่ทราบคำตอบที่แน่ชัด ร่างบางไม่รู้ว่าตอนนี้เขากับเตเป็นอะไรกัน เพราะเตชภณไม่เคยให้คำจำกัดความกับสถานะของเขาทั้งสอง
พิณไม่เคยรู้สึกไม่ชอบความชัดเจนนี้ จนกระทั่งวินาทีนี้ วินาทีที่เขาตอบคำถามไม่ได้
นั่นสิ...อย่างเตนี่จัดว่ามีแฟนแล้วหรือยังนะ
“พี่...” พีรการต์พึมพำ เขาหลบสายตาที่คนตรงหน้ามองมา
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” “ไม่รู้” แตงเอ่ยทวนคำ เธอเลิกคิ้วพร้อมยกมือขึ้นมากอดอก เด็กสาวพูดเสียงห้วน
“หรือไม่อยากบอกกันแน่” พิณเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เขาเอียงคอเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดอยู่เสี้ยวนาทีหนึ่ง ก่อนที่เด็กสาวจะหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ แตงก้มหน้าลงพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในนั้น เธอใช้เวลาไม่นาน
เด็กสาวชูเครื่องมือสื่อสารหันมาทางพีรการต์
“พี่พิณรู้จักกับพี่คนนี้หรือเปล่าคะ” ร่างบางหรี่ตามองมือถือของเด็กสาว หน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าวอลเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนนึงที่เขารู้จักดี
‘Bella Noppasorn’
...เบล
“อืม รู้จัก” พิณเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย อวัยวะภายในอกข้างซ้ายของคนร่างบางเต้นในจังหวะที่ผิดแปลกไปในวินาทีที่เขาเปิดปากตอบ
“แล้วเขาสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่หรือคะ” เสียงเล็กแหลมเอ่ยขึ้น พีรการต์เหลือบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าเตกับเบลไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพ่ือน แต่สิ่งที่แตงถามมานั้นมันก็ทำให้เขาปวดใจไม่น้อย
เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ...
…ไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นจะคงสถานะเพื่อนกันไปอีกนานแค่ไหน
“พิณ” เสียงแหบพร่าที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น เตชภณไม่ได้ตะโกน แต่เขาก็เรียกพีรการต์ดังเกินความจำเป็นด้วยระยะที่ใกล้แค่นี้ น้ำเสียงของเตดูมีความตกใจระคนอยู่ด้วย
“มานานหรือยัง” เตชภณก้าวขาออกมาจากบ้าน ร่างหนาเหลือบตาไปทางแตงเสี้ยววินาทีนึง พีรการต์เผลอมองหน้าเขาด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย เตเลิกคิ้วขึ้นเพื่อทวงคำตอบ
“ก็ไม่นานเท่าไหร่” พิณเอ่ยหลังจากที่เขาหาเสียงตัวเองเจอ
“แล้วทำไมไม่ไลน์บอก” เตถามห้วน ในประโยคนั้นมีร่องรอยความไม่พอใจบางอย่างจากร่างสูงที่พิณไม่คุ้นชิน เตชภณไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนี้ให้เขาเห็นเลยแม้เพียงครั้ง และนั่นทำให้พีรการต์สงสัย
“คือว่า...” “แตงชวนพี่พิณคุยเองแหละค่ะ” เด็กสาวแทรกขึ้น เตชภณหันไปมองเธอด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์
“แค่คุยกันแค่นี้คงไม่ทำให้พี่เตไปโรงเรียนสายหรอก” ประโยคและน้ำเสียงหยอกล้อควรจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นในกรณีนี้
“ก็คงจะแบบนั้น” เตชภณกล่าวก่อนจะหันกลับมามองหน้าพิณ ร่างสูงเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้า เขาพูดเสียงเรียบ
“รีบไปกันเถอะ” “เดี๋ยวค่ะ” แตงเอ่ยรั้งเอาไว้ เธอเดินไปหาเตชภณก่อนจะหอมแก้มเขาเสียงดัง
“รีบกลับมานะคะ แตงรออยู่” “อืม” เตชภณรับคำ พีรการต์จับสีหน้าร่างสูงไม่ได้เนื่องจากเขานั่งอยู่ข้างหลังตัว
ตกลงแล้ว...เตกับแตงเป็นอะไรกันแน่ พิณตั้งคำถามในใจ
พีรการต์ออกรถหลังจากจากที่เตร่ำลากับเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งสองคนไ่ม่ได้พูดอะไรระหว่างทางทั้งที่ทำได้ อากาศอุณหภูมิน้อยทำให้พิณต้องขับรถช้ากว่าที่เคยเป็นเพื่อลดแรงลมปะทะ ร่างบางนึกโทษตัวเองที่ประมาทคิดว่าตัวเองจะทนหนาวได้
เอาเถอะ อีกแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว พีรการต์คิด
“ปล่อยมือออกข้างนึง” เตชภณเอ่ยพูดที่ข้างหูพิณทำลายความเงียบ ร่างบางเบี่ยงหน้าไปมองคนซ้อนเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่เอาอันตราย” คนร่างบางพูดตอบ
“เอาน่า แป๊ปเดียว” ร่างสูงยังคงร้องขอหลังจากที่พีรการต์ปฏิเสธไปในคราแรก พิณส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงเตไปทำไมในเมื่ออย่างไรเขาก็ต้องยอมทำตามสิ่งที่เตชภณบอกมาอยู่ดี
พีรการต์ปล่อยมือข้างนึงออก เตจับแขนบางข้างนั้นให้ยกสูงขึ้นก่อนจะสวมเสื้อกันหนาวลงมา
“อีกข้างนึง” เตชภณพูด การกระทำที่อ่อนโยนของร่างสูงทำให้หัวใจของพิณเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอก เขาเม้มปากเข้าหากัน พยายามทำความรู้สึกที่ประดังประเดอยู่ในใจเขาให้หายไป
แต่ถึงอย่างไร พีรการต์ก็ไม่ลืมที่จะทำตามสิ่งที่เตบอกอย่างว่าง่าย เตชภณสวมแขนเสื้ออีกข้างนึงใส่พิณทันทีที่ร่างบางปล่อยมือออกมา ความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างกายทำให้พิณสับสนว่ามันมาจากเสื้อกันหนาวหรือการกระทำของเตกันแน่
ทันทีที่พีรการต์เลี้ยวเข้าซอยแคบไร้ผู้คนที่เขาใช้เป็นทางลัดเพื่อไปโรงเรียนอยู่เป็นประจำ เตก็เอื้อมแขนมากอดเขาไว้จากทางด้านหลัง ร่างหนาซบหน้าผากลงบนหลังคอของพิณอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ และนั่นก็ทำให้พีรการต์รู้สึกดี แต่พิณเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งเขารู้สึกดีกับเตมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งสับสนขึ้นมากเท่านั้น
ทั้งสับสนและสงสัย
จนบางครั้งพิณก็สัมผัสได้ว่ายิ่งเขาคุยกับเตมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเจ้าตัวน้อยลงไปทุกที
“เต” พีรการต์เปล่งเสียงเรียกชื่อคนที่นั่งซ้อนข้างหลังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจนคำพูดนั่นมันเกือบจะกลืนไปกับสายลม แต่ถึงกระนั้นความกังวลบางอย่างที่ถูกส่งผ่านในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้ชื่อของเตถูกได้ยินอย่างชัดเจนจนน่าประหลาด
น้ำเสียงของพิณเต็มไปด้วยคำถามที่เจ้าตัวไม่กล้าเอื้อนเอ่ย แต่เตชภณก็รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะตอบ
เตกอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้น เขาสบหน้าทั้งหน้าลงบนไหล่บาง ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้
“แตงเป็นน้องสาวแท้ๆของกูเอง” เตชภณกล่าว เขาเงียบไปชั่วครู่นึงแล้วเอ่ย
“แล้วแตงก็หวงกูมาก” พีรการต์ยิ้มโล่งใจ แม้ว่าเตจะไม่ได้ตอบทุกอย่างที่เขาอยากรู้
“เห็นมึงทำท่ามีลับลมคมนัยตั้งนาน ที่แท้ก็แค่อายที่ถูกน้องสาวหวงนี่เอง” พิณขำในลำคอ แต่เตไม่ได้หัวเราะด้วย และนั่นทำให้ความสงสัยของร่างบางที่เพิ่งหายไปกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว
เขาทั้งสองสบตากันผ่านกระจกมองหลัง เตชภณดูจริงจังมากกว่าที่เขาเคยเป็นครั้งไหนๆ
“เอาเป็นว่า...” ร่างสูงลากเสียงยาวเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมา
“มึงอยู่ห่างจากแตงไว้เป็นดีที่สุด”..................................................................................
คนเขียนขอเม้าท์: น้องพิณเมาค่ะ คนเขียนพยายามจะเขียนให้รู้ว่าน้องเมามาก บวกกับพิณเป็นคนประเภทแข็งนอกอ่อนใน(และบางทีก็อ่อนทั้งนอกและใน) ยิ่งพื้นฐานเดิมของน้องคือรักอิเตมาก เรื่องมันเลยดำเนินมาในทางนี้
จะบอกว่าพิณยอมใจอ่อนง่าย ไม่ยอมทำอย่างที่ตัวเองพูดสักทีนี่ก็ถูกค่ะ เพราะอันที่จริงแล้ววางคาแรกเตอร์ของน้องไว้ในเป็นคนใจอ่อนและย้อนแย้ง(ฮา)
อย่าเพิ่งหงุดหงิดความเยอะของปมปัญหานะคะ ทุกตัวละครมีความสำคัญมากค่ะ
ยังไงก็ฝากติชมกันด้วยนะคะ หรือเอาไปพูดถึงในทวิตเตอร์ก็ได้ คนเขียนจะรู้สึกปริ่มมาก
#เตคนเล่นพิณ << ใช้แฮชแท็กนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ