ตอนที่ 4
“ไอ้ขวัญ มึงรู้ไหมว่าเมื่อกี้ตอนไปส่งลูกค้าที่หน้าห้างกูเจออะไรมา!” ไอ้แนนที่เพิ่งกลับจากไปส่งลูกค้า รถยังไม่จอดสนิทดีด้วยซ้ำแต่มันก็ร้องเรียกผมหน้าตาตื่นเหมือนคนเพิ่งไปเจอเรื่องสยองขวัญมาหมาดๆ
“เจออะไรวะ” ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ กำลังอ่านทวนบทสนทนากับคุณธนิกผ่านทางไลน์ก็ตกอกตกใจไปกับมันด้วย
“กูเจอคนหน้าเหมือนมึง หน้าเหมือนมาก!” ไอ้แนนบอก ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของมันบอกผมแค่ว่ามันไม่ได้ล้อเล่น
“หน้ากูไม่ได้โหลนะเว้ย จะไปเหมือนใครที่ไหนได้อีกวะ”
“เหมือนจริงๆ ถ้าคนนั้นไม่ได้เพิ่งลงจากรถเบนซ์กูคงทักไปแล้วว่าเป็นมึง หน้าเหมือนมึงมากจริงๆ นะ มึงแน่ใจมั้ยว่าไม่ได้มีแฝดที่ไหน”
“จะไปมีได้ไง ถ้ามีน้าลีก็บอกกูไปแล้วดิวะ”
“แต่น้าเก็บมึงมาเลี้ยงไม่ใช่เหรอไอ้ขวัญ”
“เก็บเหี้ยไรเล่า น้าลีเป็นน้องแม่กู พอแม่กูตาย น้าก็เลี้ยงกูมา กูไม่ได้มาจากสถานสงเคราะห์ไอ้ห่า”
น้าลีเลี้ยงผมมา แม้ผมจะจำเรื่องตอนที่เพิ่งคลอดไม่ได้ จำหน้าแม่ไม่ได้ หน้าพ่อก็ไม่ต้องพูดถึง แต่น้าลีก็เป็นน้องสาวของแม่จริงๆ ผมเอาความมั่นใจมาจากไหนน่ะเหรอ ก็น้าลีบอกผมแบบนั้น ผมเชื่อน้า เพราะน้าลีเป็นคนสุดท้ายในโลกที่จะโกหกผม อีกอย่าง...มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่พูดความจริง
“แต่กูเจอคนหน้าเหมือนมึงจริงๆ มันไม่มีเรื่องที่คนไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจะหน้าเหมือนกันหรอกนะเว้ย”
“ไอ้แนน กูรู้ว่ามันอาจจะไม่มีเรื่องแบบนั้น แต่กูเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าในโลกนี้จะมีคนเหมือนเราอยู่สามคน คงเหมือนโลกคู่ขนานแนวๆ นั้นล่ะมั้ง แล้วพอคนที่เหมือนกันมาเจอกัน อีกคนหนึ่งก็ต้องตายให้ในโลกนี้เหลือคนที่เป็นตัวจริงเพียงคนเดียว”
“มึงดูการ์ตูนมากไป นั่นไม่ใช่จากหนังสือหรอกไอ้ห่า มันมาจากอนิเมะที่มึงเคยบอกว่าชอบมากไม่ใช่เหรอ แต่นี่กูพูดเรื่องจริงไอ้ขวัญ กูไปเจอมา กูเห็นเต็มสองตากู”
“เออๆ กูเชื่อมึงก็ได้” ผมตอบรับส่งๆ ไม่ได้เชื่ออย่างที่พูด เพราะไอ้แนนอาจจะตาฝาด มันน่ะเคยบอกผมว่าสายตามันไม่ค่อยดี แต่ก็ยังไม่มีเงินไปตัดแว่นมาใส่ เพราะตัดทีก็หลายพัน “ยังไงก็เก็บเรื่องไร้สาระนี่ไว้ก่อน มึงไม่ได้ลืมซื้อข้าวกล่องมาใช่ไหม”
ไอ้แนนยังมีสีหน้าครุ่นคิด แต่มันก็ยอมตอบคำถาม “เออ ซื้อมาน่า มึงโทรไปย้ำกูสองรอบ เอ้า! เอาไป ข้าวไข่เจียวหมูสับอมน้ำมันของมึง”
ผมรับข้าวกล่องมาจากไอ้แนน เปิดกล่องเช็กดูเมนูอาหารก็เห็นว่าได้ตรงที่สั่งไป แต่ไข่เจียวไม่ได้อมน้ำมันสักหน่อย มันก็แค่เยิ้มนิดๆ ไม่ถึงกับอมน้ำมันอย่างที่ว่าหรอก ผมน่ะชอบกินเพราะเป็นเมนูที่ง่ายยิ่งกว่ากะเพราไก่ไข่ดาว วันที่ขี้เกียจบึ่งรถไปร้านก๋วยเตี๋ยวป้านีก็จะมีเมนูนี้มาช่วยประทังชีวิต ส่วนไอ้แนนมันกินผัดไทยเป็นเมนูประจำ
ติ๊ง!
ผมวางกล่องข้าวแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู คุณธนิกส่งข้อความมาทางไลน์ เป็นข้อความแรกของวันนี้ระหว่างเรา
คุณธนิก: ขวัญครับ กินอะไรหรือยัง
ผมบันทึกชื่อของเขาไว้แบบนั้นเพราะอ่านง่ายมากกว่า Display Name ของเขา
ขวัญพัฒน์: กำลังจะกินครับ
ผมพิมพ์ตอบพร้อมกับส่งรูปกล่องข้าวไข่เจียวไปให้เขาดู
คุณธนิก: น่ากินดีนะ
ขวัญพัฒน์: กินด้วยกันมั้ยครับ
คุณธนิก: ได้เหรอ งั้นเอามาให้พี่หน่อยสิครับ
ขวัญพัฒน์: จะกินจริงๆ เหรอครับ มันแค่ข้าวไข่เจียวนะ
คุณธนิก: ขวัญให้พี่กินมั้ยล่ะ
ขวัญพัฒน์: ให้กินครับ แต่ว่าไม่รู้จะอร่อยถูกปากหรือเปล่า
คุณธนิก: อาจจะถูกปากนะถ้าได้กินด้วยกัน
ผมไม่รู้จะพิมพ์ตอบไปว่าอย่างไร คุณธนิกเหมือนกำลังจีบผมอยู่เลย ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่เขาทำอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวด้วยกันจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเกือบสามสัปดาห์แล้ว เราคุยกันตลอด เขาจะโทรหาผมตอนเลิกงาน ในระหว่างวันก็จะคุยกันผ่านไลน์ ถึงผมจะเรียนมาน้อยแต่ผมก็พอรู้ว่าการกระทำแบบนี้คืออะไร
เขาจีบผม! เขาชอบผมอยู่แน่ๆ
“เป็นเหี้ยไรไอ้ขวัญ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ไอ้แนนที่กำลังยัดผัดไทยสีจืดชืดเข้าปากหันมาถาม “รีบแดกข้าวดิ เล่นมือถืออยู่ได้”
“ไม่ได้เล่น กำลังตอบไลน์เว้ย”
“ไลน์จากคุณธนิกเหรอวะ” ไอ้แนนชะโงกหน้ามาดู แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ แม้จะเล่าเกือบทุกเรื่องในชีวิตให้มันฟัง แต่ผมก็รู้สึกกระดากที่จะให้มันเห็นบทสนทนา
“อืม”
ไอ้แนนทำหน้าครุ่นคิด มันเคยวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ผมฟังไปแล้ว ซึ่งทั้งผมทั้งมันก็คิดเหมือนกัน “ทำไมกูรู้สึกว่าเขาแปลกๆ วะ”
ใช่ ผมก็คิดว่าเขาแปลก แต่เมื่อได้ฟังจากปากไอ้แนนแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “แปลกที่มาจีบคนอย่างกูรึไง”
“แล้วมึงคิดว่าไม่แปลกเหรอ” ไอ้แนนย้อนถาม “มึงคิดดีๆ นะเว้ยไอ้ขวัญ คุณธนิกเขาเป็นคนรวยมาก แล้วเขาก็หล่อมาก มีโอกาสหนึ่งในล้านๆ เลยที่เขาจะมาสนใจไอ้เด็กขับวินอย่างมึง มึงคิดดูสิว่ามึงมีอะไรดึงดูดใจเขาบ้าง ถึงหน้ามึงจะพอไปวัดไปวาได้ แต่นอกนั้นคือไม่มีความเป็นไปได้อยู่ในตัวมึงเลยนะเว้ย ทั้งฐานะ เสื้อผ้าการแต่งตัว รสนิยม สังคมความเป็นอยู่ ไหนจะเรื่องที่เขาไม่ได้เป็นเกย์อีก เขามีคู่หมั้นแล้ว พี่จอยเคยบอกจำได้ไหมล่ะ!”
คู่หมั้น...ผมจำได้อยู่แล้วว่าเขามีคู่หมั้น เป็นเรื่องที่ต่อให้จะทำทีลืมไปบ้าง แต่ก็มักจะหวนมาตอกย้ำและดึงให้ผมกลับสู่ความจริง ให้ความแน่ใจที่ว่าเขากำลังจีบผมอยู่นั้นสั่นคลอน
“กูจำได้น่า มึงไม่ต้องย้ำหรอก แต่ว่ากูอาจจะเป็นหนึ่งในล้านๆ ก็ได้นะเว้ยไอ้แนน แบบ...เขาอาจจะชอบกูจริงๆ ก็ได้”
ผมสงสัยมากพอๆ กับไอ้แนน แต่ใจกลับไม่ยอมเชื่อในเหตุและผลที่เพื่อนยกมาพูดเลย ผมกลับอยากเชื่อว่าเขาชอบผมจริงๆ ถึงความเป็นไปได้มันจะมีน้อยมาก แต่แล้วเพราะอะไรล่ะที่เขาทำแบบนี้ ผมตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกนอกจากเขามีใจ
“มึงโง่มากไอ้ขวัญ คุณธนิกกำลังปิดตามึง มึงอย่าไปเชื่อเขามากนะเว้ย เขาอาจจะแค่อยากลองของแปลกก็ได้”
“กูแปลกตรงไหนวะ กูก็คนนะไอ้แนน” แม้จะเป็นคนที่ไม่คู่ควรกับเขา แต่ผมก็ภูมิใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ครบสามสิบสองประการ
“อีกไม่นานเขาจะทำให้มึงไม่ใช่คนไอ้ขวัญ คือมึงเข้าใจไหม กูคิดนะเว้ย แบบ...เขาน่าจะเลือกได้ดีกว่านี้ว่ะ เฮ้ย แต่กูไม่ได้ดูถูกมึงหรอกนะ” ไอ้แนนรีบพูดเมื่อเห็นผมตวัดตามอง
“กูรู้น่า กูก็แอบคิดเหมือนกันว่าอย่างคุณธนิกเขาหาได้ดีกว่านี้แน่ แต่แล้วยังไงวะ กูคงตรงสเปคเขา มึงก็รู้นี่ว่าถ้าเจอคนที่ใช่ขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ห้ามไม่ให้รู้สึกไม่ได้หรอก”
ไอ้แนนทำท่าโก่งคออ้วก แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับมา มันคงรู้ว่าต่อให้พูดมากกว่านี้ก็ห้ามผมไม่ได้อยู่ดี
คุณธนิก: ขวัญมาหาพี่ได้มั้ย มากินข้าวกลางวันด้วยกัน
“ไอ้แนน เขาชวนกูไปกินข้าว” ผมรีบสะกิดไอ้แนนยิกๆ “กูควรไปรึเปล่าวะ”
“ถามกูทำไม ต่อให้กูห้าม ตอนนี้หัวใจมึงก็ไปอยู่ใกล้ตีนรอให้เขากระทืบทิ้งแล้ว”
คุณธนิกคงไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอก บางทีเขาอาจจะเก็บหัวใจของผมขึ้นมาแล้วให้ความอบอุ่นกับมันก็ได้
“ไอ้เพื่อนเวร มึงอย่าคิดในแง่ร้ายดิวะ คุณธนิกเขาเป็นคนดีนะเว้ย เขาไม่หลอกกูหรอก”
“ถ้างั้นมึงก็ไปสิ ไปให้รู้เลยว่ามึงหรือกูที่คิดผิด”
ไอ้แนนท้าทาย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกป๊อดเล็กน้อย ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมที่จะหาคำตอบ แต่ก็ยอมรับจริงๆ ว่ากังวลเอามากๆ
คุณธนิก: ถ้าขวัญกินแล้ว เอาไว้ตอนเย็นก็ได้
คุณธนิก: อ่านแล้วก็ตอบได้ไหม คุยกับพี่หน่อย
ผมยกมือลูบหน้าตัวเอง รู้สึกร้อนรุ่มในใจชอบกล ทำไมวะ ทำไมผมถึงเอาแต่สงสัยความรู้สึกของเขา หรือเพราะความเป็นไปไม่ได้มีมากเกินไป หนำซ้ำไอ้แนนยังเอาแต่พูดว่าเขากำลังหลอกผม
แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมาหลอก จะหลอกฟันผมเหรอ ไม่หรอก ผมว่าคนอย่างเขาไม่ต้องลงทุนทำเรื่องแบบนี้ก็มีคนถวายตัวให้เขา ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นผมก็ได้ถ้าผมใจกล้ามากพอ
คุณธนิก: ขวัญครับ
ผมชอบเวลาที่เขาเรียกแบบนี้ ไม่ว่าจะพิมพ์หรือพูด เขาจะเปิดบทสนทนาแบบนี้เสมอเลย
ขวัญพัฒน์: ขอโทษทีครับที่ผมไม่ว่างพิมพ์ตอบ มือจับช้อนอยู่ครับ แหะๆ
คุณธนิก: อิ่มหรือยัง
ขวัญพัฒน์: ครับ อิ่มแล้ว
คุณธนิก: อยากกินกาแฟไหม
ขวัญพัฒน์: ครับ ง่วงๆ อยู่เหมือนกัน
คุณธนิก: มากินที่บริษัทพี่สิ พี่เลี้ยง
ขวัญพัฒน์: เสียดายจังเลยครับ ผมซื้อกาแฟกระป๋องมาแล้ว
คุณธนิก: เอากาแฟกระป๋องมาแลกได้ไหม พี่อยากกิน
ผมอยากเจอเขา แต่ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงหากต้องเจอกันหลังจากที่ถูกเขาหยอดคำหวานมาเกือบสามสัปดาห์ ผมชอบเขานะ แต่ผมก็ทำตัวไม่ถูกเลย ความชอบของผมตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
ใช่แน่เหรอ จริงแน่เหรอ คำถามพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวผม
ขวัญพัฒน์: งั้นเดี๋ยวผมไปหานะครับ
คุณธนิก: ดีจัง ยอมมาเจอกันแล้ว
ขวัญพัฒน์: คุณธนิกให้ไปเจอที่ไหนครับ
คุณธนิก: ร้านกาแฟก็ได้ครับ
ขวัญพัฒน์: ผมออกไปเลยนะ
คุณธนิก: ครับ พี่จะรอขวัญนะ
“มึงจะไปไหน” ไอ้แนนถาม มันเหลือบมองผมที่กำลังถีบคันสตาร์ท
“ไปหาคุณธนิก” ผมตอบ รู้สึกหน้าร้อนๆ เล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของไอ้แนน
“อย่าโดนเขากินง่ายๆ ล่ะมึง รีบไปก็รีบกลับ ต้องทำมาหากิน เดี๋ยวก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านหรอก”
“เออน่า เดี๋ยวกูมา มึงกินกล้วยแขกมั้ยล่ะ ที่ขายใกล้บริษัทน่ะ”
“เออๆ ซื้อมาฝากกูด้วย”
คนอย่างไอ้แนนต้องหาของกินมาปิดปากมันไว้ มันจะได้ไม่บ่นอะไรมาก เพราะหลังจากน้าลีไม่อยู่ ไอ้เพื่อนคนนี้ก็ทำตัวเป็นผู้ปกครองของผม มันทำไปก็เพราะเป็นห่วงนั่นแหละ แต่ตอนนี้มันบ่นเก่งแซงหน้าเมียของมันไปแล้ว
ผมขี่มอเตอร์ไซค์มาที่บริษัทของคุณธนิก แวะทักทายพี่เปี๊ยกแล้วฝากรถไว้ รอจนคุณธนิกลงมาหน้าตึกถึงจะเดินไปพร้อมกับเขา เพราะการแต่งตัวของผมคงไม่เหมาะที่จะเข้าไปคนเดียว
“กินเหมือนพี่อีกมั้ย” เขาแซวเมื่อเราเดินเข้ามาในร้านกันแล้ว
“ไม่ดีกว่าครับ แหะๆ”
“งั้นกินอะไรดี” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็สั่งเมนูแนะนำของทางร้านให้ผม ความใส่ใจของเขาทำให้หัวใจของผมเต้นรัวขึ้นมา “ขวัญไปรอพี่ที่โต๊ะนะ เดี๋ยวพี่เลือกเค้กไปให้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ชอบกินเค้กครับ” ผมรีบพูด เค้กแต่ละชิ้นแพงจะตาย แค่ชิ้นเล็กๆ ราคาก็สองสามร้อย ไม่รู้ว่าทำจากละอองทองหรือไงถึงได้แพงขนาดนั้น แต่คุณธนิกดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของผม หรือเขาได้ยินแต่ไม่ได้สนใจ เขาเลือกเค้ก ส่วนผมก็เลยต้องไปนั่งรอที่โต๊ะ
นั่งรอไม่นานคุณธนิกก็เดินมานั่งโซฟาตัวตรงข้ามกันพร้อมเค้กหน้าตาน่าทานมากๆ หนึ่งชิ้น เขานั่งลง เลื่อนจานมาตรงหน้าผม
“แลกกับกาแฟกระป๋อง” เขายิ้มเล็กน้อยแล้วแบมือมาตรงหน้า
“จะกินจริงๆ เหรอครับ ผมนึกว่าคุณธนิกพูดเล่นก็เลยไม่ได้เอามา” คิดว่าเขาแค่หาข้ออ้างเลี้ยงกาแฟผมซะอีก
“กับขวัญ พี่จริงจังนะ” เขาพูด แววจริงจังปรากฎชัดบนสีหน้า “ทุกเรื่องที่พูด จริงจังทั้งนั้น”
ผมรู้สึกประหม่าเอามากๆ เพราะทั้งชีวิตยังไม่เคยถูกใครหยอดคำหวานใส่อย่างนี้ แถมยังหยอดหนัก หยอดถี่ หยอดได้ทุกวี่ทุกวัน คุณธนิกกำลังคิดอะไรอยู่นะ เขาเห็นผมเป็นสาวน้อยหรืออย่างไร
“ขวัญครับ”
“คะ...ครับ”
รอยยิ้มของเขาเหมือนมนต์สะกด คำพูดของเขาเหมือนเวทมนต์คาถาที่กำลังทำให้ผมลุ่มหลง น้ำเสียงของเขากำลังทำให้หัวใจผมสั่นไหว
“เย็นนี้อยากกินอะไร”
“คือว่าผม...ผมไม่รู้หรอกครับ” ผมบอกเสียงเบา “ปกติผมกินแต่ของง่ายๆ ไม่มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษ”
“ขวัญตอบแบบนี้ พี่คิดได้มั้ยว่าเย็นนี้ขวัญตกลงจะไปกินข้าวกับพี่”
“ขอผมคิดก่อนนะครับ ผมไม่มีเงินแชร์ ใกล้สิ้นเดือนแล้วต้องเก็บเงินจ่ายค่าเช่าบ้านน่ะครับ”
เขาหัวเราะ สายตาที่ทอดมองมาอ่อนโยนอย่างที่ค่อยๆ ปัดเป่าความสงสัยของผมออกไปทีละน้อย
“ค่าเช่าบ้านเหรอ พี่จ่ายให้มั้ย” ไม่มีแววล้อเล่นในดวงตาของเขาเลย “พี่อยากดูแลขวัญนะ”
“คือ...หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
ผมถามเพราะไม่เข้าใจความหมายของเขา หรืออาจจะเข้าใจแต่มันยากจะเชื่อ ความสับสนทำให้ผมไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
“อยากดูแลต้องมีความหมายยังไงดีนะ” เขาทำท่าครุ่นคิด ยกนิ้วขึ้นลูบคาง
ผมมองเขา เราสบตากัน แค่ชั่วครู่เท่านั้นผมกลับคิดว่าผมเข้าใจความหมายที่เขากำลังสื่อ
ไอ้แนน มึงต้องไม่เชื่อแน่! ขนาดกูก็ยังไม่เชื่อเลย!
“กินเค้กสิครับ พนักงานแนะนำมาว่าอร่อย” ยังไม่ทันที่ผมจะหายตกใจกับคำพูดของเขา เขาก็หยิบส้อม ตัดเค้กเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำไว้ให้ โชคดีที่ไม่ป้อน ไม่งั้นผมคงหัวใจวายตายไปแล้วแน่ๆ “หรือจะให้พี่ป้อน”
“ไม่ครับ ไม่ๆ ๆ ผมกินเองครับ” ผมรีบจิ้มเค้กเข้าปาก เพราะกลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดขึ้นมาจริงๆ
คุณธนิกคลี่ยิ้ม เขามองหน้าผม “พี่ทำให้ตกใจหรือเปล่านะ”
“ครับ?”
“ตกใจไหมที่เป็นแบบนี้”
ผมควรตอบเขาตามตรงใช่ไหม “ตกใจครับ แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรด้วย”
“นั่นสินะ” เขาเห็นด้วย หยุดพูดไปเพียงครู่เพราะพนักงานเอาเครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟ และเมื่อพนักงานทำหน้าที่เสร็จสิ้น เขาก็เริ่มเขย่าหัวใจผมอีกครั้ง “แต่ไม่มีอะไรที่เข้าใจยากหรอก พี่ไม่ใช่คนเข้าใจยากขนาดนั้น”
แต่ก็ไม่ง่ายหรอกผมแน่ใจ เขามีสีหน้าที่อ่านไม่ออก มีแววตาที่ผมไม่เข้าใจความหมาย มีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ชวนสงสัย เขาเข้าใกล้อย่างกะทันหัน รวดเร็วและโจมตีอย่างหนักหน่วงจนผมตั้งตัวไม่ทัน
“คือ...คุณธนิกครับ ผมรู้มาว่าคุณธนิกมีคู่หมั้นแล้ว”
ผมไม่กล้ามองเขาตอนที่พูด แค่อยากเตือนเขาว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คนโสดที่จะขายขนมจีบให้ใครพร่ำเพรื่อ แต่เผลอสบตากับเขาแว๊บหนึ่ง ผมก็เหมือนถูกไฟช็อต รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในใจระเบิดออกมา เขามองตรงมาที่ผม เปิดเผยไม่หลบเลี่ยง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น ทั้งความรู้สึกและความหมายของมัน ผมตีความไม่ได้เลย
“อืม พี่มีคู่หมั้นแล้ว” นำ้เสียงของเขาฟังดูไม่ทุกข์ร้อน ราวกับเรื่องที่กำลังพูดถึงคือเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะเป็น ผู้ชายทุกคนที่มีเจ้าของสามารถทำตัวเจ้าชู้ใส่ใครก็ได้ที่นึกพึงใจเหมือนเป็นเรื่องทั่วไปที่ใครๆ ก็ทำกัน
ทั้งๆ ที่ผมก็รู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปเลย แต่กลับคิดว่าเป็นแบบนี้คงดีแล้ว
“อ๋อ...ครับ”
“แต่คู่หมั้นของพี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรานี่ จริงไหมครับ”
เดี๋ยวนะ...นี่เป็นคำพูดของผู้ชายที่เห็นแก่ตัวหรือเปล่า ถ้าผมเล่าให้ไอ้แนนฟัง ว่าที่มนุษย์พ่อลูกอ่อนอย่างมันจะออกความเห็นว่ายังไงบ้าง แน่นอนว่าคำแรกที่หลุดออกจากปากของมันก็คือคำว่า ชั่วช้า!
“เรื่องของเราเหรอครับ”
“ใช่ เรื่องของพี่กับขวัญ”
“ผมไม่ค่อยเข้าใจ คือว่านะครับคุณธนิก ผมว่ามัน...”
เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไหม แล้วคุณมีทางออกกับเรื่องนี้อย่างไร ตอนนี้คนที่ผมชอบและอยู่ไกลเกินเอื้อมกำลังทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ เขาจับมือผม มองตาผม แล้วก็พูดในสิ่งที่ผมอยากฟัง
“ให้พี่ดูแลขวัญได้มั้ย ให้โอกาสพี่ได้อยู่ข้างๆ เด็กดีอย่างขวัญนะ”
“ผมไม่เข้าใจเลย”
“ค่อยๆ ทำความเข้าใจก็ได้ พี่ไม่รีบ”
ต่อให้เขาไม่รีบ แต่ผมก็แน่ใจว่าผมคงไม่สามารถเข้าใจเขาได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้หรอก ใครจะทำใจเชื่อลงว่าคุณธนิกที่ผมเฝ้ามองมานานคนนี้จะบอกว่าอยากอยู่ข้างๆ ผม “คนอย่างผมน่ะเหรอครับ อีกอย่างคุณธนิกก็มี...”
“แล้วยังไงเหรอ” เขาถามขัดขึ้นโดยที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ “ถ้าพี่ชอบคนอย่างขวัญแล้วจะมีปัญหาอะไรเหรอครับ”
คงไม่มีอะไรที่ผมจะตกใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ท่ามกลางความตกใจ หัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมา มันบอกผมว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปกังวลเรื่องอื่น ไม่ต้องไปสงสัยในตัวเขา คุณธนิกบอกชอบผม แม้จะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่โคตรประหลาดเพราะเมื่อไม่นานมานี้เรายังอยู่กันคนละโลก ผมกับเขาเป็นเหมือนโลกคู่ขนานที่ไม่มีทางมาอยู่ร่วมกันได้ แต่เขากลับทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายได้ที่เราสองคนจะอยู่ในโลกใบเดียวกัน
เขาบอกชอบผม เขาพูดอย่างนั้น แล้วค่อนหัวใจของผมก็เชื่อเขาไปแล้ว
“ขวัญชอบพี่บ้างมั้ย”
“ผม…” จะเป็นอะไรไหมที่ผมจะพูดออกไป กระเป๋าตังค์ราคาแพงใบนั้นกำลังนำทางให้ผม มันตอบแทนความดีของผมแล้ว ผมไม่ได้เจ็บตัวฟรีเลย ผมรู้สึกว่าต่อให้โดนไอ้วันกับไอ้ทิวกระทืบหนักกว่านี้ก็คุ้มค่ามากๆ “ชอบครับ”
“ชอบแล้วยังไงต่อดีนะ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวล เหมือนดังอยู่ใกล้ๆ หู ราวกับว่าโลกทั้งใบมีแต่เสียงของเขาที่ดังอยู่ในขณะนี้ “คบกันดีมั้ย”
“มัน...คือ มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ”
เขายิ้ม ไม่ได้ไม่พอใจกับคำพูดของผม “งั้นพี่จะรอ ขวัญพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะครับ”
ถ้าบอกว่าคบกัน มันคือความหมายของการคบเป็นแฟนหรือเปล่า หรือมันจะมีความหมายในฐานะอื่นอีกผมก็ไม่แน่ใจ
“เย็นนี้พี่พาไปกินข้าวนะครับ ขวัญมารอพี่นะ”
“ได้ครับ”
แต่เมื่อเขายิ้ม ความไม่แน่ใจที่ผมมีก็หายไปราวกับผีลักซ่อน
.................................
ต่อหน้า 3